X
    Categories: กระวานน้อยแรกรักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 9

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 9

เมื่อล่วงเข้ายามราตรี อากาศก็หนาวเย็นขึ้นเล็กน้อย นอกเมืองหลวงมืดสนิทไปทั้งแถบ ทว่าในเมืองหลวงกลับสว่างไสวด้วยแสงโคมไฟ เป็นช่วงเวลาที่กำลังครึกครื้นสว่างเจิดจ้า ถนนชางอวี้ซึ่งถูกจวนติ้งเป่ยอ๋องครอบครองไปตลอดทั้งเส้นคงจะเป็นบริเวณที่เงียบสงบอย่างหาได้ยากยิ่งในเมืองหลวง

เจียงซวี่กับซูจิ่งหรานกำลังนั่งเดินหมากกันใต้แสงเทียนอยู่ในห้องหนังสือ ทันใดนั้นเปลวเทียนก็พลันไหววูบ เงามืดสายหนึ่งวูบตามลมเข้ามาในห้อง ก้มหน้าเอ่ยรายงานภารกิจว่า “ท่านอ๋อง แม่นางสกุลเหลียงกับลูกกลับถึงเมืองหลวงแล้ว ได้หาที่พักให้เรียบร้อยแล้วขอรับ”

เจียงซวี่ขานตอบว่า “อืม” หนึ่งเสียง จากนั้นก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย

เงามืดสายนั้นเข้าใจความหมาย จึงถอยกลับออกไปอย่างเงียบเชียบ

ซูจิ่งหรานลงหมากขาวล้อมหมากสีดำสามตัวเอาไว้ ต่อมาก็ยกแขนเสื้อพลางหยิบหมาก พร้อมกับเอ่ยพูดเองเออเองคนเดียวว่า “ข้าเอาแต่ครุ่นคิดมาตลอดว่าเหตุใดคืนนั้นท่านต้องลงมือด้วย หากปล่อยให้เหลียงซื่อจื่อช่วยคุณหนูสกุลหมิงไว้ การแต่งงานนี้ก็จะตอกตะปูแน่นหนา เปลี่ยนแปลงอันใดไม่ได้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายเสียหน่อย แต่ตอนนี้…ในที่สุดข้าก็คิดออกแล้ว”

นับตั้งแต่แคว้นต้าเสี่ยนก่อตั้งราชวงศ์มาเป็นเวลาหลายร้อยปีตระกูลต่างๆ ก็เกี่ยวดองนับญาติกันแนบแน่น พลังอำนาจก็ยิ่งเพิ่มทวี ฝ่าบาทจึงมีประสงค์อยากจะลดทอนอำนาจของพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ช่วงก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเชือดเฉิงเอินโหวที่ประมาทเลินเล่อทั้งยังไม่รู้จักสำรวมเนื้อสำรวมตัว ถึงกับกล้าลักลอบเปิดเหมืองเกลือให้ดูเป็นตัวอย่างก่อน ดูท่าอีกไม่นานจวนลิ่งกั๋วกงกับจวนจิ้งอันโหวก็คงยากจะรอดพ้นเคราะห์ภัยได้เช่นกัน

ถ้าหากสองตระกูลนี้เกี่ยวดองทางการแต่งงานกัน ขจัดไปพร้อมๆ กันก็จะประหยัดแรงได้เล็กน้อย ฝ่าบาทเองก็มีความคิดนี้เช่นเดียวกัน แต่ว่า “ดูเหมือนท่านจะไม่อยากให้สกุลหมิงกับสกุลเหลียงเกี่ยวดองกัน เพราะเหตุใดหรือ”

“เจ้าบอกว่าคิดออกแล้วไม่ใช่รึ” เจียงซวี่วางหมากลงหนึ่งตัว ช้อนดวงตาขึ้นมามองอย่างช้าๆ

“ข้าแค่คิดออกว่าวันนั้นที่ท่านลงมือช่วยคน เป็นเพราะไม่อยากให้สกุลหมิงกับสกุลเหลียงเกี่ยวดองกันก็เท่านั้นเอง”

“แค่นี้ยังต้องคิดอีก” เจียงซวี่หลุบตาลง แค่นเสียงใส่เบาๆ เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าคุณชายรองสกุลซูอย่างเขาคิดได้เพียงแค่นี้ ไม่รู้ว่าจะทำให้พวกแม่นางสาวๆ ที่รอดูเขาขี่อาชาเดินขบวนแห่เมื่อคราวสอบขุนนางช่วงฤดูใบไม้ผลิติดแล้วต้องผิดหวังหรือไม่

ซูจิ่งหรานกระแอมกระไอ รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่นิดๆ

ถึงอย่างไรซูจิ่งหรานก็ยังมิได้เข้าราชสำนัก มีหลายเรื่องที่ยังมองไม่กระจ่าง เจียงซวี่เองก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้ซูจิ่งหรานอีก เขาหลุบตามองดูกระดานหมาก จากนั้นเปล่งวาจาว่า “คำโบราณกล่าวว่ารีบร้อนเกินไปกลับไม่สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น การลดทอนอำนาจของตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็ไม่ใช่ความต้องการของข้าติ้งเป่ยอ๋องอยู่แล้ว”

ภายในห้องเงียบสนิทยิ่ง มีเพียงเสียงผะแผ่วยามเปลวเทียนขยับไหวเท่านั้น

ซูจิ่งหรานตรึกตรองถ้อยคำของเจียงซวี่ พอจะเข้าใจความหมายอยู่บ้างเล็กน้อย

ประโยคหน้าเข้าใจง่าย หากกำจัดสองตระกูลในคราวเดียวจะเป็นการใจร้อนเกินไป หลายปีมานี้ไทเฮาเอาแต่สวดมนต์กินอาหารเจ ยังนับว่าเก็บตัวสงบเสงี่ยม ทว่าอำนาจสายไทเฮานั้นหยั่งรากลึกดั่งต้นไม้ใหญ่ นับตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็เป็นภัยคุกคามที่ไม่อาจมองข้ามได้ หากกระทำการใหญ่โตครึกโครมเกินไป ก็จะสบโอกาสให้พวกเขาถูกผู้อื่นซื้อใจไปได้อย่างไม่อาจเลี่ยง ในทางตรงกันข้าม การยุให้แตกแยกกลับเป็นแผนที่รอบคอบปลอดภัยมากกว่า

ทว่าวาจาครึ่งหลัง ซูจิ่งหรานกลับนิ่งงันไป

ความสัมพันธ์ระหว่างเจียงซวี่กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เขาขบคิดไม่แตกมาโดยตลอด

หลายปีมานี้ฮ่องเต้เฉิงคังดีกับเจียงซวี่อย่างไม่อาจบรรยายได้จริงๆ แต่ในทางกลับกันเจียงซวี่ก็มิได้ทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสักเท่าไร ยังเรียกได้ว่าเย็นชาด้วยซ้ำไป หลายครั้งหลายคราท่าทีของเจียงซวี่ทำให้คนสงสัยว่าเขายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับฮ่องเต้เฉิงคังหรือไม่

คำว่า ‘ไม่ใช่ความต้องการของข้า’ ประโยคนี้ก็ทำให้ซูจิ่งหรานสับสนเล็กน้อยเหมือนกัน สรุปแล้วหมายความว่า ‘ไม่ใช่ความต้องการของข้า แต่ก็จะยื่นมือเข้าช่วย’ หรือว่า ‘ไม่ใช่ความต้องการของข้า ข้าจึงจะขัดขวางท่าน’ กันแน่

ดูเหมือนเจียงซวี่จะรู้ว่าซูจิ่งหรานกำลังคิดอันใดอยู่ “ความสามารถในการจัดกำลังพลของหมิงถิงหย่วนนั้นหาได้ยากยิ่ง ต้องเก็บเขาเอาไว้ก่อน” ต่อมาก็วางหมากสีดำตัวสุดท้ายลงไป “เจ้าแพ้แล้ว”

ซูจิ่งหรานตื่นขึ้นจากภวังค์ ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ที่หมากสีขาวซึ่งเดิมมีแต้มต่อมากกว่ากลับถูกหมากดำรุกคืบเข้าใกล้ ถูกล้อมเอาไว้จนหาทางออกมิได้ ไม่มีโอกาสให้พลิกสถานการณ์ได้อีก

แต่ว่าคืนนี้เขาเองก็ไม่มีแก่ใจจะเดินหมากเช่นกัน เขาดันกล่องเก็บหมากออก เอ่ยซักไซ้ไล่ถามว่า “ถ้าหากท่านอยากเก็บหมิงถิงหย่วนไว้ ไฉนท่านถึงไปทำลายการแต่งงานของบุตรสาวเขา แล้วจะหาคู่ครองจากที่ใดให้บุตรสาวของเขาเล่า หมิงถิงหย่วนกุมอำนาจเขตหยางซีอยู่ จะดูแคลนเขาไม่ได้ นอกจากนั้นพอการแต่งงานถูกยกเลิกปุบปับ คงจะมีคนไม่น้อยที่ทนรับความเย้ายวนใจนี้ไม่ไหว”

