ในเมื่อไม่ถูกใจแล้ว ผู้ใดจะทรมานตนเองให้กินคำที่สองอีกเล่า นี่มิใช่เรื่องที่ใครก็ทำหรือไร ทว่าเซียวอวี้ย่อมไม่หาเรื่องต่อปากต่อคำไม่เลิก เขาเพียงเอ่ยเลี่ยงหนักเป็นเบาว่า “อย่างน้อยข้าก็ไม่ตัดสินจากการมองเพียงครั้งเดียวโดยไม่กินสักคำแล้วกัน”
ลู่ไป่จวิ้นกลอกตาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป็นการกลอกตาให้ตนเอง นี่เป็นเรื่องปกติมากมิใช่หรือ ถ้าข้าเห็นแล้วไม่พอใจก็ไม่เก็บไว้กินอยู่ดี
เซียวอวี้ยกพู่กันจุ่มน้ำหมึก เพียงครู่เดียวเขาก็เขียนเต็มหนึ่งหน้ากระดาษ จากนั้นจึงวางพู่กันในมือลง
ลู่ไป่จวิ้นยกกระดาษขึ้นมองจนสองตาแทบถลนออกมา ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้านี่จะเรื่องมากปานนี้
‘หมูหน้าตาน่าเกลียดมีมันมากเกินไป…ไม่กินเนื้อหมู กลิ่นอาหารต้องพิถีพิถันให้หอมฟุ้งอบอวลทว่าห้ามโดดเด่นเกินหน้าวัตถุดิบหลัก ไม่ชอบของหวาน…แต่ของหวานทำให้คนอารมณ์ดี อาหารที่มีรสอ่อนกินแล้วสดชื่นย่อมดีที่สุด…แต่อาหารก็ไม่ควรไร้รส อาหารหนึ่งอย่างจะดึงดูดผู้คนได้หรือไม่ หน้าตาภายนอกถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด’
ไหนเจ้าบอกว่าไม่ตัดสินอาหารจากการมองครั้งเดียวโดยไม่กินสักคำอย่างไรเล่า!
ลู่ไป่จวิ้นอยากตวัดตามองค้อนเซียวอวี้นัก แต่เขาก็ยังฝืนอดทนเอาไว้ได้ ยื่นกระดาษแผ่นนี้ให้แม่นางฉู่ตรงๆ นางจะคิดว่าเขากำลังหาเรื่องนางอยู่หรือไม่
เห็นได้ชัดว่าเซียวอวี้ก็รู้ว่าลู่ไป่จวิ้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่เขาก็หาได้ใส่ใจแต่อย่างใด เพียงชายตามองมาแล้วเอ่ยว่า “พูดมาเถิด เจ้ามีท่าทางกระตือรือร้นถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกันแน่”
ลู่ไป่จวิ้นหัวเราะเสียงแห้ง ก่อนสาธยายยาวเหยียด “ถึงเจ้าเป็นฝ่ายบอกให้ข้าเขียนจดหมายเชิญเจ้ามาเซียงโจว แต่ที่ข้าเชิญเจ้ามาก็มีเป้าหมายเช่นกัน ข้าอยากร่วมงานกับเจ้า เปิดหอสุราที่เมืองหลวง”
เซียวอวี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ไฉนจู่ๆ ถึงคิดจะเปิดหอสุราที่เมืองหลวง”
“เจ้าก็มองออกว่าจวนหนิงอันโหวของพวกเราฝืดเคืองเพียงใด ใช้ชีวิตกันอย่างอัตคัดขัดสน กระทั่งชนชั้นสูงระดับกลางก็ยังนับเป็นไม่ได้เลย ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำการค้าแม้แต่น้อย พวกเขาจึงทำได้เพียงเฝ้าสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ให้ ใช้สมบัติจนหมดบ้านจึงเป็นแค่เรื่องไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรข้าก็ต้องหาวิธีเพิ่มพูนทรัพย์สินให้จวนโหว”
“ข้าจำได้ว่าเจ้าร่ำร้องอยากจะทำการค้า ยั่วโมโหจนท่านโหวโกรธใหญ่โตถึงได้ถูกขับไล่ออกมามิใช่หรือ” เซียวอวี้ย้ำเตือน
“ท่านพ่อข้าไม่ยอมให้ข้าทำการค้าเพราะเกรงว่าข้าจะขาดทุนจนผลาญทรัพย์สมบัติหมดเกลี้ยง แต่พอเห็นเงินที่ข้าหาได้จากเซียงโจวแล้ว เขาก็เห็นความสามารถทางการค้าของข้า ไม่ขัดขวางข้าทำการค้าแล้ว” ลู่ไป่จวิ้นตระเตรียมคำพูดไว้เรียบร้อยตั้งแต่ต้น
ความจริงแล้วบิดามารดาก็ไม่เห็นด้วยที่เขาทำกิจการจริงๆ เป็นถึงคุณชายจวนโหวจะทำตัวเหมือนพ่อค้าผู้หนึ่งได้อย่างไร ขณะที่พี่ใหญ่ผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ก็รู้เพียงเรียนหนังสือ แต่กลับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หากจวนหนิงอันโหวรู้แต่รักษาสมบัติตกทอดโดยไม่คิดหาเงินเพิ่ม ไม่นานคงเหลือเพียงเปลือกกลวงเท่านั้น ในเมื่อฝ่าบาทยินดีใช้งานเขา ให้โอกาสเขาออกมาฝ่าฟันดูสักครั้ง เมื่อทางบิดามารดารู้สึกว่าเขามีฝีมือทางการค้าจริงๆ ย่อมจะไม่คัดค้านเป็นธรรมดา
“ในเมื่อท่านโหวไม่คัดค้านเรื่องที่เจ้าทำการค้าอีก ไยต้องลากข้าลงน้ำไปด้วย”
“ถึงท่านพ่อข้าไม่ห้าม แต่เรื่องหน้าตายังคงต้องรักษาเอาไว้ อย่างไรเสียชื่อเสียงของเจ้าที่เป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนอู่หยางโหวก็มีประโยชน์กว่าข้าออกหน้าเอง พวกเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายย่อมไม่กล้ามาหาเรื่องเจ้าแน่” ร้านรวงในเมืองหลวงเล็กใหญ่มากมายเหล่านั้นแน่นอนว่าเบื้องหลังของทุกร้านมิได้เกี่ยวพันกับขุนนางหรือว่าผู้มีอำนาจไปเสียทั้งหมด ทว่าร้านที่สะดุดตาเช่นหอสุรา หากอำนาจผู้อยู่เบื้องหลังยิ่งใหญ่ไม่พอย่อมง่ายต่อการเกิดปัญหาเป็นที่สุด ซึ่งเขาก็มั่นใจว่าหอสุราที่ตนเองจะเปิดนั้น ไม่นานจะต้องขัดหูขัดตาผู้คนจำนวนมากเป็นแน่