X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่านหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม 5 บทที่ 348-บทที่ 349

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 348

องค์หญิงเจินเจินอิดๆ เอื้อนๆ ไม่ยอมเงยหน้า ลี่ผินเข้าไปจับมือนางอย่างอดใจไม่อยู่ “เจินเจิน ให้เสด็จแม่ดูสิว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

นางยังก้มศีรษะไม่พูดไม่จาดุจเดิม

เจียงซือหร่านเอ่ยเร่ง “เจินเจิน ไฉนเจ้าไม่เงยหน้าขึ้นเล่า”

“ข้า…” องค์หญิงเจินเจินหลับตาลงแล้วเงยหน้าขวับ ลืมตาขึ้นช้าๆ ท่ามกลางเสียงอุทานเบาๆ ของคนอื่น นางมองไปที่คันฉ่องด้วยจิตใจอันหวาดหวั่นเหลือแสน

เด็กสาวในคันฉ่องมีรูปหน้าทรงไข่ใหญ่เท่าฝ่ามือ ไม่มีอาการเนื้อเน่าน้ำเหลืองไหลซึมบนใบหน้าให้เห็น แต่มีสะเก็ดแผลเป็น มาตรว่ายังน่าขยะแขยงดังเก่า แต่อาการดีขึ้นกว่าก่อนหน้ามากแล้ว

นางหันขวับไปมองเฉียวเจา

ลี่ผินยกมือกุมปากพูดขึ้น “เจินเจิน หน้าเจ้าไม่เน่าแล้ว”

องค์หญิงเจินเจินไม่พูดตอบมารดา แต่สาวเท้าเร็วรี่ไปตรงหน้าเฉียวเจาคว้ามือนางขึ้นมา “เจ้าทำได้อย่างไร”

เพลานี้ไหลสี่เปล่งเสียงบอก “องค์หญิง ไทเฮามีกระแสรับสั่งไว้ว่าเมื่อพระองค์ทรงทราบผลแล้วให้ไปเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงเจินเจินสงบอารมณ์ชั่วอึดใจ ถึงผงกศีรษะกับไหลสี่อย่างมีมารยาท “ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้”

เดิมทีองค์หญิงเจินเจินรับการรักษาที่ห้องในมุมเปลี่ยวไกลห้องหนึ่งของตำหนักฉือหนิงนี่เอง ด้วยเหตุนี้คนทั้งกลุ่มเดินเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็มาถึงเบื้องพระพักตร์หยางไทเฮา

สายตาเรียบเฉยของนางมองไปทั่วดวงหน้าองค์หญิงเจินเจินแล้วฉายแววประทับใจเพิ่มขึ้นหลายส่วน “ถึงกับไม่เน่าแล้วจริงๆ”

“เพคะ หม่อมฉันคิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้ผลถึงเพียงนี้ ขอบพระทัยเสด็จย่าที่เรียกตัวคุณหนูหลีเข้าวังเพื่อหม่อมฉันเพคะ”

ไหลสี่ซึ่งพาองค์หญิงเจินเจินมาที่นี่เอ่ยชมในใจ มิน่าองค์หญิงเก้าถึงเป็นที่โปรดปรานของไทเฮามากที่สุด สตรีนางหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้แล้วยังไม่ลืมเอาอกเอาใจผู้อาวุโส ถือว่าทุ่มเทเอาการโดยแท้

ถ้อยคำขององค์หญิงเจินเจินทำให้หยางไทเฮารู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอันมาก นางมองไปทางเฉียวเจาด้วยสีหน้าละมุนลงพลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ดูไม่ออกจริงๆ ว่าคุณหนูหลีซานอายุยังน้อยกลับเป็นผู้มีความสามารถสูงส่งผู้หนึ่ง”

เฉียวเจาย่อเข่าแสดงคารวะ “ไทเฮาตรัสชมเกินไป หม่อมฉันเพียงโชคดีได้รับการชี้แนะสั่งสอนจากท่านปู่หลี่เพคะ”

หยางไทเฮามิได้เชื่อถือเป็นจริงเป็นจัง นึกว่านางรักสวยรักงามตามประสาเด็กสาว ถึงตั้งใจขอตำรับยาถนอมบำรุงผิวพรรณจากหมอเทวดาหลี่เท่านั้น

“คุณหนูหลีซาน ในเมื่อเจ้ารักษาอาการเน่าที่ใบหน้าองค์หญิงเก้าได้ ไม่รู้ว่ารอยแผลบนใบหน้านางยังมีหนทางหรือไม่”

ได้ยินหยางไทเฮาเอ่ยถามคำนี้ องค์หญิงเจินเจินใจเต้นระทึกไปหมด จับจ้องเฉียวเจาอย่างไม่วางตา นางได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นรัวแรงมากราวกับพร้อมจะกระดอนออกมานอกอกได้ทุกเมื่อ แต่นางไม่คิดที่จะสะกดมันไว้ นับแต่ชั่วเสี้ยวขณะที่เกิดความผิดปกติที่ใบหน้า นางนึกว่าตนเองคงหมดความรู้สึกใจเต้นไปแล้ว

จากสิ้นหวังจนมีความหวังริบหรี่แล้วกลับไปสิ้นหวัง บัดนี้เริ่มมีความหวังรำไรอีกครั้ง หลีซานจะให้นางตั้งความหวังนี้ได้หรือไม่

ทุกคนจ้องมองเฉียวเจาตาเขม็ง เห็นเรียวคิ้วของนางมุ่นน้อยๆ คล้ายลำบากใจมาก

บรรยากาศที่นิ่งเงียบนี้ดำเนินไปครู่ใหญ่ องค์หญิงเจินเจินเอ่ยถามขึ้นด้วยสุ้มเสียงสั่นเทา “ใช่หรือไม่ว่า…หมดหนทาง”

“คุณหนูหลีซาน มีอะไรก็บอกมาได้เต็มที่” หยางไทเฮาอ้าปากพูด

“ยาที่รักษาองค์หญิงให้หายสนิทได้มิใช่ไม่มี ทว่ายุ่งยากอยู่บ้าง…”

“คุณหนูหลี เจ้าหมายถึงว่าใบหน้าข้ายังเยียวยาได้จริงหรือ” องค์หญิงเจินเจินตาเป็นประกาย

เฉียวเจาพยักหน้าอย่างละล้าละลัง “หากปรุงยาขี้ผึ้งที่ถูกกับอาการได้ องค์หญิงก็จะทรงหายดีดังเดิมเพคะ”

องค์หญิงเจินเจินโงนเงนถอยหลังไปหลายก้าวถึงฝืนทรงตัวไว้ได้คล้ายไม่อยากจะเชื่อ นางพูดพึมพำว่า “เสด็จย่า เสด็จแม่ พวกพระองค์ทรงได้ยินแล้วใช่หรือไม่เพคะ นางบอกว่าใบหน้าข้าสามารถหายดีดังเดิมได้ ยังสามารถหายดีดังเดิมได้”

“ใช่แล้วๆ” ลี่ผินพยักหน้าหงึกหงัก สายตาที่มองไปทางเฉียวเจาไม่แฝงแววขุ่นข้องเฉกเช่นก่อนหน้าอีก ซ้ำยังกระตือรือร้นเหลือหลาย “คุณหนูหลีซาน ต้องการสมุนไพรอะไรบ้าง เจ้าบอกมาได้เต็มที่ ไม่ว่ายากเย็นเพียงใดก็ไม่เป็นไร ขอแค่รักษาใบหน้าองค์หญิงหายได้เป็นพอ”

ฝ่ายหยางไทเฮาสุขุมกว่ามาก นางพยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าว “ลี่ผินกล่าวไม่ผิด คุณหนูหลีซาน เจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกมาได้เลย”

เด็กสาวซึ่งตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนดูเหมือนลำบากใจมากจริงๆ นางตรึกตรองครู่หนึ่งถึงตัดสินใจพูดออกมา “สมุนไพรที่ใช้ทำยาขี้ผึ้งล้วนเป็นของที่พบได้บ่อย แต่มีส่วนผสมหลักหนึ่งในนั้นมีชื่อเรียกว่ามุกนิ่มกลับโตในเปลือกหอยชนิดหนึ่งทางทะเลแดนใต้ เป็นส่วนผสมตัวนี้นี่เองที่ค่อนข้างยุ่งยาก…”

ลี่ผินไม่รอนางกล่าวจบก็เอ่ยขึ้น “นี่ง่ายดายมาก หากในเมืองหลวงไม่มี ทางวังหลวงจะส่งคนไปหาซื้อจากแดนใต้เอง”

หยางไทเฮาขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “ลี่ผิน ฟังคุณหนูหลีซานพูดให้จบก่อน”

เห็นเด็กสาวมีท่าทางลำบากใจเช่นนี้ เกรงว่าจะมิใช่เรื่องง่ายดายอย่างนั้น

ลี่ผินไม่กล้ากล่าวต่ออีก นางขานรับเสียงงึมงำ

หยางไทเฮาพยักหน้ากับเฉียวเจาเป็นเชิงบอกให้นางพูดต่อไป

“หลังจากเก็บมุกนี้มาแล้วต้องปรุงเป็นยาทันที ไม่เช่นนั้นจะสูญเสียสรรพคุณทางยาไป ดังนั้นอยากทำยาขี้ผึ้งถวายองค์หญิง หม่อมฉันจำเป็นต้องเดินทางไปด้วยตนเองเพคะ”

คำกล่าวนี้ดังขึ้น ในโถงตำหนักเงียบกริบในพริบตา

หยางไทเฮาเอ่ยถามราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ “ข้าได้ยินว่าหมอเทวดาหลี่ประสบเคราะห์ร้ายเพราะออกทะเล หรือเกี่ยวข้องกับมุกนิ่มชนิดนี้เช่นกัน”

สีหน้าของเฉียวเจาสลดลง แววหม่นเศร้าจุดวาบขึ้นในดวงตา นางกล่าวเสียงค่อย “เพคะ ท่านปู่หลี่อยากจะรักษาใบหน้าของคุณชายเฉียว จึงตัดสินใจไปเก็บมุกนิ่มที่ทะเลแดนใต้ เพราะมันเป็นตัวยาที่ขาดไม่ได้ของยาลบรอยแผลชั้นยอดเพคะ”

“คุณชายเฉียว?”

ไหลสี่ยื่นหน้าไปกระซิบบอกข้างหูไทเฮา “น่าจะหมายถึงหลานชายของจอมปราชญ์เฉียวจัว ใบหน้าคุณชายเฉียวผู้นี้โดนไฟไหม้เป็นแผลพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาของหยางไทเฮาซึ่งจับอยู่ที่ตัวเฉียวเจาแฝงนัยชอบกล “หมอเทวดาหลี่ตั้งใจไปเสาะหาตัวยาถึงทะเลแดนใต้เพื่อคุณชายเฉียวหรือ”

เฉียวเจาหลุบตาลง “เพคะ ท่านปู่หลี่บอกข้าว่าเขากับอาจารย์เฉียวเป็นสหายรักกัน”

“ที่แท้เป็นอย่างนี้” หยางไทเฮาหมุนเมล็ดเหอเถาในมือไปมาพลางครุ่นคิดเงียบๆ

องค์หญิงเจินเจินไม่ปริปากขอร้อง แต่มองหยางไทเฮาด้วยแววตาวาดหวัง

ลี่ผินข่มใจไม่อยู่ เปล่งเสียงเรียกขึ้น “ไทเฮาเพคะ…”

หยางไทเฮาขึงตาใส่ลี่ผินก่อนจะมองไปทางเฉียวเจาด้วยสายตาอ่อนโยนสุดจะเปรียบ “คุณหนูหลีซานมีเมตตาจิตเฉกผู้เป็นแพทย์ ใบหน้าขององค์หญิงเก้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

นี่หมายความว่ายอมให้เฉียวเจาไปเสาะหาตัวยาที่ทะเลแดนใต้แล้ว

เฉียวเจาลอบขบขัน

เมื่อครู่นางเอ่ยว่าท่านปู่หลี่เคยชี้แนะสั่งสอนนาง ไทเฮายังทำท่าไม่เชื่อคำพูดนาง ตอนนี้กลับบอกว่านางมีเมตตาจิตเฉกผู้เป็นแพทย์ พวกเชื้อพระวงศ์เปลี่ยนสีหน้าได้ว่องไวอย่างหาผู้ใดเทียบเทียมได้จริงๆ หากสลับเป็นเด็กสาวทั่วไปได้ยินว่าต้องดั้นด้นทางไกลนับพันลี้ไปเสาะหาตัวยาถึงทะเลแดนใต้ คงจะแตกตื่นทำอะไรไม่ถูกแต่แรกแล้ว

ดีที่การเดินทางลงใต้เป็นแผนการในใจนางมาโดยตลอด

เฉียวเจากำมือที่สอดอยู่ในแขนเสื้อหลวมกว้างเบาๆ สะกดความตื่นเต้นนั้นไว้

รอมานานปานนี้ก็เพื่อหาเหตุผลไปทางทิศใต้ได้อย่างเปิดเผย บัดนี้โอกาสมาถึงแล้วในที่สุด

“คุณหนูหลีซานวางใจได้ ข้าจะส่งคนคุ้มครองเจ้าเป็นอย่างดี”

เฉียวเจาเริ่มพะวักพะวน “ไทเฮาทรงส่งคนตามไปคุ้มครอง หม่อมฉันย่อมไปที่ทะเลแดนใต้โดยไร้ความกังวล ทว่าครอบครัวของหม่อมฉัน…”

เมื่อนึกถึงบิดามารดาและญาติพี่น้องในสกุลหลี เฉียวเจารู้สึกผิดอยู่บ้าง นางนึกภาพเหอซื่อน้ำตาเป็นเผาเต่าได้แล้ว

บางทีหากท่านแม่มีทารกน้อยๆ อยู่ในท้องอาจจะดีขึ้น?

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวสมองของเฉียวเจา นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าทำได้

พักนี้ดูเหมือนท่านพ่อจะนอนค้างในเรือนใหญ่ตลอด อืม…ปัจจัยรอบข้างยังเอื้ออำนวยเสียจริงๆ

บทที่ 349

เฉียวเจาตกลงปลงใจว่ารอกลับถึงเรือนจะต้มยาที่ส่งผลดีต่อการตั้งครรภ์สักชามให้เหอซื่อดื่ม

“คุณหนูหลีซานวางใจได้ ข้าจะปลอบขวัญครอบครัวของเจ้าให้ดีๆ ข้าเชื่อว่าพวกเขาสามารถอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวที่มีความสามารถอย่างเจ้าได้ จะต้องเป็นคนที่มีความคิดกว้างขวางและซื่อสัตย์กตัญญูเป็นแน่”

หญิงสาวลอบถอนใจเบาๆ แม้ว่าใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม หากครอบครัวของข้าไม่เห็นด้วย ก็กลายเป็นคนมีความคิดไม่กว้างขวางและไม่ซื่อสัตย์กตัญญูสินะ

“สามารถช่วยเหลือองค์หญิงได้ เป็นเกียรติของหม่อมฉันเพคะ”

หยางไทเฮามองเฉียวเจาอย่างพินิจ เห็นสีหน้าท่าทางของนางไม่คล้ายแสร้งทำ จึงยิ้มอย่างพอใจ “เป็นเด็กดีจริงๆ”

เวลานี้เองมีนางกำนัลขานบอก “ไทเฮา หยางซื่อจื่อขอเข้าเฝ้าเพคะ”

ในตำหนักฉือหนิงแห่งนี้ เอ่ยถึงหยางซื่อจื่อจะหมายถึงคนผู้เดียวก็คือหยางโฮ่วเฉิง ซื่อจื่อของจวนหลิวซิ่งโหว

จวนหลิวซิ่งโหวเป็นสกุลเดิมของหยางไทเฮา และนางชมชอบหยางโฮ่วเฉิงผู้เป็นหลานชายผู้นี้อย่างมาก

“เจ้าวานรจอมซนผู้นี้มาได้อย่างไร” หยางไทเฮาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสนิทสนมเต็มเปี่ยม “เรียกตัวหยางซื่อจื่อเข้ามา”

สิ้นเสียงหยางไทเฮาไม่ทันไร องค์หญิงเจินเจินกล่าวขึ้นทันควัน “เสด็จย่า หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”

นางไม่อยากเจอหน้าใครในสารรูปตอนนี้ทั้งสิ้น

“ไปเถอะ” หยางไทเฮาพูดพลางมองไปทางเฉียวเจา

นางย่อกายคารวะ “ไทเฮา หม่อมฉันออกมานานมากแล้วขอทูลลาก่อนเพคะ จะได้นำเรื่องเดินทางลงใต้ไปบอกกล่าวคนในครอบครัวด้วย”

ไทเฮาพยักหน้าอย่างพอใจ “ตกลง ไหลสี่ ส่งคุณหนูหลีซานออกจากวังแทนข้าด้วย”

แม่เด็กน้อยผู้นี้นับว่ามีไหวพริบดี รู้จักพูดคุยกับคนในครอบครัวให้เข้าใจก่อนนางออกพระเสาวนีย์ เมื่อถึงตอนชาวสกุลหลีได้รับพระเสาวนีย์ก็จะไม่แสดงท่าทีอะไรที่ชวนให้ระคายใจ หาไม่แล้วแพร่ออกไปยังจะหาว่าราชสำนักทำเกินไป

“คุณหนูหลีซาน เชิญเถอะ” ไหลสี่เดินมาตรงหน้านางทำท่าผายมือ

เฉียวเจาจับสังเกตได้อย่างเฉียบไวว่าไหลสี่กงกงผู้นี้มีท่าทีเป็นมิตรกว่าตอนพานางเข้าวังเป็นอันมาก

“รบกวนกงกงด้วยเจ้าค่ะ” ท่าทีของเฉียวเจาไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ นางก้าวเท้าตามหลังไหลสี่ออกไป ได้พบกับหยางโฮ่วเฉิงที่เดินเข้ามา

“หยางซื่อจื่อ” ไหลสี่เห็นหยางโฮ่วเฉิงก็ค้อมกายทักทายด้วยกิริยานอบน้อมมาก

“เป็นไหลสี่กงกงนี่เอง ไม่ได้พบกันนานพักหนึ่ง สีหน้าท่านยังสดใสยิ่งนัก” หยางโฮ่วเฉิงกล่าวยิ้มๆ

“เพราะได้อาศัยใบบุญของท่านขอรับ”

หยางโฮ่วเฉิงทอดสายตาข้ามไปด้านหลัง เห็นว่าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าของเฉียวเจาไม่มีส่วนใดบุบสลายก็ลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง เขาเอ่ยถามขึ้น “ไทเฮาเรียกตัวคนเข้าวังหรือนี่ ข้ามาผิดจังหวะใช่หรือไม่”

“ไม่เลยๆ คุณหนูท่านนี้กำลังจะออกจากวังแล้วขอรับ”

“อ้อ เช่นนั้นไหลสี่กงกงไปทำหน้าที่ของท่านเถอะ” หยางโฮ่วเฉิงเดินผ่านขันทีไปถึงข้างๆ เฉียวเจา เขาอาศัยจังหวะสวนไหล่กันใช้ตัวบังทำมือชี้ไปทางข้างนอก พร้อมกับขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงคำหนึ่งว่า ‘รอข้า’

แม้นเฉียวเจาไม่รู้ว่าหยางโฮ่วเฉิงมีเรื่องอะไรกันแน่ถึงให้นางรอเขา แต่ในเวลาอย่างนี้นางได้แต่พยักหน้าบอกว่าเข้าใจแล้ว

เมื่อเดินไปถึงนอกประตูวัง เฉียวเจาย่อกายคำนับ “ขอบคุณกงกงที่ออกมาส่ง ถึงตรงนี้ก็พอเจ้าค่ะ”

“รถม้าของจวนท่านมาถึงแล้วใช่หรือไม่” ไหลสี่ชะเง้อมองคราหนึ่ง

เฉียวเจาชี้นิ้วไปทางใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก “อยู่ทางนั้นแล้วเจ้าค่ะ”

วังหลวงเรียกคนเข้าวังจะใช้เกี้ยวราชสำนัก แต่ตอนออกจากวังไม่มีให้แล้ว พูดกันตรงๆ ก็คือไปรับแต่ไม่ไปส่ง นี่เป็นธรรมเนียมซึ่งรู้กันเอง

“คุณหนูหลีซานไปดีมาดีนะ” ไหลสี่เห็นรถม้าของจวนสกุลหลีมาถึง เขาจึงพยักหน้าให้แล้วแยกไป

เฉียวเจาเดินไปที่ข้างรถม้า สั่งกำชับสารถีสองสามคำก่อนก้าวขึ้นไป

สารถีขับรถม้าไปจอดตรงหัวมุมกำแพงวัง ถึงตรงนี้จะไม่ลับตาคน แต่ดีกว่าที่ก่อนหน้านี้เป็นอันมาก

เฉียวเจานั่งรออยู่บนรถม้าไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของหยางโฮ่วเฉิง “คุณหนูหลี”

นางยื่นมือเลิกม่านประตูขึ้น ชะโงกศีรษะออกไป “พี่หยาง”

หยางโฮ่วเฉิงเผยรอยยิ้มแจ่มใส “ท่านไม่เป็นไรกระมัง”

เฉียวเจานิ่งงันไปเล็กน้อย จากนั้นคลี่ยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นก็ดี”

“พี่หยางรู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าวังมาเจ้าคะ”

หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย “วันนี้ข้าเข้าเวรน่ะสิ เลยเห็นโดยบังเอิญ”

นัยน์ตาอ่อนโยนของเด็กสาวจับอยู่ที่หน้าเขา นางคิดคำนึงในใจ ไม่รู้ว่าพี่หยางรู้หรือไม่ว่าเขาชอบเกาศีรษะเวลารู้สึกอึดอัดใจ

สายตาของเฉียวเจาทำให้ชายหนุ่มชักร้อนตัว เขาลอบฉงนใจ ฉือชั่นเป็นอะไรกันแน่ เห็นคุณหนูหลีเข้าวังแล้วเป็นห่วงแทบตาย บังคับให้เขารีบไปสืบสถานการณ์ที่ตำหนักฉือหนิง ซ้ำไม่ยอมให้เขาบอกกับคุณหนูหลีตามตรง

“คุณหนูหลี วันนี้ไทเฮาทรงเรียกท่านเข้าวังไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไรกระมัง หากมีเรื่องใดลำบากใจ ท่านต้องบอกกับข้านะ”

เฉียวเจาอุ่นผ่าวๆ ในอก นางใคร่ครวญชั่วครู่ถึงเอ่ยขึ้น “พี่หยาง อีกไม่นานข้าต้องไปทางทิศใต้แล้วเจ้าค่ะ”

ท้ายที่สุดเรื่องนี้คงปิดบังพวกเขาไม่ได้แน่ แทนที่จะรู้จากคนอื่น มิสู้นางเป็นคนบอกเองจะดีกว่า นางมีความลับมากมายเกินไป ทว่ากับสหายเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องปกปิด นางย่อมไม่อมพะนำเป็นธรรมดา

“ไปทางทิศใต้ทำอะไรหรือ” หยางโฮ่วเฉิงได้ยินแล้วตกใจ

“ไปเสาะหาตัวยาให้องค์หญิงเก้ารักษาใบหน้าของนางเจ้าค่ะ” ที่สำคัญกว่าคือไปสืบหาฆาตกรที่สังหารคนในครอบครัวและเซ่นไหว้ท่านปู่หลี่

ถึงแม้การไม่พบศพของหมอเทวดาหลี่อาจจุดประกายความหวังอันริบหรี่จนแทบไม่นับเป็นความหวังได้ แต่เฉียวเจาไม่ไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ

ดวงตาของหยางโฮ่วเฉิงเบิกกว้างขึ้นส่วนหนึ่ง เขาพูดอย่างไม่ชอบใจ “ถึงอย่างนั้นก็ปล่อยให้เด็กสาวผู้หนึ่งอย่างท่านเดินทางไกลถึงเพียงนั้นไม่ได้นะ”

“พี่หยางไม่ต้องเป็นห่วง ไทเฮาจะส่งคนคุ้มครองข้า เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ”

ม่านประตูสีเขียวอ่อนคลี่ลงปิด รถม้าแล่นเอื่อยๆ ออกจากเขตพระราชฐาน หยางโฮ่วเฉิงยืนอยู่ที่เดิมจนรถม้าหายลับตาไปถึงหันหลังกลับเข้าวัง

ฉือชั่นยืนอยู่ข้างเสาระเบียง ผิวกายเขาคล้ำขึ้นกว่าเมื่อก่อน ส่งผลให้รูปโฉมละมุนละไมน้อยลงหลายส่วน ทว่าแลดูแข็งแรงสดใสเพิ่มมากขึ้น พอเขาเห็นหยางโฮ่วเฉิงมาถึง สีหน้าเอื่อยเฉื่อยเบื่อหน่ายแปรเปลี่ยนไปทันใดยามก้าวไปหา “เป็นอย่างไรบ้าง”

“คุณหนูหลีไม่เป็นไร นางออกจากวังไปแล้ว”

สีหน้าของฉือชั่นผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็นิ่วหน้าอีก “ไทเฮาเรียกนางเข้าวังด้วยเหตุใดกัน”

เป็นไปไม่ได้สักนิดที่ไทเฮาจะรู้จักหลีซานถึงจะถูก

หยางโฮ่วเฉิงทรุดตัวลงนั่งแปะบนบันได “เพราะเรื่องขององค์หญิงเจินเจิน”

“นางเป็นอะไรไป” ฉือชั่นสังหรณ์ใจว่าไม่ใช่เรื่องดีอันใด เขาขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน

“ก็ใบหน้านางมีอาการผิดปกติอยู่มิใช่หรือ ไทเฮารับสั่งให้คุณหนูหลีไปทางทิศใต้เสาะหาตัวยาให้นาง”

ดวงหน้าหล่อเหลาของฉือชั่นปึ่งชาไปทันใด “นางคู่ควรด้วยรึ!”

หยางโฮ่วเฉิงกระแอมกระไอทีหนึ่ง “สือซี พูดจาระวังหน่อย นี่อยู่ในวังนะ”

ฉือชั่นยิ่งคิดยิ่งมีน้ำโห

ช่วงที่ผ่านมาเขาหักห้ามใจไม่ไปหาหลีซานเรื่อยมา เพราะอยากใฝ่หาความก้าวหน้าจนไปถึงจุดที่กำบังลมฝนให้นางได้โดยไวที่สุดถึงค่อยไปยืนอยู่เบื้องหน้านางอีกครั้ง บางทีถึงตอนนั้นไม่แน่ว่านางอาจเปลี่ยนใจก็เป็นได้

เขาอาจข่มความคิดถึงไม่ไปหานางได้ แต่ทนไม่ไหวถ้านางจะเดินทางลงใต้คนเดียว

สถานการณ์แถบชายทะเลวุ่นวายเพียงใด แม่เด็กน้อยผู้นี้รู้หรือไม่กันแน่

“ข้าไปเข้าเฝ้าไทเฮา” ฉือชั่นลุกขึ้นยืน

หยางโฮ่วเฉิงคว้าตัวเขาไว้หมับ “ไปก็เปล่าประโยชน์ ถึงแม้ปกติไทเฮาทรงเอ็นดูพวกเราสองคนอยู่มาก แต่เรื่องที่ตัดสินพระทัยไปแล้วเคยเปลี่ยนแปลงได้เมื่อไรกัน”

ฉือชั่นเตะบันไดหยกขาวทีหนึ่งอย่างหัวเสีย สีหน้าเขาเย็นกระด้าง “จะอย่างไรก็ให้นางไปทางทิศใต้คนเดียวไม่ได้”

หยางโฮ่วเฉิงกลอกตาไปมาก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น “ไทเฮาจะส่งคนตามไปคุ้มครองคุณหนูหลีมิใช่หรือ พวกเราต่างอยู่ในกององครักษ์จินอู๋ สามารถรับหน้าที่นี้ไว้ได้”

ฉือชั่นยื่นมือไปตบไหล่สหายรัก “เป็นความคิดที่ดี”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน สิงหาคม 65)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: