พวกนางต่างก็เป็นคนฉลาด หลี่ซื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว นางเองก็เข้าใจเช่นกันว่าถ้อยคำเหล่านี้มีความหมายสามอย่าง
ประการแรก คนได้ถูกส่งไปออกเรือนถึงแดนไกล ไม่มีทางกลับมาเมืองหลวงอีกแล้ว เรื่องฉาวโฉ่ไม่มีทางเล็ดลอดออกไปได้อีก ขอให้จวนโหวของพวกท่านวางใจได้
ประการที่สอง จวนลิ่งกั๋วกงยังคงประสงค์จะแต่งงานเกี่ยวดองกันเหมือนเดิม ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับจวนเฉิงเอินโหว เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเพราะฝ่าบาทไม่พอใจจึงเชือดเขาเป็นตัวอย่าง ก็ยากจะบอกว่านี่เป็นสัญญาณเตรียมกวาดล้างครั้งใหญ่หรือไม่ ถ้าหากเกี่ยวดองกันแล้ว ทุกคนก็เหมือนญาติพี่น้องกัน เช่นนั้นก็จะไม่ถูกผู้อื่นวางอุบายเล่นงานได้ง่ายๆ
ประการที่สาม ขอแค่ไม่ถอนหมั้น ไม่ว่าพวกท่านจะเสนอเงื่อนไขอันใดก็คุยกันง่ายทั้งสิ้น
คำพูดนี้โยงเกี่ยวไปถึงสถานการณ์ในราชสำนัก ซ้ำยังแสดงถึงท่าทีที่คนในจวนลิ่งกั๋วกงยอมอ่อนข้อเพื่อให้การแต่งงานครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เผยซื่อไม่สะดวกและไม่อาจจะตัดสินใจแทนหมิงถิงหย่วนได้
แต่เดิมนางก็เติบโตมาในตระกูลใหญ่ รู้ดีว่าหลายครั้งบุญคุณมิตรไมตรีล้วนมาทีหลังผลประโยชน์ อย่าว่าแต่ต้องแต่งให้คนไม่ดีเลย ต่อให้ต้องแต่งให้คนไม่สมประกอบก็มีครอบครัวผู้สูงศักดิ์ไม่น้อยที่ยินดีส่งบุตรสาวออกเรือนไป เพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่ตนต้องการ
เมื่อเผยซื่อหันมามองหมิงถิงหย่วนอีกครั้ง นางก็เห็นว่าเขามีสีหน้ายากจะบรรยาย
เขามิได้ส่งเสียงตอบ ในห้องโถงเองก็เงียบงันไปชั่วขณะ
ในขณะที่หลี่ซื่อคิดจะแสดงความจริงใจอีกครั้ง อยู่ๆ ก็มีสาวใช้สองคนเดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรีบร้อน สีหน้าแตกตื่นลนลาน ด้วยอารามร้อนใจ พวกนางจึงยอบกายทำความเคารพอย่างรีบๆ
หลี่ซื่อกำลังจะเอ่ยตำหนิ สาวใช้ก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงเหนื่อยหอบ “ฮูหยิน ข้างนอก ข้างนอกจวน…”
“ท่านป้า! ญาติผู้พี่! จูเอ๋อร์ทำผิดอันใดกันเจ้าคะ พวกท่านถึงได้ทำกับข้าเยี่ยงนี้! ข้าตั้งท้องตั้งสิบเดือนเพื่อให้กำเนิดหมิ่นเกอเอ๋อร์ ทั้งที่พวกท่านสัญญาแล้วว่าพอคุณหนูสกุลหมิงแต่งเข้าจวนมาก็จะรับข้าเป็นอนุภรรยา ให้หมิ่นเกอเอ๋อร์ได้มีชื่อในผังวงศ์ตระกูล…”
สาวใช้ยังไม่ทันพูดจบ เสียงร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสังเวชก็ดังแว่วมาจากด้านนอก
“…ไล่ข้าออกจากจวนยังไม่เท่าไร แต่เหตุใดต้องให้ข้าแต่งเป็นภรรยาของพ่อบ้านเรือนพักตากอากาศด้วย เหตุใดพวกท่านต้องทำกับข้าเช่นนี้! ญาติผู้พี่ ท่านป้า!”
ครั้นหลี่ซื่อได้ยินเสียง สีหน้าก็ย่ำแย่จนดูไม่ได้ไปในทันใด
ส่งตัวนางออกไปแล้วมิใช่หรือ ไฉนยังกลับมาอีกเล่า!
หมิงถิงหย่วนเองก็มีสีหน้าเย็นเยียบจนแทบจะมีหยาดน้ำหยดลงมา เขาทุบโต๊ะแล้วเอ่ยอย่างเดือดดาลโดยไม่แม้แต่จะยั้งคิด “พฤติกรรมเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ยังกล้าละเมอเพ้อฝันถึงบุตรสาวสกุลหมิงของข้าอีก พวกเจ้ามันโง่เขลาชั่วช้ากันทั้งบ้าน! การหมั้นหมายครั้งนี้เจ้าอยากถอนก็ถอนเสีย ไม่อยากถอนก็ต้องถอน!”
พูดจบเขาก็โยนของหมั้นลงกับพื้น ลุกขึ้นด้วยความโกรธแค้น
ในเมื่อหญิงสาวผู้นั้นมาโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอก ต่อให้จวนลิ่งกั๋วกงยอมอ่อนข้อเพียงไร การหมั้นหมายนี้ก็ไม่มีทางดำเนินต่อไปได้ ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องถอนหมั้นอย่างเงียบๆ อีก พอนึกถึงตรงนี้เผยซื่อก็รีบลุกขึ้นตามเช่นกัน
ที่ด้านนอกจวน จูเอ๋อร์กำลังอุ้มลูกพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ผู้คนห้อมล้อมมุงดูมากมาย ต่างก็พากันซุบซิบนินทา ชี้นิ้วชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์จวนลิ่งกั๋วกงกันใหญ่
เผยซื่อกับหมิงถิงหย่วนมิได้หยุดมอง พอขึ้นรถม้าก็เดินทางออกไปอย่างวางท่าใหญ่โตทันที
เพียงแต่ขณะที่กำลังลงจากรถม้าเมื่อกลับมาถึงจวน เผยซื่อก็อดเอ่ยถามเสียงเบาไม่ได้ว่า “ท่านโหว ถ้าหากสตรีผู้นั้นไม่ได้มาก่อเรื่องโวยวาย ท่านจะ…”
หมิงถิงหย่วนเข้าใจความหมายของนาง จึงย่นคิ้วเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้ากำลังคิดเหลวไหลอันใดของเจ้า หมิงถานเป็นบุตรสาวของข้า ถึงแม้ข้าหมิงถิงหย่วนจะไม่ใช่ปราชญ์บัณฑิตอันใด แต่ก็ไม่ขายบุตรสาวแลกความเจริญมั่งคั่งหรอก! ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่จวนลิ่งกั๋วกงของเขาหยิบยื่นให้ได้ ก็ไม่ควรค่าพอให้ข้ากระสันอยากจะได้สักนิด!”
ก่อนหน้านี้ที่เขาเงียบไปไม่พูดจานั่นเป็นเพราะยังไม่ได้เรียบเรียงคำด่าทอให้เรียบร้อยต่างหาก นึกไม่ถึงว่าฮูหยินกลับมองเขาเช่นนี้เสียได้! เขาแค่นเสียง “ฮึ” หนึ่งคำรบ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป
เผยซื่อจ้องมองแผ่นหลังของเขาจากทางด้านหลัง นางถึงกับผงะอึ้งไปชั่วขณะ