“บอกว่าท่านลุงวั่นฉุดคร่าภรรยาชาวบ้านยังจะเข้าเค้าหน่อย ส่วนสาวน้อยวัยกำดัด…” เฉิงเซ่าซางจนถ้อยคำ “ตามคำกล่าวของท่านพ่อ ท่านลุงวั่นเขา…ต่อให้เมามายไม่ได้สติ ก็ไม่มีทางจะคลำผิดไปเด็ดขาด”
ถ้อยคำเดิมของท่านพ่อเฉิงที่นางบังเอิญได้ยินมาคือ… ‘เอวคอดกิ่วอันใด เรือนร่างแบบบางอันใด พี่วั่นล้วนไม่เคยเหลือบแล เขาน่ะชอบแต่อกอูมสะโพกอิ่ม ลูบคลำลงไป ขอเพียงจับเจอกระดูก เขาล้วนไม่ต้องการ!’
ฮ่องเต้ลังเลอยู่บ้าง “แต่ไรมาหวงเหวินสุขุมรอบคอบ ในสิบคนที่เขากล่าวโทษ มีแปดเก้าคนที่ผิดตามนั้นจริง…”
“ในเมื่อเป็นแปดเก้าคน แล้วอีกคนสองคนเล่า ไม่แน่อาจเข้าใจผิดนะเพคะ” เฉิงเซ่าซางแย้งด้วยความรุ่มร้อนใจ ครั้นเห็นแววตาไม่เห็นพ้องของฮองเฮา เด็กสาวก็รีบหมอบลงกับพื้น “หม่อมฉันเสียมารยาทจาบจ้วงเบื้องสูง ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้มิได้เก็บมาเป็นอารมณ์ เพียงลูบเคราเอ่ย “เช่นนี้แล้วกัน เรียกตัววั่นซงไป่มาเมืองหลวง ให้จี้จุนสอบถามเขา หากไม่มีเรื่องเช่นนั้น เขาก็กลับไปเป็นเจ้าเมืองของเขาต่อ”
เห็นท่าทางน่าสงสารของเด็กสาวแล้วก็พาให้นึกถึงบุตรบุญธรรม ฮ่องเต้จึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนพูดใหม่ “เอาเถิด พอคนของกรมอาญาออกหน้า ย่อมจะเกิดคำนินทาว่าร้ายโดยใช่เหตุ เราให้คนเรียกตัววั่นซงไป่เข้าเมืองหลวงมารายงานการปฏิบัติหน้าที่ของเขาแล้วกัน อย่างไรเสียเขาก็รับตำแหน่งมาได้ครึ่งปีแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยถือโอกาสพูดเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก!” เฉิงเซ่าซางโขกศีรษะขอบพระทัยอย่างยินดีปรีดา
“หม่อมฉันเองก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแทนเซ่าซางเพคะ” ฮองเฮายกแขนถวายคำนับอย่างนอบน้อม ในดวงตาอาบด้วยรอยยิ้ม
ฮ่องเต้ขึงตาใส่ภรรยาหนึ่งที เพียรปั้นหน้าบึ้งตึงเข้าไว้
เดิมค่ำคืนนี้เฉิงเซ่าซางจะค้างแรมในตำหนักฉางชิว ทว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางจึงได้แต่ขอป้ายคำสั่งจากฮองเฮาเพื่อออกจากวังไปในคืนนั้นเลย ครั้นกลับถึงจวน ผู้คนล้วนเข้านอนกันแล้ว นางรีบให้ชิงชงฮูหยินปลุกเซียวฮูหยินจนตื่น ก่อนบอกเล่าเรื่องนี้อย่างเร่งร้อน
เซียวฮูหยินฟังจบ แรกเริ่มสีหน้าขรึมวูบ ซักถามรายละเอียดคำถามคำตอบระหว่างฮ่องเต้กับบุตรสาว จากนั้นหัวคิ้วจึงค่อยคลายออก “ค่อยยังชั่ว ฝ่าบาทคงมิได้มีพระดำริจะเร่งลงโทษท่านลุงวั่นของเจ้า หาไม่พระองค์คงไม่เจตนาตรัสเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าเจ้าหรอก”
เฉิงเซ่าซางขบคิดเล็กน้อย “ท่านแม่พูดมีเหตุผลเจ้าค่ะ”
“เพียงแต่ก็ไม่อาจประมาท” เซียวฮูหยินดึงเสื้อตัวกลางที่คลุมอยู่บนหัวไหล่ “ผู้ตรวจการหวงผู้นี้แม่เคยได้ยินมาบ้าง เขาไม่ใช่คนพูดพล่อยส่งเดช และไม่ใช่พวกละโมบในชื่อเสียงผลงาน ในเมื่อเขากล้ากล่าวโทษ ก็จะต้องมีความมั่นใจไม่น้อย”
“หรือว่าท่านลุงวั่นฉุดคร่าสาวชาวบ้านจริงๆ?!” ชั่วขณะนี้เฉิงเซ่าซางเพิ่งรู้ซึ้งถึงความลำบากใจที่ชายาองค์ชายรองมีต่อคดีสังหารสามีของชวีหลิงจวินแล้ว “ท่านแม่ ลูกชักนำภัยมาให้ทางบ้านเสียแล้วใช่หรือไม่ หากท่านลุงวั่นกระทำผิดมหันต์จริงๆ แต่ลูกกลับขอความเมตตาแทนเขา…”
เซียวฮูหยินเอ่ยเสียงหนัก “ชักนำภัยอันใดกันเล่า หนนี้เจ้าไม่ได้ทำผิดสักนิดเดียว! พวกเรากับสกุลวั่นเป็นสหายที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ท่านลุงวั่นของเจ้ากระทำลงไปหรือไม่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง พวกเรายื่นมือช่วยเหลือหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากท่านลุงวั่นของเจ้าเลอะเลือนไปจริงๆ พวกเราก็นับว่าได้แสดงน้ำใจถึงที่สุดแล้ว!”
เพียงคิดว่าบุตรสาวของนางอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็ยังพูดแก้ต่างแทนวั่นซงไป่โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย มีน้ำใจไมตรีอันซื่อตรงร้อนแรงเฉกเช่นเฉิงสื่อสามีของนาง ก็ไม่เสียทีที่วั่นชีชีเอ่ยเช้าจรดค่ำว่าบุตรสาวของนางคือผู้ที่ฝากฝังชีวิตกับครอบครัวได้
เฉิงเซ่าซางได้รับคำชมเชยจากเซียวฮูหยินอย่างหาได้ยาก จึงออกอาการปรับตัวไม่ค่อยได้อยู่บ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้นกลุ่มเจ้าหน้าที่ผู้ประกาศพระราชโองการของฮ่องเต้ก็ควบม้าเร็วจากไป ผ่านไปอีกสองวันเฉิงซ่งกับวั่นชีชีก็เสนอกับเซียวฮูหยินว่าจะขอไปรับวั่นซงไป่ระหว่างทาง
เฉิงซ่งกล่าว “ท่านแม่ ชีชีนั่งไม่ติดบ้านแม้แต่ชั่วเค่อเดียวแล้ว ต้องการจะไปหาท่านลุงวั่นเพื่อถามดูให้รู้ชัด ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นตอบตกลงนางแล้ว ลูก…ลูกจะเคียงข้างไปพร้อมกับนางด้วย ไม่เช่นนั้นลูกวางใจไม่ลง…”
เฉิงเซ่าซางยักคิ้วหลิ่วตา เปล่งเสียงหยอกเย้า
วั่นชีชีหน้าแดงจัดทันใด ทั้งกระหยิ่มทั้งขวยเขิน “ท่านอาสะใภ้เซียว ล้วนเป็นเพราะข้าเอาแต่ใจ ท่านเกลี้ยกล่อมอาซ่งทีเถิด ข้ามีวรยุทธ์ ขี่ม้ายิงธนูเป็น ทั้งออกเดินทางพร้อมผู้คุ้มกันกับทหารประจำจวน ไม่มีเรื่องใดแน่เจ้าค่ะ”
เซียวฮูหยินเอ่ย “เจ้าจะเกรงใจอันใดกับข้า พวกเราสองสกุลมีความสัมพันธ์กันเช่นไร ข้าจะมองดูเจ้าออกเดินทางไปคนเดียวได้หรือ” นางตรึกตรองชั่วอึดใจ “เอาเถิด ให้จื่อฝูส่งเจ้าไปดีกว่า เพียงแต่เจ้ากับพ่อคงจะไม่คลาดกันระหว่างทางกระมัง”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ จากที่นี่ไปเมืองสวีมีถนนหลวงเพียงสายเดียว อีกอย่างเมื่อวานข้าส่งบ่าวชายควบม้าเร็วไปแจ้งข่าวแล้ว ท่านพ่อจะไม่ใช้ทางสายเล็กส่งเดชแน่”
“เช่นนั้นก็ดี” เซียวฮูหยินผงกศีรษะ มองไปทางคู่รักหนุ่มสาวที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างลังเล “เพียงแต่…พวกเจ้าสองคนแม้หมั้นหมายกันแล้ว ทว่าจะต้องร่วมกินดื่มร่วมค้างแรมหลายวัน อย่างไรเสียก็ต้องคำนึงถึงจารีต…”
เฉิงซ่งหน้าแดงก้มศีรษะลง ผิดกับวั่นชีชีที่ดวงตาสว่างวาบ “ท่านอาสะใภ้ มิสู้ให้เซ่าซางไปด้วยกันกับพวกเรา?”