“ต้องการให้ข้าเป็นเจ้าของในนามใช่หรือไม่” เซียวอวี้เข้าใจได้ในทันที
“หากแขวนชื่อไว้ ข้าให้เจ้าสองส่วน หากร่วมลงทุนด้วย พวกเราค่อยต่อรองกันอีกที”
“คิดว่าข้าจะโลภกับสองส่วนของเจ้าหรือ”
“ข้าให้เจ้าช่วยเปล่าๆ ไม่ได้นี่”
“พวกเราเป็นสหายสนิทกัน ไม่มีสองส่วนข้าก็คุ้มครองเจ้าอยู่ดี”
เดิมทีลู่ไป่จวิ้นก็เต็มใจจะให้สองส่วนนี้แก่เซียวอวี้อยู่แล้ว พอได้ยินสหายเอ่ยเช่นนี้อีกเขาก็ยิ่งซาบซึ้งใจ “ข้ารู้ว่าสองส่วนนี้ไม่อยู่ในสายตาเจ้า แต่หลังจากกินอาหารรับรองแล้ว บางทีเจ้าอาจจะอยากร่วมทุนกับข้า”
“ข้าเริ่มจะประหลาดใจแล้วสิ คนผู้นี้มีความสามารถมากจริงๆ ทำให้เจ้าให้ความสำคัญมากปานนี้”
“เขาไม่ใช่แค่มีความสามารถ ยังเฉลียวฉลาดและใจกล้าอีกด้วย” ลู่ไป่จวิ้นเล่าเมื่อตอนแรกเริ่มที่ได้รู้จักกับนางเมื่อหนึ่งปีก่อนออกมา
ได้ยินเช่นนั้นเซียวอวี้ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนวิจารณ์คำหนึ่งว่า “เป็นคนไม่กลัวตายคนหนึ่ง”
ลู่ไป่จวิ้นส่ายศีรษะแก้ตัว “ตอนนั้นเป็นเพราะอีกฝ่ายขาดเงินมากจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่กล้าขัดขากับหอจ้วนเซียน”
เซียวอวี้เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยสัพยอก “ข้ารอคอยที่จะได้พบเขายิ่งนัก คนที่ได้รับการยกย่องและปกป้องจากเจ้าเช่นนี้มีอยู่ไม่มากจริงๆ”
“เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่ยินดีพบเจ้า” ต่อให้ลูกค้าเกิดพอใจในอาหารและเชิญพ่อครัวออกมาพบแล้วตกรางวัลให้อย่างงามจะเป็นเรื่องปกติ แต่เขากลับเชื่อว่าแม่นางฉู่คงไม่เห็นค่าของเงินรางวัลนี้แน่
“เขาหน้าตาอัปลักษณ์หาใดเปรียบจึงพบเจอผู้คนไม่ได้หรือไร” เซียวอวี้เอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นเป็นจริงจัง
ลู่ไป่จวิ้นลูบใต้คางพลางย้อนคิดไปหน้าตาของโฉมงามอย่างละเอียด จู่ๆ เขาก็อธิบายขึ้นมาไม่ได้เสียอย่างนั้น เนื่องจากหน้าผากของนางมีผมหน้าม้าปิดอยู่ มองแวบแรกแล้วก็ได้แต่เหม่อลอยไปเล็กน้อย สุดท้ายจึงสรุปได้แค่ว่า “คนผู้นี้ไม่อัปลักษณ์อย่างแน่นอน แต่มีหน้าตาอย่างไรกันแน่ ข้าก็อธิบายออกมาไม่ได้จริงๆ อีกทั้งท่าทางยังดูเย็นชา ทำให้คนไม่กล้าดูแคลน”
เซียวอวี้ยกมุมปากอย่างฝืดฝืน เขาไม่อาจจินตนาการถึงท่าทางเย็นชาของ ‘พ่อครัว’ ที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นน้ำมันและควันอาหารได้
ลู่ไป่จวิ้นโบกมือไปมา “สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่ข้าต้องใจคือรายการอาหารที่มีเต็มสมองของอีกฝ่ายมากกว่า”
“ข้าจะรอ หวังว่าเขาจะควรค่าให้เจ้าชื่นชมถึงเพียงนี้ก็แล้วกัน”
“อีกไม่นานเจ้าก็ได้อิ่มหนำสำราญยกใหญ่แล้ว”
“จะตั้งตารอ” เซียวอวี้พยักหน้ายิ้มๆ พลางขานรับ ทว่าพริบตาเดียวก็โยนทิ้งไปมิได้เก็บมาใส่ใจ
บิดามีเขาเป็นบุตรชายอยู่คนเดียว ทั้งอายุเลยสามสิบห้าแล้วถึงได้มี เพื่อเลี่ยงไม่ให้มารดาเอาใจเขาจนเสียคนบิดาจึงโยนเขาเข้าไปฝึกฝนขัดเกลาอยู่ในกลุ่มองครักษ์ตั้งแต่เล็ก น่าเสียดายที่ในด้านต่างๆ เขานั้นล้วนมีนิสัยเฉกเช่นทหารหาญทั้งสิ้น เห็นจะมีแต่การกินอาหารที่ไม่อาจทนให้ตนเองลำบากตรากตรำได้ ทำให้องครักษ์ที่ติดตามเขาตั้งแต่เด็กสองสามคนพลอยทำอาหารเป็นกันหมด มิหนำซ้ำแต่ละคนต่างก็มีอาหารจานเด็ดคนละสองสามอย่างผลัดกันเข้าครัวทำออกมาให้เขา อย่างน้อยก็รับรองได้ว่าเขาจะไม่มีวันอดตาย
ขนาดพ่อครัวของจวนอู่หยางโหวซึ่งเป็นพ่อครัวเลื่องชื่อจากหอสุราหลายแห่งของเมืองหลวงเซียวอวี้ยังไม่เห็นค่าเลย แล้วนับประสาอะไรกับพ่อครัวที่ไม่กล้ามาพบหน้าผู้หนึ่ง ไหนเลยจะอยู่ในสายตาของเขาได้