บทที่ 63
นี่นับเป็นคำพูดประโยคแรกที่หลิงซิงเหยาเป็นฝ่ายพูดกับอวิ๋นชูเยวี่ยก่อน หลังจากเหตุการณ์ไปแอบฟังนางสนทนากับพี่ชายที่เมืองเหิงหยางเป็นต้นมา
ทว่าคำพูดประโยคนี้ฟังดูแล้วหาได้นุ่มนวล กระทั่งยังเจือการเหน็บแนมอยู่จางๆ
เงาด้านหลังของอวิ๋นชูเยวี่ยแข็งขึงเล็กน้อย
นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่านางกับหลิงซิงเหยาจะเดินมาถึงก้าวนี้ในวันนี้
แต่ช่วงที่ผ่านมานางไปหาหลิงซิงเหยาตามลำพังอยู่หลายครั้ง คิดจะชี้แจงกับเขาเรื่องการหมั้นหมายของตนกับมู่หวาฮุย ยังคิดจะบอกเขา ในใจของตนมีเขาอยู่ แต่หลิงซิงเหยากลับมองนางด้วยสีหน้าเมินเฉย
มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาถึงขั้นพูดกับนางอย่างเยียบเย็น ‘ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าล้วนไม่เชื่อ ยังมีข้าขอแนะนำเจ้าสักประโยค เก็บหน้าตาเช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้าข้าเสีย เช่นนี้ข้ายังอาจเห็นเจ้าเป็นศิษย์น้องร่วมสำนัก หาไม่ก็อย่าตำหนิว่าข้าโกรธแล้วไม่ไว้หน้าใคร เปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าออกมาทั้งหมด’
อวิ๋นชูเยวี่ยตะลึงงัน
นางไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดหลิงซิงเหยาที่เห็นอยู่ว่าเมื่อก่อนดีต่อนางถึงเพียงนั้น จึงใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับนาง
ชั่วขณะนั้นถึงกับกระทั่งจะร้องไห้ก็ยังลืมไปเลย
แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะนางรู้ถึงนิสัยของหลิงซิงเหยาดี ในเมื่อเขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา เช่นนั้นไม่ว่านางจะร่ำไห้เป็นดอกหลีฮวาต้องฝนอย่างไรเขาก็ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
ครั้นแล้วนับแต่นั้นมานางก็ไม่ได้ไปหาหลิงซิงเหยาตามลำพังอีก ทั้งสองคนแม้จะเห็นหน้ากันทุกวัน แต่กลับไม่ต่างจากคนแปลกหน้า
ทว่าในใจอวิ๋นชูเยวี่ยจะมากจะน้อยก็ยังมีความหวังอยู่จางๆ คิดอยู่ว่าในใจของหลิงซิงเหยาจะตัดใจจากนางไม่ได้หรือไม่ วันหนึ่งอาจจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางใหม่
แต่บัดนี้หลิงซิงเหยากล่าวคำพูดนี้ออกมา อวิ๋นชูเยวี่ยก็รู้ว่าสิ่งที่นางคิดไว้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้…
อวิ๋นชูเยวี่ยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา ตอบอย่างหมางเมินยิ่ง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”
พูดพลางนางก็สาวเท้าเดินจากไป
หลิงซิงเหยามองเงาด้านหลังของนางที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็แค่นเสียงออกมาเบาๆ
แต่ก่อนเหตุใดตนจึงมองไม่ออกว่าอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นคนปากอย่างใจอย่าง ถ้าไม่ใช่ไปแอบฟังในครั้งนั้น คิดว่าเวลานี้เขาก็ยังคงเห็นอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นแม่นางน้อยที่บอบบางบริสุทธิ์ผุดผ่องจิตใจดีงามคนหนึ่งกระมัง
เขาตาบอดไปแล้วจริงๆ!
เมิ่งถังตัดสินใจไปจับปลาก่อน
แน่นอนว่าบอกว่าไปจับปลา ความจริงแล้วก็คือการเล่นสนุก
ถอดถุงเท้ารองเท้าออก จับจูงมือกับติงเล่อเซวียน พอคลื่นซัดมาก็วิ่งเข้าฝั่ง พอคลื่นถอยไปก็จะวิ่งไปทั่วหาดทรายนุ่ม
ไม่ว่าจะเป็นปลา หมึก ปู หรืออย่างอื่นอะไร จับขึ้นได้ก็โยนลงไปในอ่างทั้งหมด
เล่นอย่างนี้อยู่พักใหญ่ เงยหน้าขึ้นมาเห็นมู่หวาฮุยยืนสองมือไพล่หลังมองพวกนางอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
วันนี้เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวคอไขว้ เอวคาดสายรัดเอวสีเขียวอ่อนเส้นหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงเช่นนี้ แลประดุจเทพเซียนผู้สูงส่งหลุดพ้นจากทางโลกอย่างแท้จริง
แต่ตัวนางเองกลับเปลือยเท้าทั้งสอง มือกับชายกระโปรงเปรอะเปื้อนไปด้วยดินทราย…
เมิ่งถังเกิดความคิดซุกซนขึ้นมา เหยียดเอวขึ้นตรง แล้วซอยเท้าน้อยๆ วิ่งไปที่มู่หวาฮุย
มู่หวาฮุยมองใบหน้าที่ดูไม่มีเจตนาดีของนางก็รู้ว่าในใจของนางจะต้องมีความคิดชั่วร้ายอะไรอยู่แน่นอน
แต่นี่ไม่สำคัญอะไร