ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าลู่ไป่จวิ้นก็เป็นพ่อค้าที่จริงใจไม่เสแสร้งคนหนึ่ง คำพูดนี้พาให้คนฟังรู้สึกสบายกายสบายใจยิ่งนัก…นางรู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นแรงขึ้นทุกที ทว่าภายนอกยังต้องคงความสงบนิ่งเอาไว้ “คุณชายลู่อยากร่วมงานกันอย่างไร”
“ข้าออกเงิน แม่นางฉู่คิดสูตรอาหาร ข้าให้แม่นางฉู่หนึ่งส่วน”
“คุณชายลู่เตรียมเปิดหอจ้วนเซียนแห่งที่สองในเซียงโจวหรือ”
“แม้เซียงโจวจะเป็นดินแดนของพวกคนมั่งมี แต่ไม่คึกคักรุ่งเรืองเท่าเมืองหลวง แม่นางฉู่เห็นว่าอย่างไร”
ความลิงโลดของฉู่อวิ๋นจิ้งพลันสูญสลายไม่มีเหลือในพริบตา ไยจึงเป็นเมืองหลวงไปได้เล่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากมีเงินมากและเส้นสายดีๆ เมืองหลวงย่อมควรค่าแก่การลงทุนมากกว่าเซียงโจว แต่เมืองหลวงหาใช่เมืองข้างๆ ที่สามารถกลับมาบ้านได้ในหนึ่งคืน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจวนจงอี้ป๋อที่อยู่ในเมืองหลวง นอกจากข้าไม่หลีกเลี่ยงยังจะเดินหน้าเข้าไปปะทะอีก เช่นนี้ไม่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือไร
“นี่เป็นเรื่องใหญ่ แม่นางฉู่ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนให้คำตอบข้า…”
“คุณชายลู่เห็นถึงความสามารถของข้านับว่าเป็นเกียรติยิ่ง แต่น่าเสียดายข้าไม่มีแผนจะเข้าเมืองหลวง” ฉู่อวิ๋นจิ้งตัดบทเขาอย่างไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดอีก
เป็นดังคาด ลู่ไป่จวิ้นจำต้องถอยเพื่อให้ได้ข้อเสนอรองลงมา “หากแม่นางฉู่ไม่สะดวกไปเมืองหลวง ข้าสามารถส่งพ่อครัวมาเรียนกับแม่นางฉู่สักเดือนสองเดือนได้ แม่นางฉู่เห็นว่าอย่างไร”
ฉู่อวิ๋นจิ้งลังเลเล็กน้อย ข้อเสนอนี้ชวนให้หวั่นไหวอย่างแท้จริง แต่นางก็ไม่อาจรับปากอย่างลวกๆ ได้ “ข้าขอใคร่ครวญดูก่อน”
“ข้านั้นอยากร่วมงานกับแม่นางฉู่จากใจจริง ต้องขอให้แม่นางฉู่ช่วยใคร่ครวญอย่างรอบคอบด้วย”
ฉู่อวิ๋นจิ้งผงกศีรษะรับคำ ทั้งยังไปส่งลู่ไป่จวิ้นที่ประตูชั้นใน แล้วจึงให้ลุงหลี่ส่งเขาไปถึงประตูใหญ่
ลู่ไป่จวิ้นนั้นแตกต่างจากเซียวอวี้ เขาเป็นคนชอบความครึกครื้น ข้างกายห่างจากผู้คนไม่ได้ หากอยู่คนเดียวเมื่อใดต้องเป็นเพราะอารมณ์ไม่ดีอย่างมากแน่ ถึงขนาดว่าคร้านจะพบปะกับผู้คน
เซียวอวี้เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยเย้าว่า “วันนี้อารมณ์ดีอะไรถึงมาเดินหมากกับตนเองได้”
ลู่ไป่จวิ้นเงยหน้ามองค้อนขวับหนึ่ง ข้าดูคล้ายคนอารมณ์ดีหรือไร
เซียวอวี้นั่งลงบนเตียงเตา มองกระดานหมากบนโต๊ะแล้วก็รู้สึกเวทนาจนมิอาจทนดูต่อไปได้ “ใครมายั่วให้เจ้าหงุดหงิดใจหรือ”
นี่ยังต้องถามอีกรึ! ลู่ไป่จวิ้นหยิบหมากสีขาวตัวหนึ่งขึ้นมาและวางลงอย่างทุกข์ใจ