บทที่ 338
เฉียวเจาหลุบตาลงเพ่งมองมือของพี่ชายบนหลังมือตน
มือของเขาใหญ่กว่าของนางมาก เรียวยาวขาวสะอาดทว่าสากด้านกว่าในความทรงจำ
ตอนพี่ชายพาน้องสาวคนเล็กจากจยาเฟิงดั้นด้นมาถึงเมืองหลวง ไม่ต้องพบกับความยากลำบากนานัปการหรือไร เมื่อคิดเช่นนี้อันที่จริงนางยังนับว่าโชคดี ตอนแรกอยู่กับพวกฉือชั่น ต่อมาก็อยู่กับท่านปู่หลี่
ท่านปู่หลี่ไม่เพียงคุ้มครองนางกลับเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ยังทำให้นางกลับเข้าสู่สกุลหลีอย่างราบรื่น นางในภพก่อนและภพนี้ได้รับความเอ็นดูและการปกป้องช่วยเหลือจากท่านปู่หลี่มากมายเพียงใด
พบพรากจากตาย ไยคนเรามีชีวิตอยู่ถึงเป็นทุกข์เช่นนี้นะ
สีหน้าเหม่อลอยของน้องสาวทำให้เฉียวโม่ปวดใจสุดจะกล่าว เขายื่นสองมือไปกุมบ่านางไว้พลางเรียกขาน “เจาเจา…”
เฉียวเจาช้อนตาขึ้นมองพี่ชาย
ถึงแม้ท่าทางของเขาดูสงบนิ่ง แต่ที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงตานั่นมิใช่ความเจ็บปวดหรอกหรือ
ท่านปู่หลี่ต้องการเสาะหายาให้พี่ใหญ่ถึงได้มีอันเป็นไป นางจะแสดงออกว่าเสียใจเช่นนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ต้องรู้สึกผิดมากขึ้น
“พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร…”
เฉียวโม่โอบตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก ถอนใจเบาๆ กล่าวขึ้น “พี่ใหญ่อยากให้เจ้าร้องไห้ออกมามากกว่า”
เซ่าหมิงยวนมองคนสองคนที่สวมกอดกันอยู่ไกลๆ สีหน้าเขาปนเปไปด้วยอารมณ์หลายหลาก
เฉียวเจาซบบ่าเฉียวโม่อยู่มองปราดไปเห็นคนที่อยู่ข้างต้นฉำฉา นางดันตัวพี่ชายออก ยกชายกระโปรงวิ่งไปหาเขา
ชายหนุ่มซึ่งเดิมตั้งใจจะหมุนกายจากไปหยุดยืนนิ่งกับที่
นางวิ่งมาถึงตรงหน้าเขา
“คุณหนูหลี…”
“ท่านเคยพูดว่าจะคุ้มครองท่านหมอเทวดาให้ดี” สุ้มเสียงของเฉียวเจาห้วนกระด้าง
เซ่าหมิงยวนเพียงรู้สึกอึดอัดจุกแน่นตรงกลางอก ส่งผลให้เขากล่าววาจาได้ยากลำบากอยู่บ้าง “ข้าขอขมา…”
“คนก็ไม่อยู่แล้ว ขอขมาไปจะมีประโยชน์อันใด” นางพูดด้วยน้ำเสียงพลุ่งพล่านขึ้น “เซ่าหมิงยวน ท่านปกป้องคนที่อยากปกป้องให้ดีได้จริงๆ หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้วันหน้าอย่าให้คำรับรองพรรค์นี้!”
“ข้า…” เซ่าหมิงยวนก้มหน้ามองดวงหน้าปึ่งชาของเด็กสาว หัวใจเขาปวดหนึบๆ ระลอกหนึ่ง
คุณหนูหลีตำหนิติเตียนได้ไม่ผิด เขาไร้ความสามารถเยี่ยงนี้ มักปกป้องคนที่อยากปกป้องที่สุดไม่ได้เสมอ
ภรรยาของเขาเป็นเช่นนี้ หมอเทวดาหลี่ก็เช่นเดียวกัน
“ข้าขอขมาท่านมากจริงๆ” เห็นเด็กสาวหลุบตาลงน้อยๆ เหมือนไม่อยากมองหน้าเขา เซ่าหมิงยวนยิ้มเยาะตนเอง แต่น้ำเสียงสงบนิ่งมากดุจเก่า “คุณหนูหลี ไม่ว่าอย่างไรก็ตามคนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นคืนชีพได้ โปรดหักห้ามใจด้วย ข้าไปสะสางงานสักหน่อยแล้วค่อยมาอีกที”
เวลานี้มีพี่เฉียวโม่คอยปลอบใจคุณหนูหลีได้พอดี เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้ให้ขวางหูขวางตา
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ากับนางแล้วหมุนกายจะออกเดินไป
เฉียวเจาสงบอารมณ์ลงได้ นางส่งเสียงเรียก “แม่ทัพเซ่า…”
เซ่าหมิงยวนหยุดฝีเท้าหันกลับมามองนางด้วยสายตาเยือกเย็น
นางย่อกายคารวะ “ขออภัยเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าควบคุมตัวไม่อยู่”
“คุณหนูหลีกล่าวไม่ผิดเลย ข้าทำได้ไม่ดีจริงๆ”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ เป็นข้าหัวเสียแล้วพาลใส่แม่ทัพเซ่าเอง จริงๆ แล้วข้ารู้ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติ กำลังของมนุษย์เรานั้นแสนน้อยนิด เรื่องนี้โทษแม่ทัพเซ่าไม่ได้ ข้าแค่…”
นางถอนสะอื้นทีหนึ่งก่อนจะเช็ดหางตาอย่างว่องไว “ข้าแค่เสียใจเกินไปก็เลยพูดไม่ยั้งปาก…”
ทั้งที่นางรู้ว่าโยนความผิดไปให้เซ่าหมิงยวนไม่ได้ แต่พอนางเห็นเขาก็คับข้องหมองใจอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงขั้นอยากทุบตีเขาสักยกตามอำเภอใจแล้วค่อยว่ากันอีกที
แต่ว่าเขาคงเสียใจเหมือนกันกระมัง
เห็นดวงตาของเด็กสาวแดงก่ำ เซ่าหมิงยวนอยากกอดนางไว้แล้วกระซิบพูดปลอบขวัญแบบเฉียวโม่เหลือเกิน ทว่าเขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอย่างนี้ได้
เขาได้แต่เผยรอยยิ้มอ่อนโยน กล่าวปลอบใจว่า “ข้าเข้าใจจิตใจของคุณหนูหลี ถ้าเสียใจก็ร้องไห้ออกมาเถอะ เก็บกดไว้ในใจจะเสียสุขภาพได้”
เฉียวโม่สาวเท้าเข้ามาในตอนนี้เอง
เฉียวเจาฝืนยิ้ม “พี่ใหญ่ แม่ทัพเซ่า ข้าอยากกลับเรือนก่อนเจ้าค่ะ”
“เจาเจา…”
“พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าไม่เป็นไรจริงๆ พรุ่งนี้ข้ายังมาเช่นเคยเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่ลอบถอนใจ เขากล่าวกับเซ่าหมิงยวน “ท่านโหว รบกวนท่านออกไปส่งเจาเจาด้วย”
ตลอดทางออกจากจวน เฉียวเจาเงียบขรึมมาก เซ่าหมิงยวนอยากเปล่งเสียงกล่าวปลอบหลายครั้งหลายครา สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น
เขาถูกลิขิตให้มิใช่คนที่จะให้นางได้ซบไหล่พักพิงผู้นั้น
“แม่ทัพเซ่า ท่านส่งถึงตรงนี้เถอะ” เฉียวเจาหยุดฝีเท้าตรงหน้าประตู
“ข้าจะไปส่งท่านขึ้นรถม้า”
ตอนนี้เฉียวเจาไม่มีแก่ใจบอกปัด นางพยักหน้าแล้วเดินไปข้างนอกเงียบๆ
รถม้าจอดอยู่นอกประตูเล็ก
เซ่าหมิงยวนเลิกม่านประตูขึ้นให้นางด้วยตนเอง รอเมื่อนางก้มตัวก้าวขึ้นไป รถม้าค่อยๆ แล่นจากไปไกล เขาถึงกลับเข้าจวน
เฉียวโม่ยังคงนั่งอยู่ในศาลา เพ่งมองกระดานหมากที่ยังเดินไม่จบเบื้องหน้าอย่างใจลอย
เซ่าหมิงยวนนั่งลงฝั่งตรงข้าม “คุณหนูหลีไปแล้ว ดูท่าทางนางยังนับว่าปกติดี”
“เพราะเป็นอย่างนี้ข้าถึงเป็นห่วง นางกลัวข้ารู้สึกผิดเลยไม่กล้าร้องไห้ต่อหน้าข้า” เฉียวโม่พูดเสียงขื่นๆ
“พี่เฉียวโม่รู้จักคุณหนูหลีดีเหลือเกิน”
เฉียวโม่มองเขาอย่างพินิจ เห็นสีหน้าแววตาสงบนิ่งของอีกฝ่าย ในใจเขาจู่ๆ บังเกิดความคิดชั่ววูบอย่างหนึ่งว่าถ้าบอกให้กวนจวินโหวรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจาเจา เขาจะเป็นอย่างไร ยังจะเยือกเย็นและสงวนท่าทีดังเช่นในเวลานี้อีกหรือไม่
เซ่าหมิงยวนสังเกตเห็นสีหน้าแววตาของเฉียวโม่ผิดไปจากเดิมอยู่บ้าง เขาอดถามขึ้นไม่ได้ “พี่เฉียวโม่?”
เฉียวโม่เบนสายตาออกไปทางอื่น “บางครั้งข้าคิดว่าหากคุณหนูหลีเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้าก็คงดี”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “พี่เฉียวโม่กับคุณหนูหลีเป็นพี่น้องบุญธรรมกันแล้ว ย่อมเห็นนางเป็นน้องสาวแท้ๆ ได้เต็มที่”
“ไม่ใช่” เฉียวโม่ดึงสายตากลับมามองเขา กล่าวอย่างมีนัยลึกซึ้ง “บางครั้งข้ารู้สึกเหมือนกับว่านางก็คือน้องเจาฟื้นคืนชีพขึ้นมา”
หัวใจของเซ่าหมิงยวนเต้นถี่แรงถึงขั้นได้ยินเสียงใจเต้นตึกตัก หากเป็นอย่างนั้นจะดีปานใดหนอ ทว่านี่เป็นเพียงความคิดเพ้อฝันเท่านั้น
เฉียวโม่รอดูอาการตอบสนองของเซ่าหมิงยวน กระนั้นอีกฝ่ายกลับดูคล้ายต้องมนตร์สะกด ไม่ปริปากพูดสักคำอยู่เนิ่นนาน
เขาได้แต่กระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนสะกดอารมณ์ที่สับสนว้าวุ่นไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถึงจะเหมือนกันเพียงใด พวกนางก็เป็นคนละคนกัน”
เขากล่าวตอบเฉียวโม่ไปเช่นนี้ แต่จนกระทั่งกลับถึงห้องหนังสือในห้วงความคิดเขายังยุ่งเหยิงวุ่นวาย ประเดี๋ยวนึกถึงคำพูดแปลกๆ ชอบกลของเฉียวโม่ ประเดี๋ยวเป็นภาพดวงตาแดงก่ำของเด็กสาว
ชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องหนังสือเงียบๆ ครู่หนึ่งถึงเปิดประตูออกไปยังที่พำนักของเฉินกวง
“ท่านแม่ทัพ…” เฉินกวงนั่งพิงหัวเตียงกินองุ่นอยู่อย่างเบื่อหน่ายเหลือแสน พอเห็นผู้บังคับบัญชาเข้ามาก็ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง
เซ่าหมิงยวนทำมือบอกให้เขาเอนกายตามสบายพลางเอ่ย “ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“เกือบเป็นปกติดีแล้วขอรับ อันที่จริงข้าไปรายงานตัวได้แล้ว”
“รักษาตัวให้หายสนิทค่อยว่ากัน”
“ขอรับ” เฉินกวงสังเกตเห็นสีหน้าของท่านแม่ทัพไม่ใคร่ปกติ เขาจึงขานรับอย่างสงบเสงี่ยม
หลังรอคอยอยู่นานครู่ใหญ่ ไม่เห็นเซ่าหมิงยวนอ้าปากพูดอีก เฉินกวงก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพ ยังมีอะไรอีกหรือไม่ขอรับ”
เอาแต่มองเขาโดยไม่พูดไม่จา ทำเอาข้าแม้แต่จะกินองุ่นก็ยังกระดากใจแล้ว
“เฉินกวง ข้าถามเจ้าคำถามหนึ่ง”
“ท่านแม่ทัพเชิญกล่าว”
“ถ้ามีคนผู้หนึ่งเสียใจมาก ข้าในฐานะสหายธรรมดาไม่รู้จะปลอบใจอย่างไรดี ถ้าเป็นอย่างนั้นควรทำเช่นใด”
“ท่านหมายถึงคุณหนูหลีกระมัง” เฉินกวงพลั้งปากออกมา
เซ่าหมิงยวนมองเขาตาขุ่น
เฉินกวงรีบปิดปากไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พูดผิดไปๆ ข้ารู้ขอรับว่าเป็นแค่สหายธรรมดา”
“อย่ามัวพล่าม! ตอบคำถามข้า”
“ขอข้าคิดดูสักหน่อย” เฉินกวงตรึกตรองครู่หนึ่งก็ตาเป็นประกาย “นึกออกแล้ว!”
บทที่ 339
ขณะเฉินกวงพูดว่า ‘นึกออก’ แล้ว เขากลอกตามองไม่หยุด อยากจะตรึงสายตาอยู่ที่ใบหน้าของผู้เป็นนายใจจะขาด
มือของเซ่าหมิงยวนกระตุกเล็กน้อย เขาคิดจะฟาดเฉินกวงสักที แต่คำนึงถึงว่าคนตรงหน้ายังเป็นคนป่วยถึงฝืนข่มใจไว้ เอ่ยเสียงห้วน “รีบพูด!”
เจ้าหนุ่มตัวเหม็น ไม่โดนสั่งสอนมาพักหนึ่งก็ชักกำเริบ
“ท่านแม่ทัพมอบของขวัญให้สหายผู้นั้นได้ขอรับ”
เซ่าหมิงยวนทำหน้าผิดหวัง “พวกแก้วแหวนเงินทองดูเหมือนฝ่ายนั้นไม่เห็นอยู่ในสายตามากเท่าไร อีกอย่างมอบให้ในเวลาเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสม”
คุณหนูหลีกำลังเสียใจ เขามอบเงินหยวนเป่าให้หนึ่งหีบ? แม้ว่าเขาไร้ประสบการณ์ แต่แค่นึกภาพนั้นในหัวก็ยังรู้สึกไม่เข้าที
เฉินกวงเบะปาก ท่านแม่ทัพปากไม่ตรงกับใจ ยังจะทำปฏิเสธว่าไม่ใช่คุณหนูหลี เขาจำได้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าท่านแม่ทัพเคยมอบเงินหยวนเป่าให้คุณหนูหลีสองหีบ หาไม่แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านางไม่เห็นอยู่ในสายตา?
“ท่านแม่ทัพ สหายธรรมดาผู้นี้ของท่านเป็นบุรุษหรือสตรีขอรับ” เฉินกวงจงใจเน้นเสียงหนักตรงคำว่า ‘สหายธรรมดา’
“หือ?”
เฉินกวงเอ่ยอธิบายกลั้วเสียงหัวเราะ “ถ้าเป็นบุรุษ อันที่จริงจะมอบเงินหยวนเป่าสักหีบก็ไม่เลว แต่ถ้าเป็นสตรีล่ะก็…”
ถึงข้าเป็นสตรี เห็นเงินหยวนเป่าหีบหนึ่งก็แสนจะยินดีปรีดาเฉกเดียวกัน!
เฉินกวงรีบปัดความคิดนี้ทิ้งไป กล่าวอย่างจริงจังขึ้นว่า “สามารถมอบสัตว์ที่น่ารักให้นางสักตัวได้ขอรับ”
“สัตว์?”
“ใช่แล้ว สัตว์ขอรับ ท่านแม่ทัพลองคิดดู หมาๆ แมวๆ พวกนั้นน่าเอ็นดูเพียงใด เวลาสหายของท่านทุกข์ใจอยู่แล้วได้เห็นพวกมัน ไม่แน่อาจช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้นะขอรับ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า “เจ้าพูดมีเหตุผลอยู่บ้าง เช่นนั้นมอบแมวให้ดี หรือว่ามอบสุนัขให้ดีล่ะ”
เฉินกวงเกือบกลอกตาขึ้นอย่างสุดระงับ
ท่านจะคิดอะไรที่มันแปลกใหม่สักนิดมิได้หรือ ท่านแม่ทัพทื่อมะลื่อเช่นนี้ ถ้าไม่ได้ข้าช่วยจะทำฉันใดนะ
“ท่านแม่ทัพ ข้าเพียงยกสุนัขกับแมวเป็นตัวอย่าง ท่านมอบสัตว์ที่พิเศษๆ ได้ขอรับ”
“เช่นว่า…” เซ่าหมิงยวนครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจัง “มอบลูกม้าให้นางสักตัวเป็นอย่างไร”
เฉินกวงเหล่ตามองเซ่าหมิงยวนพลางทำสีหน้าเหยียดหยาม
ท่านแม่ทัพสมองทึบใช่หรือไม่ เคยมอบลูกม้าให้คุณหนูเฉียวหว่านไปแล้ว ตอนนี้จะมอบของขวัญอย่างเดียวกันให้คุณหนูหลี
นี่จะมอบของขวัญหรือกวนโทสะกันเล่า
“เจ้าทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอะไร” เซ่าหมิงยวนขมวดคิ้ว คุณหนูหลีตัวไม่สูง มอบลูกม้าให้ก็เหมาะดีนี่นา พออารมณ์ไม่ดีจะได้ไปขี่ม้าหย่อนใจ
เอ่อ…ไม่รู้ว่าคุณหนูหลีขี่ม้าเป็นหรือไม่
ครั้นคิดได้เช่นนี้ เซ่าหมิงยวนรู้สึกว่ามอบลูกม้าให้ดูจะไม่เข้าท่าจริงๆ
เฉินกวงลอบถอนใจเฮือก เห็นทีว่าจะให้ท่านแม่ทัพคิดออกเองว่ามอบของขวัญอะไรถึงจะเหมาะสม ยังมิสู้ตั้งความหวังให้แม่สุกรปีนต้นไม้จะดีกว่า
สารถีน้อยรู้สึกว่าตนมีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ตกลงปลงใจชี้ทางสว่างสายหนึ่งให้แก่ท่านแม่ทัพที่เคารพ “ท่านแม่ทัพ ยังจำนกขุนทองที่ท่านได้รับมาตอนย้ายเรือนได้หรือไม่ขอรับ”
เซ่าหมิงยวนส่ายหน้า
แม้ว่าวันที่ย้ายเรือนไม่ได้จัดงานเลี้ยงสุราใหญ่โต กลับได้รับของขวัญอวยพรไม่น้อย แค่ว่าวันนั้นถูกลิขิตให้เป็นวันแห่งความมืดมนในความทรงจำของเขาไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เรื่องสัพเพเหระพวกนั้นล้วนถูกมอบหมายให้พวกผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการสะสาง ตัวเขาไม่เคยสนใจ
“นกขุนทองตัวนั้นแสนรู้ยิ่งนัก มันพูดเก่งมากขอรับ สหายของท่านเห็นแล้วต้องรู้สึกว่ามันน่ารักและแปลกใหม่ พอได้ฟังเจ้านกกล่าวคำมงคลสองสามคำ เรื่องกลัดกลุ้มใจใดๆ ล้วนหมดสิ้นไปเป็นแน่”
“เอานกขุนทองตัวนั้นมาให้ข้าดูหน่อยสิ” เขาเอ่ยสั่งขึ้น
สองเค่อต่อมา องครักษ์ผู้หนึ่งกุลีกุจอหิ้วกรงนกงามวิจิตรมาถึง
เซ่าหมิงยวนพิศดูอย่างละเอียด เห็นนกขุนทองในกรงสีดำปลอดทั้งตัว ขนเป็นมันเงา ดูท่าทางแข็งแรงปราดเปรียว
“มันพูดเป็นจริงๆ หรือ” หลังจ้องตากับเจ้านกขุนทองครู่หนึ่งเขาก็ถามขึ้น
“สมดังปรารถนา…สมดังปรารถนา…” เจ้านกขุนทองรับรู้ได้ว่าตนเองโดนสบประมาท มันจึงเปล่งเสียงอย่างร่าเริงสดใส
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างอัศจรรย์ใจ พูดเลียนเสียงคนได้เหมือนจริงถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่!
เฉินกวงลอบถอนใจ ท่านแม่ทัพขอรับ พวกคุณชายทั้งหลายในเมืองหลวงมีคนใดที่ไม่ได้เล่นกัดจิ้งหรีดหรือเลี้ยงนกจนเบื่อบ้าง ไฉนท่านทำท่าทำทางละม้ายเจ้ากวางน้อยหน้าซื่อกระนั้น
“มันยังพูดคำอื่นได้หรือไม่” แววตาของเซ่าหมิงยวนอ่อนละมุนลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขามองนกขุนทองในกรงพลางถาม
“มั่งมีศรีสุข…มั่งมีศรีสุข…” เจ้านกขุนทองเปล่งเสียงอย่างร่าเริงสดใสอีกครา
เซ่าหมิงยวนเย้าแหย่มันครู่หนึ่ง เห็นมันกล่าวคำมงคลได้ไม่น้อยก็พึงใจเป็นอันมาก
“นกขุนทองตัวนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร”
“พวกเราเรียกมันว่าเสี่ยวเฮยมาตลอดขอรับ”
นกขุนทองในกรงได้ยินคำว่า ‘เสี่ยวเฮย’ แล้วหันบั้นท้ายให้เฉินกวง จากนั้นเอาหัวซุกใต้ปีกทำท่าเป็นเชิงว่า ‘ข้าไม่ฟังๆ’ กระนั้น
เซ่าหมิงยวนรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งขึ้น เขานึกในใจว่า คุณหนูหลีเคยบอกว่าชมชอบพวกนก เจ้านกขุนทองตัวนี้น่าเอ็นดูเพียงนี้ ต้องสร้างความสำราญใจให้นางได้แน่
“อื้อ นกขุนทองตัวนี้ไม่เลว แต่ชื่อของมันสามัญเกินไปบ้าง”
เฉินกวงออกความเห็นยิ้มๆ “ท่านแม่ทัพ ให้สหายท่านตั้งชื่อให้มันจะไม่ดีกว่าหรือขอรับ”
“มีเหตุผล” เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ แต่ก่อนเขาติงว่าเฉินกวงพูดมากน่ารำคาญ บัดนี้เพิ่งพบว่ายังมีข้อดีอยู่ “เจ้าพักรักษาตัวให้ดีๆ รอหายเป็นปกติแล้วไปรับสุราจุ้ยชุนเฟิงสองสามไหที่หอชุนเฟิง”
เฉินกวงได้ยินแล้วดีใจยกใหญ่ “ขอบคุณท่านแม่ทัพอย่างมากขอรับ” ประหยัดเงินค่าสุราเก็บไว้ตบแต่งภรรยาได้อีกก้อนหนึ่งแล้ว
เซ่าหมิงยวนส่งกรงนกให้องครักษ์ผู้หนึ่งและสั่งกำชับ “เอานกขุนทองตัวนี้ไปมอบให้ถึงมือคุณหนูสามที่จวนสกุลหลี”
หวังว่านกขุนทองน่าเอ็นดูตัวนี้จะทำให้จิตใจนางเบิกบานขึ้นบ้าง
ด้านเฉียวเจากลับถึงจวน นางเข้าห้องแล้วบอกให้ปิงลวี่กับอาจูออกไปจนหมดจากนั้นปิดประตู
สาวใช้สองนางยืนอยู่ใต้ซุ้มระเบียงนอกประตูพูดคุยกันเสียงเบาๆ
“คุณหนูเจอเรื่องไม่สบายใจมาหรือ”
ปิงลวี่ทำหน้างุนงง “ข้าก็ไม่รู้ ตอนคุณหนูสนทนากับแม่ทัพเซ่าและคุณชายเฉียวไม่ให้ข้าอยู่ใกล้ๆ”
อาจูมองประตูที่ปิดสนิทอย่างวิตกกังวล “ข้าไปต้มของหวานสักหน่อย เจ้าเฝ้าคุณหนูไว้ให้ดี มีเรื่องอะไรก็เรียกข้า”
คุณหนูเคยบอกว่ายามอารมณ์ไม่ดี กินของหวานๆ พอรู้สึกถึงความหวานชื่นใจ อารมณ์ก็จะดีขึ้นบ้าง
อาจูไปแล้วปิงลวี่เริ่มใจคอไม่ดี
อาจูพูดอย่างนั้นหมายความว่าอะไร จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคุณหนูหรือ เอ๊ะ…หรือว่าคุณหนูจะคิดสั้น
ครั้นคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ปิงลวี่ร้อนใจขึ้นมา จึงยกมือตบประตูเต็มแรง “คุณหนู…คุณหนูเปิดประตูเร็วเข้า!”
ข้างในไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวชั่วประเดี๋ยวเดียว สาวใช้น้อยก็เงื้อเท้าถีบประตูห้องเปิดออกแล้ว
เฉียวเจาเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูตะลึงงันตาค้าง
สาวใช้น้อยผู้รู้ตัวว่าก่อเรื่องขึ้นพลันทำตาปริบๆ “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรหรือเจ้าคะ”
เฉียวเจาซึ่งนอกจากขอบตาแดงก่ำก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ บนใบหน้าอีกไต่ถามเสียงเบาๆ “มีเรื่องหรือ”
“เอ่อ…” ปิงลวี่กลอกตาไปมารอบหนึ่งแล้วหาข้ออ้างได้ “คุณหนู แม่ทัพเซ่าส่งนกมาให้ท่านตัวหนึ่งเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาดูจะคาดไม่ถึงอยู่บ้าง นางนิ่งงันไปอึดใจหนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “เอาเข้ามาสิ”
เด็กสาวหมุนกายเดินเข้าไปด้านในเงียบๆ แผ่นหลังของนางชวนให้รู้สึกเศร้าสร้อยชอบกล
ปิงลวี่วิ่งไปหิ้วกรงนกมาจากห้องเล็กด้านข้างอย่างกระวีกระวาด “คุณหนูดูสิ นกตัวนี้ยังพูดคำว่าสมปรารถนาได้ด้วยนะเจ้าคะ”
ในใจเฉียวเจากำลังเป็นทุกข์ ไหนเลยจะมีแก่ใจฟังนกขุนทองตัวหนึ่งพูดอะไรตลบขบขัน นางบอกเอื่อยๆ “แขวนไว้ใต้ชายคาเถอะ”
“คุณหนูไม่ฟังมันพูดหรือเจ้าคะ” ปิงลวี่ตบกรงนก “รีบพูดกับคุณหนูว่าสมดังปรารถนาสิ”
สายตาของเฉียวเจาหยุดอยู่ที่ตัวนกขุนทองโดยไม่คิดอะไร
นกขุนทองกลอกลูกตาอย่างว่องไว ก่อนนางจะดึงสายตากลับ จู่ๆ มันก็เปล่งเสียงว่า “น้องหญิง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.