เจียงซวี่ไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงแต่จ้องมองเขาเงียบๆ

“…”

ผ่านไปพักใหญ่ๆ กว่าซูจิ่งหรานจะรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล

เขาเป็นคนอ่อนโยนนุ่มนวลทั้งภายนอกและภายในมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าเจอเรื่องใดก็สุขุมเยือกเย็น รุกถอยได้อย่างเหมาะสม แต่คราวนี้คงเพราะรู้สึกแตกตื่นตกใจจริงๆ หลังจากเขานิ่งพูดไม่ออกไปพักใหญ่ ก็หัวเราะออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “เจียงฉี่จือ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร จะให้ข้าแต่ง?”

“การแต่งงานของจางไหวอวี้ ฮองเฮาได้ทรงเตรียมการไว้ให้แล้ว ส่วนลู่ถิง เขายึดมั่นในคุณธรรมน้ำมิตรเกินไป”

“แล้วข้าเป็นคนไร้น้ำจิตน้ำใจอย่างนั้นหรือ” ซูจิ่งหรานยังคงรู้สึกว่าน่าขัน

เจียงซวี่จดจ้องแน่วนิ่ง “เจ้าไม่แต่ง แล้วจะให้ข้าติ้งเป่ยอ๋องแต่งรึ”

ซูจิ่งหราน “แล้วเหตุใดท่านจะแต่งไม่ได้เล่า”

เจียงซวี่ไม่อยากจะสนทนาให้มากความ เขาส่งแขกกลับออกไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้น

 

ตลอดทั้งราตรีเงียบสงบไร้ลมไร้ฝน วันถัดมาอากาศแจ่มใส ยามหมิงถานตื่นขึ้นมากินอาหารเช้าก็ได้ยินว่าท่านโหวกับฮูหยินออกไปข้างนอกด้วยกันตั้งแต่เช้าตรู่ ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปทางจวนลิ่งกั๋วกง

นางยกริมฝีปากยิ้ม อารมณ์แช่มชื่นยิ่ง ถึงขนาดกินโจ๊กได้เยอะกว่าเดิมครึ่งถ้วย

เมื่อวานพวกจิ้งอันโหวสองสามีภรรยาไปหารือเรื่องการถอนหมั้นที่จวนชางกั๋วกง พอคนที่อารมณ์โมโหร้ายอย่างหมิงถิงหย่วนกับไป๋จิ้งหยวนมาเจอกัน ยิ่งคุยกันโทสะก็ยิ่งพลุ่งพล่านเข้าไปใหญ่

ปรึกษากันไปได้ครึ่งทาง ทั้งสองก็แทบจะพุ่งปรี่ไปที่จวนลิ่งกั๋วกงเพื่อต่อยเหลียงจื่อเซวียนให้ฟันร่วงแล้วค่อยบีบให้เขาตายชดใช้ความผิด

โชคดีที่ฮูหยินของทั้งสองตระกูลคอยเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวปากเปียกปากแฉะอยู่ข้างๆ สุดท้ายทั้งสองบ้านปรึกษาหารือกันจนได้ข้อสรุป ตัดสินใจใช้ไม้อ่อนไปเจรจาขอถอนหมั้นที่จวนลิ่งกั๋วกง อย่างไรเสียหมิงถานก็เป็นสตรี หากทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา คงทั้งเสียเปรียบทั้งดูไม่งาม เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อการหาคู่หมั้นหมายในอนาคต

แน่นอนว่าหากจวนลิ่งกั๋วกงแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ตะครุบการแต่งงานนี้แน่นไม่ยอมปล่อย เช่นนั้นก็อย่าโทษที่พวกเขาจะเปิดโปงเรื่องสกปรกโสมมออกมาให้คนภายนอกรับรู้เรื่องแล้วเรื่องเล่าทีละเรื่องๆ คอยดูว่าพวกเขายังจะบิดพลิ้วอยู่อีกหรือไม่

แต่พอมาถึงจวนลิ่งกั๋วกงแล้วถึงได้รู้ว่าพวกเขายังจะกล้าบิดพลิ้วจริงๆ!

ในห้องโถงด้านหน้า หลี่ซื่อฮูหยินลิ่งกั๋วกงนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน แม้ว่าตกใจทำอันใดไม่ถูกกับการที่พวกจิ้งอันโหวสองสามีภรรยามาเยือนที่จวนเพื่อคุยเรื่องถอนหมั้นตั้งแต่เช้าตรู่ แต่นางก็สงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว แสร้งทำท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น เพียงเอ่ยพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านทั้งสองพูดเรื่องอันใดกัน อันใดเรียกว่าจื่อเซวียนลูกข้ายังไม่ทันแต่งภรรยาเอกเข้าจวนก็ลักลอบได้เสียกับญาติผู้น้องของตนเอง ซ้ำยังมีบุตรนอกสมรสอีก? เรื่องเช่นนี้จะเอามาพูดพล่อยๆ ไม่ได้นะ”

หมิงถิงหย่วนตบโต๊ะพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เสแสร้งอันใดของเจ้า! พวกเจ้ากลัวเรื่องนี้จะความแตกก็เลยสร้างสถานการณ์ให้หมิงถานตกน้ำเพื่อจะได้ลงไปช่วยนางไม่ใช่หรือไร! ช่างหน้าด้านไร้ยางอายที่สุด!”

แม้แต่เรื่องนี้ก็รู้ด้วยอย่างนั้นหรือ

หยาดเหงื่อผุดพรายออกจากฝ่ามือของหลี่ซื่อ ทว่าบนใบหน้าของนางยังคงแย้มยิ้ม “นี่ท่านโหวพูดเรื่องอันใดอีก เหตุใดข้าถึงไม่เห็นเข้าใจเลย คนที่ตกน้ำก็คือจื่อเซวียนลูกข้ามิใช่หรือ”

เผยซื่อรีบปลอบประโลมหมิงถิงหย่วน ไม่ปล่อยให้เขาระเบิดโทสะต่อไป

หลี่ซื่อพูดถูก คนที่ตกน้ำเมื่อคืนเทศกาลซั่งหยวนคือเหลียงจื่อเซวียน และต้องเป็นเหลียงจื่อเซวียนเท่านั้น ต่อให้พวกเขารู้เรื่องที่ถูกเล่นงานลับหลังก็ช่างปะไร แต่ก็จะเอามาพูดชัดแจ้งไม่ได้ หาไม่แล้วคนที่เสื่อมเสียชื่อเสียงก็คือตัวหมิงถานเอง

เมื่อทำให้หมิงถิงหย่วนสงบนิ่งลงได้แล้ว เผยซื่อก็มองไปทางหลี่ซื่ออีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเยือกเย็นตรงเข้าประเด็นว่า “เหลียงฮูหยิน พวกเราเลิกพูดอ้อมค้อมวกวนกันได้แล้ว ที่วันนี้ข้ากับท่านโหวมาคุยเรื่องถอนหมั้น ย่อมตรวจสอบต้นสายปลายเหตุมาอย่างชัดเจนแล้ว แตงที่ฝืนเด็ดมักไม่หวาน* สกุลเหลียงของเจ้าหยามเกียรติบุตรสาวภรรยาเอกของสกุลหมิงเราเช่นนี้ ถ้าหากสามารถถอนหมั้นได้อย่างราบรื่น สมประสงค์กันทั้งสองฝ่าย พวกเราสองตระกูลก็ทางใครทางมัน ต่อไปน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง จะได้ไม่ต้องถึงให้ตายตกกันไปข้าง แต่ถ้าหากไม่ยินยอม…”

นางเอ่ยเพียงเท่านี้ก็หยุดไป ไม่ได้กล่าววาจาต่อ

หลี่ซื่อได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าแย่แน่แล้ว รอยยิ้มที่มุมปากค้างแข็งไปอย่างห้ามไม่อยู่ แต่นางได้วางแผนรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว ก็มิใช่ไม่มีแผนการรับมือเหมือนกัน

นางตั้งสติฝืนฉีกยิ้มเอ่ยว่า “นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ดูท่าพวกท่านทั้งสองคงจะเข้าใจอันใดจวนลิ่งกั๋วกงของข้าผิดแน่ๆ ก่อนหน้านี้หลานสาวจากบ้านเดิมของข้ามาพำนักอยู่ในจวนระยะหนึ่ง บิดามารดาของนางเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ จึงได้มาขอพึ่งพาอาศัย ข้าเองก็เห็นว่านางน่าสงสารเวทนา จึงให้นางพำนักอยู่ในจวนช่วงสั้นๆ จริงสิ จวนของท่านก็มีคุณหนูญาติผู้พี่ที่เป็นญาติห่างๆ อาศัยอยู่เหมือนกันมิใช่หรือ บ้านใดไม่มีญาติพี่น้องบ้างเล่า”

หลี่ซื่อกล่าวต่อไป “หลานสาวของข้าผู้นี้น่ะอยากไหว้วานให้ข้าช่วยหาคู่หมั้นหมายให้นางมาตลอด แต่ว่านางเป็นคนรักความสงบ ไม่ชอบความครึกครื้นวุ่นวายของเมืองหลวง ข้าจึงหาคู่ครองดีๆ ให้นางที่บ้านเกิด นางก็เลยดีอกดีใจเก็บข้าวเก็บของกลับบ้านเกิดไปแล้ว ดูเหมือนช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้บ้านสามีนางได้ตระเตรียมรับตัวเจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะจากไปนางยังบอกอีกว่าถึงแม้เมืองหลวงจะดี แต่ก็อยู่ไม่ชิน เกรงว่าต่อไปคงจะไม่ได้กลับมาหาข้าอีกแล้ว”

ทันใดนั้นหัวข้อสนทนาก็พลันเปลี่ยน หลี่ซื่อก็หันไปมองลิ่งกั๋วกงผู้ไร้ตัวตนแวบหนึ่ง สุ้มเสียงก็แผ่วอ่อนลงมากเช่นกัน “ที่ผ่านมาท่านกั๋วกงกับข้าเห็นความสำคัญในการหมั้นหมายกับจวนท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านกั๋วกงน่ะเอาแต่หวังว่าท่านโหวจะกลับเมืองหลวงมาในเร็ววัน จะได้รีบตระเตรียมการแต่งงานเสียที…

จะว่าไปแล้ว นับแต่แคว้นต้าเสี่ยนของพวกเราก่อตั้งราชวงศ์มาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าบรรดาศักดิ์จะสืบทอดต่อกันไม่มีสิ้นสุด แต่ก็ไม่มีตระกูลใดอยู่ราบรื่นปลอดภัยไปได้ตลอดรอดฝั่ง ดูอย่างจวนเฉิงเอินโหวสิ อยู่ดีๆ จะเกิดเรื่องก็เกิด ท่านกั๋วกงเลยคิดว่าหากทั้งสองจวนเกี่ยวดองกัน ต่อไปจะได้คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ ไม่ถึงขั้นถูกคนเล่นงานโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

แน่นอน ถ้าหากพวกเราเคยล่วงเกินในเรื่องใดก็ขอให้ท่านโหวกับฮูหยินให้อภัยด้วย ขอแค่การแต่งงานของจื่อเซวียนราบรื่นไม่ติดขัด ทุกอย่างก็หารือกันง่าย”

ลิ่งกั๋วกงเป็นขุนนางที่ไร้ความสามารถ นิสัยธรรมดาๆ ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น เรื่องในจวนล้วนต้องอาศัยหลี่ซื่อเป็นผู้จัดการ ในเมื่อหลี่ซื่อพูดเช่นนี้ เขาก็พยักหน้าเห็นพ้อง “ถูกต้องตามนี้ ถูกต้องตามนี้ล่ะ”

เผยซื่อซึ่งเดิมมีคำพูดจะตอบโต้กลับนิ่งเงียบไปในทันใด

พวกนางต่างก็เป็นคนฉลาด หลี่ซื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว นางเองก็เข้าใจเช่นกันว่าถ้อยคำเหล่านี้มีความหมายสามอย่าง

ประการแรก คนได้ถูกส่งไปออกเรือนถึงแดนไกล ไม่มีทางกลับมาเมืองหลวงอีกแล้ว เรื่องฉาวโฉ่ไม่มีทางเล็ดลอดออกไปได้อีก ขอให้จวนโหวของพวกท่านวางใจได้

ประการที่สอง จวนลิ่งกั๋วกงยังคงประสงค์จะแต่งงานเกี่ยวดองกันเหมือนเดิม ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับจวนเฉิงเอินโหว เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเพราะฝ่าบาทไม่พอใจจึงเชือดเขาเป็นตัวอย่าง ก็ยากจะบอกว่านี่เป็นสัญญาณเตรียมกวาดล้างครั้งใหญ่หรือไม่ ถ้าหากเกี่ยวดองกันแล้ว ทุกคนก็เหมือนญาติพี่น้องกัน เช่นนั้นก็จะไม่ถูกผู้อื่นวางอุบายเล่นงานได้ง่ายๆ

ประการที่สาม ขอแค่ไม่ถอนหมั้น ไม่ว่าพวกท่านจะเสนอเงื่อนไขอันใดก็คุยกันง่ายทั้งสิ้น

คำพูดนี้โยงเกี่ยวไปถึงสถานการณ์ในราชสำนัก ซ้ำยังแสดงถึงท่าทีที่คนในจวนลิ่งกั๋วกงยอมอ่อนข้อเพื่อให้การแต่งงานครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เผยซื่อไม่สะดวกและไม่อาจจะตัดสินใจแทนหมิงถิงหย่วนได้

แต่เดิมนางก็เติบโตมาในตระกูลใหญ่ รู้ดีว่าหลายครั้งบุญคุณมิตรไมตรีล้วนมาทีหลังผลประโยชน์ อย่าว่าแต่ต้องแต่งให้คนไม่ดีเลย ต่อให้ต้องแต่งให้คนไม่สมประกอบก็มีครอบครัวผู้สูงศักดิ์ไม่น้อยที่ยินดีส่งบุตรสาวออกเรือนไป เพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่ตนต้องการ

เมื่อเผยซื่อหันมามองหมิงถิงหย่วนอีกครั้ง นางก็เห็นว่าเขามีสีหน้ายากจะบรรยาย

เขามิได้ส่งเสียงตอบ ในห้องโถงเองก็เงียบงันไปชั่วขณะ

ในขณะที่หลี่ซื่อคิดจะแสดงความจริงใจอีกครั้ง อยู่ๆ ก็มีสาวใช้สองคนเดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรีบร้อน สีหน้าแตกตื่นลนลาน ด้วยอารามร้อนใจ พวกนางจึงยอบกายทำความเคารพอย่างรีบๆ

หลี่ซื่อกำลังจะเอ่ยตำหนิ สาวใช้ก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงเหนื่อยหอบ “ฮูหยิน ข้างนอก ข้างนอกจวน…”

“ท่านป้า! ญาติผู้พี่! จูเอ๋อร์ทำผิดอันใดกันเจ้าคะ พวกท่านถึงได้ทำกับข้าเยี่ยงนี้! ข้าตั้งท้องตั้งสิบเดือนเพื่อให้กำเนิดหมิ่นเกอเอ๋อร์ ทั้งที่พวกท่านสัญญาแล้วว่าพอคุณหนูสกุลหมิงแต่งเข้าจวนมาก็จะรับข้าเป็นอนุภรรยา ให้หมิ่นเกอเอ๋อร์ได้มีชื่อในผังวงศ์ตระกูล…”

สาวใช้ยังไม่ทันพูดจบ เสียงร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสังเวชก็ดังแว่วมาจากด้านนอก

“…ไล่ข้าออกจากจวนยังไม่เท่าไร แต่เหตุใดต้องให้ข้าแต่งเป็นภรรยาของพ่อบ้านเรือนพักตากอากาศด้วย เหตุใดพวกท่านต้องทำกับข้าเช่นนี้! ญาติผู้พี่ ท่านป้า!”

ครั้นหลี่ซื่อได้ยินเสียง สีหน้าก็ย่ำแย่จนดูไม่ได้ไปในทันใด

ส่งตัวนางออกไปแล้วมิใช่หรือ ไฉนยังกลับมาอีกเล่า!

หมิงถิงหย่วนเองก็มีสีหน้าเย็นเยียบจนแทบจะมีหยาดน้ำหยดลงมา เขาทุบโต๊ะแล้วเอ่ยอย่างเดือดดาลโดยไม่แม้แต่จะยั้งคิด “พฤติกรรมเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ยังกล้าละเมอเพ้อฝันถึงบุตรสาวสกุลหมิงของข้าอีก พวกเจ้ามันโง่เขลาชั่วช้ากันทั้งบ้าน! การหมั้นหมายครั้งนี้เจ้าอยากถอนก็ถอนเสีย ไม่อยากถอนก็ต้องถอน!”

พูดจบเขาก็โยนของหมั้นลงกับพื้น ลุกขึ้นด้วยความโกรธแค้น

ในเมื่อหญิงสาวผู้นั้นมาโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอก ต่อให้จวนลิ่งกั๋วกงยอมอ่อนข้อเพียงไร การหมั้นหมายนี้ก็ไม่มีทางดำเนินต่อไปได้ ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องถอนหมั้นอย่างเงียบๆ อีก พอนึกถึงตรงนี้เผยซื่อก็รีบลุกขึ้นตามเช่นกัน

ที่ด้านนอกจวน จูเอ๋อร์กำลังอุ้มลูกพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ผู้คนห้อมล้อมมุงดูมากมาย ต่างก็พากันซุบซิบนินทา ชี้นิ้วชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์จวนลิ่งกั๋วกงกันใหญ่

เผยซื่อกับหมิงถิงหย่วนมิได้หยุดมอง พอขึ้นรถม้าก็เดินทางออกไปอย่างวางท่าใหญ่โตทันที

เพียงแต่ขณะที่กำลังลงจากรถม้าเมื่อกลับมาถึงจวน เผยซื่อก็อดเอ่ยถามเสียงเบาไม่ได้ว่า “ท่านโหว ถ้าหากสตรีผู้นั้นไม่ได้มาก่อเรื่องโวยวาย ท่านจะ…”

หมิงถิงหย่วนเข้าใจความหมายของนาง จึงย่นคิ้วเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้ากำลังคิดเหลวไหลอันใดของเจ้า หมิงถานเป็นบุตรสาวของข้า ถึงแม้ข้าหมิงถิงหย่วนจะไม่ใช่ปราชญ์บัณฑิตอันใด แต่ก็ไม่ขายบุตรสาวแลกความเจริญมั่งคั่งหรอก! ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่จวนลิ่งกั๋วกงของเขาหยิบยื่นให้ได้ ก็ไม่ควรค่าพอให้ข้ากระสันอยากจะได้สักนิด!”

ก่อนหน้านี้ที่เขาเงียบไปไม่พูดจานั่นเป็นเพราะยังไม่ได้เรียบเรียงคำด่าทอให้เรียบร้อยต่างหาก นึกไม่ถึงว่าฮูหยินกลับมองเขาเช่นนี้เสียได้! เขาแค่นเสียง “ฮึ” หนึ่งคำรบ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป

เผยซื่อจ้องมองแผ่นหลังของเขาจากทางด้านหลัง นางถึงกับผงะอึ้งไปชั่วขณะ

คนที่กลับมาถึงจวนจิ้งอันโหวก่อนเผยซื่อกับหมิงถิงหย่วนหนึ่งก้าวคือสาวใช้ตัวน้อยที่หมิงถานส่งให้ไปสืบสถานการณ์

สาวใช้ตัวน้อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนลิ่งกั๋วกงให้หมิงถานฟังอย่างละเอียดยิบ

หมิงถานฟังจบก็ตะลึงนิ่งอึ้งไป โจ๊กรังนกที่อยู่ในมือจืดชืดไร้รสชาติไปในชั่วพริบตา “เจ้าบอกว่าฮูหยินลิ่งกั๋วกงยกสตรีผู้นั้นให้แต่งเป็นภรรยาใหม่ของพ่อบ้านเรือนพักตากอากาศหรือ สตรีผู้นั้นหนีออกมาได้ อุ้มลูกมาร้องห่มร้องไห้ขอความเมตตาหน้าประตูจวนลิ่งกั๋วกง?”

“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนู เรื่องนี้… รู้กันไปทั่วแล้วเจ้าค่ะ…”

หมิงถาน “…”

จริงอยู่ที่นางอยากถอนหมั้น แต่นางหวังให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลนั่งลงเจรจา หาข้ออ้างที่ไม่เสื่อมเสียถอนหมั้นไปอย่างเงียบๆ มากกว่า หากสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงของนางก็จะถูกทำลายจนย่อยยับป่นปี้ รอให้เรื่องวุ่นวายผ่านพ้นไปเมื่อใด นางค่อยหาวิธีจัดการจวนลิ่งกั๋วกงทีหลังก็แล้วกัน

ก่อนหน้านี้นางกลัวว่าบิดาจะไม่ยอมแตกหักกับจวนลิ่งกั๋วกงเพื่อนาง จึงจงใจแสดงละครฉากนั้นออกมา ทำให้บิดาของนางโกรธแค้นจวนลิ่งกั๋วกงจนถึงขีดสุด และเป็นฝ่ายยื่นขอถอนหมั้นเอง

ประกอบกับนางรู้จักเผยซื่อดี ด้วยนิสัยละเอียดรอบคอบของเผยซื่อในยามปกติแล้ว คงไม่มีทางยอมให้บิดาทำอันใดหุนหันพลันแล่นแน่นอน และมีโอกาสมากที่พวกเขาจะไปปรึกษาหารือกับท่านลุงและท่านป้าสะใภ้ ขอแค่พวกเขาคิดใคร่ครวญเพื่อนางจากใจจริงแม้เพียงน้อยนิด เช่นนั้นผลลัพธ์จากการปรึกษาหารือก็จะต้องเป็นไปตามที่นางต้องการ

ก็จริงที่เรื่องราวดำเนินไปตามที่นางคาดการณ์ไว้ แต่นางคาดไม่ถึงว่าฮูหยินลิ่งกั๋วกงจะโหดเหี้ยมอำมหิตกับหลานสาวแท้ๆ ของตนเองถึงเพียงนี้ บีบคั้นให้อีกฝ่ายต้องหนีออกมา แล้วก็โวยวายให้เรื่องมันใหญ่โตลุกลามออกไปโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น!

ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้เรื่องฉาวโฉ่นี้กันหมดแล้ว อาถานแห่งสกุลหมิงอย่างนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!

หมิงถานถูกข่าวคราวนี้ถาโถมใส่จนวิงเวียนตาลาย ประจวบเหมาะกับเผยซื่อแวะมาหานางพอดิบพอดี

เผยซื่อเห็นนางสีหน้าไม่สู้ดีก็เข้าใจกระจ่างขึ้นมาในใจ นางเดินเข้าไปด้านในพลางเอ่ยถามว่า “อาถานรู้เรื่องที่จวนลิ่งกั๋วกงแล้วหรือ”

นางสั่งให้บรรดาสาวใช้ออกไปด้านนอก จากนั้นก็นั่งลง เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “ถึงแม้เรื่องนี้จะอยู่เหนือความคาดหมาย แต่ว่าเจ้าเองก็อยากจะถอนหมั้นอยู่แล้ว ตอนนี้นับว่าได้สมดั่งปรารถนาแล้ว”

หมิงถานนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ “ท่านรู้อยู่แล้วหรือเจ้าคะ”

“จดหมายจากจวนสกุลไป๋ถูกส่งมาตั้งแต่ตอนเช้าตรู่เมื่อวานนี้แล้ว จะรอมามอบให้เจ้าตอนอาหารกลางวันได้อย่างไร”

พูดกันตามจริงแล้ว เผยซื่อเป็นผู้ควบคุมดูแลจวนจิ้งอันโหวแห่งนี้ จะมีความเคลื่อนไหวเล็ดลอดสายตาของนางไปได้อย่างไร อีกทั้งหมิงถานก็เป็นเด็กสาวที่นางอบรมเลี้ยงดูมากับมือ นางรู้ดีว่าหมิงถานไม่ใช่คนที่เจอปัญหาแล้วจะร้องไห้สะอึกสะอื้นแน่นอน

หมิงถานหลุบตาลง นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ “ท่านแม่ อาถานผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ที่อาถานไม่ได้บอกท่านเพราะไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหน อีกอย่าง การแต่งงานนี้มารดาบังเกิดเกล้ายังเป็นผู้กำหนดให้…”

“ไม่ต้องกล่าวให้มากความหรอก ข้าเข้าใจ”

นางมีหรือจะไม่เข้าใจ แต่ไรมาคุณหนูตระกูลใหญ่โตสูงศักดิ์ไม่เคยตัดสินใจเรื่องการแต่งงานด้วยตนเองได้ ขนาดกับบิดาแท้ๆ นางยังไม่มีความมั่นใจเลย แล้วจะมาฝากความหวังกับตนได้อย่างไร

เมื่อแรกเผยซื่อยังคิดจะคุยเรื่องบิดาของหมิงถานกับนางอย่างเปิดอกจริงใจ จะได้เป็นการช่วยเพิ่มพูนความผูกพันของสองพ่อลูก แต่ว่าตอนนี้บิดาของนางเพิ่งจะกลับมาเมืองหลวง ต่อให้พูดออกไปมากเพียงใดก็ไม่สู้ให้หมิงถานสัมผัสด้วยตนเองจะจริงแท้แน่นอนมากกว่า อีกอย่างเรื่องการแต่งงานก็จบไม่ดีถึงเพียงนี้ ดูท่าทางหมิงถานเองก็คงไม่มีแก่ใจมาคิดเรื่องอื่นในเวลาเยี่ยงนี้

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว” เผยซื่อกุมมือนางเอาไว้ แล้วช่วยนางทัดผมให้เรียบร้อย “ข้ารู้ถึงความคับอกคับใจของเจ้าดี แตกหักกันไปวันนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ถ้าหากหาข้ออ้างที่ไม่น่าเกลียดมาถอนหมั้นได้จริงๆ เจ้าก็คงตะขิดตะขวงใจอยู่ดี ไม่ว่าทางใดก็รู้สึกย่ำแย่”

หมิงถาน “…”

รู้สึกเหมือนได้รับการปลอบใจขึ้นมานิดๆ เหมือนกันนะเนี่ย

 

เชิงอรรถ

* แตงที่ฝืนเด็ดมักไม่หวาน หมายถึงหากฝืนทำในสภาวะหรืออยู่ในเงื่อนไขที่ไม่พร้อม ผลลัพธ์ที่ออกมามักไม่เป็นที่น่าพอใจ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 มี.. 66 เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: