X
    Categories: ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลาทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา บทที่ 62-63

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 62

แทบจะในเวลาเดียวกันกับที่โม่เซียวเพิ่งหนีไปก็มีเสียงเป่าแตรสัญญาณทุ้มต่ำดังขึ้นมา

ท่ามกลางเสียงเป่าแตรสัญญาณ มารและมารอสูรทั้งหมดต่างหยุดการโจมตี หมุนตัวจากไป

ศึกปิดล้อมเมืองในครั้งนี้ก็ปิดฉากลงเช่นนี้

แม้เมืองจะยังไม่แตก แต่ยังคงสูญเสียผู้บำเพ็ญเซียนที่มาช่วยทำศึกไปไม่น้อย

เจ้าเมืองโจวพาบุตรชายของตนมาจัดการเรื่องต่างๆ หลังเสร็จศึก โจวอิ้งเสวี่ยกลับเป็นฝ่ายมาหาเมิ่งถัง

ทว่าคำพูดที่นางกล่าวออกมากลับทำให้เมิ่งถังตื่นตระหนกตกใจ

เพราะนางถึงกับคิดจะกราบเมิ่งถังเป็นอาจารย์

ตัวข้าเองยังฝึกวิชาไม่สำเร็จเลย จะรับท่านเป็นศิษย์ได้อย่างไร

นางคิดได้ดังนั้นจึงรีบปฏิเสธ แต่โจวอิ้งเสวี่ยยังคงยืนกราน สุดท้ายเมิ่งถังจำต้องขอความช่วยเหลือจากมู่หวาฮุย

อันที่จริงก็คิดจะลอบส่งเสริมให้มู่หวาฮุยรับโจวอิ้งเสวี่ยเป็นศิษย์

นางรู้สึกว่าโจวอิ้งเสวี่ยดียิ่งอย่างแท้จริง นิสัยก็เหมาะสมกับมู่หวาฮุย

อีกทั้งอาจารย์กับลูกศิษย์คิดดูก็มีความรู้สึกเป็นคู่กันอยู่แล้ว

แต่ข้อเสนอนี้ของนางไม่เพียงถูกมู่หวาฮุยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด นางยังได้รับผลพวงต่างหากถูกมู่หวาฮุยถลึงตาใส่อย่างโกรธขึ้ง

ทว่ายามมู่หวาฮุยพูดจากับโจวอิ้งเสวี่ยก็ยังคงสุภาพมีมารยาทเช่นปกติ

ก่อนอื่นก็พูดจาถ่อมตนบอกตนกับเมิ่งถังพลังวัตรยังต่ำต้อยนัก ไม่สามารถเป็นอาจารย์ได้

จากนั้นก็บอกในเมื่อโจวอิ้งเสวี่ยมีใจจะบำเพ็ญเพียรก็สามารถไปกราบอาจารย์ที่สำนักหมิงหวา หรือสำนักบำเพ็ญเซียนอื่นด้วยตนเองได้

โจวอิ้งเสวี่ยย่อมไม่อาจดึงดัน จำต้องขอบคุณคำชี้แนะของมู่หวาฮุย จากนั้นก็ลาจากไป

เมื่ออีกฝ่ายไปแล้ว เมิ่งถังก็เห็นสีหน้าของมู่หวาฮุยขรึมลงทันที จึงรีบหาข้ออ้างหมุนตัวจะจากไป

แต่นางยังไม่ทันเดินไปถึงประตูก็เห็นบานประตูสองบานที่เดิมเปิดกว้างอยู่ปิดเข้ามาเองโดยไม่มีลม

เมิ่งถังจำต้องหมุนตัวกลับมาช้าๆ ยิ้มแหยพลางเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ ข้ามีธุระจริงๆ ไม่ได้โกหกท่าน”

มู่หวาฮุยไม่ได้สนใจนาง ลงนั่งที่ข้างโต๊ะ หิ้วกาขึ้นมารินน้ำชาให้ตนเองถ้วยหนึ่ง หลุบตาลงดื่มช้าๆ

จะเชือดเนื้อหรือจะสังหาร ท่านผู้อาวุโสก็ลงมือมาได้เลย! เอามีดทื่อมาเถือหนังเช่นนี้ทรมานที่สุดแล้ว

ทว่าก็ได้แต่เดินช้าๆ เข้าไป ก้มหน้าลงพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “เอ่อ ข้าก็แค่รู้สึกว่าพี่โจวดียิ่ง ถ้าท่านรับนางเป็นศิษย์ นางจะต้องให้ความเคารพท่านเป็นพิเศษ ท่านพูดอะไรนางก็ไม่มีทางคัดค้าน

นอกจากนี้ศิษย์พี่ ท่านดูพี่โจวพูดจาทำอะไรก็อ่อนโยนละมุนละไม ถ้านางเป็นศิษย์ของท่าน รับรองต่อไปไม่ว่าเรื่องอะไรท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วง นางสามารถจัดการให้ท่านอย่างเหมาะสมเรียบร้อย”

“ยังมีอีก…”

เมิ่งถังยังคิดจะยกข้อดีของโจวอิ้งเสวี่ยขึ้นมากล่าวเป็นข้อๆ ต่อกลับถูกมู่หวาฮุยยอกย้อนกลับไปทันที

“ในเมื่อนางดีเพียงนี้ เพราะเหตุใดเจ้าไม่รับนางเป็นศิษย์เสียเอง”

ถ้านางเป็นบุรุษ ศิษย์ผู้นี้นางต้องรับไว้แน่ ยังจะยอมให้ท่านได้หรือ!

ทว่าก็ได้แต่บ่นอยู่ในใจ ใบหน้ายังคงหัวเราะหึๆ อย่างโง่งม

มู่หวาฮุยวางถ้วยน้ำชาในมือลง เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่นางอย่างไม่สบอารมณ์ทีหนึ่ง

ทว่าสุดท้ายเขาก็จำต้องประนีประนอม บอกนาง “ยืนห่างเพียงนั้นด้วยเหตุอันใด กลัวข้าจะกินเจ้าหรือ”

เมิ่งถังคิดในใจ นี่ไม่ใช่เพราะถูกท่านควบคุมอบรมราวกับบุตรสาวคนหนึ่งทำให้ข้าเกิดท่าทีตอบสนองด้วยจิตใต้สำนึกหรอกหรือ

“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ารู้ศิษย์พี่ดีต่อข้าที่สุดแล้ว จะตัดใจกินข้าได้อย่างไร อีกอย่างเนื้อคนก็ไม่อร่อย ใช่หรือไม่ศิษย์พี่”

ทำหน้าทะเล้นซุกซนแล้วเมิ่งถังก็เดินมานั่งที่ข้างโต๊ะ จากนั้นก็ถามอย่างกระตือรือร้น “ศิษย์พี่ ตอนกลางวันท่านอยากกินอะไร ข้าจะไปทำมาให้ท่าน”

เมิ่งถังคิดจะจับคู่ให้เขากับโจวอิ้งเสวี่ย มู่หวาฮุยมีหรือจะมองไม่ออก

ในใจของเขาย่อมโกรธโมโห

โกรธที่จนป่านนี้เมิ่งถังก็ยังไม่รู้ถึงความรู้สึกที่เขามีให้นาง และโกรธตนเองที่จนป่านนี้ก็ยังไม่กล้าบอกเมิ่งถังถึงความรู้สึกของตนที่มีต่อนาง

