X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่านหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนนาน เล่ม 8 บทที่ 585-บทที่ 586

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 585

หลีเจี่ยวกับหลีฮุยสองพี่น้องนั่งรถม้าไปที่จวนกู้ชางป๋อ

เพราะจูซื่อฮูหยินของกู้ชางป๋อเพิ่งล่วงลับไปไม่นาน เป็นเหตุให้จวนป๋อดูเงียบเหงาวังเวง ผู้ดูแลซึ่งเดิมทีต้องยืนต้อนรับแขกที่หน้าประตูใหญ่ในวันนี้ก็หายไปไม่เห็นวี่แวว

หลีเจี่ยวกับหลีฮุยเดินเคียงกันเข้าไป ทั้งสองรอคอยอยู่ในโถงข้างนานครู่หนึ่งถึงได้พบกับท่านตาท่านยายที่มีสีหน้าอิดโรย

“เจี่ยวเอ๋อร์ ฮุยเอ๋อร์ วันนี้ท่านยายรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง คงไม่กินอาหารพร้อมกับพวกเจ้าแล้ว นี่เป็นเงินขวัญถุงนะ”

สองพี่น้องกล่าวขอบคุณ จากนั้นตามสาวใช้ไปดื่มชาในโถงรับแขก

หลีเจี่ยวดื่มชาอย่างละเลียด เพียงรู้สึกหดหู่ใจสุดจะเปรียบ

“พี่เจี่ยว พวกเรากลับกันดีหรือไม่” หลีฮุยอดเอ่ยขึ้นไม่ได้

หลีเจี่ยวกำถ้วยชาแน่นๆ “วันนี้มาอวยพรวันตรุษที่เรือนท่านตา จะกลับไปตอนนี้ได้อย่างไร”

ปีก่อนๆ พวกนางสองพี่น้องมาอวยพรวันตรุษ ท่านยายให้ความเอ็นดูพวกนางอย่างยิ่ง พูดได้ว่าคนทั่วทั้งจวนป๋อล้วนต้อนรับพวกนางเฉกเช่นแขกผู้ทรงเกียรติ ทว่าปีนี้…

หลีเจี่ยวเม้มปาก อันว่าอูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า* ไม่ว่าอย่างไรเรือนท่านตาก็เป็นถึงจวนป๋อ จะปล่อยให้ความสัมพันธ์ของสองครอบครัวยิ่งเหินห่างกันไปเพราะการตายของท่านน้าสะใภ้ไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นภายภาคหน้าพวกนางสองพี่น้องก็จะไร้ที่พึ่งพาอาศัยมากยิ่งขึ้น

ไม่นานนักมีเสียงฝีเท้าดังลอยมา หลีเจี่ยวเหลียวหน้าไป เห็นญาติผู้น้องตู้เฟยหยางยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู

“น้องเฟยหยาง…” ในดวงตาของหลีเจี่ยวแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม

มาตรว่าจะเป็นวันตรุษ แต่ตู้เฟยหยางกลับสวมอาภรณ์สีขาวทั้งชุด เขาได้ยินเสียงเรียกของหลีเจี่ยวก็เดินเข้าไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ

“พี่เฟยหยาง สุขสันต์วันตรุษขอรับ” หลีฮุยเอ่ยปากทักทาย

ยามสายตาของตู้เฟยหยางมองไปที่ตัวหลีฮุยก็อ่อนแสงลงหลายส่วน เขาผงกศีรษะเบาๆ “น้องฮุย สุขสันต์วันตรุษ”

หลีเจี่ยวกัดริมฝีปากอย่างห้ามไม่อยู่

นี่น้องเฟยหยางหมายความว่าอะไร ดูท่าทางเหมือนจะไม่พอใจข้าอยู่หรือ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มจริงใจมากขึ้นขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมห่วงใย “น้องเฟยหยาง ดูเจ้าซูบผอมลงนะ หมู่นี้ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่หรือ”

ตู้เฟยหยางเหยียดมุมปากพลางกล่าว “ท่านแม่ข้าตายไปแล้ว ข้าจะพักผ่อนเต็มที่ได้เช่นไร นี่พี่เจี่ยวแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้วหรือ”

หลีเจี่ยวอึ้งไป นางมั่นใจได้แล้วว่าน้องเฟยหยางไม่พอใจนาง แต่มันเป็นเพราะอะไร

หลีเจี่ยวลอบขุ่นเคือง หากแต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มดุจเดิม “น้องเฟยหยาง…”

หลีฮุยกลับจับแขนนางไว้ เขามุ่นคิ้วมองญาติผู้พี่ “พี่เฟยหยาง ท่านน้าสะใภ้จากไปแล้ว ข้าเข้าใจจิตใจของท่านได้ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าท่านโกรธเคืองพี่สาวข้าด้วยเหตุใด ที่นี่ญาติผู้พี่เป็นเจ้าของเรือน พวกข้าเป็นแขก ในเมื่อท่านไม่เต็มใจพบพวกข้า เช่นนั้นพวกข้าก็ขออำลา พี่เจี่ยว พวกเรากลับเถอะ”

“น้องสาม เจ้าปล่อยมือสิ” หลีเจี่ยวคาดไม่ถึงว่าหลีฮุยจะมีนิสัยโผงผางเฉกนี้ นางสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาพลางเอ่ยอธิบายกับตู้เฟยหยาง “น้องเฟยหยาง ฮุยเอ๋อร์ก็เป็นคนอย่างนี้เอง เจ้าอย่าเก็บใส่ใจเลยนะ”

หลีฮุยมองพี่สาวอย่างผิดหวังในตัวนางแวบหนึ่งก่อนหันหลังออกเดินไป

“น้องสาม…” หลีเจี่ยวร้องเรียกคำหนึ่ง เห็นหลีฮุยสาวเท้าออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เหลียวหลัง นางจึงจำต้องไล่กวดตามไป

ตู้เฟยหยางมองตามแผ่นหลังของสองพี่น้องที่ห่างไปไกลแล้วกำหมัดชกผนังทีหนึ่ง

เมื่อขึ้นรถม้ากลับจวน หลีเจี่ยวพูดเอ็ดน้องชาย “น้องสาม จู่ๆ เจ้าโมโหโทโสอะไร น้องเฟยหยางเพิ่งเสียมารดาไป จะโศกเศร้าก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้”

หลีฮุยมองพี่สาวอย่างพินิจ เขาโคลงศีรษะกล่าวว่า “พี่เจี่ยว หรือท่านมองไม่ออกว่าตู้เฟยหยางพาลโกรธท่านอยู่”

“พาลโกรธข้า?” หลีเจี่ยวนิ่งขึงไปเล็กน้อย นางเอ่ยพึมพำ “พาลโกรธข้าเรื่องอะไร”

หลีฮุยยิ้มเยาะ “ใครจะไปรู้เล่า บางทีอาจเห็นว่าการตายของท่านน้าสะใภ้เกี่ยวกับท่านก็ได้”

หลีเจี่ยวเบิกตากว้างอย่างสุดระงับ “เกี่ยวกับข้า?”

หลีฮุยหลุบตาลงเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงปึ่งชา “ท่านน้าสะใภ้ว่าจ้างคนมาสาดอุจจาระใส่หน้าประตูจวนเราเพื่อระบายความโกรธแทนตู้เฟยเสวี่ยมิใช่หรือ ผลปรากฏว่าไปล่วงเกินกวนจวินโหวเข้าถึงได้ลุกลามไปจนฆ่าตัวตาย แล้วถ้าไม่ใช่เพราะพี่เจี่ยว ตู้เฟยเสวี่ยจะได้รู้จักกับน้องเจาจนพวกนางเกิดเรื่องบาดหมางกันได้อย่างไรเล่า”

“นี่…นี่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าด้วย”

หลีฮุยเหยียดยิ้ม “เดิมทีไม่เกี่ยวกับพี่เจี่ยวหรอก แต่คนที่ไม่ยอมรับความจริงมักหาใครสักคนเป็นที่ระบายอารมณ์ ตู้เฟยหยางเอาความโกรธไปลงกับกวนจวินโหวไม่ได้ก็เลยได้แต่ลงกับพี่เจี่ยวแล้ว”

จิตใจของหลีเจี่ยวราวกับอยู่ในหม้อน้ำมันเดือด นางเอื้อนเอ่ยคำใดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

สำหรับตู้เฟยเสวี่ยกับตู้เฟยหยางนั้น ถือได้ว่าเป็นคนที่นางเฝ้าประจบประแจงมาตั้งแต่เล็กจนโต ยามอยู่ด้วยกันนางก็ยอมเป็นเบี้ยล่างให้ ใครจะรู้ว่าลงท้ายตู้เฟยหยางกลับพาลโกรธนาง แต่น้องสามที่เฉยเมยกับพวกเขาเสมอมากลับไม่เป็นไร

ไยโลกเรานี้ช่างไม่ยุติธรรม!

“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่สมควรเดินออกมาเช่นนี้”

หลีฮุยยกยิ้ม “รู้ทั้งรู้ว่าเขาพาลโกรธอยู่พี่เจี่ยวยังจะยอมให้เขาเหยียบย่ำตามอำเภอใจหรือ นั่นมีแต่จะทำให้เขารู้สึกว่าพี่ร้อนตัว วันหน้าก็จะหนักข้อยิ่งขึ้น พี่เจี่ยว ท่านจงจำไว้ว่าถึงแม้พวกเราจะกำพร้ามารดา แต่ก็เป็นหลานชายกับหลานสาวของจวนกู้ชางป๋ออย่างถูกต้องชอบธรรม และจุดนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเพราะตู้เฟยหยาง”

นับวันเขายิ่งไม่เข้าใจพี่สาวมากขึ้น ทั้งที่ในจวนมีทั้งท่านย่าท่านพ่อที่ให้ความรักและทะนุถนอม ไฉนต้องฝืนใจตนเองไปประจบประแจงคนอื่น ซ้ำยังไม่เป็นมิตรกับน้องเจาที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกันอีก

ได้ยินถ้อยคำของน้องชายแล้ว หลีเจี่ยวพิงผนังรถม้าไม่พูดไม่จา

ไหนเลยน้องสามจะรู้ถึงความลำบากของนาง

น้องสามเป็นหลานชายสายเลือดภรรยาเอกเพียงคนเดียวของจวนตะวันตก วันหน้าคนทั้งจวนล้วนต้องรุมล้อมเอาใจเขา ส่วนนางเป็นเพียงหนึ่งในหมู่หลานสาวมากมายเท่านั้น

หากนางไร้ชั้นเชิงกลอุบาย ไม่รู้จักประจบประแจงให้ถูกจังหวะ เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนนี้แต่แรกแล้ว

พาลโกรธ? ฮ่าๆ น้องสามพูดถูก ที่เรียกว่า ‘พาลโกรธ’ นั้นก็แค่เลือกบีบมะพลับนิ่มเท่านั้นเอง ตู้เฟยหยางไม่กล้าพาลโกรธกวนจวินโหว ถึงขั้นไม่กล้าพาลโกรธหลีซาน แต่กลับมาพาลโกรธนาง!

ถึงที่สุดแล้วเพราะดูถูกว่านางไร้ที่พึ่งพาอาศัย!

หลีเจี่ยวหลับตาลง ความปรารถนาอยากไต่เต้าขึ้นไปเป็นผู้สูงศักดิ์ในใจนางยิ่งแรงกล้าขึ้น

 

พริบตาเดียวก็ถึงเทศกาลหยวนเซียว*

ดวงเดือนลอยเลื่อนเหนือยอดไม้ หนุ่มสาวนัดหมายหลังโพล้เพล้

เทศกาลหยวนเซียวเป็นวันที่ชายหนุ่มหญิงสาวชาวเมืองหลวงนัดพบกันอย่างเปิดเผยมาแต่ไหนแต่ไร มีคู่สามีภรรยาตั้งมากเท่าไรก็สุดรู้ที่ล้วนได้เฒ่าจันทราชักพาส่งเสริมในวันนี้

เฉียวเจาที่ได้รับคำชวนจากเซ่าหมิงยวนก็แต่งองค์ทรงเครื่องเตรียมตัวออกจากเรือน ส่วนหลีเจี่ยวนั่งรถม้าออกไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว

นับแต่ตู้เฟยเสวี่ยพักอยู่ในจวนไท่หนิงโหวของท่านตา นางก็กินน้ำตาต่างข้าวทุกวัน ฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวสงสารหลานสาว จึงให้จูเยี่ยนกับจูเหยียนสองพี่น้องออกมาผ่อนคลายจิตใจเป็นเพื่อนนาง

หลีเจี่ยวซึ่งถือเทียบเชิญที่ตู้เฟยเสวี่ยให้คนถือมาส่งให้อยู่บนรถม้าอดยิ้มไม่ได้

น้องสามไม่เข้าใจที่นางยอมกล้ำกลืนฝืนทน เขากลับไม่รู้ว่ามีโอกาสมากมายที่ได้มาอย่างนี้นั่นเอง

ท้องฟ้ามืดสลัวลงทีละน้อย ริมถนนสองฝั่งประดับโคมไฟสว่างไสวดุจยามกลางวัน ผู้คนเนืองแน่นล้นหลาม

เฉินกวงคุ้มครองเฉียวเจาเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังพลางบ่นอุบอิบในใจ ท่านแม่ทัพยิ่งมายิ่งมีลูกเล่นแพรวพราวขึ้นทุกที ตนเองไม่มารับคุณหนูสาม กลับเจาะจงให้ข้าพาไปส่ง บอกว่าอยากสร้างความตื่นเต้นประหลาดใจให้นาง

สวรรค์! คนเยอะอย่างนี้ เกิดไม่ระวังทำคุณหนูสามหายไป เช่นนั้นคงกลายเป็นตื่นตกใจเสียขวัญแทนแล้ว

ขณะสารถีน้อยคิดคำนึงอยู่อย่างนี้ โคมไฟสูงเทียมต้นไม้พลันล้มลงมากะทันหัน

บทที่ 586

“คุณหนูสามระวัง” เฉินกวงกระโจนกายขึ้นไปยันโคมไฟที่ล้มตะแคงลงมาเอาไว้

ฝูงชนส่งเสียงอุทานลั่นดังระงมเป็นทอดๆ

ยามเฉินกวงเหยียบสองเท้าลงบนพื้น หันศีรษะไปอีกทีก็ไม่เห็นวี่แววของเฉียวเจาแล้ว

“คุณหนูสาม!” เขาหน้าถอดสีไปถนัดตา รีบผลักคนที่ขวางทางอยู่ข้างหน้าออกมองหาเด็กสาว

เฉียวเจาถูกคนปิดปากจากทางด้านหลังแล้วพาเดินไปเรื่อยๆ นางอยากดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ กลับพบว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งนิ่งสนิทดุจหินผา

โคมไฟล้มลงมามิใช่อุบัติเหตุ แต่จงใจเบี่ยงเบนความสนใจของเฉินกวงไป!

พอความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวนางก็หยุดดิ้นขัดขืน

ไม่รู้ว่ามีคนเดินสวนผ่านไปมากเพียงใด คนผู้นั้นหยุดฝีเท้าแล้วผละมือออกเงียบๆ ในที่สุด

เฉียวเจาหมุนกายขวับกลับไป

บุรุษด้านหลังมีเรือนกายสูงชะลูด เขายกมือถอดหมวกสานติดผ้าโปร่งสีดำออกเผยให้เห็นดวงหน้าคุ้นตา

“ใต้เท้าเจียง” เฉียวเจาเลิกคิ้วสูงอย่างคาดไม่ถึง

ดวงตาเคร่งขรึมของเจียงหย่วนเฉามองดูเด็กสาวท่าทางเยือกเย็นเบื้องหน้า สีหน้าแววตาของนางคล้ายปรากฏขึ้นในห้วงฝันนับพันครั้ง พาให้ตรงกลางอกร้อนรุ่มอย่างไร้สาเหตุ เขากล่าวโพล่งขึ้น “อย่าเรียกข้าว่าใต้เท้าเจียง”

เฉียวเจาเม้มปากแล้วเอ่ยถามเรียบๆ “แล้วข้าสมควรเรียกขานอย่างไร”

เจียงหย่วนเฉามองนางด้วยสายตาแฝงนัยลึกล้ำ เขาพูดเสียงพร่า “เรียกข้าว่าสือซาน”

นางใจหายวาบ นี่เจียงหย่วนเฉาหมายความว่าอะไร

“ไฉนไม่เรียก” เจียงหย่วนเฉาสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง

เฉียวเจาถอยหลังครึ่งก้าว กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ท่านเป็นรองผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ทรงเกียรติ ข้าไม่กล้าเรียกขานเช่นนี้”

“ไม่กล้า?” เขาขยับเท้าอีกหนึ่งก้าวให้ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากขึ้น ลึกเข้าไปในดวงตาเขาประหนึ่งกำลังตั้งเค้าพายุอารมณ์ที่น่าพรั่นพรึง “ต้องวางตัวห่างเหินกับข้าถึงเพียงนี้ให้ได้ใช่หรือไม่”

“ใต้เท้าเจียง…”

เจียงหย่วนเฉาพลันจับแขนของนางไว้แล้วยื่นหน้าไปหัวเราะเบาๆ ที่ริมหูนาง “คุณหนูเฉียว ก่อนหน้านี้ท่านเรียกข้าว่าสือซานไม่หยุดปากเลยนะ”

ดวงตาของเฉียวเจานิ่งขึงไปกะทันหัน นางมองไปทางชายหนุ่ม เขาถึงกับมั่นใจว่านางคือเฉียวเจาถึงเพียงนี้?

ใช่ ตอนอยู่แดนใต้นางจงใจเรียกเขาว่า ‘สือซาน’ ทั้งยังจงใจแย้มพรายเรื่องในอดีตของคนทั้งสองที่มีแต่เฉียวเจาเท่านั้นที่ล่วงรู้เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ แต่ในความคิดของนาง อย่างมากก็คงทำให้จิตใจของเขาสับสนว้าวุ่นไปชั่วครู่ชั่วยาม และสามารถหยุดยั้งเขาไม่ให้ลงมือสังหารนางได้ นั่นก็เป็นเรื่องไม่ง่ายดายแล้ว ใครจะคาดคิดว่าเขาจะจดจำสิ่งนี้อยู่ตลอด

“คุณหนูเฉียว ไฉนไม่พูดไม่จาแล้วเล่า” เจียงหย่วนเฉามองเด็กสาวตรงหน้าโดยไม่กะพริบตา เขาอมยิ้มเอ่ยถามขึ้น

เฉียวเจาคลี่ยิ้มช้าๆ “กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของข้าใต้เท้าเจียงยังเรียกผิด ข้ายังจะพูดอะไรได้”

“เรียกผิด?” เจียงหย่วนเฉายกยิ้มมุมปาก เขาโคลงศีรษะเบาๆ “ข้าจะเรียกผิดได้อย่างไรกันเล่า”

เขายื่นมือไปคว้ามือนางไว้หมับ

ดวงตาของเฉียวเจามองมือที่จับกันอยู่ของทั้งคู่ ในนั้นทอแววกรุ่นโกรธเต็มที่

กระนั้นนางรู้ว่าในสถานที่ที่มีเขากับนางเพียงสองคนแห่งนี้ การดิ้นขัดขืนอย่างเปล่าประโยชน์รังแต่จะทำให้นางอับอายมากขึ้น

ท่าทางเฉยเมยของเฉียวเจาทำให้หัวใจเขาเจ็บแปลบปลาบ

เหตุใดนางยังสงบนิ่งเช่นนี้อยู่ได้ แม้แต่เขารู้แล้วว่านางเป็นใครก็มิได้ก่อแรงกระเพื่อมไหวใดๆ ต่อจิตใจของนางแม้สักกระผีกใช่หรือไม่

นี่เป็นการบ่งบอกว่าสำหรับนางแล้วเขามิใช่คนที่มีความสลักสำคัญเลยใช่หรือไม่

จริงสินะ คนที่นางห่วงใยคือเฉียวโม่ผู้เป็นพี่ชาย เรื่องที่นางพะวงถึงคือเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว และคนที่นางใส่ใจคือกวนจวินโหว ส่วนเขาเป็นใครเล่า

เจียงหย่วนเฉาออกแรงจับมือเฉียวเจาไว้แน่นๆ แล้วนำมาวางทาบตรงกลางอกตนเองพร้อมกับพูดเน้นเสียงหนักทีละคำ “ต่อให้ข้าเรียกผิด แต่ตรงนี้ไม่มีทางจำผิด”

เฉียวเจาทนไม่ไหวอีกต่อไป นางพยายามกระตุกมือกลับ

เจียงหย่วนเฉากุมมือนางไว้ไม่ปล่อย เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “ท่านว่าข้าจำผิดหรือไม่”

เหตุใดถึงมีสตรีใจร้ายเพียงนี้นะ ทำให้เขาคิดถึงคะนึงหาตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มจนบัดนี้ ทั้งยังจงใจแย้มพรายฐานะให้เขารู้ แต่พอมาถึงขั้นนี้แล้วกลับปากแข็งไม่ยอมรับ

นางเปรียบดั่งแดนต้องห้ามที่แตะต้องไม่ได้ในหัวใจเขา แต่เขากลับไม่มีความสลักสำคัญอันใดในชีวิตนาง

นี่จะให้เขาทำใจยอมรับได้เยี่ยงไร!

“ใต้เท้าเจียง ท่านเสียมารยาทแล้ว” เฉียวเจาเม้มมุมปากแน่น ถ้าไม่ใช่เพราะเรี่ยวแรงต่างกันไกลลิบจริงๆ นางอยากเงื้อมือตบหน้าบุรุษผู้นี้สักฉาดใจจะขาด

เขาเห็นนางเป็นอะไรถึงจับมือถือแขนนางตามใจชอบเช่นนี้

เจียงหย่วนเฉาหลับตาลง “บอกข้าที ตกลงข้าจำผิดหรือไม่กันแน่”

เฉียวเจาแค่นหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ในที่สุด “ใต้เท้าเจียงจำผิดแล้ว”

จำไม่ผิดแล้วจะมีอะไรเล่า หรือว่าเขาคิดจะพานางกลับเรือนไปเป็นอนุ?

เฉียวเจาไม่เบาปัญญา ถึงเวลานี้แล้วเป็นธรรมดาที่นางย่อมกระจ่างแจ้งว่าคนตรงหน้ายังไม่ลืมเลือนความรักที่มีต่อนางในร่างเดิม

เมื่อได้ยินนางปฏิเสธริมฝีปากบางของเจียงหย่วนเฉาเม้มแน่นจนปราศจากสีเลือด ทว่าเขาบีบมือแรงขึ้นประหนึ่งว่ามีเพียงจับมือของเด็กสาวผู้นี้ไว้สุดแรงเช่นนี้ถึงจะเก็บรักษาความทรงจำที่สวยงามไว้ได้

“ใต้เท้าเจียง โปรดปล่อยมือด้วย”

เจียงหย่วนเฉาก้มหน้ามองนางโดยไม่กล่าววาจา

เฉียวเจาขมวดคิ้ว “ใต้เท้าเจียง ท่านทำอย่างนี้เคยคิดถึงความรู้สึกของคู่หมั้นท่านหรือไม่”

“หากไม่มีคู่หมั้นเล่า” เขากล่าวโพล่งขึ้น ครั้นปะทะเข้ากับสีหน้าหลากใจของอีกฝ่าย เขาเบือนหน้าหนีอย่างสิ้นท่าพลางกล่าวเนิบๆ “ท่านฉลาดปานนั้น ต้องเข้าใจว่าข้าอยากบอกอะไรเป็นแน่”

สีหน้าของเฉียวเจาสงบนิ่งดุจเดิม นางกล่าวเสียงราบเรียบ “มีหรือไม่มีล้วนเป็นทางเลือกของใต้เท้าเจียง ส่วนทางเลือกของข้า เชื่อว่าใต้เท้าเจียงคงรู้แล้วเช่นกัน”

มือของเจียงหย่วนเฉาคลายออกกะทันหันแล้วทิ้งห้อยลงข้างลำตัว เขากล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นๆ “เขาดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ทำร้ายท่านไปแล้วครั้งหนึ่ง ท่านยังเต็มใจเข้าใกล้เขาอีก”

เฉียวเจายิ้มแล้ว “ในใจข้าเขาต้องดีที่สุดแน่นอน ใต้เท้าเจียง ท่านเป็นคนฉลาดดุจเดียวกัน เหตุใดไม่รู้จักทะนุถนอมคนข้างกาย”

เจียงหย่วนเฉาไม่เอื้อนเอ่ยคำใด

เฉียวเจาถอยหลังหนึ่งก้าว “ใต้เท้าเจียง เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น ข้าขอตัวก่อนแล้ว”

เขาเพ่งมองแผ่นหลังเหยียดตรงของเด็กสาวร่างแบบบางพลางเปล่งเสียงพูดช้าๆ “ดังนั้นท่านยอมรับแล้วว่าท่านคือคุณหนูเฉียว?”

เฉียวเจาชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก่อนจะจากไปโดยไม่เหลียวหลัง

เจียงหย่วนเฉาหัวร่อเบาๆ

รู้จักทะนุถนอมคนข้างกาย?

คนข้างกายเขามีตั้งมากมายอย่างนั้น เขาจะทะนุถนอมคนใดเล่า

นางยอมรับแล้วก็ดี

นับจากนี้ไปคนที่อยู่ในใจเขาคือสตรีที่มีชีวิตจิตใจผู้หนึ่ง มิใช่ร่างใต้เนินหลุมศพอีกต่อไป

“ใต้เท้า…” เห็นผู้เป็นนายเอาแต่ยิ้มไม่หยุด เจียงเฮ่อซึ่งก้าวออกจากมุมมืดจึงอดส่งเสียงเรียกไม่ได้

เจียงหย่วนเฉาหันไปมองเขา

เจียงเฮ่อถูมือไปมา กล่าวอึกๆ อักๆ “ใต้เท้า…ข้ารู้สึกว่าท่านทำอย่างนี้ไม่…ไม่ใคร่จะดี…”

“หือ?”

“หากท่านผู้บัญชาการใหญ่ทราบเข้า ท่านคงจบเห่น่ะสิขอรับ”

เจียงหย่วนเฉายื่นมือไปบีบใบหน้าที่ย่นยู่ยี่เป็นซาลาเปาด้วยความเป็นห่วงของเจียงเฮ่อ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่านผู้บัญชาการใหญ่รู้เรื่องแล้วข้าจบเห่หรือไม่ยังไม่รู้ แต่เจ้าต้องจบเห่แน่!”

“ใต้เท้า…” เจียงเฮ่อเบิกตากว้างมองดูเจียงหย่วนเฉาก้าวเท้ายาวๆ เดินแยกไปแล้วยกมือกุมศีรษะเริ่มร่ำไห้ในที่สุด

ลงเรือโจรแล้วๆ ที่สำคัญคือยังกลับขึ้นฝั่งไม่ได้อีก ใครก็ได้มารับข้าไปที

ด้านนอกคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน เฉียวเจามองปราดเดียวก็เห็นเฉินกวงที่วิ่งสะเปะสะปะไปทั่ว นางโบกมือให้เขา

เฉินกวงวิ่งทะยานมาหาด้วยความตื่นเต้นจนแทบสวมกอดเฉียวเจาเอาไว้ แต่นึกขึ้นได้ว่านี่คือฮูหยินท่านแม่ทัพของเขาถึงยั้งตัวไว้ได้ทันท่วงที

“คุณหนูสาม ข้าตกใจแทบตายอยู่แล้ว”

เฉียวเจาหดมือกลับเข้าแขนเสื้อ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่โดนคนเบียดจนพลัดไปอีกทาง รีบไปกันเถอะ จำไว้อย่าบอกกับท่านแม่ทัพของเจ้าล่ะ”

เจียงหย่วนเฉายืนอยู่กลางหมู่คน มองดูเฉียวเจาค่อยๆ ลับร่างไปกลางฝูงชนโดยมีเฉินกวงคอยอารักขา เขาแย้มปากออกเป็นรอยยิ้ม

 

* อูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า เป็นสำนวน หมายถึงคนร่ำรวยมีเกียรติต่อให้ยากจนตกอับก็ยังดีกว่าชาวบ้านทั่วไป

* เทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งตามปฏิทินจันทรคติจีน ซึ่งเป็นคืนแรกของปีที่พระจันทร์เต็มดวง คนในครอบครัวจึงมาชมจันทร์กันพร้อมหน้า และรับประทานขนมบัวลอยซึ่งแสดงถึงความกลมเกลียว ภายหลังจัดเป็นงานฉลองยิ่งใหญ่ต่อเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน มีประเพณีประดับโคมไฟ จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเทศกาลโคมไฟ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 .. 65  เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: