บทที่ 3
เมื่อครู่นี้สาวใช้สกุลซ่งผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ ในมุมอับสายตา ย่อมได้ยินบทสนทนาของสองแม่ลูกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก รีบลอบกลับไปเล่าให้เยี่ยหมัวมัวฟังทันที เยี่ยหมัวมัวนิ่งเงียบไปสักพักก็คาดเดาเรื่องราวได้ เอ่ยเสียงเย็น “ช่างเป็นเด็กที่เจ้าเล่ห์นัก ยามอยู่ต่อหน้าข้าไม่แสดงออกสักนิด ที่แท้ในใจก็มีความคิดจะคลอดลูกมานานแล้ว! ช่างหน้าไม่อายจริงๆ นี่ยังไม่ทันได้แต่งเข้าไปก็ใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว! นางบอกให้แม่นางพาขึ้นเกาะ วันพรุ่งนี้ย่อมไม่เรียกพวกเราไปด้วย รอดูได้เลย”
วันต่อมาเรือของสกุลเจินก็จอดที่เกาะฝูหมิงดังคาด บอกว่าขึ้นฝั่งไปเติมเสบียงบางส่วน เยี่ยหมัวมัวสั่งให้บ่าวชายที่มีไหวพริบของสกุลตนเองผู้หนึ่งไปลอบจับตาดูสองแม่ลูกสกุลเจิน ดูทิศทางที่พวกนางไป หลังกลับมาแล้วจะต้องเล่าให้ตนเองทราบถึงทุกการกระทำ บ่าวชายรับคำสั่ง ลอบติดตามกลุ่มเมิ่งซื่อลงเรือไปเงียบๆ
เมิ่งซื่อมีใจคิดอยากจะไหว้พระจริงๆ นางพาบุตรสาวไปยังอุโบสถใหญ่กวนอิน ขอพรอย่างเคารพเลื่อมใส บริจาคเงินค่าธูปจำนวนมากเพื่อแลกยันต์ที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้วแผ่นหนึ่ง นำมาใส่ไว้ในเหอเปาของบุตรสาวอย่างตั้งใจ กำชับให้นางพกติดตัวเอาไว้ แล้วถึงได้ออกจากอุโบสถใหญ่กลับมาที่เรือ ก่อนออกเดินทางต่อไป
บ่าวชายกลับมายังเรือ นำทุกเรื่องที่เห็นมาบอกกล่าวต่อเยี่ยหมัวมัวอย่างไม่มีตกหล่น “บ่าวเห็นพวกนางเข้าไปในอุโบสถกวนอิน ขอยันต์มีบุตรมาอันหนึ่ง จากนั้นก็กลับมาแล้วขอรับ”
ในใจเยี่ยหมัวมัวกระจ่างชัดนานแล้ว ให้รางวัลบ่าวชายไปหลายเหรียญทองแดงแล้วไล่ออกไป ก่อนเบ้ปากเอ่ยกับบ่าวหญิงอาวุโสที่ร่วมเดินทางมาอีกคน “ดูสิ ในที่สุดหางจิ้งจอกของสกุลเจินก็โผล่ออกมา โชคดีที่ข้ารู้ตัวล่วงหน้า มิฉะนั้นก็เกือบถูกหญิงสาวผู้นี้หลอกเข้าแล้ว!”
บ่าวหญิงอาวุโสผู้นั้นเอ่ยประจบสอพลอ เยี่ยหมัวมัวรู้สึกได้ใจ ทั้งยังหายจากอาการเมาเรือแล้ว สภาพจิตใจฮึกเหิมเป็นพิเศษ “พวกเราจะต้องรีบบอกให้ฮูหยินรับรู้ หญิงสาวสกุลเจินผู้นี้มองดูเหมือนจิตใจดี แต่แท้จริงแล้วเป็นนางจิ้งจอก เต็มไปด้วยอุบาย หากเฉวียนเกอเอ๋อร์ตกอยู่ในเงื้อมมือนางยังจะดีได้อีกหรือ”
วันต่อมาเมิ่งซื่อพาเจินจยาฝูมาเยี่ยมอาการหมัวมัวอีกครั้ง ภายนอกเยี่ยหมัวมัวไม่เปิดเผยความรู้สึกนึกคิดจริงๆ ออกมาแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตบุตรสาวสกุลเจินมากขึ้น ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าทุกการกระทำของนางไม่มีที่ไม่ใช่อุบาย แต่ก็ไม่เปิดโปงออกมา กลับกันยังยิ่งปรองดองมากกว่าแต่ก่อน เกรงอกเกรงใจ ในใจมีแต่คาดหวังให้ถึงเมืองหลวงในเร็ววันกว่านี้จึงจะดี
เมิ่งซื่อไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ได้รู้ถึงอุบายที่ซ่อนอยู่แม้แต่น้อย เห็นเพียงเยี่ยหมัวมัวปฏิบัติต่อบุตรสาวเป็นอย่างดี ยังหลงคิดว่านางหวั่นไหวเพราะบุตรสาวมาเฝ้าดูอาการอย่างขยันขันแข็ง ในใจเมิ่งซื่อรู้สึกวางใจไม่น้อย
เจินจยาฝูไม่แสดงพิรุธ มีแต่ยิ่งปากหวานกับเยี่ยหมัวมัวมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ตลอดการเดินทางจึงสงบสุขไร้ปัญหา
ในที่สุดวันนี้ก็เดินทางมาถึงที่หมายอย่างราบรื่น พรุ่งนี้ก็สามารถขึ้นฝั่งได้แล้ว
ยามดึกเมิ่งซื่อตั้งใจพาบุตรสาวมาหาเยี่ยหมัวมัว ไล่ทุกคนออกไป หลังพูดคุยสัพเพเหระกันสักพักก็ยื่นเหอเปาใบหนึ่งไปให้พร้อมยิ้มเอ่ย “หลายวันมานี้รบกวนหมัวมัวแล้วจริงๆ แค่ของเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีอะไรมาก หวังว่าหมัวมัวจะรับเอาไว้ แผ่นใหญ่ในนั้นให้หมัวมัวเก็บเอาไว้เอง ส่วนเศษที่เหลือรบกวนหมัวมัวแบ่งให้พวกเด็กๆ ด้วย ทุกคนต่างลำบากมามากแล้ว”
เจินจยาฝูติดตามอยู่ข้างหลังมารดา ใบหน้าแดงก้มลง เอ่ยอย่างเขินอาย “รอถึงเมืองหลวงแล้ว ยังหวังว่าหมัวมัวจะพูดอะไรดีๆ ถึงข้าให้ท่านแม่บุญธรรมได้ฟังบ้าง”
เยี่ยหมัวมัวรับเหอเปามาบีบ รู้ว่าภายในนั้นคือตั๋วเงินก็รับปากเต็มคำ ทั้งยังส่งแม่ลูกสกุลเจินออกไปอย่างเป็นมิตร หลังปิดประตูแล้วเปิดเหอเปา หยิบตั๋วเงินด้านในออกมาสองใบ เห็นใบหนึ่งยี่สิบตำลึง อีกใบสิบตำลึงก็ผิดหวังอย่างมาก แค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมา เบ้ปากเอ่ย “ข้ายังหลงคิดว่าจะใจกว้างกว่านี้เสียอีก แค่ยี่สิบตำลึงก็คิดจะปิดปากข้าแล้ว? ยังดีที่ควักเงินออกมาได้ ตระกูลเล็กๆ ก็คงมีความคิดอ่านอยู่แค่นี้กระมัง”
เมิ่งซื่อแม้แต่ฝันก็ยังคาดไม่ถึงว่าตั๋วเงินที่ตนเองเตรียมไว้ในเหอเปาเรียบร้อยจะถูกบุตรสาวลอบสับเปลี่ยน คิดแค่ว่าบ่าวหญิงอาวุโสผู้นั้นรับเงินของตนเองไปห้าร้อยตำลึง ยามอยู่ต่อหน้าซ่งฮูหยิน ต่อให้ไม่มีคำพูดที่ดีอะไร แต่อย่างน้อยก็ไม่มีทางย่ำแย่ หลังส่งเจินจยาฝูกลับห้องจึงจากไปอย่างวางใจ
วันรุ่งขึ้นเรือของสกุลเจินก็เคลื่อนเข้าจอดเทียบฝั่งช้าๆ
กลางฤดูใบไม้ร่วงของรัชศกหย่งซีที่สาม คนสกุลเจินได้เดินทางมาถึงเมืองหลวง
นี่นับเป็นอีกครั้งที่เจินจยาฝูได้เหยียบเข้าเมืองหลวง หลังเวลาผ่านไปนานสามปีกว่า
บริเวณท่าเรือมีรถม้าวิ่งขวักไขว่ ผู้คนคับคั่ง นอกจากหัวหน้าพ่อบ้านที่ถูกส่งมาเตรียมความพร้อมยังเมืองหลวงล่วงหน้าซึ่งพาบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งมารับเมิ่งซื่อและคุณหนูคุณชายแล้ว ด้านจวนเว่ยกั๋วกงเองก็มีคนมาเช่นกัน
เมื่อเมิ่งซื่อรู้ว่าเผยซิวจื่อรีบมารอรับคนที่ท่าเรือตั้งแต่เช้า ในใจก็ปีติยินดี ดึงตัวบุตรสาวเตรียมลงจากเรือ ทว่ากลับสัมผัสได้ว่าฝ่ามือบุตรสาวเย็นเล็กน้อย จึงกระชับมือเล็กๆ ข้างหนึ่งของนางไว้แน่นพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างแม่ล้วนจัดการให้เรียบร้อยแล้ว จะต้องราบรื่นแน่นอน ลูกแค่รอแต่งออกไปอย่างสบายใจก็พอแล้ว”
เรื่องในใจของเจินจยาฝู มารดาจะล่วงรู้ได้อย่างไร
นางฝืนยิ้มพลางผงกศีรษะ
ศีรษะของผู้คนบริเวณท่าเรือดูเบียดเสียดแออัด เมื่อทุกคนได้เห็นเรือใหญ่ลำหนึ่งมาจอดเทียบท่า ที่ด้านหลังประตูเรือมองเห็นเงาสาวใช้เดินกันไปมา ก็รู้ว่าเป็นแขกสตรีของตระกูลใหญ่สักตระกูลหนึ่งที่เดินทางมายังเมืองหลวงผ่านเส้นทางน้ำ จึงต่างพากันหยุดฝีเท้าเพื่อมองดู
เมิ่งซื่อรับหมวกผ้าโปร่งสีม่วงใบหนึ่งจากมือป้าหลิวมาสวมให้บุตรสาว
ผ้าโปร่งสีม่วงยาวถึงบ่า บดบังใบหน้าของเจินจยาฝู นางออกจากเรือพร้อมมารดาและพี่ชาย สายลมพัดมาวูบหนึ่งทะลุผ่านผ้าโปร่งที่พลิ้วไสว มองเห็นบนฝั่งมีม้าตัวหนึ่งยืนอยู่ บนหลังม้ามีชายหนุ่มที่มีลักษณะเช่นคุณชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ มวยผมเสียบปิ่นทอง สวมเสื้อคลุมตัวยาว ท่ามกลางนักเดินทางรอบข้างที่ดูเป็นสีเทาขมุกขมัวเหล่านั้น เขาก็ยิ่งดูสูงส่งโดดเด่นเป็นพิเศษ
เขากำลังชะเง้อคอมองมาทางนี้ไม่หยุด เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นดวงตาก็สว่างวาบ รีบลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้ามาหาทันที
คุณชายผู้นี้ก็คือซื่อจื่อของสกุลเผย คุณชายรองเผยซิวจื่อ เขารีบเดินขึ้นมาบนไม้กระดาน เอ่ยเรียกเมิ่งซื่อพร้อมคารวะด้วยรอยยิ้มกว้าง “คำนวณแล้วน่าจะมาถึงในไม่กี่วันนี้ ทุกวันล้วนแต่เฝ้ารอ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง การเดินทางราบรื่นดีหรือไม่ขอรับ”
หนก่อนที่เมิ่งซื่อมาที่เมืองหลวงก็ผ่านไปสามปีกว่าแล้ว ต่อมาหลังสามีโชคร้ายจากไป หลายปีมานี้ก็ไม่เคยออกเดินทางมาตอนเหนืออีก แต่ระหว่างนั้นก็ยังได้พบหน้าเผยซิวจื่ออยู่หลายครั้ง เมื่อสองปีก่อนเขากับเผยซิวลั่วบุตรชายบ้านรอง หลานชายแท้ๆ ของตนผู้นั้นยังเดินทางมาเฉวียนโจวด้วยกันอยู่เลย
“อาศัยบารมีจากคุณชายรอง ทุกอย่างล้วนเรียบร้อยดี” ในใจเมิ่งซื่อมีความสุข ยิ้มแย้มเอ่ยตอบ
เจินเย่าถิงเรียกเขาคำหนึ่ง “พี่รองเผย”
บรรดาพ่อบ้านผู้ติดตามของสกุลเจินก็ทยอยกันคารวะให้เขาภายใต้การนำของจางต้า
เผยซิวจื่อผงกศีรษะ สายตามองไปยังเจินจยาฝู
หนก่อนที่เขาไปเฉวียนโจวและเข้าพักที่คฤหาสน์สกุลเจิน นางเพิ่งจะอายุสิบสี่ปี เพียงแค่เห็นก็รู้สึกว่าหากนางเติบโตขึ้นมาจะต้องงดงามมากแน่ หลังกลับมาเขายังเอาแต่อาลัยอาวรณ์หานาง บัดนี้เวลาผ่านไปสองปี ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านางงดงามมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
เผยซิวจื่อนึกถึงภาพยามนางเดินออกมาจากเรือเมื่อครู่นี้ ผ้าโปร่งบังเอิญถูกสายลมพัดไหว แม้จะเปิดเผยแค่เพียงครึ่งใบหน้า ก็น่าตื่นตะลึงมากแล้ว เมื่อรวมเข้ากับท่วงท่าดุจเทพธิดา ใบหน้างดงามหมดจด กลายเป็นยิ่งชวนให้ผู้คนคำนึงถึงไม่สิ้นสุด
“ญาติผู้น้อง”
เขามองไปยังเจินจยาฝูที่อยู่เบื้องหลังผ้าโปร่ง เรียกนางคำหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างมาก
เจินจยาฝูเพียงแค่ย่อกายคารวะน้อยๆ แล้วขยับตัวเดินผ่านเขาไป ติดตามพี่ชายขึ้นฝั่ง ก้าวขึ้นไปยังรถม้าสกุลเจินที่รอพร้อมอยู่ตรงนั้น
เผยซิวจื่อหันหน้ากลับมา เอาแต่มองไปยังเงาร่างของนางจวบจนตัวคนหายไปในรถม้าจึงได้สติกลับมา เขารีบแย่งประคองเมิ่งซื่อขึ้นฝั่ง ตวาดไล่คนเดินถนนที่ขวางทางอยู่ด้านหน้า ก่อนคุ้มกันแม่ลูกสกุลเจินกลับไปยังคฤหาสน์สกุลเจินตลอดเส้นทาง
คฤหาสน์สกุลเจินตั้งอยู่บริเวณตะวันตกของเมือง อยู่ไม่ห่างจากจวนเว่ยกั๋วกงนัก ห่างกันเพียงแค่สองช่วงถนนเท่านั้น เดิมทีเป็นจวนส่วนตัวของขุนนางเมืองหลวงผู้หนึ่ง แต่เพราะถูกส่งไปทำงานต่างเมือง รวมเข้ากับที่เงินทองขาดมือ จึงขายจวนนี้ทิ้งเสีย สกุลเจินจึงซื้อเอาไว้แล้วนำมาใช้เพื่อจัดเตรียมเรื่องงานแต่งของบุตรสาว เมื่อหลายเดือนก่อนก็มีพ่อบ้านเดินทางมาล่วงหน้า จัดการเก็บกวาดทั้งในและนอกอย่างเรียบร้อยนานแล้ว
กลุ่มเมิ่งซื่อเข้าไปข้างในพร้อมกัน หลังพักผ่อนเล็กน้อยก็เปลี่ยนเสื้อผ้า นำบุตรชายบุตรสาวกลับไปนั่งบนรถม้าอีกครั้ง มุ่งหน้าไปเยี่ยมญาติยังจวนเว่ยกั๋วกงพร้อมกับของขวัญพบหน้า
ผู้เฒ่าเว่ยกั๋วกงเป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบในการก่อตั้งต้าเว่ย ติดตามปฐมกษัตริย์ออกสู้รบไปทุกแห่ง ต่อสู้แย่งชิงดินแดนผืนนี้มาเพื่อลูกหลาน ประตูใหญ่ก่วงเลี่ยงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจวนเว่ยกั๋วกงมีรูปปั้นพยัคฆ์วางแยกกันคนละฝั่งของบันได ไม้คานเคลือบชาดลงรัก ด้านบนประดับลายเมฆาที่เป็นการบ่งบอกถึงยศสูง ดูยิ่งใหญ่ ลักษณะมิสามัญ บ่งบอกถึงตำแหน่งอันสูงส่งของเจ้าบ้าน
ปกติแล้วประตูใหญ่จะไม่เปิดออก แม้แต่ยามนี้ก็ยังปิดสนิทอยู่ เปิดแค่ประตูข้างอีกบานที่ปกติใช้ในการเข้าออก บ่าวเฝ้าประตูจำนวนหนึ่งยืนประสานมืออยู่ตรงนั้น เห็นเผยซิวจื่อนำคนเดินมาตั้งแต่ไกลจึงวิ่งมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว หันไปคารวะเมิ่งซื่อที่ลงมาจากรถม้า ปากเอ่ยบ่น “ในที่สุดท่านก็มาถึง ทั้งฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองของพวกเราล้วนกำลังรออยู่ เมื่อครู่ยังส่งคนมาถามแล้ว รีบเข้าไปเถอะขอรับ”
เจินจยาฝูถอดผ้าปิดหน้าออกแล้ว มีสาวใช้ช่วยกันประคองนางลงจากรถม้า จากนั้นเผยซิวจื่อก็นำทางไป นางติดตามมารดาและพี่ชายเดินผ่านประตูข้างบานนั้นเข้าไปข้างใน ทะลุผ่านทางเดินและห้องต่างๆ สุดท้ายมาถึงยังเรือนใหญ่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประตูใหญ่เคลือบเงาเปิดแง้มออกครึ่งหนึ่ง นี่ก็คือที่พำนักของบ้านใหญ่จวนเว่ยกั๋วกง
ซินฮูหยินสวมชุดลำลองคลุมทับด้วยเสื้อกั๊กสีม่วงนั่งอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเอะอะของสาวใช้ดังขึ้นที่ลานด้านนอกก็รู้ว่าคนมาถึงแล้ว แต่นางยังคงไม่ลุกขึ้น เพียงยกมือขึ้นจัดจอนผมเล็กน้อย จวบจนได้ยินเสียงฝีเท้าผสานกับเสียงสดใสของเมิ่งซื่อดังเข้ามาใกล้ “ฮูหยินจากสกุลข้าอยู่ด้านในหรือ”
ในตอนนั้นซินฮูหยินถึงได้ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกภายใต้การประคองของสาวใช้ข้างกาย ที่ด้านหลังตามมาด้วยสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสอีกหกเจ็ดคน เมื่อได้พบเมิ่งซื่อก็ยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่ เป็นข้าเอง!” เอ่ยจบก็ปล่อยสาวใช้ทิ้งไว้ รีบเดินเข้าไปเอง จับมือเมิ่งซื่ออย่างเป็นมิตร ตบหลังมือนางเบาๆ พร้อมถอนหายใจเอ่ย “เจ้าเองก็จริงๆ เลย เดินทางมาตั้งไกล จะต้องลำบากมากเป็นแน่ แทนที่จะให้เด็กๆ พักกันก่อน มาช้าสักหน่อยจะเป็นไรไป หรือว่าข้าจะกินเจ้ารึ” เอ่ยจบก็กล่าวตำหนิบุตรชายต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าสั่งเจ้าไว้อย่างไร แต่เจ้ากลับทำตัวรีบร้อน ไม่ให้ผู้อื่นเขาได้พักเสียหน่อย”
สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสที่อยู่รอบข้างไม่มีผู้ใดไม่หัวเราะออกมา บ่าวหญิงอาวุโสข้างกายซินฮูหยินพูดออกมา “เมื่อครู่นี้ฮูหยินของพวกเราก็เอาแต่บ่นว่าพวกท่านเดินทางมาลำบากนัก รู้สึกปวดใจ ตอนนี้แม้แต่คุณชายรองยังถูกต่อว่าแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อรีบยิ้มเอ่ย “ไม่เหนื่อยหรอก ไม่ได้พบหน้ากันนานแล้ว ข้าเองก็คิดถึงไม่น้อย วันนี้มาถึงจึงแทบอยากจะติดปีกบินมาหาไวๆ” เอ่ยจบก็ให้บุตรชายบุตรสาวเดินขึ้นหน้ามาคารวะ
เจินเย่าถิงประสานมือคารวะ เจินจยาฝูเองก็ยอบกายคารวะซินฮูหยิน
ซินฮูหยินมองประเมินเจินจยาฝูคราหนึ่ง ก่อนเดินเข้ามาจูงมือนางอย่างรักใคร่ ยิ้มเอ่ยกับเมิ่งซื่อ “หญิงสาวที่งดงามเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าเลี้ยงดูมาอย่างไร ข้ามักพูดอยู่เสมอว่าข้าไม่มีความโชคดีเช่นนี้ ถ้าหากมีบุตรสาวเช่นนี้อยู่สักคนก็คงมีผู้ที่สามารถพูดจาเอาใจใส่ผู้อื่นแล้ว”
เมิ่งซื่อมีความสุขเสมอเวลาบุตรสาวได้รับคำชม แต่ก็ยังต้องเอ่ยปากว่า “อาฝูยังเขลาอยู่บ้าง ทั้งไม่ประสีประสา แค่หวังว่าวันหน้าท่านจะไม่เบื่อหน่าย ข้าก็ต้องขอบคุณพระพุทธองค์แล้ว”
บ่าวหญิงอาวุโสข้างกายซินฮูหยินเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ฮูหยินของพวกเราจะรักถนอมยังแทบไม่ทัน เรื่องเบื่อหน่ายจะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ”
หลังพูดคุยถามไถ่กันอย่างเป็นมิตรสนิทสนมต่ออีกสักพัก เมิ่งซื่อก็ถูกเชิญไปนั่ง ขณะที่ซินฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามบ่าวหญิงอาวุโสข้างกายตนเอง “คนทางนั้นเหตุใดยังไม่มาอีก”
คำพูดเพิ่งจะเอ่ยออกมาก็ได้ยินเสียงสาวใช้นอกประตูดังเข้ามา “ฮูหยินรองมาถึงแล้วเจ้าค่ะ!”
เมิ่งซื่อรีบลุกออกไปรับทันที
เจินจยาฝูเหลือบสายตาขึ้นมอง เห็นเมิ่งฮูหยิน ท่านป้าของตนเดินเข้ามาโดยมีสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสจำนวนหนึ่งล้อมหน้าล้อมหลัง เมิ่งฮูหยินยิ้มเอ่ย “เดิมทีเมื่อครู่นี้ก็อยากมาแต่แรก เพียงแต่คิดอยากรอให้เจ้าสามมาด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าเขาจะส่งข่าวมาบอกว่าวันนี้ความเรียงที่เขียนได้รับคำชมจากท่านอาจารย์สำนักศึกษา ถูกรั้งตัวเอาไว้ไม่อาจกลับมาได้ บอกให้ข้าขออภัยแทนน้าหญิงและญาติผู้น้องของเขาด้วย รอกลับมาแล้วจะมาเจอกันอีกที”
บนใบหน้านางประดับรอยยิ้ม ท่าทีสนิทสนม ไม่เห็นถึงความแตกต่างอันใดกับตอนที่พบเจอก่อนหน้านี้
ความจริงแล้วแรกเริ่มสุดเป็นเมิ่งฮูหยินที่มีเจตนาอยากสู่ขอเจินจยาฝูให้เผยซิวลั่วผู้เป็นบุตรชายก่อน แต่ก็ยังคิดเล็กคิดน้อยกับฐานะของสกุลเจินอยู่บ้าง ตามความคิดของตนแล้ว จะดีที่สุดหากให้เจินจยาฝูมาเป็นอนุของบุตรชายตนเอง ลับหลังจึงลอบเอ่ยบอกเมิ่งซื่อเป็นนัยๆ เพื่อสืบดูความคิดของนาง แสดงท่าทีว่าภายหลังแต่งเข้ามาแล้วตนเองจะต้องดูแลเจินจยาฝูเหมือนบุตรสาวแน่นอน ไม่มีทางทำให้อีกฝ่ายได้รับความไม่เป็นธรรมสักนิดเดียว
แต่เมิ่งซื่อจะยอมให้บุตรสาวของตนแต่งไปเป็นอนุได้อย่างไร ยามนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทั้งยังไม่ต่อบทสนทนา เพียงเท่านั้นฮูหยินรองเองก็เข้าใจแล้ว ดังนั้นจึงไม่พูดขึ้นมาอีก เดิมทีก็ให้แล้วกันไปเช่นนั้น ไม่คิดว่าผ่านไปไม่นานคนจะถูกบ้านใหญ่เอาตัวไปแทน
เมิ่งซื่อรักถนอมบุตรสาว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เจินจยาฝูไปเป็นอนุของผู้อื่น ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นลูกหลานจวนเว่ยกั๋วกงก็ตาม แต่หลังซินฮูหยินส่งคนมาพูดเรื่องนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็นนายของบ้านมาตลอดก็ตกปากรับคำทันที ตัวเมิ่งซื่อเองก็เคยใคร่ครวญมาก่อน แม้บุตรสาวจะแต่งไปเป็นภรรยาเอกคนใหม่ แต่เมื่อแต่งไปก็คือชายาซื่อจื่อจวนเว่ยกั๋วกงอย่างสง่าผ่าเผย บุตรชายที่คลอดออกมาย่อมเป็นผู้สืบทอดโดยตรง เป็นบุตรคนรองของบ้านใหญ่แล้วอย่างไร ไม่ว่าจะด้านนิสัยหรือรูปโฉมเขาก็ล้วนหาพบได้ยาก ไม่มีเหตุผลให้คัดค้านจริงๆ ดังนั้นงานแต่งงานจึงถูกกำหนดมาเช่นนี้
เดิมทีเมิ่งซื่อยังเป็นกังวลว่าการพบหน้ากันครั้งนี้ ไม่มากไม่น้อยก็คงมีความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ยามนี้เห็นท่าทีของเมิ่งฮูหยินยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน จึงคิดไปว่าในใจพี่สาวผู้นี้ไม่ได้ถือสาอะไร พลันวางใจลงได้ในที่สุด เอ่ยชมที่หลานชายก้าวหน้า
เจินจยาฝูกับพี่ชายเดินเข้าไปคารวะเมิ่งฮูหยิน หลังรำลึกความหลังกันเสร็จ เมิ่งซื่อจึงถาม “ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง หากพอมีเวลาข้าจะพาเด็กๆ ไปโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสียหน่อย”
ซินฮูหยินจึงส่งคนไปถาม ผ่านไปไม่นานบ่าวหญิงอาวุโสผู้นั้นก็กลับมาแจ้ง “หลายวันมานี้สุขภาพฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยจะดี ยามนี้อยู่ในห้องพระ บทสวดยังท่องไม่เสร็จ บอกว่าพวกท่านเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ถึงอย่างไรก็เป็นญาติกัน ไม่จำเป็นต้องมาคำนับกันเป็นพิเศษแล้ว บอกให้ฮูหยินกับฮูหยินรองรับรองให้ดี อย่าได้ละเลยเด็ดขาด”
แม้การแต่งงานระหว่างเจินจยาฝูกับเผยซิวจื่อจะถูกกำหนดไว้แล้ว ทุกคนของทั้งสองสกุลต่างรับรู้กันดี แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เจินจยาฝูยังไม่พ้นช่วงไว้ทุกข์ ที่ผ่านมาจึงเป็นแค่สัญญาปากเปล่ามาตลอด ยังไม่ได้ผ่านพิธีอย่างเป็นทางการ ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าใช้คำว่า ‘ญาติ’ มาเรียกคนสกุลเจินเช่นนี้ ก็นับว่าไม่ถือเป็นคนนอก
ในช่วงหลายปีมานี้สุขภาพฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยไม่ค่อยจะดี ออกมาพบแขกด้วยตนเองน้อยครั้งนัก ทุกคนต่างคุ้นชินเป็นเรื่องปกตินานแล้ว การที่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยตอบกลับมาเช่นนี้ เดิมก็อยู่ในการคาดเดาของทุกคนอยู่แล้ว เมื่อครู่ที่ส่งคนไปถามก็แค่ทำเป็นพิธีเท่านั้น
เมิ่งซื่อรีบลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นข้าก็ไม่อยู่รบกวนฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว รอวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าค่อยพาเด็กๆ มาโขกศีรษะคำนับอีกที”
วันเกิดก็คืออีกสามวันให้หลัง นับว่าใกล้แล้ว ซินฮูหยินผงกศีรษะเห็นด้วย
เมิ่งซื่อมองดูรอบๆ อีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เห็นเฉวียนเกอเอ๋อร์จึงเอ่ยถามดู
ซินฮูหยินยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ย “คนบ้านนั้นบอกว่าคิดถึงเฉวียนเกอเอ๋อร์ สองวันมานี้ข้ากำลังปวดเนื้อเมื่อยตัวพอดี หากเฉวียนเกอเอ๋อร์ซุกซนข้าเองก็คงรับมือไม่ไหว จึงได้ส่งไปหาทางนั้นแล้ว”
ประโยคนี้ของซินฮูหยิน ความจริงแล้วก็แค่กำลังรักษาหน้าให้ตนเองเท่านั้น ซ่งฮูหยินส่งคนมารับตัวเฉวียนเกอเอ๋อร์ไปเมื่อวาน บอกว่าได้สมบัติล้ำค่าหายากมาชิ้นหนึ่ง ต้องการรับหลานชายไปดู ซินฮูหยินไม่ยอมให้พาไป แต่เฉวียนเกอเอ๋อร์กลับร้องไห้โวยวายไม่หยุด ไม่ฟังเหตุผล จะต้องไปให้ได้ ซินฮูหยินจนปัญญา ได้แต่เรียกคนพาไปส่ง วันนี้ก็ยังไม่กลับมา
มุมปากเมิ่งฮูหยินปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยจางๆ ซินฮูหยินเหลือบไปเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิด ทว่าบนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม ทั้งยังพูดคุยบางอย่างต่อก่อนหันไปทางเมิ่งฮูหยิน “พวกเจ้าสองพี่น้องไม่ได้พบกันมาหลายปี อุตส่าห์มาแล้ว หากมีอะไรจะพูดคุยกันก็รีบพูดเถอะ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า” น้ำเสียงจริงใจเป็นอย่างมาก
เมิ่งฮูหยินยิ้มเอ่ย “เมื่อครู่นี้ได้คุยรำลึกความหลังกันไปไม่น้อย คงไม่มีอะไรมากแล้ว ข้าเห็นว่าหลานชายหลานสาวต่างเหน็ดเหนื่อย คำพูดที่เหลือไว้ค่อยพูดคุยกันวันหน้าก็ไม่สาย”
เมิ่งซื่อได้ยินพี่สาวกล่าวเช่นนั้นจึงบอกลา ซินฮูหยินรั้งตัวให้อยู่ร่วมกินข้าว เมิ่งซื่อเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ ซินฮูหยินจึงเอ่ย “ก็ได้ พวกเจ้าเดินทางมากันเหนื่อยๆ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องรั้งอยู่ทางข้าแล้ว” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืนส่งแขก
นับแต่เข้ามาที่นี่ เจินจยาฝูก็ยืนอยู่ข้างกายมารดา แม้จะก้มหน้าลงเล็กน้อยตลอดเวลา ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงสายตาของเผยซิวจื่อที่มองมาทางตนเองเป็นระยะๆ เมื่อได้เห็นเขา นางก็จะนึกไปถึงฉากสุดท้ายของการเป็นสามีภรรยากันกับเขาเมื่อชาติที่แล้วว่าน่าสงสาร น่าสังเวช น่าสมเพช ทั้งยังน่าชังมากเพียงใด ยามนี้เมื่อถูกเขามองมาบ่อยๆ เช่นนี้ ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก กับบรรดาคำพูดแฝงความนัยเหล่านั้นของซินฮูหยินกับท่านป้านางยิ่งกระจ่างชัดดี แม้แต่ครึ่งเค่อ ก็ไม่อยากรั้งอยู่อีกต่อไป แทบอยากออกจากประตูใหญ่ไปทันที
เจินเย่าถิงก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่ได้มาเยือนเมืองหลวงนานหลายปี เพิ่งมาถึงกลับถูกขังอยู่ที่นี่ให้ต้องฟังบรรดาฮูหยินพูดคุยเรื่องน่าเบื่อหน่าย รู้สึกหมดความอดทนไปนานแล้ว เมื่อได้ยินว่าสามารถไปได้เสียทีก็ผ่อนลมหายใจออกมา
เผยซิวจื่อไม่สนใจการปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าของเมิ่งซื่อ ไม่เพียงแต่ส่งออกจากประตูใหญ่ ทั้งยังตามมาส่งถึงคฤหาสน์สกุลเจินด้วยตนเอง เมิ่งซื่อซาบซึ้งใจอย่างมาก หลังลงจากรถม้าจึงเชิญเขาเข้ามาดื่มชา เผยซิวจื่อมองดูเจินจยาฝูหนหนึ่ง ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ทว่าเจินจยาฝูกลับเอ่ยขึ้นมากะทันหันว่า “ท่านแม่ วันนี้พวกเราเพิ่งมาถึง ภายในบ้านวุ่นวายยิ่งนัก กระทั่งสัมภาระยังไม่ทันเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เตาไฟจะเอาฟืนมาจากที่ใด หากเชิญพี่รองเผยเข้ามาเช่นนี้จะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ มิสู้เอาไว้หนหน้าเถอะเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่ออึ้งไปเล็กน้อย มองบุตรสาวคราหนึ่ง เห็นนางมีสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงหนักแน่น ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง
เจินจยาฝูไม่รอให้เมิ่งซื่อเปิดปากก็หันไปทางเผยซิวจื่อต่อ ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “วันนี้รบกวนพี่รองเผยมาทั้งวัน ข้าต้องขอบคุณท่านแทนท่านแม่จริงๆ ทั้งรู้ดีว่าพี่รองเผยย่อมไม่รังเกียจน้ำชาเย็นชืดของบ้านเรา เพียงแต่ข้ากับท่านแม่เดินทางมาไกล วันนี้เพิ่งมาถึง พี่รองเผยก็เห็นแล้วว่าพวกเรายังไม่ได้พักกันสักนิดก็ต้องไปเยี่ยมญาติต่อ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากแล้วจริงๆ วันนี้มีเรื่องไม่สะดวกหลายอย่าง ยังต้องขอให้พี่รองเผยอภัยให้ด้วย”
เดิมเผยซิวจื่อยังคิดอยากเข้าไป เมื่อได้ยินเจินจยาฝูเอ่ยเช่นนี้ ฝีเท้าจึงหยุดชะงัก ได้แต่เอ่ยว่า “ญาติผู้น้องพูดได้ถูกต้อง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน พวกท่านเองก็พักผ่อนกันให้ดีๆ”
เมิ่งซื่อบอกให้เผยซิวจื่อเดินทางปลอดภัย รอจนตัวเขาจากไปแล้ว บุตรสาวคล้องแขนนางเดินเข้าไปข้างใน ทั้งร่างถึงค่อยผ่อนคลายลง เมิ่งซื่อยิ้มเอ่ย “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้ก็ไม่ผิด แม่เองก็เหนื่อยบ้างแล้วจริงๆ เพียงแต่เห็นเขากระตือรือร้นเช่นนี้ ทั้งยังมาส่งพวกเราถึงประตูบ้านด้วย หากไม่เรียกเขาเข้ามาดื่มชาสักถ้วยก็ให้จากไปแล้ว แม่รู้สึกไม่ถูกต้องอยู่บ้าง นับประสาอะไรกับที่พวกลูกเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกัน รอวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าผ่านไป…”
“ท่านแม่! ลูกกับพี่รองเผยยังไม่ได้หมั้นหมายกัน ต่อให้หมั้นแล้ว สกุลเราก็ไม่อาจรั้งตัวเขาไว้ได้มาก วันนี้เดิมทีเขาก็อยู่ข้างพวกเรามาโดยตลอด หากท่านยังรั้งเขาไว้อีก เกรงว่าจะเกิดคำนินทาจากทางฝั่งนั้นได้เจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันควัน ถอนหายใจเอ่ย “ยังเป็นลูกที่รอบคอบ แม่ถึงกับลืมไปชั่วขณะแล้ว”
ในความทรงจำของเมิ่งซื่อ ที่ผ่านมาบุตรสาวมีท่าทีอ่อนหวานเชื่อฟังมาโดยตลอด บัดนี้ใกล้จะแต่งงานออกไป ทางสกุลแม่สามียังเป็นถึงจวนเว่ยกั๋วกง เดิมทีรู้สึกไม่วางใจอยู่เสมอ นึกไม่ถึงว่าบุตรสาวจะพิจารณาได้รอบคอบเพียงนี้ เรื่องที่กระทั่งตนเองยังมองข้ามไปนางกลับคิดใคร่ครวญแล้ว แม้จะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ตนก็รู้สึกได้ว่าบุตรสาวเติบโตจนรู้ความแล้ว ในใจจึงรู้สึกวางใจอย่างยิ่ง
เจินจยาฝูเดินเคียงข้างมารดาเข้าไปข้างในช้าๆ พลางเอ่ย “ท่านแม่ ท่านไปพักผ่อนสักหน่อยเถิด รอจนเรี่ยวแรงกลับมาแล้วลูกจะสั่งให้คนส่งเทียบเชิญไปยังสกุลซ่ง หากว่าซ่งฮูหยินมีเวลาว่าง ช่วงบ่ายพวกเราก็ไปเยือนสกุลซ่งกันสักครั้งเถอะเจ้าค่ะ นางเป็นท่านแม่บุญธรรมของลูก ลูกอยากจะรีบไปคารวะนางเร็วสักหน่อย เป็นการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของพวกเราด้วยเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อทั้งปวดใจระคนชื่นชม “เดิมทีแม่กลัวว่าลูกจะเหนื่อย คิดว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยไปอีกที ในเมื่อลูกคิดเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากทางนั้นตอบกลับมา พวกเราก็รีบไปกัน ไม่ว่าจะเร็วจะช้าก็ต้องไปเยือนสักหนอยู่แล้ว”
เจินจยาฝูส่งมารดากลับไปพักผ่อนในห้อง หลังกลับมาก็คอยดูถานเซียงนำเหล่าสาวใช้จัดเก็บสัมภาระ ระหว่างนั้นก็รอคำตอบกลับของสกุลซ่ง
ไม่ถึงยามอู่ คนที่ถูกส่งไปมอบเทียบเชิญก็กลับมาแล้ว โดยนำจดหมายกลับมาแจ้งว่าซ่งฮูหยินเรียกให้คนสกุลเจินไปหาช่วงยามเซิน
เจินจยาฝูคาดเดาได้นานแล้วว่าจะต้องได้รับคำตอบเช่นนี้
เมื่อชาติก่อนนางเคยไปมาหาสู่กับซ่งฮูหยิน ‘ท่านแม่บุญธรรม’ ผู้นี้ อีกฝ่ายเป็นคนหยิ่งยโสและใจร้อน ตลอดการเดินทางขึ้นเหนือหนนี้ นางจงใจทำให้เยี่ยหมัวมัวรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก หลังลงเรือกลับไปยังสกุลซ่ง เยี่ยหมัวมัวจะต้องรายงานทุกการกระทำของนางให้ซ่งฮูหยินฟังแน่นอน และจากนิสัยของซ่งฮูหยินจะยังอดทนอยู่นิ่งเฉยได้อย่างไร ต่อให้วันนี้นางไม่วางแผนจะไปหา ซ่งฮูหยินก็จะต้องเรียกตัวพวกนางสองแม่ลูกไปอย่างแน่นอน
ยันต์ขอบุตรก็เป็นแค่ชนวนให้เกิดเรื่องเท่านั้น
หลังจากเจินจยาฝูกลับมามีชีวิตในชาตินี้ นางก็เอาแต่ใคร่ครวญถึงเรื่องชะตาชีวิตมาโดยตลอด ส่วนจะสมปรารถนาได้หรือไม่นั้น เรื่องราวต่อจากนี้จึงจะเป็นจุดสำคัญ
วันนี้นับเป็นโอกาสอันดีจริงๆ นางจำเป็นต้องคว้าเอาไว้ให้ได้
เจินจยาฝูพลันรู้สึกตื่นเต้น แต่อีกใจก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา นางหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รอจนอารมณ์สงบลงแล้วถึงได้เรียกถานเซียงมาแล้วเอ่ย “ข้าจะอาบน้ำเปลี่ยนชุด”
ช่วงเวลาหนึ่งเค่อก่อนยามเซิน รถม้าสกุลเจินก็เคลื่อนมาจอดอยู่หน้าประตูจวนสกุลซ่งแล้ว บรรดาบ่าวรับใช้พาเมิ่งซื่อและเจินจยาฝูเข้าประตูเล็กด้านข้าง สุดท้ายก็มาอยู่ในห้องโถงรองแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีทั้งน้ำชาและไม่พบผู้ใด มีเพียงบ่าวหญิงอาวุโสสองคนยืนตัวตรงอยู่ด้านข้าง มองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
หลังรออยู่เช่นนี้ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหลายคนเดินเข้ามาใกล้ ซ่งฮูหยินสวมชุดหรูหราตัวใหม่ ประดับเครื่องทองและหยก นางปรากฏตัวขึ้นอย่างโดดเด่นภายใต้การห้อมล้อมของสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสกลุ่มหนึ่ง หลังนั่งลงแล้ว รอจนเมิ่งซื่อพาเจินจยาฝูมาคารวะนางเสร็จก็ไม่พูดไม่จา สายตาประดุจหวีเสนียดซี่ถี่ มองประเมินเจินจยาฝูตั้งแต่หัวจรดเท้ากลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ ไม่ปล่อยให้รอดสายตาไปแม้แต่จุดเดียว จากนั้นถึงได้ชี้ไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งด้านข้าง เปิดปากเชิญให้เมิ่งซื่อนั่งลง
“เมื่อครู่มีแขกสตรีจากจวนอันหย่วนโหว มาพูดคุยอยู่นาน เลยทำให้ละเลยทางด้านเจ้าเสียแล้ว”
นางกวาดสายตามองรอบๆ หนหนึ่ง ก่อนด่าทอบ่าวหญิงอาวุโสที่ไม่รู้จักมารยาทเสียงดัง “คนมาถึงแล้วกลับไม่รู้จักเตรียมน้ำชา ใช่สกุลชนชั้นล่างในตัวเมืองที่ใดกัน!”
ก่อนหน้านี้บ่าวหญิงอาวุโสได้รับคำสั่งว่าให้ปฏิบัติกับพวกเมิ่งซื่ออย่างเฉยชา ยามนี้ถูกด่าทอจนหัวหมุนกลับไม่กล้าโต้แย้ง ได้แต่รีบร้อนนำชามาวางสองถ้วยพร้อมเอ่ยขออภัยเมิ่งซื่อ
เมิ่งซื่อรีบบอก “ไม่เป็นไร”
ซ่งฮูหยินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “สกุลเจินของพวกเจ้าอยู่ที่เฉวียนโจวก็นับเป็นสกุลใหญ่เช่นกัน แม่ลูกเดินทางไกลมายังเมืองหลวง มาหาข้าที่นี่ครั้งแรก บ่าวรับใช้กลับเสียมารยาท ทำให้พวกเจ้าต้องขบขันแล้ว”
ทันทีที่ซ่งฮูหยินผู้นี้ปรากฏตัว เมิ่งซื่อก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจที่มาจากอีกฝ่ายแล้ว ประโยคเมื่อครู่นี้ยิ่งเป็นการชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว ติดหอกพกกระบอง นางจะฟังไม่ออกได้อย่างไร ทั้งยังได้เห็นเยี่ยหมัวมัวที่อยู่ข้างกายซ่งฮูหยินมีใบหน้าเย็นชาเช่นเดียวกัน แตกต่างจนเหมือนเป็นคนละคนกับยามแยกกันที่ท่าเรือเมื่อตอนเช้า
บัดนี้สกุลซ่งมากทั้งอำนาจและชื่อเสียง ซ่งฮูหยินถือดี ไม่ใช่แค่ซินฮูหยินต้องมองสีหน้านางอยู่หลายส่วน แม้แต่เรื่องการแต่งงานของบุตรสาวตนเองกับซื่อจื่อเว่ยกั๋วกงซ่งฮูหยินก็ยังต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เมิ่งซื่อกระจ่างชัดถึงเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ดี ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงตั้งใจจะผูกมิตร หวังให้ทุกอย่างราบรื่น ยามนี้จึงอดงุนงงไม่ได้ ไม่รู้สักนิดว่าเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นตรงจุดใด แต่เพื่อบุตรสาวแล้วตนก็ได้แต่อดทน ตอบรับนางอย่างนอบน้อมอยู่หลายคำ
ซ่งฮูหยินกวักมือเรียกเจินจยาฝู บอกให้นางเดินมาข้างหน้า
เจินจยาฝูก้มหน้าหลุบตาเดินเข้าไปหา เรียกขานซ่งฮูหยินว่า “ท่านแม่บุญธรรม”
ซ่งฮูหยินถามว่านางอายุเท่าไร ปกติอยู่ที่บ้านทำอะไรบ้าง เจินจยาฝูก็ตอบกลับไปทุกคำถาม ท่าทีเชื่อฟังอย่างมาก
เยี่ยหมัวมัวรีบร้อนกลับมาสกุลซ่งแต่เช้า เอ่ยคำพูดที่อัดอั้นมาตลอดการเดินทางโดยเพิ่มน้ำมันเติมน้ำส้ม ให้ซ่งฮูหยินฟังทันที ตอนที่ซ่งฮูหยินได้ยินก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ตามหลักแล้วสกุลผู้อื่นจะแต่งบุตรสาว เดินทางผ่านวัดจึงแวะเข้าไปขอยันต์มีบุตร ต่อให้เป็นภรรยาเอกคนใหม่ก็ยังถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล นางไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายได้
ถึงอย่างนั้นซ่งฮูหยินก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี ตามความคิดนาง การที่นางรับบุตรสาวสกุลเจินเป็นบุตรสาวบุญธรรมก่อนไปแต่งให้เผยซิวจื่อ ยอมให้เจินจยาฝูได้ไปเติมเต็มตำแหน่งที่บุตรสาวผู้อาภัพของนางเหลือทิ้งเอาไว้นั้น นี่ก็นับเป็นการยกฐานะที่สูงมากแล้ว ราวกับเป็นนกกระจอกบินขึ้นไปเกาะบนกิ่งทอง เดิมทีควรซาบซึ้งใจจนร่ำไห้มิใช่หรือ ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องมาบอกกล่าวให้นางรับรู้ก่อน นางเองก็ใช่ว่าจะไม่อนุญาตให้วันหน้าบุตรสาวสกุลเจินมีทายาทเสียหน่อย แต่ตอนนี้อีกฝ่ายถึงกับมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาแต่เนิ่นๆ โดยปิดบังนางไว้ เห็นได้ชัดว่าพวกสกุลเจินกำลังไม่ไว้หน้าหลานชายของนาง
นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจทนได้เป็นอันขาด นับประสาอะไรกับที่ได้ยินบ่าวหญิงอาวุโสเล่าว่าหญิงสาวสกุลเจินมีรูปโฉมงดงามประดุจนางจิ้งจอกอย่างไรบ้าง เกรงว่าบุรุษคงทนต่อคำพูดบนเตียงได้ไม่กี่คำ ยามได้ยินเช่นนั้นซ่งฮูหยินยิ่งรู้สึกทรมาน แทบอยากเรียกคนมาดูให้รู้เห็นในทันที
เมื่อครู่นี้ความจริงไม่ได้มีชายาสกุลโหวมาเป็นแขกแต่อย่างใด เนื่องจากพอนางรู้ว่าแม่ลูกสกุลเจินมาแล้ว จึงตั้งใจข่มอารมณ์ที่อยากเมินอีกฝ่ายเอาไว้ ถึงได้มาช้า
ครั้งแรกที่ซ่งฮูหยินได้เห็นรูปโฉมของบุตรสาวสกุลเจิน หัวใจนางถึงกับกระตุก รู้ว่าเยี่ยหมัวมัวไม่ได้เอ่ยเกินจริงแม้แต่น้อย เทียบกับบุตรสาวที่ตายจากไปผู้นั้นแล้ว ไม่รู้ว่าเจินจยาฝูงดงามกว่าเพียงใด ในใจพลันเกิดความชิงชัง
ยามนี้แม้ปากซ่งฮูหยินจะขยับพูดเรื่องทั่วไป แต่ความจริงกำลังลอบสังเกตกิริยาวาจาต่างๆ ของเจินจยาฝูอยู่ กระทั่งแววตาก็ไม่ปล่อยให้รอดพ้นสายตาไป
ยิ่งเจินจยาฝูอ่อนน้อมเชื่อฟังเพียงไร ซ่งฮูหยินก็ยิ่งสงสัย มักจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเสแสร้งแกล้งทำ ความรังเกียจยิ่งเพิ่มมากขึ้น จวบจนตอนท้ายสายตานางก็จับจ้องไปยังเหอเปาใบเล็กที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ใต้ชายเสื้อบริเวณเอวของเจินจยาฝู นางจึงยิ้มถามขึ้นกะทันหัน “ฝีมือเย็บปักเหอเปาใบนี้ประณีตยิ่ง เจ้าเป็นคนทำเองใช่หรือไม่ เอามาให้ข้าดูหน่อยเถอะ”
เมิ่งซื่อนึกไปถึงยันต์ที่ขอมาจากวัดกวนอินระหว่างทางวันนั้นได้ทันที ยามนั้นกำชับบุตรสาวให้เก็บเอาไว้อย่างดี ภายหลังกระทั่งตนเองยังลืมไปแล้ว
บนยันต์ใบนั้นมีลวดลายทับทิม เพียงมองก็รู้ได้ในทันที หากบุตรสาวยังเก็บยันต์ไว้ในเหอเปา เกรงว่าซ่งฮูหยินคงทนดูไม่ได้อยู่บ้าง จึงนึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันใด กำลังคิดอยากเปิดปากเบี่ยงประเด็นนี้ไป เจินจยาฝูกลับปลดเหอเปาลงมา สองมือประคองยื่นไปข้างหน้า เอ่ยอย่างเขินอาย “เป็นฝีมือปักของข้าเองจริงๆ เจ้าค่ะ เพียงแต่ฝีเข็มไม่ค่อยงามนัก ท่านแม่บุญธรรมกล่าวชมเกินไปแล้ว”
ซ่งฮูหยินรับมาพลิกไปมาบนฝ่ามือ แสร้งทำเป็นชื่นชมอยู่หลายประโยค อาศัยข้ออ้างต้องการดูฝีมือเดินเข็มชั้นใน นิ้วดึงเชือกครั้งหนึ่งปากถุงก็เปิดออกแล้ว เหลือบมองดูในนั้นคราหนึ่ง เห็นที่ก้นเหอเปามีขนมเซียงปิ่ง ชิ้นเล็กอยู่สองชิ้น นอกจากนี้ยังมียันต์แผ่นหนึ่งตามคาด เอ่ยอ้างว่าต้องการชมอย่างละเอียด นางจึงพลิกตัวถุงออกมาด้านนอกทั้งใบ เทของทั้งหมดลงมา
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.