แต่เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเมิ่งถังในเวลานี้แล้ว ต่อให้เขาโกรธเพียงใดก็ไม่อาจแสดงออกมาได้

ก็ได้แต่ทอดถอนใจ บอก “ข้าไม่กินธัญพืชนานแล้ว ไม่สนใจเรื่องอาหารการกิน เจ้าไม่จำเป็นต้องทำของกินมาให้ข้าเป็นพิเศษ” แล้วบอกนาง “เจ้ากลับห้องไปจัดเก็บข้าวของของตน ประเดี๋ยวข้าจะไปบอกลาเจ้าเมืองโจว พรุ่งนี้เราไปจากที่นี่กันแต่เช้า”

เมิ่งถังยังคงประหลาดใจอย่างมาก “รีบร้อนไปจากที่นี่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

มู่หวาฮุยคิดในใจ ขืนยังไม่ไป ผู้ใดจะรู้เจ้ายังคิดจะจับคู่ให้ข้ากับโจวอิ้งเสวี่ยอีกหรือไม่

แต่ภายนอกกลับบอก “เจ้าไม่ใช่คิดจะไปหาดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำหรอกหรือ”

“ใช่…ใช่”

เมิ่งถังยกมือขึ้นตบหน้าผากของตนเบาๆ “เพราะเหตุใดข้าจึงลืมเรื่องนี้ไปได้”

รีบลุกขึ้นกลับไปที่ห้องของตน

แต่เดินไปได้ครึ่งทางนางก็หมุนตัววิ่งตึกๆ กลับมาอีก

“ศิษย์พี่ ไปหาดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำในครั้งนี้ เราไปกันสองคน หรือไปด้วยกันทั้งห้าคน”

ตอนลงจากเขามาฝึกฝนหาประสบการณ์ ผู้อาวุโสซ่งได้สั่งกำชับไว้เป็นพิเศษให้มู่หวาฮุยเป็นผู้นำพวกนาง หรือว่าตอนนี้ยังต้องพาพวกหลิงซิงเหยาสามคนไปด้วย

มู่หวาฮุยกดหัวคิ้วลงเล็กน้อย

เขาย่อมอยากไปกับเมิ่งถังตามลำพังสองคน

ประการแรกการเดินทางครั้งนี้ไม่รู้อันตราย เหตุการณ์ข้างหน้าไม่รู้แน่ชัด ประการที่สองการหมั้นหมายระหว่างเขากับอวิ๋นชูเยวี่ยยังไม่ได้ยกเลิก ก่อนการหมั้นหมายจะยกเลิกเขาไม่อยากคลุกคลีกับอวิ๋นชูเยวี่ยมากนัก

ประการที่สามเห็นชัดว่าเวลานี้ความรู้สึกที่หลิงซิงเหยามีต่อเมิ่งถัง…

นึกถึงคำพูดที่โม่เซียวพูดไว้เมื่อวาน ในใจของเขากระสับกระส่ายวุ่นวายขึ้นมาทันที

หลังจากสงบสติอารมณ์ของตนแล้ว เขาจึงกล่าวขึ้น “สายหน่อยข้าจะเรียกพวกเขามา บอกให้พวกเขารู้ถึงอันตรายในการเดินทางครั้งนี้ ให้พวกเขาเลือกตามความสมัครใจ”

เมิ่งถังรู้สึกว่าเช่นนี้ดียิ่ง ไม่ว่าอย่างไรมู่หวาฮุยก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าออกคำสั่งบังคับไม่ให้พวกเขาติดตามไป ด้วยนิสัยไม่เห็นแก่หน้าใครของผู้อาวุโสซ่ง เมื่อมู่หวาฮุยกลับไปสำนักจะต้องถูกลงโทษแน่นอน

แต่ให้พวกเขาเลือกตามความสมัครใจ ถ้าพวกเขาไม่ไป เช่นนั้นผู้อาวุโสซ่งก็ไม่อาจตำหนิมาถึงมู่หวาฮุยได้

แต่ที่ทำให้เมิ่งถังคาดคิดไม่ถึงก็คือพวกเขาสามคนถึงกับเลือกที่จะไปด้วย!

ความคิดของติงเล่อเซวียนก็คือศิษย์พี่ใหญ่ไปที่ใดข้าก็จะติดตามไปที่นั่น

ความคิดของหลิงซิงเหยาคือในเมื่อลงจากเขามาฝึกฝนหาประสบการณ์ ไปที่ใดไม่ใช่ฝึกฝนหาประสบการณ์ ส่วนที่ว่าไม่รู้ถึงอันตราย ลงจากเขาไม่ใช่มาเพื่อเสพสุข เดิมก็ต้องผ่านอันตรายต่างๆ อยู่แล้ว

เมิ่งถังคิด ดียิ่งนัก ข้าถึงกับไม่มีคำพูดจะโต้ตอบ

ส่วนอวิ๋นชูเยวี่ย แม้จะพูดอ้อมค้อมไปมารอบใหญ่ แต่ความหมายในคำพูดของนางความจริงแล้วก็เหมือนกับติงเล่อเซวียน

เมิ่งถังอดรนทนไม่ไหว ถามนาง “ตอนนี้เจ้าเจอกับพี่ใหญ่ของเจ้าแล้ว และรู้ว่าบิดามารดาของเจ้าอยู่ที่บ้านคิดถึงเจ้ามาก เจ้าไม่ตามพี่ใหญ่ของเจ้ากลับไปหาบิดามารดาของเจ้าหรือ”

ไม่อยากร่วมเดินทางกับคุณหนูใหญ่ผู้อ่อนแอเปราะบางท่านนี้แล้วจริงๆ

อวิ๋นชูเยวี่ยฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว ในใจลอบเคียดแค้น

นี่เมิ่งถังคิดจะไล่นางไป จะได้ครอบครองมู่หวาฮุยแต่เพียงผู้เดียว

จิตใจร้ายกาจยิ่งนัก

แต่ขอเพียงนางกับมู่หวาฮุยยังไม่ได้ยกเลิกการหมั้นหมายหนึ่งวัน มู่หวาฮุยก็คือคู่หมั้นของนางอวิ๋นชูเยวี่ยหนึ่งวัน เมิ่งถังก็อย่าได้หวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะไล่นางไปจากข้างกายมู่หวาฮุยได้

นางติดตามอยู่ข้างกายมู่หวาฮุยเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการฟ้าดิน!

ทว่าภายนอกนางกลับพูดอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา “ท่านพ่อท่านแม่ทราบว่าข้ากราบอาจารย์เข้าสำนักหมิงหวา ในใจดีใจยิ่งนัก พี่ชายเองก็เคยบอก ยามนี้ข้าควรมุ่งมั่นฝึกวิชาบำเพ็ญเพียร เรื่องกลับไปเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่ รอให้เสร็จสิ้นการลงจากเขามาฝึกฝนหาประสบการณ์ในครั้งนี้แล้วค่อยกลับไปก็ไม่ช้า”

เมิ่งถังยังจะพูดอะไรได้

ได้แต่ปลอบตนเอง อวิ๋นชูเยวี่ยน่าจะมีรัศมีของนางเอก หาไม่ครั้งก่อนที่ดินแดนลี้ลับแห่งนั้น เหตุใดนางเพียงนั่งยองลงไปที่ข้างสระน้ำล้างมือดินแดนลี้ลับก็เปิดออกแล้ว

เช่นนั้นพานางไปด้วยก็แล้วกัน ไม่แน่ถึงเวลาอาศัยรัศมีนางเอกของนางก็จะหาดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำพบได้อย่างง่ายดาย

ครั้นแล้วเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็ไปจากเมืองเหิงหยาง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ตามเส้นทางที่โจวเฉินเฟยเขียนไว้ในบันทึกการเดินทาง

ตอนจากมาได้ยินว่าโจวอิ้งเสวี่ยได้เรียนให้เจ้าเมืองโจวทราบถึงเรื่องที่ตนคิดจะไปกราบอาจารย์ที่สำนักหมิงหวาแล้ว เจ้าเมืองโจวให้การสนับสนุนอย่างมาก

ยังบอกจะเอายาวิเศษเม็ดสุดท้ายเม็ดนั้นมอบให้สำนักหมิงหวาเป็นของขวัญกราบอาจารย์ของโจวอิ้งเสวี่ย

การกระทำนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญต่อเรื่องที่โจวอิ้งเสวี่ยจะกราบอาจารย์ แต่เมิ่งถังกลับรู้สึกว่าเขาออกจะตั้งใจผลักภัยพิบัติไปให้

เมื่อวานแดนมารยกทัพใหญ่มาโจมตีก็ไม่ใช่เพื่อยาวิเศษเม็ดนั้นหรือ เวลานี้เจ้าเมืองโจวคงรู้ถึงความหมายของคำว่าคนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยกแล้ว และรู้ว่าเพียงอาศัยเมืองเหิงหยางของพวกเขาไม่อาจปกป้องยาวิเศษเม็ดนี้ไว้ได้

แทนที่จะถูกแดนมารเฝ้าคิดถึงยาวิเศษเม็ดนี้ตลอดเวลา ไม่แน่วันใดอาจยกทัพใหญ่มาโจมตีอีกครั้ง ไม่สู้ส่งยาวิเศษเม็ดนี้ออกไป

ไม่เพียงจะได้รับชื่อเสียงว่าใจกว้าง ต่อไปยังรักษาความสงบสุขของเมืองเหิงหยางไว้ได้อีกด้วย

ทว่าเช่นนี้ก็ดียิ่ง ถ้ายาวิเศษเม็ดนั้นอยู่ที่สำนักหมิงหวา แดนมารคิดจะโจมตีสำนักหมิงหวาก็ยังต้องชั่งน้ำหนักไตร่ตรองดู

เรื่องของเมืองเหิงหยางก็ลุล่วงไปขั้นตอนหนึ่งแล้ว เมิ่งถังเพราะเป็นห่วงเรื่องผนึกในร่างของมู่หวาฮุยมีรอยแยก แทบอยากจะเดินทางทั้งวันทั้งคืน เร่งไปให้ถึงหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นโดยไม่หยุดพักแม้แต่เค่อเดียว

พูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องโทษมู่หวาฮุย จะต้องปฏิบัติตามกฎของสำนัก บอกศิษย์ในสำนักที่ลงจากเขามาฝึกฝนหาประสบการณ์ ถ้าไม่ใช่พบเรื่องคับขันอันตรายล้วนไม่อาจขี่กระบี่ได้แต่เดินเท้า หาไม่ถ้าขี่กระบี่ไปคิดว่าใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็พอแล้วกระมัง ไหนเลยยังจะได้แต่พึ่งพาการเดินเท้าเช่นในตอนนี้

ดีที่หลังจากนั้นครึ่งเดือน ในที่สุดพวกนางก็มาถึงหมู่บ้านชาวประมงที่พูดถึงในบันทึกการเดินทางแห่งนั้น

ไม่นับว่าเป็นหมู่บ้านใหญ่ ในหมู่บ้านยังมีบ้านร้างใกล้จะพังอยู่หลายหลัง

ถามคนในหมู่บ้านบอกมีคนบ่นว่าหาเลี้ยงปากท้องด้วยการประมงลำบากทั้งอันตราย จึงย้ายครอบครัวไปอยู่ในเมือง หาเลี้ยงครอบครัวด้วยอาชีพอื่น บ้านที่เหลืออยู่ไม่มีคนต้องการจึงทิ้งว่างไว้

พวกเมิ่งถังจึงเลือกบ้านที่ดูแล้วผุพังไม่มากนักหลังหนึ่ง คิดว่าคืนนี้จะถูไถพักที่นี่ก่อนสักคืน

เจ้าของบ้านหลังนี้คงตัดสินใจเด็ดขาดจะไม่กลับมาอีกแล้ว ดังนั้นประตูใหญ่จึงไม่ได้ใส่กุญแจ เพียงหับไว้

เมิ่งถังยื่นมือไปผลักประตู จากนั้นฉากอิหลักอิเหลื่อฉากหนึ่งก็เกิดขึ้นแล้ว

ประตูบานหนึ่งถึงกับถูกนางผลักโค่นลงไปทั้งเช่นนั้น ตอนลงถึงพื้นเกิดเสียงโครมดังสนั่น ฝุ่นปลิวคละคลุ้ง

ประตูอีกบานหนึ่งแม้จะไม่ได้โค่นลงไป แต่ก็ห้อยร่องแร่งไปมาอยู่ที่นั่น เมิ่งถังรู้สึกว่ายามนี้ถ้ามีลมพัดโชยมาเบาๆ ประตูข้างนั้นจะต้องโค่นลงไปอย่างแน่นอน

หันหน้ามาด้วยลำคอที่แข็งทื่อ นางชี้มือไปยังประตูบานที่โค่นลงไป ยิ้มแหยพลางบอก “ประตูนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยแข็งแรง”

เพิ่งกล่าวจบก็ได้ยินเสียงโครมดังขึ้นอีกครั้ง

หันหน้ากลับไปมอง ดียิ่งนักประตูอีกข้างที่เหลืออยู่ในที่สุดก็โค่นลงไปแล้ว

ติงเล่อเซวียนกลั้นไม่อยู่ หัวเราะพรืดเสียงดังออกมา

ระยะหลังมานี้นางเป็นฝ่ายทำตัวห่างเหินจากอวิ๋นชูเยวี่ย กับเมิ่งถังกลับนับวันยิ่งใกล้ชิดสนิทสนม

อีกทั้งยิ่งใกล้ชิดสนิทสนม นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเมิ่งถังดียิ่ง

เมิ่งถังเป็นคนใจกว้างมองโลกในแง่ดีทั้งจิตใจเปิดเผย อยู่กับนางถึงเจ้าจะมีอะไรล่วงเกินนาง ขอเพียงไม่แตะถูกขีดต่ำสุดของนาง อย่างมากนางก็บ่นว่าเจ้าสองคำ ผ่านไปแล้วก็ลืม ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ

ยิ่งไม่ต้องห่วงว่านางจะทำร้ายเจ้าลับหลัง อยู่กับคนเช่นนี้สบายใจยิ่งนัก

แม้แต่หลิงซิงเหยายังอดหัวเราะไม่ได้

ส่วนมู่หวาฮุยไม่ว่าที่ใดเวลาใด ยามเขามองไปที่เมิ่งถังล้วนดูเหมือนจะมีแสงสว่างในดวงตา

มีเพียงอวิ๋นชูเยวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่มองดูพวกเขาไม่พูดอะไร

หลิงซิงเหยาก็ดี ติงเล่อเซวียนก็ดี แต่ก่อนล้วนแต่ห้อมล้อมอยู่ข้างกายนาง ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนคิดเพื่อนาง แต่ยามนี้พวกเขาสองคนล้วนทำตัวห่างเหินจากนางกลับไปใกล้ชิดสนิทสนมกับเมิ่งถัง

ในใจก็รู้สึกว่าเมิ่งถังแย่งชิงทุกอย่างไปจากนาง

เมิ่งถังกระทั่งคู่หมั้นของนางก็ยังแย่งชิง!

ชอบหรือไม่ชอบใคร เพียงมองดวงตาก็รู้แล้ว ยามมู่หวาฮุยมองเมิ่งถัง ประกายในดวงตาของเขาไม่อาจโกหกคนได้

แต่ในช่วงเวลานี้กระทั่งจะมองนางสักแวบ มู่หวาฮุยก็ยังตระหนี่ถี่เหนียว

นี่ก็คือจุดที่ในใจของอวิ๋นชูเยวี่ยไม่อาจยอมรับได้

เมิ่งถังกับติงเล่อเซวียนพวกนางเดินเข้าไปในบ้านแล้ว

บ้านหลังนี้ไม่รู้ไม่มีคนอยู่อาศัยมานานเพียงใดแล้ว ในบ้านเต็มไปด้วยฝุ่นผงและหยากไย่ เนื่องจากตอนนี้เป็นฤดูร้อน ดังนั้นแมลงต่างๆ จึงมีมาก

อวิ๋นชูเยวี่ยเพียงเดินเข้าไปมองแวบเดียวก็ย่นหัวคิ้วแล้วถอยออกมา

ในบ้านมีบรรยากาศคล้ายเปลวไฟลุกโชนสู่ท้องฟ้า*

แม้จะมีอาคมทำความสะอาด แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีส่วนที่ตกหล่นตามมุมตามซอก ในเวลาเช่นนี้ก็จำเป็นต้องใช้แรงคนลงมือทำด้วยตนเอง

เมิ่งถังรู้มู่หวาฮุยรักความสะอาด ตอนเก็บกวาดจึงทำอย่างละเอียดลออยิ่ง กระทั่งฝุ่นผงในซอกกระเบื้องก็แทบจะเช็ดจนสะอาดสะอ้าน

หลังจากลงมือเก็บกวาดอย่างเหน็ดเหนื่อย บ้านหลังนี้แม้จะยังดูชำรุดผุพัง แต่อย่างน้อยก็สะอาดสะอ้าน มีที่ให้พักผ่อนหลับนอนแล้ว

น้อยครั้งที่เมิ่งถังจะมีอารมณ์สนุกสนานเช่นนี้ เรียกติงเล่อเซวียน “มา…มา เราสองคนไปเก็บฟืนด้วยกัน ตอนค่ำก่อกองไฟกันแล้วไปจับปลาที่ทะเลมาสักหลายตัว ประเดี๋ยวเรามาย่างปลากินกัน”

ติงเล่อเซวียนยามนี้ก็อยู่ช่วงวัยรักสนุก เมื่อก่อนตอนอยู่สำนักหมิงหวาก็เอาแต่ฝึกวิชาทั้งวัน เก็บฟืน จับปลา เรื่องพวกนี้ไม่เคยทำมาก่อนเลย

แต่สองเรื่องนี้ฟังดูแล้วน่าสนุกยิ่ง

รีบรับปากด้วยความดีใจ “เอาสิ”

พูดพลางนางก็ลุกขึ้นมาจากม้านั่งเล็กตัวหนึ่ง

มู่หวาฮุยยามนี้ก็ลุกขึ้นมาด้วย มองเมิ่งถัง “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

ติงเล่อเซวียน…

นางมองเมิ่งถัง แล้วก็มองมู่หวาฮุย ลังเลแล้ว

ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่เมิ่งโลกของคนสองคน นางตามไปด้วยไม่ค่อยดีกระมัง

ถึงตอนนั้นปลาย่างยังไม่ทันได้กินก็จะถูกป้อนอาหารสุนัขเต็มปาก* เสียก่อนแล้ว

นอกจากนี้ถ้านางตามไปด้วยจริง ศิษย์พี่ใหญ่จะไม่ปักเข็มใส่หุ่น สาปแช่งนางในใจ เห็นว่านางไม่รู้จักแยกแยะมองสถานการณ์หรือ

เมิ่งถังกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย เห็นติงเล่อเซวียนยืนนิ่งไม่ขยับ จึงเดินเข้ามาหา ยื่นมือมาคล้องแขนนาง

“เจ้ายืนเหม่ออันใดอยู่ตรงนี้ เร็วเข้า เรารีบไปเก็บฟืนจับปลากัน หาไม่ฟ้าก็จะมืดแล้ว”

ติงเล่อเซวียนจำต้องไปด้วยกันกับนาง

แต่ไม่รู้ใช่นางเกิดความรู้สึกลวงหรือไม่ นางรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีสายตาไม่ค่อยเป็นมิตรคู่หนึ่งจับนิ่งอยู่ที่ร่างของนางทำให้รู้สึกคล้ายมีหนามปักอยู่กลางหลัง อึดอัดไปทั้งร่าง!

ได้แต่ท่องอยู่ในใจตลอดเวลา ไม่ใช่ข้าต้องการตามมา เป็นศิษย์พี่เมิ่งจะต้องดึงข้ามาให้ได้ ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้ตำหนิข้าเป็นอันขาด!

หลิงซิงเหยากลับไม่ได้ขยับตัวเลย

ในบ้านแม้จะมีม้านั่งเล็กหลายตัวและม้านั่งยาวอยู่ แต่หลิงซิงเหยาก็ไม่ได้ลงนั่ง เพียงยืนเงียบๆ อยู่ที่ด้านหนึ่ง

ในเวลานี้ก็เป็นเช่นนี้

คล้ายว่าไม่ว่าพวกเมิ่งถังจะทำอะไร จะเข้ามาหรือออกไป เขาก็ไม่ใส่ใจและไม่สนใจแม้แต่น้อย

ทว่าพอเขาเห็นอวิ๋นชูเยวี่ยจู่ๆ ก็หมุนตัวเห็นชัดว่าคิดจะตามพวกเมิ่งถังไปด้วย เขาชะงักไปชั่วขณะ สุดท้ายก็ยังคงอดไม่ได้ เอ่ยปากพูดขึ้น “พวกเขาต่างไม่ชอบใกล้ชิดกับเจ้า เจ้ายังจะตามไปเพื่อเหตุใด”

