X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 112

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 112

สองวันภายหลังชวีหลิงจวินจากไป ในที่สุดชายาองค์ชายรองก็กลับจากเยี่ยมไข้บิดา ขณะเดียวกันเรื่องปราบโจรกบฏที่เมืองโซ่วชุนก็เริ่มเดินหน้าอย่างเป็นทางการแล้ว เสบียง อาวุธยุทโธปกรณ์ และกำลังพลล้วนเตรียมพร้อมล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน ทันทีที่ฮ่องเต้มีคำสั่งลงมา ฟันเฟืองแห่งสงครามซึ่งตระเตรียมไว้แต่แรกก็ขับเคลื่อนไปตามลำดับขั้นตอนดุจมีชีวิต

องค์ชายรองชมดูจนดวงตาร้อนผ่าว ยื่นหน้ายื่นตาอยากจะเข้าไปผสมโรงในกองทัพ ทว่าถูกฮ่องเต้ยึดกุมความผิดเล็กๆ หนึ่งข้อแล้วสั่งลงโทษอย่างหนักไปหนึ่งยก วันรุ่งขึ้นชายาองค์ชายรองก็ขออำลาฮองเฮา บอกว่านางกับสามีต้องการไปจากเมืองหลวงชั่วเวลาหนึ่งเพื่อไปร่วมพิธีแต่งงานของชวีหลิงจวินสหายสนิท ฮองเฮาย่อมอนุญาต หลิงปู้อี๋ฟังข่าวนี้จบก็แสดงความเห็นว่าองค์ชายรองแต่งชายาผู้นี้ได้ไม่เลว

เฉิงเซ่าซางเอ่ยทายทันใด “ความหมายของท่านคือ…ชายาองค์ชายรองได้ยินเรื่องของชวีฮูหยินแต่แรกแล้ว ทว่าหลบอยู่ข้างนอกไม่ยอมกลับเมืองหลวง?”

“นางอวดตนเป็นสหายสนิทของชวีหลิงจวิน ในเมื่อสหายสนิทกระทำผิดอุกฉกรรจ์ฐานฆ่าสามี นางจะไยดีหรือไม่ไยดีเล่า ไม่ไยดี…ไม่แคล้วดูแล้งน้ำใจ ไยดี…นางก็ไม่อาจแน่ใจว่าชวีหลิงจวินฆ่าคนจริงๆ หรือไม่ เพื่อไม่ให้พลอยเดือดร้อนโดยใช่เหตุ นางมิสู้วางตัวอยู่นอกเรื่องราวเสียดีกว่า”

เฉิงเซ่าซางมีสีหน้าผิดหวัง “คนในวังนี่นะ…ไม่มีเรียบง่ายเลยสักคน ชายาองค์ชายรองดูเปิดเผยตรงไปตรงมายิ่ง นึกไม่ถึงว่านางก็มีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้”

หลิงปู้อี๋กล่าว “เอ่ยเฉพาะเล่ห์เหลี่ยม ซุนซื่อหิ้วรองเท้าให้ชายาองค์ชายรองยังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ หลายปีมานี้หากไม่ใช่ฮองเฮากับข้าปกป้องหลายหน ไม่รู้จุดอ่อนของซุนซื่อจะถูกชายาองค์ชายรองยึดกุมไปเท่าไร”

“ชายาองค์ชายรองทำเยี่ยงนี้ ฮองเฮาไม่ทรงตำหนิเลยสักครั้ง?”

“ตำหนิอันใดเล่า นางไม่ได้ปรักปรำให้ร้ายเสียหน่อย บริวารของซุนซื่อกระทำไม่ถูกควรจริงๆ ชายาองค์ชายรองเพียงลอบสืบสาว แล้วนำมาเปิดโปงก็เท่านั้น”

เฉิงเซ่าซางถอนหายใจ จากนั้นก็ฉุกคิดได้เรื่องหนึ่ง จึงดึงแขนเสื้อของหลิงปู้อี๋อย่างเคร่งเครียด “ชะ…เช่นนั้นหลายวันก่อน ท่านแอบออกจากค่ายใหญ่ผานชิ่งไปเที่ยวเล่นบนภูเขาถูเกากับข้า กงกงผู้ดูแลคฤหาสน์น้ำพุร้อนต้องทูลฝ่าบาทแล้วแน่ๆ! ตอนนี้ผู้ใหญ่ผู้น้อยในราชสำนักล้วนวุ่นอยู่กับการเตรียมไปศึกโซ่วชุน ท่านเองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในทัพใหญ่ปราบกบฏ แต่กลับ…แต่กลับ…เช่นนี้จะทำอย่างไรกันดีเล่า!”

หลิงปู้อี๋คลี่ยิ้มสดใส ลูบไล้ดวงหน้าเล็กของเด็กสาว “เจ้าเพิ่งจะฉุกคิดได้หรือ!” เขาเอ่ยต่อหลังจากถูกนางตีมือออก “เช้าวันนี้ข้าถูกฝ่าบาทตำหนิไปแล้ว”

เฉิงเซ่าซางโล่งใจลูบอก “ฝ่าบาททรงตำหนิท่าน ก็จะไม่มีเรื่องใหญ่โตแล้วล่ะ”

ท่าทีของหลิงปู้อี๋แสนผ่อนคลาย “ศึกหนนี้เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”

มิผิด ศึกโซ่วชุนเป็นเพียงสมรภูมิขนาดเล็ก ใช้กำลังพลของหนึ่งแคว้นสยบเหตุวุ่นวายในหนึ่งพื้นที่ ไม่ต่างกับใช้ค้อนที่หนักพันชั่งบดขยี้ขนมเปี๊ยะกรอบ เหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนรู้ว่าโจรกบฏเผิงเจินจะต้องแหลกเป็นผุยผง ดังนั้น…ต่างคนจึงต่างออกลวดลายให้เห็น

บรรดาแม่ทัพเก่าแก่ขุนนางสำคัญที่เคยติดตามฮ่องเต้บุกตะลุยใต้หล้า หนนี้ล้วนวางตัวดียิ่ง ที่ปฏิเสธก็ปฏิเสธ ที่เสนอชื่อผู้มีความสามารถก็เสนอชื่อผู้มีความสามารถ ต่างไม่มีความประสงค์จะชิงผลงานแย่งอำนาจแม้แต่น้อย ซ้ำพากันบอกว่าพวกตนแก่ชราแล้ว ควรยกโอกาสให้คนหนุ่มได้ทอแสงฉายประกาย

ถ้าเช่นนั้นจะเป็นคนหนุ่มคนใดบ้างเล่า บนใบหน้าเหล่าขุนนางฉาบยิ้มละไม ในใจต่างแจ่มแจ้งดี…ย่อมจะเป็นบุตรหลานรุ่นหลังของแต่ละตระกูลน่ะสิ!

ดังนั้น…หนนี้แม้แต่แม่ทัพใหญ่อู๋ผู้ขึ้นชื่อว่าโผงผางห้าวหาญก็ยังซุกตัวอยู่ในบ้าน ไม่ยอมออกมาบัญชาทัพใหญ่ นี่เป็นเพราะเขารู้ดี หนนี้เรื่องยุ่งยากไม่ใช่รบทัพจับศึก แต่เป็นการควบคุมบรรดาบุตรหลานชนชั้นสูงเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกลุ่มนี้อย่างไรต่างหาก! ไม่เพียงต้องคุมให้ดีคุมให้เข้ม ภายใต้เงื่อนไขว่าการศึกจะต้องราบรื่น ผู้นำทัพยังต้องให้บุตรหลานชนชั้นสูงกลุ่มนี้มีโอกาสได้เผยหน้าเผยตาสร้างผลงาน พร้อมกันนั้นยิ่งต้องคุมขอบเขตให้พอเหมาะ ชนกระแทกถลอกร้องไห้นั้นไม่เป็นไร มือด้วนเท้ากุดหัวหลุดนั้นไม่ได้

รูปการณ์เยี่ยงนี้ฮ่องเต้รู้แก่ใจดี ทว่าไม่สะดวกใจจะตำหนิ เพราะพระองค์เองก็คือคนแรกที่ทำตัวเช่นนี้

ช่วยไม่ได้นี่ เจ้าบุตรบุญธรรมสู้รบทีไรจะกล้าหาญชาญชัยแบบไม่ถนอมตัวเลยสักนิด คลาดสายตาเพียงแวบเดียว สถานที่อันตรายใดๆ ก็ล้วนกล้าพุ่งเข้าใส่ ก่อนหน้านี้พระองค์ถูกเขย่าขวัญมาหลายหนแล้ว บนใบหน้าผุดรอยย่นเพิ่มมาตั้งหลายเส้น ศึกใหญ่พายุโลหิตที่แท้จริงพระองค์หักใจส่งหลิงปู้อี๋เข้าไปไม่ได้หรอก ศึกเล็กระดับความยากอย่างแค่โซ่วชุนนี้เป็นโอกาสอันดีที่สุด

คาดว่าพี่น้องเก่าแก่กลุ่มนั้นก็มีความคิดเดียวกับพระองค์ พระองค์ย่อมพูดไม่ได้กระมังว่า ‘เราคือมังกรแท้ ทำเช่นนี้ได้ พวกเจ้าคือกุ้งฝอย ฉะนั้นห้ามทำนะ’

ต่อให้เข้าอกเข้าใจผู้อื่นสักเพียงใด อย่างไรเสียพระองค์ก็เป็นปฐมกษัตริย์ที่ตีชิงแผ่นดินมาด้วยสองมือเปล่า รู้ซึ้งถึงเหตุผลที่ว่าการศึกห้ามเลินเล่อ การเตรียมตัวที่พึงกระทำยังคงต้องกระทำ บุตรหลานชนชั้นสูงเหล่านี้ร่วมทัพได้ ทว่าสัดส่วนห้ามเกินสามส่วน ทั้งจะต้องควบคุมอย่างเข้มงวด หลังจากตรึกตรองชั้นแล้วชั้นเล่า ชุยโย่วซึ่งเดิมพระองค์เพียงหมายใจจะส่งไปช่วยหลิงปู้อี๋คุมสถานการณ์จึงถูกเลื่อนขึ้นเป็นจอมทัพไปโดยตรง

คำสั่งนี้พอประกาศลงมา เหล่าขุนนาง…โดยเฉพาะผู้ที่มีบุตรหลานอยู่ในกองทัพต่างโห่ร้องทันทีว่าฮ่องเต้ปราดเปรื่องปรีชา ตามด้วยคำสรรเสริญเยินยออีกสารพัดแบบ ชุยโย่วที่อยู่ด้านข้างใบหน้าหมองคล้ำดุจสีดิน เห็นฟ้าดินพลันหมุนคว้าง…ในเมื่อครั้งนั้นฮ่องเต้วางใจมอบบุตรบุญธรรมวัยสิบห้าของพระองค์มาอยู่ในมือเขา เหล่าขุนนางก็ย่อมจะวางใจโยนบุตรหลานมาให้เขา ‘พ่อลูกอ่อนป้ายทอง’ ผู้นี้เช่นกัน ความคิดอ่านของทุกๆ คนก็เหมือนๆ กันนั่นล่ะ

ในหมู่ขุนนางสำคัญ ชุยโย่วมีมนุษยสัมพันธ์ดีเป็นอันดับหนึ่งอันดับสอง

ขุนนางทั้งหลายชื่นชอบเขา เพราะเขาไม่ชอบชิงอำนาจแย่งอิทธิพล ในการโต้เถียงหลายเรื่องเขาล้วนยิ้มแย้มปล่อยมันผ่านไป

ฮ่องเต้ก็ชื่นชอบเขา ทุกคราที่ยิ้มถามเขาว่าหนนี้สร้างผลงานอีกแล้ว ต้องการรับรางวัลใด เขามักมองกลับไปด้วยแววตาทอประกายแฝงนัยลุ่มลึก มองเสียจนฮ่องเต้ขนลุกซู่ไปหนึ่งระลอก ต่อให้พระองค์ใช้นิ้วเท้าก็คิดออกว่าชุยโย่วต้องการสิ่งใด…อย่างมากก็แค่รอวันหน้าฮั่วจวินหวาหายป่วยแล้ว พระราชทานสมรสให้เขากับนางเท่านั้นเอง

ชุยโย่วแม้รูปโฉมไม่โดดเด่น ทว่าเหล่าพี่น้องเก่าแก่ที่คบหากันมาหลายสิบปีล้วนรู้ว่าเขาเจ้าปัญญามากไหวพริบ กระทำการสุขุมรอบคอบ หากมิใช่จมปลักอยู่กับฮั่วจวินหวาผู้เดียว นานหลายสิบปีมั่นคงดุจผ่านเพียงชั่ววัน วงศ์ตระกูลที่หมายตบแต่งสตรีเป็นภรรยาใหม่ของเขาก็คงย่ำธรณีประตูใหญ่สกุลชุยจนสึกไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้สกุลปันซึ่งเดิมยังสองจิตสองใจอยู่จึงนำตัวปันโหวน้อยทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลออกมาร่วมทัพ อวี๋โหวผู้เขียนคุณธรรมความรู้ไว้เต็มใบหน้าก็ยัดบุตรชายสามคนมาอย่างเคอะเขิน…อีกหลายตระกูลก็ทำเช่นเดียวกันนี้

ยิ่งใกล้วันเดินทาง ทุกคนยิ่งงานยุ่ง เฉิงเซ่าซางเองก็ไม่ยกเว้น

พักนี้นางเร่งมือทำเสื้อตัวในหนึ่งชุดกับถุงเท้ากำมะหยี่เนื้อหนาหนึ่งคู่ให้หลิงปู้อี๋ติดกันมาหลายคืน อีกทั้งเหลือฝีเข็มท้ายๆ ไปทำที่ตำหนักฉางชิว เย็บเก็บงานต่อหน้าท่านลุงฮ่องเต้เป็นพิเศษ ครั้นเห็นนิ้วมือเฉิงเซ่าซางถูกเข็มตำจนดูคล้ายแต้มดาวเกลื่อนฟ้า ต่อให้ชิ้นงานที่สำเร็จแล้วนั้นไม่ได้ความสักเท่าไรจริงๆ ฮ่องเต้ก็ยังคงพ่นลมขึ้นจมูกสองที บ่งบอกว่ายังนับเป็นที่น่าพอใจ

หลิงปู้อี๋หน้าขรึมดึงตัวเฉิงเซ่าซางออกมา พลิกดูมือเล็กของนางซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ “ทำจนเป็นเยี่ยงนี้ มิสู้ไม่ทำดีกว่า”

เฉิงเซ่าซางคลี่ยิ้ม ยื่นนิ้วจิ้มแก้มของเขา “ท่านช่างไร้มโนธรรมนัก นิ้วมือข้าเป็นเยี่ยงนี้เพื่อผู้ใดกันเล่า”

“แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้ถูกฝ่าบาทอบรมน่ะสิ” หลิงปู้อี๋เปิดโปงนางอย่างเฉียบคม

เฉิงเซ่าซางหน้าแดงอยู่บ้าง เอ่ยอย่างวางหน้าไม่สนิท “ท่านพูดมาไม่ผิด…เพียงแต่ฟู่หมู่ข้าบอกว่างานเย็บปักยังคงต้องหัดไว้หน่อย วันหน้าจะได้ทำสิ่งของติดกายให้สามีกับลูกๆ ได้”

“คราวก่อนแขนเสื้อเจ้าเกี่ยวขาด ก็เป็นข้าที่เย็บซ่อมให้ ข้าเคยคาดหวังงานเย็บปักของเจ้าเมื่อไรกัน”

เฉิงเซ่าซางประท้วงอย่างจนใจ “ท่านไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ไม่ได้หรือ วันนั้นกลับไปแล้วฟู่หมู่ถามข้าว่าแขนเสื้อเป็นผู้ใดเย็บซ่อมให้ ข้าตอบว่าเป็นท่าน จากนั้นก็ถูกนางอบรมไปสองชั่วยามเต็มๆ สองชั่วยามเชียวนะ! ฟู่หมู่บอกว่าเรื่องเยี่ยงนี้ขืนเล็ดลอดออกไป รับรองจะต้องเป็นข่าวสุดพิสดารนับแต่อดีตตราบปัจจุบัน ต่อไปสตรีสกุลเฉิงล้วนไม่ต้องออกไปนอกบ้านกันแล้ว!”

หลิงปู้อี๋หัวเราะร่า เห็นปลายจมูกจิ้มลิ้มที่เชิดขึ้นของเด็กสาวแดงระเรื่อท่ามกลางอากาศหนาวก็ให้ยั้งใจไม่ไหว โน้มใบหน้าลงขบกัดไปหนึ่งคำ

เฉิงเซ่าซางพลันหน้าแดงซ่าน ป้องจมูกไว้ ถอยร่นติดกันหลายก้าวใหญ่ ก่อนชี้นิ้วมือที่สั่นระริกไปยังชายหนุ่มตรงหน้า “ทะ…ท่านๆ…”

หลิงปู้อี๋เดินหน้าไปหลายก้าว เรือนกายอันสูงสง่าโน้มประชิดลงมาดุจภูผาหยกเอน กระซิบริมหูนางว่า “เจ้าอย่าเคืองไปเลย ข้าจะให้เจ้ากัดคืนนะ”

เฉิงเซ่าซางมองดูลูกกระเดือกที่เคลื่อนขยับนิดๆ กับสันจมูกที่โด่งองอาจของเขาแล้ว ไม่รู้พาให้นึกไปถึงสิ่งใด ใบหน้านางจึงแดงจัดยิ่งกว่าเดิม

วันสุดท้ายก่อนเดินทัพ หลิงอี้ลอบไปที่จวนของหลิงปู้อี๋ ตอนนั้นเฉิงเซ่าซางอยู่ด้วยพอดี พอเขาเห็นนางก็ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ฝ่าบาทไม่โปรดให้ข้ามาหาจื่อเซิ่ง เจ้าอย่าพูดออกไปเชียว”

เฉิงเซ่าซางค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อม ทว่าไม่ตอบคำแต่อย่างใด

หลิงอี้มอบเกราะอ่อนใยทองคำอันล้ำค่าชุดหนึ่งแก่บุตรชาย ก่อนย้ำกำชับ “ต้องแคล้วคลาดกลับมานะ ร่างกายสมบูรณ์ปลอดภัย สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด อย่าเลือดร้อนเสี่ยงภัยโดยง่าย อย่า…อย่าได้เป็นเช่นลุงของเจ้า…มีชีวิตอยู่สำคัญที่สุด มีแต่อยู่รอดจึงจะทำสิ่งที่เจ้าอยากทำได้!”

หลิงปู้อี๋ก้มหน้าฟัง ขานรับเป็นคำๆ จากนั้นบิดากับบุตรชายที่นั่งตรงข้ามกันก็ไร้วาจาใดๆ เนิ่นนานให้หลังหลิงปู้อี๋ค่อยเอ่ยปาก “รอจนข้ากลับมาหนนี้จะไปจวนเฉิงหยางโหวของท่าน วันปีใหม่คงไม่ทันแล้ว อาจจะเป็นวันหยวนเซียว…”

คิ้วตาของหลิงอี้อาบอิ่มด้วยความปีติ เอ่ยว่าดีเสียงระรัว แล้วหันไปบอกว่าที่ลูกสะใภ้ “เซ่าซาง ถึงตอนนั้นเจ้าก็มาด้วยกันนะ!” เขาเว้นวรรคเล็กน้อย “ฉุนอวี๋ซื่อจะไม่ออกมาแน่ หากยังมีใครไม่เกรงอกเกรงใจเจ้า เจ้าอยากจะพูดอันใดก็พูดได้เลย ไม่ต้องไปกลัว!”

ตอนที่หลิงอี้จะกลับ โอวหยางกวนพลันมาแจ้งข่าวด่วน เฉิงเซ่าซางจึงลุกขึ้นออกไปส่งหลิงอี้แทนหลิงปู้อี๋ ครั้นเดินไปถึงลานด้านหน้า หลิงอี้ก็พลันทอดถอนใจ “จื่อเซิ่งอุปนิสัยดื้อรั้น เจ้าหมั่นเกลี้ยกล่อมเขาที อย่าได้ฟังผู้อื่นยกยอว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุคก็ไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก เจ้าไม่เคยเห็นลุงของจื่อเซิ่ง เป็นบุคคลดุจเทพสวรรค์โดยแท้ กระนั้นธุลียังคงคืนสู่ธุลี ดินคืนสู่ดิน สูญสลายเช่นหมอกควันไปวันยังค่ำ”

เฉิงเซ่าซางพลันยืนนิ่งไม่เดินต่อ “สักวันหนึ่งทุกคนล้วนต้องเป็นธุลีคืนสู่ธุลี ดินคืนสู่ดิน ทุกคนจะต้องสูญสลายเช่นหมอกควันด้วยกันทั้งสิ้น! ทว่าสิ่งที่เคยกระทำจะไม่ดับสูญ คุณูปการที่ฝากไว้จะไม่ดับสลาย!”

หลิงอี้ตกตะลึงอยู่บ้าง ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอีกครา “อย่างนั้น…เจ้าหวังจะให้จื่อเซิ่งเป็นเยี่ยงนี้เช่นกันหรือ”

เฉิงเซ่าซางเป็นใบ้ไปทันใด

หลังมองส่งหลิงอี้จากไปแล้ว นางก้าวย่างเนิบนาบไปถึงสวนด้านหลัง ยืนเหม่ออยู่ใต้ต้นเหมยโบราณต้นหนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่หลิงปู้อี๋ตรงมาหานาง ยิ้มถามว่าเป็นอะไรไป เฉิงเซ่าซางพิศมองดวงหน้าหล่อเหลาของเขานานสองนาน ค่อยถอนใจกล่าว “ถ้าอย่างไรท่านลาออกจากการเป็นขุนนางเถิด ข้าจะเลี้ยงท่านเอง”

หลิงปู้อี๋แรกเริ่มตะลึงวูบ จากนั้นหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ “อย่าไปฟังท่านพ่อข้า เป็นตายฟ้าลิขิตไว้แล้ว และข้าก็ยังใช้ชีวิตไม่พอด้วย”

เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะ อุทานจากใจ “ถูกต้อง! เป็นตายฟ้าลิขิตไว้แล้ว ดังนั้นข้าจะแต่งงานใหม่แน่นอน”

หลิงปู้อี๋หน้าดำทะมึนทันตาเห็น “เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะรอดชีวิตกลับมาแน่!”

 

วันเดินทัพใหญ่ ท่านพ่อเฉิงมีสีหน้าไม่ชอบใจราวถูกคนเหนียวหนี้ไม่ยอมคืน หนนี้เขาถูกฮ่องเต้ส่งไปมณฑลหยางโจวตอนกลางถึงใต้ ร่วมกับแม่ทัพใหญ่หานรักษาการณ์เส้นทางหลายสายที่จำต้องผ่านจากเมืองโซ่วชุนลงใต้ เพื่อป้องกันโจรกบฏแตกพ่ายแล้วหลบหนีไป

ตั้งแต่หลายวันก่อน เฉิงสื่อก็เห็นบุตรสาวฮึดทำงานเย็บปักอยู่ตรงนั้น ต่อให้อาจู้จับจ้องไม่คลาดสายตา ก็ยังหวิดจะก่อตัวเป็นคดีเลือดนองนิ้ว เดิมนึกว่านี่บุตรสาวกำลังทำให้เขาอยู่ ต่อเมื่อภรรยาเตือนสติอย่างอ้อมค้อมว่าบุตรสาวหมั้นหมายแล้ว เขาค่อยรู้ตัวคิดว่าต่อให้เสื้อผ้าทำให้หลิงปู้อี๋ ถุงเท้ากำมะหยี่ก็น่าจะทำให้บิดาคนนี้กระมัง ใครจะรู้ว่าไม่มีส่วนของเขาแม้ส่วนเสี้ยว

จนกระทั่งจะออกเดินทางอยู่รอมร่อ บุตรสาวซึ่งยืนอยู่ข้างกายฮองเฮาก็ยังแอบมองแต่หลิงปู้อี๋ที่อยู่เบื้องล่างแท่นบัญชาการแม่ทัพนั้นโดยตลอด ไม่ได้เจียดแบ่งสายตามาให้บิดาผู้ชราสักแวบเดียว เฉิงสื่อจึงน้ำตานองอย่างห้ามไม่อยู่

กองทัพเคลื่อนตัวไปช้าๆ ผ่านเบื้องล่างของแท่นบัญชาการแม่ทัพ ตัดผ่านประตูเมืองออกไป ขณะนี้ดวงตะวันแขวนอยู่กลางฟ้า หลิงปู้อี๋กุมสายบังเหียนของอาชาพ่วงพี ขี่นำอยู่หน้าสุด แสงอาทิตย์เหมันต์สีทองอบอุ่นสาดปรกชุดเกราะสีดำของเขา ในท่วงทีอันแข็งแกร่งประเปรียวนั้นแผ่ซ่านซึ่งกลิ่นคาวโลหิตของผู้ผ่านสนามรบมา

เฉิงเซ่าซางเพ่งพิศเขาอยู่ตลอด หลิงปู้อี๋คล้ายสัมผัสได้ จึงพลันวกหัวม้าขี่ย้อนกลับมา พริบตาก็ถึงแท่นสูงอันเป็นที่ตั้งขบวนเกียรติยศของฮองเฮาข้างแท่นบัญชาการแม่ทัพ เฉิงเซ่าซางยังคงไม่เข้าใจสาเหตุ เพียงเห็นแขนยาวของหลิงปู้อี๋เหยียดออก มือซ้ายโบกขึ้นเบาๆ หนเดียว ภายใต้สายตาของฝูงชนมีสิ่งของเล็กๆ ชิ้นหนึ่งกรีดเป็นเส้นโค้งนิดๆ กลางอากาศ ตกสู่อ้อมอกของเฉิงเซ่าซางอย่างแม่นยำ

ฮ่องเต้ที่กำลังไปจากแท่นบัญชาการแม่ทัพเห็นแล้วเช่นกัน พระองค์ปั้นหน้าขรึม ทั้งอยากยิ้มทั้งอยากด่าคน หยวนเซิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังพระองค์เพียรข่มใจไม่ให้เหลือกตา ทว่าผู้อื่นกลับไม่มีการอบรมที่ดีเช่นนี้ เสียงหยอกล้อได้ผุดขึ้นรอบทิศแล้ว เหล่าทหารหลวงครึ่งหลังซึ่งขี่ม้าผ่านมาเห็นภาพฉากนี้ต่างพากันหัวเราะครื้นเครง

“แม่ทัพน้อยหลิงก็เป็นเช่นนี้ด้วยหรือนี่ คนเราดูกันแต่ภายนอกไม่ได้จริงๆ”

“แค่เดือนสามปีหน้า ไม่ต้องใจร้อนหรอก”

“ว่าที่ภรรยางามปานบุปผา ทำให้พวกข้าอิจฉาแทบตายแล้ว”

เฉิงเซ่าซางหน้าแดงดุจลุกไหม้ ฮองเฮาส่ายหัวผลิยิ้ม แม้แต่นางกำนัลขันทีรอบด้านก็พากันหัวเราะเบาๆ เฉิงเซ่าซางประคองห่อผ้ากำมะหยี่เล็กๆ ห่อนั้นไว้ ทุ่มสุดแรงเงยหน้าขึ้นโดยไม่อาจมัวขวยเขิน แลเห็นภายใต้หมวกเกราะกิเลนเหล็กสีนิล ชายหนุ่มเผยเพียงใบหน้าครึ่งซีกล่างอันขาวหมดจด คลับคล้ายโปรยยิ้มน้อยๆ มาให้นางหนหนึ่ง ก่อนจะกระตุ้นม้าห้อตะบึงจากไป

เสียงหยอกเย้ารอบทิศยังไม่ขาดตอน เฉิงเซ่าซางก้มหน้าแสร้งทำเอียงอาย แท้ที่จริงมือกำลังรีบคลายห่อผ้ากำมะหยี่ออก เห็นด้านในมีเครื่องแขวนชิ้นหนึ่งทำจากทองคำขนาดเท่าอุ้งฝ่ามือ เป็นตัวพยัคฆ์ขนาดย่อมแลดูเคร่งขรึมเย็นชาตัวหนึ่งหมอบอยู่เหนือฐานเล็กสี่เหลี่ยม บนลำตัวของมันผูกร้อยเชือกไหมสีแดงเส้นหนึ่ง

“…นี่คือสิ่งใดกัน” นางเอ่ยอย่างกังขา

ฮองเฮาอมยิ้มตอบ “นี่คือตราส่วนตัวของจื่อเซิ่ง อืม นี่เขาจะฝากฝังทรัพย์สินในบ้านแล้วสินะ”

ครานี้กระทั่งลำคอของเฉิงเซ่าซางก็แดงจัดไปด้วย นางแบกรับแววตากระเซ้าเย้าหยอกของฝูงชน ทอดมองไปไกลจนสุดสายตานาง คล้ายกับว่าแม้แต่ประตูเมืองอันโอฬารที่เขาจากไปบานนั้นก็ยังเรืองระยับด้วยสีสันเปล่งประกายพาให้ห้องหัวใจหวั่นไหว

 

ภายหลังทัพใหญ่เคลื่อนพลไป เมืองหลวงก็คืนสู่ความเงียบสงบดุจเดิม วันเวลาผ่อนคลาย ข้างกายไม่มีเรื่องราวใด รุ่งขึ้นเฉิงเซ่าซางจึงไปเยี่ยมเยียนฮั่วจวินหวาที่เรือนดอกซิ่ง ปรากฏว่าได้พบสองพี่น้องสกุลชุยอีกครา

ชุยโย่วไม่ช่างพูด ผิดกับบุตรชายสองคนของเขาที่คล้าย ‘กลายพันธุ์’ ไปเสียอย่างนั้น ต่างก็มีลูกเล่นสารพัด กล่อมจนฮั่วจวินหวาเบิกบานไม่คลาย ประเดี๋ยวแสดงฉากสนุกที่สตรีบ้านนาทุบตีสามีอย่างสมจริง ประเดี๋ยวปีนขึ้นไปบนต้นไม้เตี้ยแล้วแสดงกระบวนท่า ‘นางแอ่นเหินวน’ ยอดวิชาประจำตระกูล ครั้นเห็นชุยต้าหลางเคลื่อนที่เหินวนบนกิ่งไม้อย่างแคล่วคล่อง เฉิงเซ่าซางก็โห่ร้องชื่นชมเสียงดัง

อาเอ่าทั้งตระหนกทั้งขบขัน โพล่งออกมาว่า “ชุยโหวใจกล้าจริงเชียว หากเปลี่ยนเป็นนายหญิงของข้า น่ากลัวว่าฟ้าถล่มดินทลายไปแล้ว เมื่อแรกตอนคุณชายยังเล็ก อย่าว่าแต่ปีนต้นไม้เลย กระทั่งที่สูงเล็กน้อย นายหญิงก็ไม่ยอมให้ไป”

เมื่อคิดได้ว่าหลิงปู้อี๋ก็เคยมีวัยเด็กอันงดงาม ในใจเฉิงเซ่าซางให้เสียใจแทนเขาอยู่บ้าง

ชุยต้าหลางคนพี่อวดฝีมือเสร็จ ชุยเอ้อร์หลางคนน้องก็รีบขอความดีความชอบจากพี่สาวคนสวย “เก่งกาจหรือไม่ เก่งกาจกระมัง นั่นเป็นกระบวนท่าที่ท่านปู่ข้าเรียนจากจอมยุทธ์พเนจรผู้หนึ่งด้วยเงินสองพันเฉียนเชียวนะ!”

เฉิงเซ่าซาง “…”

รอจนฮั่วจวินหวาไปนอนกลางวันแล้ว ชุยต้าหลางเช็ดเหงื่อไปก็เสนอความคิดแปลกๆ ให้เฉิงเซ่าซางไป “พี่เซ่าซาง ข้ามีความคิดหนึ่ง ท่านลองฟังดูนะ…แค่กๆ ได้ๆๆ ความคิดนี้เป็นข้ากับเจ้าร่วมกันคิดออกมา เจ้าไม่ต้องจิ้มข้า กลิ้งไปให้ไกลๆ”

ชุยต้าหลางออกแรงผลักไสน้องชายแล้วเอ่ยใหม่ “พี่เซ่าซาง พวกข้าพี่น้องมีความคิดหนึ่ง ท่านลองฟังดูนะ อย่างที่ท่านเห็น ท่านพ่อของพวกข้ากับฮั่วฮูหยินอายุอานามไม่น้อยแล้ว ปล่อยเวลาผ่านไปเช่นนี้น่าเสียดายเพียงใด พวกข้าสองคนเคยหารือกันนานแล้ว หากฮั่วฮูหยินหายป่วย นั่นย่อมจะดีที่สุดของที่สุด แต่หากป่วยไม่หายก็ไม่เห็นจะเป็นไร ถือเสียว่านางยังคงเป็นแม่นางน้อยฮั่ว ให้ท่านพ่อดูแลเอาใจสุดฝีมือ ส่วนพวกเราทุกคนคอยเป็นผู้ช่วย ไม่แน่ความมุ่งมั่นจริงใจอาจเจาะเหล็กศิลาได้สักวัน ‘แม่นางน้อยฮั่ว’ อาจจะตอบรับแต่งกับ ‘อาหยวน’ พี่ชายข้างบ้านก็เป็นได้!”

เฉิงเซ่าซางฟังจบ ถึงกับรู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่ง “ข้อนี้ข้าไม่เคยนึกถึงเลย ดูเหมือนว่า…มิใช่ทำไม่ได้ เพียงแต่ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะทำเช่นไร อาหยวนพี่ชายข้างบ้านจะมีบุตรชายจากที่ใดกัน!”

ชุยต้าหลางโพล่งออกจากปาก “ไม่เป็นไรขอรับ ข้ากับน้องชายสวมบทเป็นหลานต่อไปก็ได้!”

เฉิงเซ่าซางเอ่ย “เอ่อคือ…”

ชุยเอ้อร์หลางลิงโลดเป็นพิเศษ “หากท่านพ่อไม่ใช่ท่านพ่ออีกต่อไป อาจจะเคี่ยวเข็ญพวกข้าอ่านตำราไม่ได้แล้ว!”

ชุยต้าหลางเหลือกตาใส่น้องชาย “เลิกฝันเสียเถิด เป็นท่านอาก็ควบคุมหลานชายได้เหมือนกัน!”

มองดูพี่น้องที่เฮฮาฉลาดน่าเอ็นดูคู่นี้แล้ว เฉิงเซ่าซางก็หัวเราะจนท้องแทบแข็ง ผ่านไปครู่หนึ่งนางอดไม่ได้ต้องถามพวกเขาว่าเหตุใดจึงไม่ถือสาที่บิดาแท้ๆ กระวีกระวาดเอาใจสตรีอื่นเยี่ยงนี้ พวกเขาไม่กลัวว่าจะมีแม่เลี้ยงจริงๆ หรือไร

แรกเริ่มชุยต้าหลางอึ้งงัน จากนั้นยิ้มรับอย่างไม่ตะขิดตะขวงโดยสิ้นเชิง ท่าทางราวกับเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว

เขากล่าวตอบ “ความจริงตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนก็มีพวกสารเลวถามคำถามนี้กับพวกข้าบ่อยครั้ง คนพวกนั้นไม่ประสงค์ดี พี่เซ่าซาง…ขอพูดคำอกตัญญูสักประโยค ข้ากับน้องชายลืมหน้าตาท่านแม่ไปตั้งนานแล้วล่ะ นับแต่จำความได้ก็มีแค่พวกข้าสามคนพ่อลูกพึ่งพาผ่านวันเวลามาด้วยกัน

ข้าหกล้มแขนเจ็บ ท่านพ่อขอยอมยกผลงานให้ผู้อื่นก็จะขอพาข้าไปต่อกระดูกกับท่านหมอเทวดา วัยเด็กน้องชายข้าร่างกายอ่อนแอ มีหนหนึ่งไข้ขึ้นจนสติเลือนราง ก็เป็นท่านพ่อไม่นอนหลับไม่พักผ่อน กอดเขาไว้ตลอดหลายวันหลายคืน บ้านข้าใช่ว่าไม่มีฟู่หมู่กับบ่าวรับใช้ แต่ท่านพ่อยังคงให้พวกข้าสองคนอยู่ข้างกาย ดูแลเองกับมือ ตระกูลชั้นสูงโดยทั่วไปจะมีบิดาสักกี่คนทำด้วยตนเองเช่นนี้ แค่จำวันเกิดบุตรธิดาได้ก็ไม่เลวแล้ว

ตอนที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านพ่อไม่เคยทำผิดต่อนาง ตอนนี้ท่านแม่จากไปแล้ว พวกข้าพี่น้องก็ควรยึดถือความปรารถนาของท่านพ่อเป็นสำคัญ”

เฉิงเซ่าซางก้มหน้าลง พาให้ชุดกระโปรงปรากฏรอยชื้นหลายแต้ม ในใจดุจมีแสงตะวันอันอบอุ่นสาดฉาย

“ยังมีอีกนะ ยังมีอีก…” ชุยเอ้อร์หลางที่ตัวเล็กจ้อยกระเถิบเข้ามาพร้อมสีหน้าระรื่นตื่นเต้น “หากท่านพ่อกับพี่จวินหวา…เอ่อ ไม่สิ กับฮั่วฮูหยินลงเอยกันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นๆๆ พวกข้าก็จะสามารถกลายเป็นพี่น้องแท้ๆ ของพี่จื่อเซิ่งแล้วไม่ใช่หรือ!”

ชุยต้าหลางตบหน้าขาหนึ่งฉาด “มิผิด! รอจนพี่จื่อเซิ่งกลายเป็นพี่ชายแท้ๆ ของพวกข้า…หึๆ ดูซิว่าพวกสารเลวเหล่านั้นจะอิจฉาตาร้อนจนตายทั้งเป็นหรือไม่! ต่อไปพวกนั้นแต่ละคนล้วนต้องเชิดชูข้าเป็นลูกพี่ใหญ่ โขกศีรษะคารวะสุราอย่างว่าง่าย!”

เฉิงเซ่าซางหัวเราะพรืดจนน้ำตาเล็ด

เมื่อกลับถึงวังแล้ว เฉิงเซ่าซางเลียนอย่างคำพูดของพี่น้องสกุลชุยให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาฟัง ฮองเฮาสะท้อนใจอย่างยิ่ง “ชุยโหวสามพ่อลูกล้วนเป็นคนซื่อตรงจริงใจอย่างที่สุด มีคนในครอบครัวที่เป็นเช่นนี้ นั่นคือโชควาสนาที่แม้แต่ทองคำหมื่นชั่งก็ยังแลกไม่ได้จริงๆ”

ฮ่องเต้มองไกลไปนอกหน้าต่าง สีหน้าเลื่อนลอย ผ่านไปเนิ่นนานค่อยเอ่ยพึมพำ “…ปีนั้นอาหยวนห้อยอยู่บนหน้าผาไม่อาจลงมาได้ พวกเราได้แต่โยนเชือกไปช่วยเขา ระหว่างทางขากลับ อาหยวนฟุบบนแผ่นหลังของพี่ฮั่วชง ร้องไห้จนสะอื้นไม่หยุด เหล่านี้ราวกับเป็นเหตุการณ์เมื่อวานนี้เอง เฮ้อ พริบตาก็หลายสิบปีแล้ว วัตถุคงเดิม ผู้คนเปลี่ยนผัน อาหยวนบิดาผู้นี้เป็นได้ดียิ่ง”

ภายหลังฮ่องเต้ออกจากตำหนักไป ฮองเฮานั่งนิ่งอย่างหดหู่ เนิ่นนานจึงเอ่ยกับเฉิงเซ่าซาง “ข้าเคยได้เห็นแม่ทัพฮั่วชงหลายครั้ง อันที่จริงเขากับฮั่วฮูหยินหน้าตาละม้ายกันยิ่งนัก เขาองอาจเก่งกล้า อ่อนโยนเที่ยงธรรม ครั้งนั้นเขามาอำลาฝ่าบาทเพื่อออกเดินทาง วาจาของเขาในวันนั้น ข้าจดจำได้ทุกถ้อยคำ

เขากล่าวว่า…บัดนี้ฟ้าดินประดุจทะเลโลหิต ปวงชนทั้งมวลทุกข์เข็ญ ขอฝ่าบาททรงเดินหน้าบุกตีอย่างเต็มที่ สักวันหนึ่งแผ่นฟ้าจะสะอาดใส สี่สมุทรจะสงบร่มเย็น เมืองแห่งนั้นเขาจะรักษาไว้แทนฝ่าบาทเอง ขอเพียงมีเขาอยู่ ฝ่าบาทจะไม่มีวันถูกศัตรูขนาบตีหน้าหลังเป็นอันขาด

…นับแต่นั้น…เขาก็ไม่ได้หวนกลับมาอีก”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: