ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 113
บทที่ 113
สองวันให้หลังเฉิงเซ่าซางฆ่าเวลาอยู่ในตำหนักฉางชิวเช่นเคย ทุกคราที่ฮองเฮาถามถึงการศึกแนวหน้า ท่านลุงฮ่องเต้ล้วนมีท่าทางเย็นใจรับมือได้ทุกสถานการณ์ ใครจะรู้วันที่เจ็ดหลังทัพใหญ่เคลื่อนพล แนวหน้าส่งรายงานกลับมาหนึ่งฉบับ ถึงกับทำให้ฮ่องเต้โกรธแทบตาย ว่ากันว่าพระองค์ก่นด่าอยู่ที่สำนักราชเลขาธิการเกือบครึ่งชั่วยาม ตำหนักฉางชิวกับตำหนักของเยวี่ยเฟยล้วนไม่ไปแล้ว
ตอนที่เฉิงเซ่าซางรับคำสั่งนำโจ๊กกับของว่างไปถวายฮ่องเต้จึงตัวสั่นงันงกอยู่บ้าง นางดึงตัวหยวนเซิ่นตรงหัวเลี้ยวของตรอกตำหนักมา แล้วสอบถามว่าเกิดเรื่องใดกันแน่
หยวนเซิ่นขมวดคิ้วตอบ “นายอำเภอของอำเภอถงหนิวสวามิภักดิ์ข้าศึกแล้ว”
ด้านภูมิประเทศแถบนั้น ในหัวเฉิงเซ่าซางมีแต่แป้งเปียกอันเละเทะ จึงได้แต่ถามต่อ “อำเภอนั้นเป็นชัยภูมิสำคัญทางทหารหรือ”
“แม้อยู่ไม่ไกลจากเมืองโซ่วชุน แต่ก็ไม่ใช่ชัยภูมิสำคัญทางทหารอันใดหรอก” หยวนเซิ่นชี้แจง “เพียงแต่นายอำเภอนามเหยียนจงผู้นั้นชาติตระกูลยากไร้ เป็นฝ่าบาทที่เลื่อนตำแหน่งให้เขาด้วยพระองค์เอง”
เฉิงเซ่าซางเข้าใจในพริบตา นี่ท่านลุงฮ่องเต้ถูกตบหน้าเสียแล้ว
“คนแซ่เหยียนนี่ป่วยกระมัง! ปราบปรามโซ่วชุนหนนี้ ต่อให้เป็นคนไร้ตาก็ยังรู้ว่าราชสำนักต้องชนะแน่นอน ความแตกต่างแค่อยู่ที่ว่าทัพใหญ่จะรุดกลับมาก่อนวันปีใหม่ได้หรือไม่เท่านั้น” เฉิงเซ่าซางกล่าว “อุตส่าห์สวามิภักดิ์ข้าศึกในเวลาเยี่ยงนี้ สมองต้องใช้การไม่ค่อยดีแน่”
หยวนเซิ่นสอดสองมือเข้าแขนเสื้อ มองฟ้าพลางกล่าว “อาจเพราะนายอำเภอเหยียนมีความคับแค้นอยู่บ้าง ได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนฝ่าบาทเคยให้เขารับตำแหน่งเจ้าเมืองเมืองหนึ่ง ทว่าตอนที่ปรับปรุงกฎหมายท้องถิ่น เขาเข้มงวดวู่วามเกินไป ยามนั้นฝ่าบาทยังทรงทำศึกอยู่แนวหน้า ตระกูลขุนนางแนวหลังกลับถูกบีบคั้นจนเกือบจะก่อกบฏ ฝ่าบาททรงหมายปลอบขวัญขุนนาง ทั้งหมายรักษาความสงบ จึงได้แต่ลดตำแหน่งเหยียนจงไปอยู่อำเภอถงหนิว”
เฉิงเซ่าซางทำปากแบน เอ่ยอย่างไม่เห็นพ้อง “ตอนนี้ทัพใหญ่มุ่งหน้าไปโซ่วชุนอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร คนแซ่เหยียนใช้วิธีเยี่ยงนี้มาระบายความคับแค้น ไม่ต่างอันใดกับรนหาที่ตายเลย”
“ก็ไม่แน่ เหยียนจงผู้นี้จะอย่างไรก็มีความสามารถไม่น้อย ไม่เช่นนั้นเมื่อแรกฝ่าบาทก็คงไม่ทรงเลื่อนตำแหน่งให้เขาหรอก” หยวนเซิ่นยิ้มกล่าว “อำเภอถงหนิวมีเหมืองที่อุดมด้วยแร่ทองแดงอยู่แห่งหนึ่ง ทั้งจัดตั้งโรงหลอมทองแดงที่ใหญ่มหึมาหนึ่งแห่งเพื่อเตรียมพร้อมศึกโซ่วชุน ตลอดทั้งปีนี้ราชสำนักจึงไม่ได้เรียกเก็บทองแดงจากอำเภอถงหนิวเลย ตั้งใจว่าถึงเวลาจะฉวยใช้เอาจากที่นั่น ข้าคำนวณดูคร่าวๆ อย่างน้อยในอำเภอน่าจะสะสมทองแดงบริสุทธิ์ไว้ถึงสองพันชั่ง”
เฉิงเซ่าซางยังไม่อาจตอบสนอง “ท่านหมายความว่านายอำเภอเหยียนละโมบในทองแดงบริสุทธิ์เหล่านี้? เขาจะเอาทองแดงบริสุทธิ์ไปทำอันใด จะยักยอกก็ควรยักยอกทองคำสิ…”
“เด็กซื่อบื้อ! หอบทองคำไปหนึ่งกอง นั่นต่างหากถึงดึงดูดสายตาคน! ทองแดงบริสุทธิ์เหล่านั้นผ่านกระบวนการถลุงแร่ครบถ้วนแล้ว เพียงหลอมเหลวเทผสมกับโลหะอื่นเพื่อขึ้นรูป ก็จะกลายเป็นเหรียญสำริดนับไม่ถ้วนทันที!” หยวนเซิ่นเอ่ยอย่างหัวเสีย “ในรายงานที่นำขึ้นถวายยังแจ้งว่า…ไม่กี่วันก่อนเหยียนจงได้นำพาบุตรภรรยาตลอดจนทองแดงบริสุทธิ์สองพันชั่งนั้นหลบหนีไปแล้ว ก่อนจากยังแสร้งสวามิภักดิ์ มอบปราการอำเภอถงหนิวที่ตั้งรับง่ายบุกตียากให้แก่เผิงเจิน ตัวเขาเองกลับไม่รู้หายไปที่ใด หึๆ กบฏแซ่เผิงก็ถูกเขาดัดหลังเช่นกัน”
“แล้วเขาหนีไปที่ใดเล่า ทั่วหล้าล้วนเป็นแผ่นดินของฝ่าบาท…” เฉิงเซ่าซางยังไม่ทันพูดจบก็ถูกหยวนเซิ่นตัดบท
“ตอนนี้พื้นที่สู่จงยังไม่ใช่แผ่นดินของฝ่าบาท ได้ยินว่าเหยียนจงผู้นั้นก็กำลังมุ่งไปยังพื้นที่สู่จง ต่อให้ฝ่าบาทดำริจะปราบปรามที่นั่น อย่างน้อยก็ยังต้องเตรียมการอีกหลายปี ถึงตอนนั้นไม่รู้เหยียนจงไปหลบซ่อนที่ใดแล้ว!”
เฉิงเซ่าซางเห็นหยวนเซิ่นมีสีหน้าหนักอึ้งก่อนเอ่ยต่อว่า “เขามาจากวงศ์ตระกูลที่ยากไร้ ไม่กลัวพัวพันไปถึงผู้ใด หากหนนี้เขาไปเข้ากับอ๋องขบถที่ตั้งตัวเป็นผู้ปกครองสู่จงนั่นยังดี รอถึงวันที่ทัพใหญ่ของฝ่าบาทตีพื้นที่สู่จงแตก ก็จะเป็นเวลาที่เขาถูกบั่นศีรษะ ทว่าหากเขาเปลี่ยนชื่อแซ่ไปเป็นคหบดีในชนบท เช่นนั้นท่ามกลางทะเลมนุษย์อันไพศาลก็ยากจะเสาะพบแล้วจริงๆ”
นอกจากตกตะลึง เฉิงเซ่าซางถึงกับบังเกิดความประทับใจอันพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง “ ‘กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง’* ช่างเป็นกระบวนท่าอันยอดเยี่ยม สลับซับซ้อนโดยแท้ นึกไม่ถึงว่ายุคสมัยนี้เป็นโจรกบฏก็ยังพิถีพิถันเพียงนี้” ประทับใจจบนางก็เอ่ยกับหยวนเซิ่นต่อ “ในเมื่ออำเภอถงหนิวแห่งนั้นไม่ได้สลักสำคัญเท่าใด พวกท่านก็โน้มน้าวฝ่าบาทให้มากๆ อย่าให้กริ้วเช่นนั้น จะเสียพระพลานามัยเอาได้”
แรกเริ่มหยวนเซิ่นไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาทไม่ได้กริ้วด้วยเรื่องนี้”
เฉิงเซ่าซางชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะตอบสนองได้ทันที ท่านลุงฮ่องเต้ไม่ได้โกรธเพราะสูญเสียอำเภอไปหนึ่งแห่ง และไม่ได้โกรธเพราะถูกตบหน้า หากแต่เป็นเพราะวันหน้าพระองค์จะเลื่อนตำแหน่งให้บัณฑิตตระกูลต่ำต้อยอีก ย่อมถูกขุนนางสำคัญจากตระกูลชั้นสูงเก่าๆ คัดค้านเอาได้ง่ายๆ! นางถอนหายใจนิดๆ รู้สึกว่าท่านลุงฮ่องเต้ไม่ง่ายดายเลย “ไฉนท่านไม่พูดเล่าว่าเหยียนจงคือเหยียนจง ยังมีบุตรหลานตระกูลยากไร้ที่ภักดีต่อแคว้นอีกมากมายนัก จะเหมารวมทั้งหมดได้อย่างไรกัน”
หยวนเซิ่นจับตามองสีหน้าของเด็กสาว มุมปากผุดรอยยิ้มอย่างตระหนักได้ “เจ้าเข้าใจได้เร็วไม่เบา เพียงแต่…จะให้ข้าโน้มน้าวฝ่าบาทเช่นไร ชาติตระกูลข้าอยู่ฝ่ายใดกัน”
เฉิงเซ่าซางกะพริบตาถี่ๆ “ในตำราของปราชญ์เมธีบอกว่าต้องเสนอชื่อผู้มีความสามารถแก่แคว้น ไม่ยึดติดว่าเป็นผู้ใกล้ชิดหรือห่างเหิน มีบุญคุณหรือความแค้นต่อกันไม่ใช่หรือไร”
“ที่ใดกันเล่า ที่ใดกัน ข้าน้อยมีหรือจะอ่านตำรามากไปกว่าเซ่าซางจวินได้” หยวนเซิ่นโต้กลับ “เพียงแต่…ขอบังอาจเรียนถาม ‘เสนอชื่อผู้มีความสามารถแก่แคว้น ไม่ยึดติดว่าเป็นผู้ใกล้ชิดหรือห่างเหิน มีบุญคุณหรือความแค้นต่อกัน’ มาจากตำราของปราชญ์เมธีเล่มใดหรือ ข้าน้อยความรู้ตื้นเขิน ขอเซ่าซางจวินอย่าได้ตระหนี่คำชี้แนะ”
เฉิงเซ่าซางไม่พอใจแล้ว นางเกลียดที่สุดเวลาผู้อื่นทดสอบนางด้วยโจทย์วิชาสายศิลป์ “ท่านน่าชังก็ตรงนี้นี่ล่ะ รู้อยู่ว่าข้าอ่านตำราไม่แม่นยำ ยังดึงดันจะซักไซ้ลงลึก”
หลิงปู้อี๋ไม่เห็นเคยโอ้อวดเรื่องพวกนี้เลย!
ดูเหมือนหยวนเซิ่นฉุกคิดได้แล้วเช่นกัน จึงเงียบงันไม่พูดจา
เฉิงเซ่าซางเห็นว่าหัวข้อนี้ถูกปล่อยผ่านไปแล้ว สีหน้าค่อยหายขุ่นเคือง คลี่ยิ้มเอ่ยเย้า “คุณชายซั่นเจี้ยน คราวก่อนได้ยินว่าในที่สุดท่านก็เลือกเฟ้นคุณหนูที่มีชาติตระกูลสมกันและดีเยี่ยมทั้งรูปโฉมความประพฤติได้ห้าคนแล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า”
หยวนเซิ่นหน้าดำทะมึน “ขอบคุณเซ่าซางจวินยิ่งนักที่ห่วงใย คัดเหลือสามจากห้าแล้ว!”
แขนเสื้อหลวมกว้างของเขาสะบัดพึ่บ หมุนตัวแยกจากไปดุจลมพัดเมฆกระจาย ครั้นเดินไปได้ครึ่งทาง เขาก็เหลียวหลังมาเอ่ยเสียงเบา “อันที่จริง…ได้รู้ว่าเจ้าอ่านจนถึง ‘ตำราหลี่ว์ซื่อชุนชิว’* แล้ว ในใจข้าชื่นชมยิ่ง เพียงแต่…เกรงว่าข้าไม่อาจจะเป็นฉีหวงหยาง** ได้หรอก”
จากนั้นไม่รอให้เด็กสาวตอบสนอง เงาร่างของเขาก็ลับหายไปตรงหัวเลี้ยวแล้ว