บทที่ 63

นี่นับเป็นคำพูดประโยคแรกที่หลิงซิงเหยาเป็นฝ่ายพูดกับอวิ๋นชูเยวี่ยก่อน หลังจากเหตุการณ์ไปแอบฟังนางสนทนากับพี่ชายที่เมืองเหิงหยางเป็นต้นมา

ทว่าคำพูดประโยคนี้ฟังดูแล้วหาได้นุ่มนวล กระทั่งยังเจือการเหน็บแนมอยู่จางๆ

เงาด้านหลังของอวิ๋นชูเยวี่ยแข็งขึงเล็กน้อย

นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่านางกับหลิงซิงเหยาจะเดินมาถึงก้าวนี้ในวันนี้

แต่ช่วงที่ผ่านมานางไปหาหลิงซิงเหยาตามลำพังอยู่หลายครั้ง คิดจะชี้แจงกับเขาเรื่องการหมั้นหมายของตนกับมู่หวาฮุย ยังคิดจะบอกเขา ในใจของตนมีเขาอยู่ แต่หลิงซิงเหยากลับมองนางด้วยสีหน้าเมินเฉย

มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาถึงขั้นพูดกับนางอย่างเยียบเย็น ‘ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าล้วนไม่เชื่อ ยังมีข้าขอแนะนำเจ้าสักประโยค เก็บหน้าตาเช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้าข้าเสีย เช่นนี้ข้ายังอาจเห็นเจ้าเป็นศิษย์น้องร่วมสำนัก หาไม่ก็อย่าตำหนิว่าข้าโกรธแล้วไม่ไว้หน้าใคร เปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าออกมาทั้งหมด’

อวิ๋นชูเยวี่ยตะลึงงัน

นางไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดหลิงซิงเหยาที่เห็นอยู่ว่าเมื่อก่อนดีต่อนางถึงเพียงนั้น จึงใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับนาง

ชั่วขณะนั้นถึงกับกระทั่งจะร้องไห้ก็ยังลืมไปเลย

แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะนางรู้ถึงนิสัยของหลิงซิงเหยาดี ในเมื่อเขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา เช่นนั้นไม่ว่านางจะร่ำไห้เป็นดอกหลีฮวาต้องฝนอย่างไรเขาก็ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

ครั้นแล้วนับแต่นั้นมานางก็ไม่ได้ไปหาหลิงซิงเหยาตามลำพังอีก ทั้งสองคนแม้จะเห็นหน้ากันทุกวัน แต่กลับไม่ต่างจากคนแปลกหน้า

ทว่าในใจอวิ๋นชูเยวี่ยจะมากจะน้อยก็ยังมีความหวังอยู่จางๆ คิดอยู่ว่าในใจของหลิงซิงเหยาจะตัดใจจากนางไม่ได้หรือไม่ วันหนึ่งอาจจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางใหม่

แต่บัดนี้หลิงซิงเหยากล่าวคำพูดนี้ออกมา อวิ๋นชูเยวี่ยก็รู้ว่าสิ่งที่นางคิดไว้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้…

อวิ๋นชูเยวี่ยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา ตอบอย่างหมางเมินยิ่ง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”

พูดพลางนางก็สาวเท้าเดินจากไป

หลิงซิงเหยามองเงาด้านหลังของนางที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็แค่นเสียงออกมาเบาๆ

แต่ก่อนเหตุใดตนจึงมองไม่ออกว่าอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นคนปากอย่างใจอย่าง ถ้าไม่ใช่ไปแอบฟังในครั้งนั้น คิดว่าเวลานี้เขาก็ยังคงเห็นอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นแม่นางน้อยที่บอบบางบริสุทธิ์ผุดผ่องจิตใจดีงามคนหนึ่งกระมัง

เขาตาบอดไปแล้วจริงๆ!

 

เมิ่งถังตัดสินใจไปจับปลาก่อน

แน่นอนว่าบอกว่าไปจับปลา ความจริงแล้วก็คือการเล่นสนุก

ถอดถุงเท้ารองเท้าออก จับจูงมือกับติงเล่อเซวียน พอคลื่นซัดมาก็วิ่งเข้าฝั่ง พอคลื่นถอยไปก็จะวิ่งไปทั่วหาดทรายนุ่ม

ไม่ว่าจะเป็นปลา หมึก ปู หรืออย่างอื่นอะไร จับขึ้นได้ก็โยนลงไปในอ่างทั้งหมด

เล่นอย่างนี้อยู่พักใหญ่ เงยหน้าขึ้นมาเห็นมู่หวาฮุยยืนสองมือไพล่หลังมองพวกนางอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง

วันนี้เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวคอไขว้ เอวคาดสายรัดเอวสีเขียวอ่อนเส้นหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงเช่นนี้ แลประดุจเทพเซียนผู้สูงส่งหลุดพ้นจากทางโลกอย่างแท้จริง

แต่ตัวนางเองกลับเปลือยเท้าทั้งสอง มือกับชายกระโปรงเปรอะเปื้อนไปด้วยดินทราย…

เมิ่งถังเกิดความคิดซุกซนขึ้นมา เหยียดเอวขึ้นตรง แล้วซอยเท้าน้อยๆ วิ่งไปที่มู่หวาฮุย

มู่หวาฮุยมองใบหน้าที่ดูไม่มีเจตนาดีของนางก็รู้ว่าในใจของนางจะต้องมีความคิดชั่วร้ายอะไรอยู่แน่นอน

แต่นี่ไม่สำคัญอะไร

ภายใต้แสงตะวันยามสายัณห์ มองดูนางวิ่งเข้ามาที่ตนด้วยสีหน้าแย้มยิ้มเช่นนี้ ไม่ว่านางคิดจะทำสิ่งใด เขาก็จะไม่ปฏิเสธนาง

ครั้นแล้วเขาก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ มองเมิ่งถังที่วิ่งใกล้เข้ามาทุกทีด้วยหัวคิ้วนัยน์ตาที่นุ่มนวลอ่อนโยน

เมิ่งถังเพิ่งเข้ามาใกล้ก็แสร้งทำเป็นลื่น มือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินทรายเปียกชื้นก็คว้าไปที่ชายแขนเสื้อของมู่หวาฮุย

ดียิ่งนัก ชายแขนเสื้อสีขาวสะอาดของเขาเลอะเทอะไปด้วยคราบน้ำและดินทรายในทันที

ฉวยจังหวะที่มู่หวาฮุยยื่นมือมาพยุงนาง แขนขวาโอบอยู่ที่เอวของนาง นางก็ถือโอกาสเงยหน้าขึ้นทาบมือไปที่หน้าอกเขา

เช่นนี้ตัวเสื้อด้านหน้าของมู่หวาฮุยจึงมีรอยนิ้วมือห้านิ้วประทับอยู่อย่างชัดเจน

แน่นอนว่ารอยนิ้วมือนี้ล้วนมาจากคราบน้ำกับดินทราย

เมิ่งถังเอียงหน้าไปมองๆ มีท่าทีพึงพอใจใน ‘ผลงานชิ้นเอก’ ของตนอย่างยิ่ง

มู่หวาฮุยมองรอยนิ้วมือสองรอยนั้น ยิ้มอย่างอ่อนโยน หน้าตาไม่มีร่องรอยของความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย

ติงเล่อเซวียนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมองภาพนี้แล้ว ใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกแสดงให้เห็นว่านางเห็นจนชาชินแล้ว

นอกจากนี้นางได้สำนึกตัวแล้วว่าถัดจากนี้ตนจะต้องเห็นภาพคู่รักชื่นมื่นคู่นี้ไปอีกนานจึงหาปลาต่อไปอย่างสงบ

เมิ่งถังกำลังดึงชายแขนเสื้อของมู่หวาฮุยจะให้เขาถอดถุงเท้ารองเท้าไปจับปลาด้วยกันกับนาง

ออดอ้อนฉอเลาะเรื่องเช่นนี้นางก็ทำเป็น เพียงแต่เรื่องประเภทนี้นางจะทำก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนางเท่านั้น

มู่หวาฮุยขัดนางไม่ได้จำต้องถอดถุงเท้ารองเท้า เอาชายเสื้อคลุมขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอว เปลือยเท้าย่ำไปบนชายหาด

ตอนติงเล่อเซวียนเห็นภาพนี้ยังประหลาดใจอย่างมาก

นั่นคือศิษย์พี่ใหญ่!

ศิษย์พี่ใหญ่ผู้สูงส่งสง่าผ่าเผยแห่งสำนักหมิงหวาของพวกนาง!

ภายในสำนักทั้งเบื้องล่างเบื้องบน ผู้นำสังกัดยอดเขาผู้อาวุโสท่านใดบ้างไม่ฝากความหวังไว้ที่เขาอย่างลึกซึ้ง ศิษย์น้องชายหญิงคนใดบ้างยามเห็นเขาแล้วไม่เคารพนบนอบ

แต่เวลานี้เขาถึงกับเปลือยเท้าย่ำไปบนชายหาด ยังเล่นน้ำกับศิษย์พี่เมิ่งอีกด้วย

ไม่เพียงมีคราบน้ำกับดินทรายติดอยู่บนเสื้อผ้าเกรงว่าแม้แต่บนเส้นผมก็คงหนีไม่พ้น…

ติงเล่อเซวียนตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก้มเอวลงคลำหาปลาอย่างสงบต่อไป

ทำลายภาพลักษณ์ตนเองอะไร ช่างเถอะ จะอย่างไรศิษย์พี่ใหญ่ก็ให้ท้ายศิษย์พี่เมิ่งเพียงนั้น ภายใต้การยุยงของศิษย์พี่เมิ่งไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ล้วนไม่น่าแปลกใจ นางยังคงกังวลให้น้อยลงจะดีกว่า

ท่ามกลางการเล่นสนุกของทั้งสามคนถึงกับเก็บของทะเลมาได้เต็มอ่าง

เอาอ่างยัดให้มู่หวาฮุยถือ เมิ่งถังดึงติงเล่อเซวียนไปเก็บฟืนด้วยกัน

รอเก็บได้พอสมควรแล้ว นางกับติงเล่อเซวียนทางหนึ่งเดิน ทางหนึ่งพูดคุยหัวเราะกันกลับมายังที่พัก

ส่วนอวิ๋นชูเยวี่ยที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง เมิ่งถังเพียงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

เพราะเมิ่งถังเห็นว่าคนอย่างอวิ๋นชูเยวี่ยไม่ควรใส่ใจเกินไป เจ้ายิ่งใส่ใจนาง นางก็ยิ่งเอาใหญ่ มองข้ามไปเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอด

เมื่อกลับมาถึงบ้านผุพังก็เห็นตรงลานข้างหนึ่งของบ้านมีหินหลายก้อนวางล้อมอยู่ด้วยกัน ข้างในใช้ก่อกองไฟได้พอดี ข้างบนยังแขวนหม้อได้

ที่ด้านข้างยังมีฟืนกองเล็กกองอยู่

เมิ่งถังมองหลิงซิงเหยาที่นั่งขัดสมาธิหลับตาเข้าฌานอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง คิดในใจ เขาทำอะไรเร็วยิ่ง

เมิ่งถังเพิ่งเล่นสนุกสนานที่ชายหาดมา จึงอารมณ์ดีมาก เรื่องหุงข้าวทำอาหารที่เหลือนางจึงเหมามาทำคนเดียวทั้งหมด

อย่างไรเสียหลายท่านนี้ล้วนทำอาหารไม่เป็นและช่วยทำอะไรไม่ได้ จึงไม่ให้พวกเขาสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเสียเลย

ในแหวนเก็บทรัพย์ยังมีอาหารสดอยู่บ้าง เมิ่งถังจึงเอาออกมาทั้งหมด ทำต้มรวมมิตรหม้อใหญ่

ของทะเลที่เพิ่งจับมาเน้นความสดของวัตถุดิบ ดังนั้นนอกจากเกลือแล้ว เครื่องปรุงอื่นเมิ่งถังล้วนไม่ได้ใส่

รอต้มเสร็จแล้ว พอเปิดฝาหม้อกลิ่นหอมก็โชยมาเข้าจมูก

เมิ่งถังหยิบชามตะเกียบออกมาจากในแหวนเก็บทรัพย์ หลังจากยื่นให้มู่หวาฮุยแล้ว นางก็เจตนาถามติงเล่อเซวียน “เจ้าไม่กินธัญพืชแล้ว ของไม่สะอาดในแดนมนุษย์เหล่านี้เจ้ากินหรือไม่กิน”

นี่เพราะยังจำได้ถึงคำพูดที่ติงเล่อเซวียนพูดในโรงเตี๊ยมตอนเพิ่งลงจากเขาวันนั้น

ติงเล่อเซวียนหน้าแหยเล็กน้อย

แต่ตอนนั้นนางไม่ชอบหน้าเมิ่งถังนี่นา เมิ่งถังบอกอันใดดีนางก็ต้องบอกว่าไม่ดี แต่ตอนนี้นางกับเมิ่งถังสนิทสนมกันมาก

อีกทั้งของทะเลหม้อนี้สดใหม่หอมหวน ส่วนหนึ่งนางยังเป็นคนจับมาเองจะไม่กินได้อย่างไร

จึงพยักหน้าบอกอย่างหนักแน่น “กิน!”

เมิ่งถังไม่ได้หยอกล้อนางอีก หลังจากยิ้มๆ แล้วก็แบ่งชามตะเกียบให้นางชุดหนึ่ง

ส่วนหลิงซิงเหยา…

ก็เห็นเขานี้ลืมตา ลุกขึ้นมายืน แล้วยกม้านั่งเล็กตัวหนึ่งมานั่งที่ข้างเตาไฟที่ทำขึ้นมาง่ายๆ อย่างรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร

เตาไฟนี้เขาเป็นคนทำขึ้น ฟืนที่เอามาก่อไฟเมื่อครู่ส่วนหนึ่งเขาก็เป็นคนเก็บมา ดังนั้นอาหารทะเลหม้อนี้เขาย่อมมีส่วน

ดังนั้นเมิ่งถังจึงยื่นชามกับตะเกียบชุดหนึ่งไปให้เขา

ทั้งสี่คนเริ่มลงมือกินอาหารทะเล บรรยากาศแม้จะพูดไม่ได้ว่าอบอุ่นนัก แต่ก็กลมเกลียวยิ่ง

เพียงแต่เพิ่งกินไปได้ครึ่งหนึ่ง ปัจจัยที่ทำให้ไม่กลมเกลียวกันก็มาแล้ว

อวิ๋นชูเยวี่ยก้าวเข้ามาในบ้านภายใต้แสงจันทร์สลัวราง ใบหน้าบริสุทธิ์งดงามดุจเทพธิดาบนสรวงสวรรค์

นางมองพวกเขาสี่คนแวบหนึ่ง เม้มๆ ปาก แล้วเดินไปนั่งที่ด้านหนึ่งอย่างสงบเสงี่ยม

เมิ่งถังเพียงทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้าก้มตากินต่อไป

อวิ๋นชูเยวี่ยเดิมเข้าใจว่าต้องมีคนเอ่ยปากเรียกนางไปกินด้วยกัน แต่รอจนพวกเขากินอิ่มแล้วก็ไม่เห็นมีใครเอ่ยปากเรียกนางแม้แต่ผู้เดียว

พลันรู้สึกว่าตนถูกพวกเขาทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวแล้ว ในใจรู้สึกน้อยอกน้อยใจอย่างยิ่ง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดหน้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา

เมิ่งถังที่กำลังเก็บชามตะเกียบอยู่กับติงเล่อเซวียนพลันชะงักมือ

คุณหนูใหญ่ท่านนี้เป็นอะไรขึ้นมาอีกแล้ว อยู่ดีๆ เหตุใดจึงร้องไห้ขึ้นมา

จึงส่งสายตาแสดงเจตนาต่อติงเล่อเซวียน แต่ก่อนเจ้าไม่ใช่มีความสัมพันธ์อันดีกับนางหรือ หาไม่เจ้าก็เข้าไปปลอบนาง

ติงเล่อเซวียนสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย

ความจริงนางรู้สึกผิดต่อเมิ่งถังอย่างยิ่ง

เพราะตอนอยู่เมืองเหิงหยาง อวิ๋นชูเยวี่ยมีเจตนาชั่วร้ายคิดจะเล่นงานเมิ่งถังถึงชีวิต เรื่องนี้นางไม่ได้พูดออกมาให้ใครรู้

นางคิดอยู่เสมอ อวิ๋นชูเยวี่ยอาจเพียงเลอะเลือนไปชั่วขณะถึงได้ทำเรื่องเช่นนั้น ถ้านางเอาเรื่องนี้พูดออกมา ศิษย์พี่ใหญ่กับเมิ่งถังจะต้องไม่ละเว้นอวิ๋นชูเยวี่ยแน่ ด้วยเหตุนี้นางจึงยังคงปิดบังไว้ก่อน ให้โอกาสอวิ๋นชูเยวี่ยได้กลับตัวใหม่สักครั้ง

แต่ตัวนางเองกลับไม่กล้าใกล้ชิดสนิทสนมกับอวิ๋นชูเยวี่ยอีกแล้ว

เมิ่งถังเห็นติงเล่อเซวียนไม่ขยับ จึงมองไปที่หลิงซิงเหยา

ท่านนี้กลับดีเลย หลับตาเริ่มเข้าฌานบำเพ็ญเพียรไปแล้ว

เอาเถิด อย่างไรเสียนางเองก็ไม่มีทางไปปลอบอวิ๋นชูเยวี่ยอยู่แล้ว และไม่ให้มู่หวาฮุยไปปลอบอวิ๋นชูเยวี่ยด้วย ในเมื่อติงเล่อเซวียนกับหลิงซิงเหยาที่แต่ก่อนมีความสัมพันธ์อันดีกับอวิ๋นชูเยวี่ยต่างไม่ยอมไป เช่นนั้นก็ได้แต่ต้องปล่อยให้นางเศร้าโศกเสียใจอยู่ที่นั่นแล้ว

รอนางเก็บชามตะเกียบเสร็จแล้ว อวิ๋นชูเยวี่ยยังคงนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่นั่น

แต่ไม่มีใครสนใจนาง

มู่หวาฮุยยังเรียกเมิ่งถัง “เราไปในหมู่บ้านเช่าเรือสักลำ พรุ่งนี้จะได้ออกทะเล”

เมิ่งถังรับคำเสียงใส

ทว่าพอเดินออกนอกประตู เมิ่งถังก็ขยับเข้ามาใกล้ กระซิบถาม “ศิษย์พี่ ความจริงท่านไม่อยากอยู่ในบ้านกระมัง”

หาไม่ค่ำมืดป่านนี้ผู้คนในหมู่บ้านต่างนอนกันหมดแล้ว ท่านบอกจะไปเช่าเรือเห็นชัดว่าเป็นข้ออ้าง

นางขยับเข้ามาใกล้มาก ปลายจมูกมู่หวาฮุยเต็มไปด้วยกลิ่นหอมบางเบาจากร่างหญิงสาว

ทะเลในใจเกิดระลอกคลื่นขึ้น รีบสงบสติอารมณ์ของตน จากนั้นก็ตอบไปตามตรง “อืม หนวกหูยิ่ง”

เมิ่งถังเอามือปิดปากลอบหัวเราะ

ทว่านางก็รู้สึกว่าอวิ๋นชูเยวี่ยร้องไห้ค่อนข้างหนวกหู จึงไม่อยากอยู่ในบ้านนานนักเช่นกัน

ในเมื่อตอนนี้ออกมาแล้วไม่สู้ไปชมทะเลในยามค่ำคืนกับมู่หวาฮุย

จึงบอกความคิดนี้ของตนออกมา มู่หวาฮุยย่อมรับปาก

รอพวกเขาสองคนเดินมาถึงริมทะเล แม้จะไม่ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามจันทร์กระจ่างเหนือท้องทะเล แต่ก็ได้เห็นท้องทะเลที่สาดประกายระยิบระยับภายใต้แสงจันทร์

นอกจากนี้ท้องทะเลยามค่ำคืนดูเหมือนจะเงียบสงบกว่าตอนกลางวันอยู่บ้าง แม้จะยังมีคลื่นซัดเข้าออก แต่ยามคลื่นซัดเข้าออกกลับอ่อนโยนกว่าตอนกลางวันมาก

แต่ก่อนก็มีแต่ตอนไปท่องเที่ยวเมืองชายทะเล เมิ่งถังจึงจะมีโอกาสได้เห็นท้องทะเล ปกติแล้วไม่มีโอกาสได้เห็น บัดนี้จู่ๆ ได้มาที่ชายทะเลก็รู้สึกว่าถึงไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงเดินเล่นที่ชายหาดรับลมทะเลก็สนุกเพลิดเพลินแล้ว

แน่นอนว่าเพราะหาดทรายชายทะเลเปียกชื้น ดังนั้นย่อมต้องเปลือยเท้าจึงจะเป็นการดีที่สุด

เมิ่งถังจึงถอดถุงเท้ารองเท้า ยกชายกระโปรงขึ้น วิ่งไปยังชายหาดที่อยู่ใกล้น้ำทะเลสักหน่อย เช่นนี้ยามคลื่นซัดสาดเข้ามาระผ่านน่องขาของนางไป ยามไหลกลับก็ระผ่านน่องขาของนางดังซ่าจากทางด้านหลังไปอีกที

ใต้ฝ่าเท้าคือทรายละเอียดอ่อนนุ่ม น้ำทะเลยามค่ำคืนเย็นเยือก เมิ่งถังเล่นน้ำอย่างสนุกสนานยิ่ง

จึงกวักมือเรียกมู่หวาฮุย “ศิษย์พี่ ท่านรีบมา”

รอมู่หวาฮุยมาถึงข้างกายนางก็ให้เขาทำเช่นนาง ถอดถุงเท้ารองเท้า เลิกชายเสื้อคลุมยาวขึ้น แล้วยืนอยู่เช่นนั้น

คลื่นลูกใหม่ซัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงซัดสาดซ่าๆ คลื่นซัดเข้ามาแล้วซัดกลับไป

เมิ่งถังหันหน้าไปมองมู่หวาฮุย ถามเขาด้วยสีหน้าคึกคักสนุกสนาน “ศิษย์พี่ สนุกหรือไม่”

ชั่วขณะนั้นแสงจันทราคล้ายมารวมอยู่ในดวงตาของนางทั้งหมดทำให้มู่หวาฮุยไม่อาจละสายตาไปได้

ในใจก็รู้สึกอบอุ่นละมุนละไมดุจแสงจันทร์สาดส่อง มู่หวาฮุยพยักหน้า เอ่ยออกมาเบาๆ “สนุก”

เขาไม่กล้าพูดเสียงดังมาก เพราะภาพงดงามทั้งหมดนี้เป็นเสมือนความฝัน เขากลัวถ้าเสียงของเขาดังเกินไปก็จะตื่นจากความฝันนี้

แต่เมิ่งถังไม่มีความกังวลเหล่านี้

ยามมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีความสุข ดังนั้นนางจึงหัวเราะอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล

บางครั้งยังกางแขนทั้งสองข้าง วิ่งเข้าหาคลื่นที่ซัดสาดเข้ามา

บางครั้งคลื่นลูกเล็กหน่อย เพียงท่วมถึงน่องของนาง บางครั้งคลื่นลูกใหญ่หน่อยก็จะสาดกระเซ็นถึงเสื้อผ้าของนาง แต่นางไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ยังคงเล่นอย่างสนุกสนาน

ตอนหลังเห็นมู่หวาฮุยเพียงยืนอยู่ด้านข้างมองนาง นางจึงดึงมู่หวาฮุยมาเล่นเช่นนี้ด้วยกัน

สองคนวิ่งไล่กวดคลื่นเหมือนเด็กๆ เล่นมาถึงช่วงท้ายเสื้อผ้าบนตัวเมิ่งถังพูดไม่ได้ว่าเปียกชุ่ม แต่ก็ไม่มีจุดที่ยังแห้งอยู่

แม้แต่เส้นผมบนศีรษะของนางบางครั้งก็ยังมีน้ำหยดลงมา

แต่เมิ่งถังยังคงตื่นเต้นคึกคัก ความสนุกสนานไม่ลดลงแม้แต่น้อย

นางยังถามมู่หวาฮุย “ศิษย์พี่ เล่นเช่นนี้สนุกมากใช่หรือไม่ ตอนแรกท่านเอาแต่ยืนอยู่ที่นั่นไม่ขยับน่าเบื่อเกินไปแล้ว ไม่สนุกเอาเสียเลย”

เมิ่งถังรู้มู่หวาฮุยไม่สามารถเปิดใจเล่นสนุกอย่างเต็มที่ได้

นายน้อยแห่งเมืองเชียนเฮ่อ ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักหมิงหวา ตั้งแต่เล็กจนโตมีแต่คนบอกให้เขาต้องสำรวม ต้องสง่าภูมิฐาน ไม่เคยมีใครบอกเขาว่ายามเล่นก็ต้องเล่นสนุกให้เต็มที่กระมัง

ครั้นแล้วนานวันเข้ามู่หวาฮุยก็ได้รับการปลูกฝังให้เป็นเช่นนี้ แม้ภายนอกจะสุภาพอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วภายในกลับมีนิสัยเงียบขรึมน่าเบื่อ กระทั่งเล่นสนุกก็ยังทำไม่เป็น

ทว่าไม่เป็นไร ตอนนี้เมิ่งถังมาแล้ว จะให้มู่หวาฮุยได้ลองใช้ชีวิตที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

จึงยิ้มพลางบอก “ศิษย์พี่ ต่อไปท่านอยู่กับข้า ข้าจะพาท่านไปเล่นสนุกทั่วทุกหนแห่ง”

ท่าทางองอาจห้าวหาญยิ่ง ขาดก็แต่ยังไม่ได้ยกมือตบอกออกหนังสือลงนามยืนยันเท่านั้น

มู่หวาฮุยมองนาง อดมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาในดวงตาไม่ได้

เขาถือผ้าสะอาดผืนหนึ่งในมือช่วยเช็ดหยดน้ำบนเส้นผมให้นางไม่หยุด มุมปากแฝงรอยยิ้มพลางส่งเสียงอืมเบาๆ

ไม่ว่าจะสุดหล้าฟ้าเขียว ต่อไปเขาก็จะติดตามนางตลอดไป ไม่ทอดทิ้งไม่จากไปไหน

บนร่างของคนทั้งสองล้วนมีคราบน้ำและดินทราย ต่างร่ายอาคมทำความสะอาดให้ตนเอง จากนั้นจึงหมุนตัวเดินกลับที่พัก

ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า ชาวบ้านในหมู่บ้านหลับสนิทกันไปนานแล้ว มีเสียงสุนัขเห่าเป็นบางครั้งบางคราวกลับยิ่งขับเน้นถึงความเงียบสงัดในค่ำคืนนี้

เดินเคียงข้างกันไปเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง ตอนแกว่งแขนเมิ่งถังไม่ทันระวังกระทบถูกมือของมู่หวาฮุย

มือกำลังจะเฉียดผ่านไป มือข้างนั้นกลับถูกมู่หวาฮุยกุมไว้ทันที

เมิ่งถังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

แม้แต่ก่อนมู่หวาฮุยก็เคยกุมมือนาง กระทั่งยังเคยโอบกอดนาง แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่คับขันอันตราย แต่อยู่ดีๆ ก็มาจับมือนางเช่นนี้นับว่าเป็นครั้งแรก

จึงอดหันไปมองมู่หวาฮุยไม่ได้

 

 

* เปลวไฟลุกโชนสู่ท้องฟ้า เป็นการอุปมาถึงบรรยากาศที่คึกคัก เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

* ถูกป้อนอาหารสุนัขเต็มปาก เป็นภาษาออนไลน์ หมายถึงเห็นคนอื่นรักใคร่กัน ส่วนตนเองยังเป็นโสดอยู่ ชาวจีนเปรียบคนโสดเป็นสุนัขโดดเดี่ยว จึงเยาะหยันตนเองเวลาเห็นคู่รักหวานชื่นกัน ตนเองก็ได้แต่กินอาหารสุนัข

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกุมภาพันธ์ 66)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: