ในห้องโถงด้านหน้า หลี่ซื่อฮูหยินลิ่งกั๋วกงนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน แม้ว่าตกใจทำอันใดไม่ถูกกับการที่พวกจิ้งอันโหวสองสามีภรรยามาเยือนที่จวนเพื่อคุยเรื่องถอนหมั้นตั้งแต่เช้าตรู่ แต่นางก็สงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว แสร้งทำท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น เพียงเอ่ยพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านทั้งสองพูดเรื่องอันใดกัน อันใดเรียกว่าจื่อเซวียนลูกข้ายังไม่ทันแต่งภรรยาเอกเข้าจวนก็ลักลอบได้เสียกับญาติผู้น้องของตนเอง ซ้ำยังมีบุตรนอกสมรสอีก? เรื่องเช่นนี้จะเอามาพูดพล่อยๆ ไม่ได้นะ”
หมิงถิงหย่วนตบโต๊ะพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เสแสร้งอันใดของเจ้า! พวกเจ้ากลัวเรื่องนี้จะความแตกก็เลยสร้างสถานการณ์ให้หมิงถานตกน้ำเพื่อจะได้ลงไปช่วยนางไม่ใช่หรือไร! ช่างหน้าด้านไร้ยางอายที่สุด!”
แม้แต่เรื่องนี้ก็รู้ด้วยอย่างนั้นหรือ
หยาดเหงื่อผุดพรายออกจากฝ่ามือของหลี่ซื่อ ทว่าบนใบหน้าของนางยังคงแย้มยิ้ม “นี่ท่านโหวพูดเรื่องอันใดอีก เหตุใดข้าถึงไม่เห็นเข้าใจเลย คนที่ตกน้ำก็คือจื่อเซวียนลูกข้ามิใช่หรือ”
เผยซื่อรีบปลอบประโลมหมิงถิงหย่วน ไม่ปล่อยให้เขาระเบิดโทสะต่อไป
หลี่ซื่อพูดถูก คนที่ตกน้ำเมื่อคืนเทศกาลซั่งหยวนคือเหลียงจื่อเซวียน และต้องเป็นเหลียงจื่อเซวียนเท่านั้น ต่อให้พวกเขารู้เรื่องที่ถูกเล่นงานลับหลังก็ช่างปะไร แต่ก็จะเอามาพูดชัดแจ้งไม่ได้ หาไม่แล้วคนที่เสื่อมเสียชื่อเสียงก็คือตัวหมิงถานเอง
เมื่อทำให้หมิงถิงหย่วนสงบนิ่งลงได้แล้ว เผยซื่อก็มองไปทางหลี่ซื่ออีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเยือกเย็นตรงเข้าประเด็นว่า “เหลียงฮูหยิน พวกเราเลิกพูดอ้อมค้อมวกวนกันได้แล้ว ที่วันนี้ข้ากับท่านโหวมาคุยเรื่องถอนหมั้น ย่อมตรวจสอบต้นสายปลายเหตุมาอย่างชัดเจนแล้ว แตงที่ฝืนเด็ดมักไม่หวาน* สกุลเหลียงของเจ้าหยามเกียรติบุตรสาวภรรยาเอกของสกุลหมิงเราเช่นนี้ ถ้าหากสามารถถอนหมั้นได้อย่างราบรื่น สมประสงค์กันทั้งสองฝ่าย พวกเราสองตระกูลก็ทางใครทางมัน ต่อไปน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง จะได้ไม่ต้องถึงให้ตายตกกันไปข้าง แต่ถ้าหากไม่ยินยอม…”
นางเอ่ยเพียงเท่านี้ก็หยุดไป ไม่ได้กล่าววาจาต่อ
หลี่ซื่อได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าแย่แน่แล้ว รอยยิ้มที่มุมปากค้างแข็งไปอย่างห้ามไม่อยู่ แต่นางได้วางแผนรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว ก็มิใช่ไม่มีแผนการรับมือเหมือนกัน
นางตั้งสติฝืนฉีกยิ้มเอ่ยว่า “นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ดูท่าพวกท่านทั้งสองคงจะเข้าใจอันใดจวนลิ่งกั๋วกงของข้าผิดแน่ๆ ก่อนหน้านี้หลานสาวจากบ้านเดิมของข้ามาพำนักอยู่ในจวนระยะหนึ่ง บิดามารดาของนางเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ จึงได้มาขอพึ่งพาอาศัย ข้าเองก็เห็นว่านางน่าสงสารเวทนา จึงให้นางพำนักอยู่ในจวนช่วงสั้นๆ จริงสิ จวนของท่านก็มีคุณหนูญาติผู้พี่ที่เป็นญาติห่างๆ อาศัยอยู่เหมือนกันมิใช่หรือ บ้านใดไม่มีญาติพี่น้องบ้างเล่า”
หลี่ซื่อกล่าวต่อไป “หลานสาวของข้าผู้นี้น่ะอยากไหว้วานให้ข้าช่วยหาคู่หมั้นหมายให้นางมาตลอด แต่ว่านางเป็นคนรักความสงบ ไม่ชอบความครึกครื้นวุ่นวายของเมืองหลวง ข้าจึงหาคู่ครองดีๆ ให้นางที่บ้านเกิด นางก็เลยดีอกดีใจเก็บข้าวเก็บของกลับบ้านเกิดไปแล้ว ดูเหมือนช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้บ้านสามีนางได้ตระเตรียมรับตัวเจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะจากไปนางยังบอกอีกว่าถึงแม้เมืองหลวงจะดี แต่ก็อยู่ไม่ชิน เกรงว่าต่อไปคงจะไม่ได้กลับมาหาข้าอีกแล้ว”
ทันใดนั้นหัวข้อสนทนาก็พลันเปลี่ยน หลี่ซื่อก็หันไปมองลิ่งกั๋วกงผู้ไร้ตัวตนแวบหนึ่ง สุ้มเสียงก็แผ่วอ่อนลงมากเช่นกัน “ที่ผ่านมาท่านกั๋วกงกับข้าเห็นความสำคัญในการหมั้นหมายกับจวนท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านกั๋วกงน่ะเอาแต่หวังว่าท่านโหวจะกลับเมืองหลวงมาในเร็ววัน จะได้รีบตระเตรียมการแต่งงานเสียที…
จะว่าไปแล้ว นับแต่แคว้นต้าเสี่ยนของพวกเราก่อตั้งราชวงศ์มาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าบรรดาศักดิ์จะสืบทอดต่อกันไม่มีสิ้นสุด แต่ก็ไม่มีตระกูลใดอยู่ราบรื่นปลอดภัยไปได้ตลอดรอดฝั่ง ดูอย่างจวนเฉิงเอินโหวสิ อยู่ดีๆ จะเกิดเรื่องก็เกิด ท่านกั๋วกงเลยคิดว่าหากทั้งสองจวนเกี่ยวดองกัน ต่อไปจะได้คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ ไม่ถึงขั้นถูกคนเล่นงานโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แน่นอน ถ้าหากพวกเราเคยล่วงเกินในเรื่องใดก็ขอให้ท่านโหวกับฮูหยินให้อภัยด้วย ขอแค่การแต่งงานของจื่อเซวียนราบรื่นไม่ติดขัด ทุกอย่างก็หารือกันง่าย”
ลิ่งกั๋วกงเป็นขุนนางที่ไร้ความสามารถ นิสัยธรรมดาๆ ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น เรื่องในจวนล้วนต้องอาศัยหลี่ซื่อเป็นผู้จัดการ ในเมื่อหลี่ซื่อพูดเช่นนี้ เขาก็พยักหน้าเห็นพ้อง “ถูกต้องตามนี้ ถูกต้องตามนี้ล่ะ”
เผยซื่อซึ่งเดิมมีคำพูดจะตอบโต้กลับนิ่งเงียบไปในทันใด