ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 113
ตามที่ข่าวชนะศึกส่งมาจากแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง แม้ศึกโซ่วชุนยังไม่จบสิ้น ทว่ารูปการณ์ที่จะคว้าชัยได้อย่างงดงามนั้นกำหนดชัดแล้ว
เฉิงเซ่าซางวางหัวใจทั้งดวงลงจนได้ ประกอบกับฮองเฮาเห็นใจที่นางต้องแยกจากหลิงปู้อี๋ แม้แต่ข้อเรียกร้องด้านการเรียนก็ผ่อนผันให้นางครั้งแล้วครั้งเล่า นางจึงได้ใช้ชีวิตอย่างหย่อนใจไร้ภาระโดยสิ้นเชิง ทว่าคงเพราะสวรรค์เห็นนางอยู่ว่างเกินไป จึงได้ส่งเรื่องหนึ่งเหินลงมาจากนอกฟ้า
วันนี้ฮ่องเต้มากินอาหารค่ำกับฮองเฮาเช่นเคย ภายหลังสุราอาหารอิ่มหนำ พระองค์เปรยขึ้นด้วยท่าทางที่คล้ายไม่ตั้งใจ “เซ่าซาง ได้ยินว่าบิดาเจ้ากับวั่นซงไป่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน?”
เฉิงเซ่าซางทางหนึ่งเติมน้ำแกงกระดูกหมูขิงอ่อนที่ร้อนฉุยให้ฮองเฮาหนึ่งชาม ทางหนึ่งตอบอย่างนบนอบ “ทูลฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นเพคะ มิเพียงท่านพ่อกับท่านลุงวั่นที่ผูกพันดุจพี่น้อง คนสองสกุลก็มีไมตรีแน่นแฟ้นดุจครอบครัวเดียวกัน”
ฮ่องเต้มองน้ำแกงชามนั้นแล้ว ในใจให้ริษยานิดๆ บัดนี้ล่วงเข้าสู่ฤดูเหมันต์ ขิงอ่อนสดใหม่ที่เติบโตในธรรมชาติไม่มีเหลือแต่แรก จะมีก็แต่ขิงแก่ๆ ส่วนขิงอ่อนๆ เหล่านี้เป็นฝีมือเด็กสาวใช้ถ่านไฟอบไออุ่นในโรงเพาะชำกว่าจะปลูกออกมาได้
ฮองเฮาร่างกายอ่อนแอ ม้ามกระเพาะทำงานไม่ดี ฤดูเหมันต์กินขิงอ่อนจะดีที่สุด แต่เนื่องจากปลูกได้ไม่มาก ที่ผ่านมาเด็กสาวจึงให้ฮองเฮากินผู้เดียว ผู้อื่นทำได้แค่มอง
บนใบหน้าฮ่องเต้ไม่ปรากฏรอยสั่นไหวแม้เพียงนิด “วันนี้ผู้ตรวจการหวงเหวินมารายงาน กล่าวโทษเรื่องวั่นซงไป่ละเมิดกฎหมาย”
เฉิงเซ่าซางมือสั่นวูบ เอ่ยกุกกักด้วยความตระหนก “นะ…นี่…นี่…นี่จะทำเช่นไรกันเล่า”
ในใจฮ่องเต้พลันนึกสนุก “เจ้าถึงกับไม่ร้องทุกข์ก่อน?” เชื้อพระวงศ์ขุนนางตำแหน่งสูงที่เกิดเรื่องมีอยู่มากมาย ปกติพวกเขาล้วนร้องทุกข์ก่อนว่าตนถูกปรักปรำ ยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง ต่อเมื่อไม่อาจบิดพลิ้วค่อยงัดข้ออ้างสารพัด
เฉิงเซ่าซางรีบประคองส่งชามน้ำแกงให้ฮองเฮา ตนเองกระเถิบไปถึงตรงหน้าฮ่องเต้ ก่อนตอบอย่างเคร่งเครียด “ท่านแม่ของหม่อมฉันมักพูดว่าท่านลุงวั่นมีนิสัยแย่ๆ อยู่ทั่วตัว ชอบดื่มสุรา มุทะลุขี้โมโห จะต้องถูกกล่าวโทษเข้าสักวัน! ไม่นึกเลยว่า…จะเร็วเยี่ยงนี้…”
ด้วยการตอบสนองของเด็กสาวแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร ฮ่องเต้จึงจนถ้อยคำไปชั่วขณะ
เฉิงเซ่าซางมีใจจะร้องขอความเมตตา ทว่าสองชาติภพของนางล้วนอาศัยความแกร่งกร้าวฝ่าฟันมา เรื่องขอความเมตตาเช่นนี้จึงไม่ถนัดเอาเสียเลย
“ฝ่าบาท…” นางอ้อนวอนด้วยสีหน้าตกประหม่าสับสน “ท่านลุงวั่นผู้นั้นของหม่อมฉัน…น่าสงสารนะเพคะ”
ฮ่องเต้เหลือกตาใส่นางปราดหนึ่ง ลอบคิดว่า ขอความเมตตาเยี่ยงนี้มีที่ใดกัน “น่าสงสารอันใด ผู้ละเมิดกฎหมายย่อมไม่พึงเว้นโทษ!”
“ไม่ๆๆ หม่อมฉันมิได้บอกว่าท่านลุงวั่นละเมิดกฎหมายไม่พึงลงโทษ หากแต่…” เฉิงเซ่าซางชี้แจงอย่างหวาดหวั่น “เอ่อคือ…หม่อมฉันได้ยินว่าหลายปีก่อนมีเจ้าเมืองแซ่โอวหยางท่านหนึ่งฉ้อราษฎร์บังหลวง ว่ากันว่ายักยอกเงินถึงสิบกว่าล้านเฉียน ทั้งที่หลักฐานแน่นหนา แต่เพราะเขามาจากวงศ์ตระกูลที่ลือนาม ทั้งเคยเขียนตำรานำเสนอหลักคิด มีศิษย์อยู่ทั่วหล้า ส่งผลให้มีใต้เท้าสิบกว่าท่านร้องขอความเมตตาให้เขา ถึงกับยังมีคนจะขอตายแทนเขาด้วยซ้ำ…ทว่าท่านลุงวั่นเล่า ครอบครัวตนเองสมาชิกบางตาไม่พอ สหายเก่ากับตระกูลที่เกี่ยวดองกันก็มีคนอยู่น้อยนิด บัดนี้คำกล่าวโทษเพียงกระทงเดียว ฝ่าบาทก็จะทรงลงอาญาเขาทันที แม้กระทั่งสหายขุนนางที่จะขอความเมตตาแทนเขาสักคนก็ยังไม่มีเลย…”
ฮองเฮาก้มหน้าอำพรางรอยยิ้ม คิดในใจว่า วิธีโน้มน้าวของเด็กสาวหลักแหลมไม่เบา
“พูดเหลวไหล!” ฮ่องเต้ตำหนิ “วันนี้ยังมีคนพูดจาแทนวั่นซงไป่อยู่เลย”
แม้ผู้ที่เอ่ยปากจะมีเพียงสองคน ซ้ำเอ่ยถ้อยคำที่ไม่เจ็บไม่คันแค่สั้นๆ ว่า ‘พึงสืบให้กระจ่างก่อน’
เพียงแต่เด็กสาวก็พูดแทงใจดำของพระองค์เข้าอย่างจัง ยามที่พระองค์จะจัดการตระกูลใหญ่ขุนนางสำคัญ เรียกได้ว่ากระตุกผมเส้นเดียวกระเทือนไปทั้งร่าง คนมาเกลี้ยกล่อมขอความเมตตามีไม่ขาดสาย แม้กระทั่งหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าซึ่งเมื่อก่อนหลบอยู่ในอารามเต๋าก็ยังถูกเชิญตัวออกมา จะว่าไปแล้วกับขุนนางเช่นวั่นซงไป่นี้กลับยิ่งควรผ่อนปรนมากหน่อย
พอดีตอนนี้ไจ๋เอ่าประคองกล่องเก็บความร้อนเข้ามาใบหนึ่ง เฉิงเซ่าซางรีบหยิบโถกระเบื้องใบเล็กออกจากกล่อง แล้วยกถวายฮ่องเต้อย่างพินอบพิเทา “ฝ่าบาทเชิญเสวยเพคะ ถั่วขาวเหล่านี้เด็ดในฤดูกาลของมันแล้วตากแห้งเก็บไว้ กว่าจะแช่น้ำจนนิ่มใช้เวลานานอย่างยิ่ง จึงเพิ่งจะตุ๋นเสร็จเอาป่านนี้”
ฮ่องเต้หยิบช้อนลองตักขึ้นมา พบว่าเป็นน้ำแกงใส่ถั่วขาวกับขิงอ่อน ในใจก็ให้ปลอดโปร่งนัก คิดว่าเฉิงเซ่าซางผู้นี้มิได้เลอะเลือนไปเสียหมด รู้ว่าปกติพระองค์ชอบดื่มสุรากินเนื้อ จึงยกอาหารประเภทตุ๋นที่มีรสอ่อนแก้เลี่ยนเช่นนี้มาถวายพระองค์ ถั่วขาวพอเข้าปากก็ละลาย ขิงอ่อนกรอบสดชื่น ฮ่องเต้อิ่มเอมใจยิ่ง จึงมองเฉิงเซ่าซางรื่นตาขึ้นอีกหลายส่วน
ฮองเฮาอดไม่ได้จริงๆ จึงหัวเราะออกมาเบาๆ หนึ่งที
ฮ่องเต้ดื่มน้ำแกงอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก่อนเอ่ยอย่างใจเย็น “ในหนังสือกราบทูลของหวงเหวิน บอกว่าวั่นซงไป่ฮุบที่นาราษฎร ซ้ำยังฉุดคร่าสาวน้อยวัยกำดัดหลายนางไปเป็นอนุนางบำเรอ…เจ้าเป็นอะไรของเจ้า” ดวงตาของเด็กสาวเบิกโตปานกระพรวนสำริดแล้ว
“ฝ่าบาทเพคะ นี่ไม่ถูกต้อง!” เฉิงเซ่าซางตอบ “มีโอกาสถึงแปดในสิบส่วนที่ท่านลุงวั่นจะถูกปรักปรำ!”
ฮองเฮาฉงน “เจ้ารู้ได้อย่างไรหรือ”
เฉิงเซ่าซางรีบชี้แจง “ทูลฝ่าบาท ทูลฮองเฮา หากสองพระองค์ทรงเคยเห็นอนุของท่านลุงวั่นกลุ่มนั้นก็จะเข้าพระทัย! ท่านลุงวั่นของหม่อมฉันน่ะ จะพูดว่าอย่างไรดี…ความชื่นชอบของเขามั่นคง หลายสิบปีเสมือนวันเดียว…ขะ…เขา…เขารักชอบแต่…”
นางยากจะเลือกคำได้ เดิมคิดจะใช้มือทำท่าประกอบ แต่คำนึงว่าไม่เหมาะควรจึงฝืนข่มใจไว้ “ท่านลุงวั่นเขารักชอบแต่สตรีผู้มีทรวดทรงอวบอัด ท่วงทีเปี่ยมเสน่ห์ เหล่าอนุของเขา…ตอนที่รับเข้าจวนไม่มีสักคนอ่อนกว่าวัยยี่สิบ หากเคยแต่งงานคลอดบุตรชายมาก่อนก็ยิ่งดี…” พูดให้ชัด…นั่นคือสัญชาตญาณของท่านลุงวั่นที่จะแสวงหาสิ่งมีชีวิตซึ่งขยายเผ่าพันธุ์ได้ หัวหน้าเซียวเคยพูดเหน็บนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
วาจาของเด็กสาวคลุมเครือ ทว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาล้วนฟังเข้าใจได้