X
    Categories: Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์With Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์ บทที่ 124

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 124

หลังจากเชยชมหนังสือของว่าที่พ่อสามีจบ ชูหลี่ก็ปิดบันทึกการอ่านของตัวเองลงด้วยความพึงพอใจ…เวลานี้โจ้วชวนยังคงอ่านหนังสืออยู่ ดังนั้นชูหลี่จึงใช้เท้าเหยียบพื้นเพื่อดันเก้าอี้ล้อหมุนให้เลื่อนไปข้างๆ ม้านั่งของเขา ขยับเข้าไปใกล้ริมหูอีกฝ่ายแล้วพูดลากเสียงเบาๆ

“นี่”

ลมร้อนๆ ที่หายใจออกมาพ่นที่ริมหูของชายหนุ่ม เขาจึงคลึงใบหูแล้วเงยหน้า แวบเดียวก็เห็นคนที่พิงศีรษะลงบนบ่าเขากำลังถือโทรศัพท์มือถือค้นหาโรงแรม…โจ้วชวนคิดครู่หนึ่ง

“ทำอะไรน่ะ คุณจะพาผมไปเปิดห้อง?”

“…” ศีรษะที่วางอยู่บนบ่าของชายหนุ่มขยับ “ไม่จองโรงแรมแล้วจะให้ฉันนอนใต้สะพานลอยเมือง C หรือไง”

โจ้วชวนวางหนังสือลง “ไม่อยู่บ้านผมหรอกเหรอ”

ชูหลี่เบิกตากว้าง “จะอยู่บ้านคุณได้ยังไงกันล่ะ”

โจ้วชวนคิดครู่หนึ่ง “บ้านผมมีห้องรับรองแขกเยอะแยะ ถ้าคุณไม่อยากนอนที่ห้องรับรองแขกก็มานอนเบียดผมได้…”

คำพูดนี้พอฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ ชูหลี่ส่ายศีรษะเหมือนรัวกลอง “มีผู้หญิงที่ไหนไปบ้านแฟนครั้งแรกก็จะเบียดเขากันล่ะ เบียดไม่ได้ เบียดไม่ได้ค่ะ…”

พูดไปได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็เห็นว่าโจ้วชวนกำลังจ้องหน้าเธออยู่ ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไร แต่ท่าทางดูเหมือนดีใจมาก ขณะที่ชูหลี่กำลังมึนงง เขาก็ยื่นมือไปสะกิดเธอ

“พูดอีกรอบซิ”

“?”

“ผมเป็นอะไรของคุณนะ พูดอีกรอบซิ”

ชูหลี่ทำหน้าเหลอหลา “แฟน”

มือใหญ่ของโจ้วชวนยีศีรษะของเธอแล้วก้มลงจุ๊บใบหน้าเธอทีหนึ่ง ในน้ำเสียงเจือด้วยความขบขันอย่างหาได้ยาก

“พูดได้ดีนี่…ผู้หญิงที่เป็นแฟนผมเป็นผู้หญิงปกติที่ไหน คุณอย่าลดตัวไปเทียบกับพวกเธอเลย ก็แค่นอนเบียดผมเท่านั้นเอง”

“หลับไม่ลงหรอก จะหลับไม่ลงเอา”

“ผมก็จะกอดจนกว่าคุณจะหลับ จะไม่ทำอะไรเลย”

ชูหลี่กระตุกมุมปาก พูดเหน็บแนม “ฉันก็จะถ่วงเวลาไม่เข้าไป”

โจ้วชวนมองตาเธอลึกๆ “…ไม่เข้าไปจริงๆ น่ะเหรอ”

บนใบหน้าเขาเขียนไว้ว่า ‘ผมซื่อสัตย์มากนะ’

มือข้างหนึ่งของชูหลี่ปิดหูไว้ ปฏิเสธที่จะฟังคำพูดที่น่ารำคาญ ส่วนมืออีกข้างผลักศีรษะเขาออกไป กดจองโรงแรมบนโทรศัพท์มือถือเสร็จอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาที่ไม่พอใจของโจ้วชวน…ขณะเดินออกจากห้องหนังสือเตรียมตัวไปนอน คนที่มองมาทางด้านหลังยังคงพยายามพูดเกลี้ยกล่อมแม้เธอจะไม่สนใจก็ตาม…

ชูหลี่กลับขึ้นไปบนห้องของตนแล้วปิดประตู พออาบน้ำเสร็จ ขณะที่กำลังเช็ดผมพลางปีนขึ้นไปบนเตียงก็พบว่าโทรศัพท์มือถือมีแจ้งเตือนการอัพเดตจากเวยป๋อที่เธอติดตามเป็นพิเศษ เธอนิ่งงันไป นึกว่าสายตาของตนมีปัญหา ติดตามเป็นพิเศษอะไรกัน ฉันติดตามแค่โจ้วชวนคนเดียว และช่วงนี้นอกจากอัพเดตนิยายแล้วเขาก็ไม่ค่อยโพสต์อะไรในเวยป๋อด้วย…

ชูหลี่เงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอัพเดตนิยายของเขาชัดๆ

เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปลดล็อกดู โจ้วชวนโพสต์เวยป๋อเมื่อสิบนาทีก่อนจริงๆ…

โจ้วชวน : ขอเตือนสาวๆ ทั้งหลาย ผู้ชายพอได้ลิ้มรสหวานครั้งหนึ่งแล้วก็เหมือนกับหมาป่าผู้หิวโหยลิ้มรสคาว ไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว

 

“…”

โพสต์ชี้นำในเวยป๋อโพสต์นี้มีพลังมาก ทำให้ผู้คนลืมกันไปชั่วคราวว่าโจ้วชวนกำลังอยู่ท่ามกลางลมฝนคาวเลือด บรรดาขามุงต่างถามคำถามกันอย่างกระตือรือร้น

 

ไม่ทราบว่าคุณโจ้วชวนลิ้มรสคาวครั้งแรกเมื่อไร

 

โจ้วชวนกดถูกใจคำถามนี้ท่ามกลางคอมเมนต์เป็นหมื่นเป็นพัน ชายหนุ่มตอบอย่างมีนัยลึกซึ้ง

 

วันที่สามของการขาย หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่วไงครับ 🙂

 

ตอบแบบนี้ยิ่งทำให้ผู้คนคาดเดากันอย่างช่วยไม่ได้…

องค์ชายโจ้วชวนผู้อ่อนโยนดั่งหยกกำลังพูดเรื่องอย่างว่า หรือกำลังพูดถึงเรื่องขายหนังสือกันแน่

ถ้าคาดคั้นเอาคำอธิบายล่ะก็ คำพูดนี้ก็เข้าใจได้ว่า ‘ถ้ามีหนังสือที่ขายดีสักครั้งหนึ่งก็ไม่มีทางยอมรับความล้มเหลวในเล่มต่อไปได้’ ไม่อย่างนั้นจะอธิบายได้อย่างไรว่าคำพูดนี้เกี่ยวข้องกับการที่ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ขายดี…แต่ถึงอย่างนั้นส่วนใหญ่โจ้วชวนก็มักจะพิมพ์อะไรเรื่อยเปื่อยอยู่แล้ว

หลายวันมานี้เวยป๋อของโจ้วชวนแทบจะไม่ส่งแจ้งเตือนที่ให้บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลายเสียเลย พอเห็นอย่างนี้เหล่าแฟนๆ นักอ่านจึงถือโอกาสคอมเมนต์แซวกันอย่างคับคั่ง บรรยากาศก็เริ่มคึกคักขึ้นมา

ทว่าบนโลกใบนี้นอกจากโจ้วชวนแล้วก็คงจะมีแค่คนคนเดียวที่รู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่สามของการเปิดพรีออเดอร์ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’…พูดง่ายๆ ก็คือมี บ.ก. ตัวเล็กๆ คนหนึ่งเพิ่งจะสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่อย่างหนังสือขายดีประจำปี แต่หันหน้าไปก็ได้รับความไม่เป็นธรรมจากสำนักพิมพ์ กลับถึงบ้านจึงร้องห่มร้องไห้กับนักเขียน จากนั้นก็ประคองใบหน้าเขา เอาเปรียบเขา และปล่อยให้เขาเอาเปรียบ

ชูหลี่ “…”

หนึ่งนาทีให้หลัง เจียงอวี่เฉิงก็แชร์โพสต์โดยใช้คำว่า คนทะลึ่ง อย่างรวบรัด พอคิดถึงทุกรายละเอียดของจูบที่น่าอับอายในวันนั้น ชูหลี่ก็หน้าแดง หัวใจเต้นเร็วขึ้น จากนั้นก็ทิ้งคอมเมนต์ไว้ด้านล่างโดยใช้บัญชีสำรอง…

 

เจ้าของโพสต์ทำอนาจาร รายงานแล้ว

 

วันต่อมาทั้งสองนั่งเครื่องบินไปยังเมือง C

และเย็นนั้นเองก็ได้รับเชิญไปร่วมทานมื้อค่ำที่ร้านอาหารร้านหนึ่งในเมือง C

…ชูหลี่เคยจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ขณะมาพบหน้าคนในครอบครัวของโจ้วชวนเป็นหมื่นครั้ง อาจจะเข้มงวด อาจจะเป็นกันเอง อาจจะเต็มไปด้วยความสงบสุขเพียงฉากหน้า…อย่างน้อยต่อหน้าคนนอก อาจารย์โจ้วกู้เซวียนคงจะทำตัวเป็นพ่อที่เมตตาต่อลูกชายที่กตัญญูสักหน่อย ดีร้ายอย่างไรก็เป็นห่วงสภาพในช่วงเวลาเช่นนี้ของลูกชายสักหน่อย อย่างไรเสียโจ้วชวนก็ถูกเหน็บแนมจนแทบจะกลายเป็นศพแห้งกรังซากหนึ่งอยู่แล้ว

หญิงสาวจินตนาการไปต่างๆ นานา ดังนั้นก่อนมุ่งหน้าไปทานมื้อค่ำ เธอจึงกำหนดบทบาทต่างๆ มากมายให้ตนเองเพื่อที่จะเอาใจผู้ใหญ่…

เธอเข้มงวดต่อบทบาทมากถึงขั้นเมื่อเข้าไปในร้านอาหารแล้วไม่อนุญาตให้โจ้วชวนจูงมือเธอเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนในครอบครัวของโจ้วชวนรู้สึกว่าเธอคือยายปีศาจที่ทำตัวเหลาะแหละ…ขณะที่โจ้วชวนคิดว่าการทำแบบนี้มันไร้สาระมาก

“ทางที่ดีที่สุดคุณจำเอาไว้แค่ว่าตอนนั้นผมเป็นฝ่ายบอกชอบคุณครั้งแรกจนคุณกระโดดโลดเต้นในเวยป๋อ แถมยังโพสต์ถามคนในเวยป๋ออย่างกับหมาบ้าเสียสติ”

“…โกหก คุณไม่มีเวยป๋อส่วนตัวของฉันสักหน่อย”

“ผมมี มาคอมเมนต์ในเวยป๋อผมทุกวัน คนที่ยากจะปกปิดความรักได้ตอนที่คอมเมนต์ข้อความเหน็บแนมมีแค่คุณคนเดียว”

“…”

ชูหลี่ผลักโจ้วชวนทีหนึ่ง ปัดมือของเขาที่ยื่นมา…ทั้งสองคนเคียงข้างกัน แม้ว่าจะสวมชุดคู่รักที่เป็นโทนสีเดียวกัน แต่เมื่อเดินเข้าไปในร้านอาหาร หญิงสาวเปลี่ยนเป็นเดินเชิดหน้ายืดอกเล็กน้อย ทำหน้าจริงจังมีกาลเทศะ ราวกับว่าเธอกับโจ้วชวนมีความสัมพันธ์เป็นแค่ บ.ก. กับนักเขียนที่บริสุทธิ์ใจต่อกันเท่านั้น

จากนั้นก็เห็นพ่อแม่ของโจ้วชวนอยู่ในห้องวีไอพีที่จองไว้เรียบร้อยแล้ว

คืนนี้โจ้วกู้เซวียนแต่งกายลำลองแบบผู้ใหญ่มีอายุ ดูแล้วเป็นกันเอง นี่เป็นครั้งแรกที่ชูหลี่ได้พบกับปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมตัวจริง…เธอยืนอยู่ด้านนอกประตู พยายามรักษาน้ำเสียงให้สงบนิ่ง หลังจากทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันตามมารยาทแล้ว ชูหลี่ก็ได้สติคืนกลับมา สองมือเธอจับมือใหญ่ของโจ้วชวนแน่น บทบาทกุลสตรีที่สงบเสงี่ยมอะไรนั่นหายไปหมดแล้ว

โจ้วกู้เซวียนมองชูหลี่ ยิ้มอย่างเบิกบานเหมือนกับมอง บ.ก. ผู้ยอดเยี่ยมที่คอยช่วยเหลือลูกชายของเขาจากภัยอันตราย

คุณนายโจ้วมองชูหลี่ สายตากวาดผ่านมือชูหลี่ที่จับมือโจ้วชวนไว้แน่น หญิงสาวอิงแอบอยู่ข้างๆ ลูกชายที่รูปร่างสูงใหญ่และหล่อเหลาของเธอราวกับต้นหลิวต้องลม ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย ท่าทางที่เหมาะสมกันอย่างยิ่งของทั้งสองคน ทำให้เธอยิ้มเหมือนกับพอใจว่าที่ภรรยาของลูกชาย

โจ้วชวนมองชูหลี่ มองดวงตาของเธอที่ปกติจะเป็นประกายเพียงแค่ตอนที่มองเขาเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอกำลังมองพ่อของเขาด้วยดวงตาสุกสกาวราวกับหมู่ดาว ท่าทางที่ทั้งเขินอายและนับถือ ทำเอายิ้มไม่ออกเลยสักนิด

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือไปบีบคางเธอแล้วหมุนหน้าเธอกลับมา “ทำอะไรน่ะคุณ ต้นฉบับของพ่อผมเป็นของ บ.ก. นิตยสารเส้นทางแห่งดวงดาว คุณอย่าคิดจะแย่งชามข้าวคนอื่นเชียว”

ชูหลี่ถูกเขาบีบคางให้หันหน้ากลับไป เลือดฝาดสีแดงระเรื่อบนใบหน้ายังไม่จางหายไป เธอตอบกลับอย่างรวดเร็วจนลิ้นเกือบพันกัน

“…นิตยสารแสงแห่งจันทรานานๆ ทีก็สร้างกระแสวรรณกรรมแนวโบราณได้เหมือนกัน ตอนนี้เรายังยกระดับคุณภาพนักอ่านรวมถึงรสนิยมในภาพรวมของนิตยสารด้วย…”

“…”

เห็นทีคงจะคุยกันดีๆ ไม่ได้แล้ว

ช่างประจบประแจงซะจริง พออ้าปากก็พูดเป็นตุเป็นตะ พอลงมือก็เขียนเป็นเรื่องเป็นราว

ส่วนอาจารย์โจ้วกู้เซวียนเองแม้เกือบจะย่างเข้าห้าสิบแล้ว แต่ยังคงเสพสุขกับการที่มีเด็กสาวเทิดทูนบูชาเขา…เวลานี้ในดวงตาของเขาจึงระยิบระยับเต็มไปด้วยประกายแห่งความพอใจ ทำให้สายตาที่มองโจ้วชวนอบอุ่นขึ้นมาบ้างเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบกว่าปี คงเพราะโจ้วชวนหาสะใภ้ที่ ‘เป็นแฟนคลับซึ่งคุณสมบัติเหมาะสมและมีรสนิยม’ มาให้เขา

หลังจากทุกคนเข้าประจำที่ อาหารขึ้นโต๊ะ กินไปพลางคุยไปพลาง…ดูเหมือนว่านิสัยชอบสร้างความสัมพันธ์ของชาวจีนส่วนใหญ่จะสำเร็จเสร็จสิ้นบนโต๊ะอาหาร หลังจากอาหารเรียกน้ำย่อยสามอย่างบวกกับซุปอีกหนึ่งอย่างขึ้นโต๊ะพร้อมแล้ว สถานการณ์อันเย็นชาในจินตนาการก็ไม่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

คุยกันตั้งแต่เรื่องสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยไปจนถึงหัวหน้า บ.ก. ใหญ่อย่างอาจารย์ซย่าที่เพิ่งเกษียณไป แม้แต่ประเด็นแย่ๆ อย่างคำพูดมุ่งร้ายที่คนจากฝ่ายการตลาดพวกนั้นจับกลุ่มพูดกัน อาจารย์โจ้วกู้เซวียนก็สามารถพูดคุยได้หมด…

และประเด็นสุดท้ายก็วนกลับมายังเรื่อง ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’

โจ้วกู้เซวียนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “ดูออกเลยว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้มีการลดทอนและเติมแต่งที่พิถีพิถัน ฉันอ่านมาบ้างแล้ว ต่างกับหนังสือที่เสี่ยวชวนเขียนเมื่อก่อนมากทีเดียว…”

“นี่เป็นหนังสือเล่มแรกที่ฉันทำน่ะค่ะ แล้วก็เป็นหนังสือเล่มแรกที่อาจารย์โจ้วชวนตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยด้วย เพราะงั้นทุกคนเลยให้ความสำคัญมาก การตรวจเช็กก็ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งสัปดาห์…บางครั้งเมื่อจำเป็นต้องตัดเนื้อหาในบทที่ไม่เหมาะจะตีพิมพ์ก็ยังเจอการต่อต้านของอาจารย์อีก”

โจ้วชวน “…”

โจ้วกู้เซวียนหันหน้ามาบ่นทันที “แกนี่ดื้อดึงจริงๆ เหมือนแม่แกนั่นแหละ”

คุณนายโจ้วเหลือบมองสามี แล้วปิดปากหัวเราะ “อุ๊ยตาย พูดไปเรื่อย”

“ฉันคิดว่าไม่เหมือนกันนะคะ คุณป้าเป็นคนสบายๆ แล้วก็ยิ้มสดใสมาก…ตอนที่ฉันรู้จักกับอาจารย์โจ้วชวนสามเดือนแรก เขามักจะปั้นหน้าเป็นน้ำแข็งสั่งให้ฉันทำโน่นทำนี่น่ะค่ะ”

โจ้วกู้เซวียนยังคงบ่นไม่หยุด “เติบโตมาในตระกูลผู้ดีมีการศึกษามาตั้งแต่เด็ก สั่งสอนเขาเรื่องคุณธรรมสี่ประการ* ผลลัพธ์คือเลี้ยงออกมาเป็นผู้ชายที่ทั้งดื้อรั้นและไม่รู้จักมารยาทอย่างนี้ น่าขายหน้าซะจริงๆ”

ชูหลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขานิสัยดี เขาแค่เป็นคนปากแข็งใจอ่อน เพราะงั้นเลยไม่มีใครต่อล้อต่อเถียงกับเขาหรอกค่ะ”

คุณนายโจ้วพูดขึ้นมา “มีนะ สมัยเขา ม.ปลาย น่ะ คุณครูสอนภาษาเกลียดเขาจะตาย งานเลี้ยงขอบคุณคุณครูเนื่องในโอกาสเกษียณก็ไม่ยอมไป บัตรเชิญส่งมาถึงบ้านแล้วแท้ๆ ดันทิ้งลงถังขยะ…มนุษยสัมพันธ์และทักษะการเข้าสังคมไม่มีสักนิด ใครเตือนก็ไม่ฟัง ลูกชายฉันคนนี้น่ะ น่าเป็นห่วงจริงๆ เลย”

โจ้วชวน “…”

“เรื่องนี้อาจารย์โจ้วชวนก็เคยพูดกับฉันบ้างเหมือนกันค่ะ สมัย ม.ปลาย ดูเหมือนจะมีเรื่องบาดหมางกันบางอย่าง…ถ้าตัดสินกันอย่างยุติธรรมแล้วล่ะก็ อันที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดของอาจารย์โจ้วชวนหรอกนะคะ”

โจ้วกู้เซวียนเยาะ “หึ แล้วเสี่ยวเฉิงจะเข้ากับอาจารย์คนนั้นได้ดีได้ยังไงกัน”

คุณนายโจ้วพูดแก้แทน “อุ๊ยตาย คุณก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักลูกชายของคุณนี่คะ หาเรื่องครูตั้งแต่เด็กแล้ว…สมัยประถมก็ทะเลาะกับครูสอนภาษาอังกฤษ เอาแต่พูดว่าความรู้ที่ครูสอนมันผิด ผลคือผิดจริงๆ ทำให้ครูหาทางลงไม่ได้แล้วก็ผูกใจเจ็บจนทะเลาะกันทุกวัน แถมยังทะเลาะเป็นภาษาอังกฤษซะด้วย ตลกจะตาย คุณไม่รู้หรอก!”

โจ้วชวน “…”

โจ้วกู้เซวียนยังคงพูดเสียดสีต่อไป “ถ้าไม่ใช่เพราะผลการเรียนยังพอใช้ได้ล่ะก็ โรงเรียนคงเห็นเป็นตัวปัญหาเฉดหัวออกไปนานแล้ว!”

“ที่แท้ตอนประถมก็เป็นแบบนี้นี่เอง…อาจารย์โจ้วชวนถึงได้ภูมิอกภูมิใจจนถึงทุกวันนี้”

คุณนายโจ้วบ่น “ไม่โตสักทีน่ะ ลูกชายของฉันคนนี้ ต้องลำบากเธอแล้วล่ะ”

โจ้วกู้เซวียนได้ทีต่อว่า “โตแต่ตัว สมองไม่โต”

ชูหลี่พูดอย่างนอบน้อม “ไม่ลำบากหรอกค่ะ ไม่ลำบากเลย!”

โจ้วชวน “…”

ทำไม ต้องให้ดึงแถบผ้าที่เขียนว่างานประชุมวิจารณ์สหายโจ้วชวนที่ก่อกรรมทำเข็ญในหลายปีมานี้ ให้พวกคุณด้วยไหม

ดูเหมือนแต่ละคนจะป่าวประกาศประวัติอันด่างพร้อยของฉันอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกันอย่างทอดถอนใจ…

ขู่ใครกัน

วันนี้มาทำไมกันนะ

มาแก้ปัญหาที่ฉันถูกแอนตี้แฟนในอินเตอร์เน็ตใส่ร้ายจนตัวไหม้เกรียมไม่ใช่หรือไง

ดูเหมือนว่าหลังจากทานอาหารเสร็จ ทั้งสามคนที่อยู่บนโต๊ะคงอยากจะกล่าวคำสาบานเข้าร่วมกองทัพ ‘แอนตี้โจ้วชวน’ กันเสียแล้ว

บรรยากาศในตอนนี้ช่างกลมเกลียวกันเหลือเกิน

มีเพียงโจ้วชวนเท่านั้นที่รู้สึกแปลกประหลาดและพูดแทรกไม่ได้เลย

 

* คุณธรรมสี่ประการ ได้แก่ จริยธรรม ยุติธรรม สุจริตธรรม และความละอายใจ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: