X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง

ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง บทที่ 7-บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 7

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแปลกใจเช่นกันว่าเหตุใดนางจึงนึกถึงสิ่งเหล่านี้ นางโยนความคิดวุ่นวายออกไปแล้วถามเฉิงอวี๋จิ่น “ยายหนูใหญ่ เจ้ากับท่านโหวฮั่วมันเกิดอะไรขึ้นหรือ”

รอยยิ้มบนใบหน้าเฉิงอวี๋จิ่นเจื่อนลง หอโซ่วอันที่เมื่อครู่ยังคึกคักอยู่เงียบเสียงลงในทันที สายตาของทุกคนเลื่อนมาที่ตัวเฉิงอวี๋จิ่น เฉิงหยวนจิ่งก้มหน้ากวาดตามองเฉิงอวี๋จิ่นแวบหนึ่ง เกิดความสงสารขึ้นมาอย่างหาได้ยาก

ถึงแม้หลานสาวของเขาคนนี้จะมีแผนการในใจลึกซึ้ง ทำอะไรไม่ถูกต้องนัก แต่ในเรื่องการถอนหมั้นนี้ นางเป็นผู้ได้รับความเสียหายจริงๆ

อย่างเช่นในตอนนี้ ทั้งที่เป็นฮั่วฉางยวนมาถอนหมั้น แต่ทุกคนกลับมาคาดคั้นถามนาง ถามว่านางไปทำอะไรมาใช่หรือไม่ ฮั่วฉางยวนจึงมาถอนหมั้น

เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้า ขนตายาวที่กั้นไว้มองเห็นสายตาไม่ชัด ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงพูดเสียงเบาว่า “หลานก็ไม่รู้เช่นกัน”

“เจ้าไม่รู้หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เจ้าไม่รู้ว่าเหตุใดท่านโหวฮั่วจึงมาขอถอนหมั้นหรือ ถ้าเจ้าไม่รู้จริงๆ เหตุใดจึงวิ่งไปตรงหน้าทุกคน ฉีกหนังสือหมั้นหมายทิ้ง”

เฉิงอวี๋จิ่นเป็นคนฉีกหนังสือหมั้นหมายทิ้งเองหรือ เฉิงหยวนจิ่งเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เขาคิดถึงภาพตอนที่เพิ่งเห็นเฉิงอวี๋จิ่นแล้วค่อยๆ ประกอบต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมด

หร่วนซื่อได้ยินคนบอกว่าสกุลฮั่วมาถอนหมั้นถึงบ้านแต่เช้าแล้ว คราแรกที่เฉิงอวี๋จิ่นกับฮั่วฉางยวนตกลงหมั้นหมายกัน หร่วนซื่อดีใจแทนบุตรสาวคนโตอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ช้าก็เริ่มสงสารบุตรสาวคนเล็กที่มีชะตาขมขื่นของตนเอง ทั้งที่เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ชะตาชีวิตควรจะเหมือนกัน แต่เพราะเฉิงอวี๋จิ่นถูกอุ้มไปให้บ้านใหญ่ โม่เอ๋อร์ของนางอยากได้อะไรก็จะถูกกดไว้บ้าง แม้แต่ผ้าแพรที่ถูกส่งเข้ามาจากนอกจวนก็ต้องให้เฉิงอวี๋จิ่นเลือกเสร็จก่อน จึงจะมาถึงเฉิงอวี๋โม่

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยังพูดอย่างสวยหรูว่าผู้ใหญ่เด็กมีลำดับขั้น หร่วนซื่อคิดอย่างขมขื่นว่านี่เป็นการลำเอียงไปทางบ้านใหญ่ต่างหาก เพราะบ้านใหญ่แต่งภรรยาที่มีอำนาจทางบ้านร้ายกาจ ดังนั้นทั้งสกุลเฉิงจึงต้องเอาใจบ้านใหญ่มากกว่า ทั้งที่นายท่านรองมีความขยันชาญฉลาดกว่าเฉิงหยวนเสียน ความรู้ก็ดี แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกลับทุ่มทุนทั้งหมดไปให้แก่เฉิงหยวนเสียน ซื้อตำแหน่งขุนนางให้แก่เฉิงหยวนเสียน หาเส้นสายให้ ส่วนนายท่านรองอยู่ในตำแหน่งเล็กๆ มาห้าปีแล้ว ทั้งที่หากหาลู่ทางที่ถูกต้องได้ก็สามารถเลื่อนตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกลับเหมือนมองไม่เห็น ใจเอนเอียงไปทางบ้านใหญ่

นายท่านใหญ่อย่างไรก็เป็นพี่ชาย มีตำแหน่งซื่อจื่อติดตัว วันหน้าต้องรับช่วงต่อทรัพย์สมบัติจวนอี๋ชุนโหว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงลำเอียง หร่วนซื่อต้องอดกลั้นไว้ แต่โม่เอ๋อร์เล่า โม่เอ๋อร์ด้อยกว่าตรงที่ใด เหตุใดต้องถูกกดให้ต่ำ ไม่ว่าอะไรต้องเลือกของที่อีกคนเหลือไว้ตลอด

เสื้อผ้าเครื่องประดับเป็นเช่นนี้ การแต่งงานก็เป็นเช่นเดียวกัน หร่วนซื่อก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าอิจฉาการแต่งงานของจวนจิ้งหย่งโหวเพียงใด ใจคิดว่าโม่เอ๋อร์ของนางรู้ความว่าง่าย ไม่แย่งไม่ชิง ทำสิ่งใดก็คิดถึงบิดามารดา ไม่รู้ว่าน่าเอ็นดูมากเพียงใด ได้ยินว่าฮั่วฉางยวนเป็นทหาร ชายหนุ่มที่เข้มแข็งเช่นนี้ ควรจะคู่กับโม่เอ๋อร์ที่เป็นคนอ่อนโยนน่ารักมิใช่หรือ เฉิงอวี๋จิ่นเอาอย่างท่านหญิงชิ่งฝูผู้นั้น ทำสิ่งใดก็มักจะวางท่า จะมีความสดใสน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนโม่เอ๋อร์ได้อย่างไร แต่งเข้าไปแล้วจะเป็นที่ชื่นชอบของจิ้งหย่งโหวหรือ

หร่วนซื่อก่อนหน้านี้เคยแอบคิดอย่างน้อยใจ ได้ยินว่าเพราะช่วยชีวิตฮั่วฉางยวนไว้ในหมู่บ้านกลางเขา เฉิงอวี๋จิ่นจึงได้การแต่งงานที่ดีครั้งนี้มา โม่เอ๋อร์ของพวกตนยามนั้นก็อยู่ด้วย สวรรค์ยังลำเอียง เรื่องเช่นนี้เหตุใดจึงไม่ตกมาที่โม่เอ๋อร์บ้าง

หร่วนซื่อทั้งดีใจและปวดใจเช่นนี้อยู่สองเดือน ผลปรากฏว่าเช้าตรู่วันนี้ถูกคนปลุก บอกว่าสกุลฮั่วมาที่จวนเพื่อถอนหมั้นกับเฉิงอวี๋จิ่น

หร่วนซื่อตั้งตกใจและสะเทือนใจ อะไรนะ ถอนหมั้นหรือ

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกับท่านหญิงชิ่งฝูรุดไปที่โถงหลัก หร่วนซื่อไม่สะดวกจะไป ทำได้เพียงคอยจับตาดู พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกลับมาก็รีบเดินตามไปที่หอโซ่วอัน อยากจะฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดถึงเรื่องการถอนหมั้น ยังเป็นเฉิงอวี๋จิ่นที่ฉีกหนังสือหมั้นหมายทิ้งเองอีกด้วย หร่วนซื่อรู้สึกตื่นเต้นปนขมขื่น ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี นางส่งเสียงพูด “อืม” แล้วไปมองไปทางเฉิงอวี๋จิ่น “คุณหนูใหญ่ เจ้าได้การแต่งงานที่ดีเช่นนี้ คนอื่นต่างพากันอิจฉา เหตุใดเจ้าจึงฉีกมันทิ้งเองเล่า”

เฉิงอวี๋จิ่นยังคงก้มหน้า ในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ถูกถามเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าคนมากมาย ดูเสียหน้าอย่างมาก ท่านหญิงชิ่งฝูไม่สนใจว่าเฉิงอวี๋จิ่นจะทำอย่างไร แต่หร่วนซื่อถามมาถึงบ้านใหญ่เช่นนี้ ท่านหญิงชิ่งฝูจึงพูดเยาะหยันอย่างเย็นชากลับไป “เหตุใดจะฉีกทิ้งเองไม่ได้เล่า คุณหนูใหญ่ฐานะไม่เหมือนกัน มีคนให้เลือกมากมาย ไม่เหมือนผู้อื่น หากฉีกทิ้งคงหาการแต่งงานที่ดีเช่นนี้ไม่ได้แล้ว”

ท่านหญิงชิ่งฝูปรายตามองหร่วนซื่อผ่านๆ แวบหนึ่ง ความหมายของการเยาะหยันเต็มเปี่ยม หร่วนซื่อมีไฟโทสะขึ้นมาในทันที นางแอบกัดริมฝีปาก สุดท้ายทำได้เพียงยิ้มแสดงท่าทางอ่อนแอให้ “พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูก คุณหนูใหญ่เป็นบุตรสาวของท่าน มีฐานะสูงส่ง ย่อมไม่เหมือนกัน”

ท่านหญิงชิ่งฝูกับหร่วนซื่อไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ตอนที่กำลังแอบขบกรามก็มีเสียงอ่อนหวานเสียงหนึ่งดังมาจากข้างนอก “ท่านย่า ท่านแม่”

ทุกคนหันหน้าไป เฉิงอวี๋โม่สวมชุดกระโปรงนวมสีม่วงอ่อนอมชมพู ปลายคางแหลมบางแทบเหมือนชิ้นผ้า นางก้มหน้ากระแอมกระไอ เงยหน้าขึ้นเม้มปากยิ้มให้ทุกคน “ข้ามาไม่ถูกเวลาหรือ”

“ยายหนูรองมาแล้วหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกวาดตามองด้วยสายตาเรียบเฉยแวบหนึ่ง พูดว่า “เจ้าเพิ่งหายป่วย นั่งลงก่อนเถอะ”

สาวใช้ในหอโซ่วอันยกม้านั่งมาให้ เฉิงอวี๋โม่มองเฉิงอวี๋จิ่นแวบหนึ่งแล้วรีบโบกมือ “เช่นนี้ไม่ได้ พี่หญิงใหญ่ยังยืนอยู่ ข้าจะนั่งได้อย่างไร”

“เจ้าร่างกายอ่อนแอ ล้มป่วยตอนฤดูหนาวยังไม่หายดี รีบนั่งเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเอ่ยปากพูด

เฉิงอวี๋โม่มองเฉิงอวี๋จิ่นอีกครั้ง เฉิงอวี๋จิ่นเผยรอยยิ้มใจกว้าง พูดว่า “ท่านย่าพูดแล้ว น้องหญิงรองจะมองพี่อยู่ไย ท่านย่าเมตตาเจ้า เจ้าก็รีบนั่งลงเถอะ”

เฉิงอวี๋โม่จึงประคองมือสาวใช้แล้วนั่งลง สาวใช้ที่สายตาดียกเก้าอี้ไม้สี่เหลี่ยมมาให้เฉิงหยวนจิ่งเช่นกัน แม่นมคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านเก้า เหตุใดยังยืนอยู่เช่นกัน พวกเจ้ายังไม่รีบไปยกน้ำชาให้นายท่านเก้าอีกหรือ”

นี่เป็นห่วงโซ่อาหารในบ้านตระกูลใหญ่ คำพูดประโยคเดียวของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสามารถกำหนดการปฏิบัติต่อบรรดาสะใภ้และหลานสาวได้ ส่วนเฉิงหยวนจิ่งกลับมาจากนอกเมือง ต่อให้เป็นบุตรชายอนุภรรยาไม่ได้รับความชื่นชอบจากฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ไม่มีใครกล้าให้เขายืน

ท่านหญิงชิ่งฝูกับหร่วนซื่อแต่งงานมาสิบกว่าปีแล้ว มีลูก เลี้ยงลูก มีอายุระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้ยังต้องยืนปรนนิบัติข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงในบ้านหรืองานเลี้ยงแขกก็ไม่มีเหตุผลให้สะใภ้นั่งร่วมโต๊ะ เฉิงอวี๋โม่เพราะป่วยหนักได้รับความสงสารจากฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง เพียงแค่ยกม้านั่งมาให้ตัวหนึ่ง นั่งเบาๆ เพียงครึ่งตัว แต่เฉิงหยวนจิ่งยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดอะไร บ่าวก็ยกเก้าอี้ไม้สี่เหลี่ยมมาให้แล้ว

ผู้อ่อนแอเป็นอาหารของผู้แข็งแกร่ง แค่มองก็เข้าใจได้

เฉิงหยวนจิ่งเหลือบมองแวบหนึ่ง ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ พูดว่า “ไม่จำเป็น ข้าแค่มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่า คงไม่นั่งนานมาก ไม่ต้องลำบากหรอก”

รูปร่างของเขาในกลุ่มบุรุษนับว่าเป็นคนสูง เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางสตรีในห้องยิ่งทำให้ดูเหมือนไผ่เขียว ตัวสูงสง่า สะดุดตาอย่างมาก เขายืนนิ่งอยู่ข้างกายเฉิงอวี๋จิ่นไม่ขยับ ทำให้เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกถึงความปลอดภัยบางอย่างอย่างน่าประหลาด

เฉิงหยวนจิ่งไม่ยอมนั่ง บรรดาฝ่ายหญิงอึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง แอบเหลือบมองฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสีหน้าไม่ดีนัก แต่ไม่ได้พูดอะไร วันนี้ตั้งแต่ตื่นมามีแต่เรื่องไม่สบายใจ

บรรดาฝ่ายหญิงไม่กล้าพูดอะไร ในตอนนี้เฉิงอวี๋โม่กำหมัดพลางกระแอมสองที วางมือลงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนข้าเข้ามาได้ยินท่านแม่พูดว่าอะไรเหมือนไม่เหมือนกัน นี่พูดอะไรกันอยู่หรือ”

ก็เป็นท่านหญิงชิ่งฝูกับหร่วนซื่อเทียบความสูงต่ำกันอีกแล้วล่ะสิ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงปรายตามองสะใภ้ทั้งสองคนอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง รังเกียจที่พวกนางมาพูดคำเช่นนี้ต่อหน้าลูกๆ ดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไม่ได้หักหน้าสะใภ้ต่อหน้าทุกคน เพียงพูดว่า “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร ก็แค่พี่หญิงใหญ่ของเจ้าถอนหมั้นแล้ว แม่เจ้ากับป้าใหญ่เจ้าพูดทอดถอนใจไม่กี่ประโยคเท่านั้น”

“พี่หญิงใหญ่ถอนหมั้นแล้วหรือ” เฉิงอวี๋โม่มองไปที่เฉิงอวี๋จิ่น ในดวงตาแฝงความละอายใจ ยืนขึ้นมาพูดกับเฉิงอวี๋จิ่นว่า “ขออภัยด้วย พี่หญิงใหญ่ ข้าไม่รู้ว่า…”

เฉิงอวี๋จิ่นกลอกตาขาวอย่างเย็นชาอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนใจกว้าง มองหน้าเฉิงอวี๋โม่ “น้องหญิงรอง เหตุใดต้องพูดขออภัยด้วย เจ้าทำอะไรผิดต่อพี่หรือ”

เฉิงอวี๋โม่อ้ำอึ้ง ก็เพราะนางบอกความจริงแก่ฮั่วฉางยวน เฉิงอวี๋จิ่นจึงได้ถูกถอนหมั้น เฉิงอวี๋โม่คิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วเพียงนี้ ดังนั้นจึงพูดขออภัยตามสัญชาตญาณ ตอนนี้จู่ๆ ก็ถูกเฉิงอวี๋จิ่นถามขึ้นมา นางจึงอ้ำอึ้งพูดไม่ออก

อยู่ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่มากมายเช่นนี้…เรื่องของนางกับฮั่วฉางยวนจะพูดออกไปได้อย่างไรเล่า

เห็นเฉิงอวี๋โม่ไม่ยอมพูด เฉิงอวี๋จิ่นจึงคิดว่าเป็นจริงดังคาดอยู่ในใจ นางไม่รู้ถึงความเกี่ยวพันระหว่างเฉิงอวี๋โม่กับฮั่วฉางยวน หากชาติก่อนเฉิงอวี๋โม่บอกความจริงกับนางก่อนแต่งงาน นางก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเลวที่ทำลายคู่ของผู้อื่น เรื่องนี้สามารถแก้ไขจบลงอย่างงดงามได้ แต่เฉิงอวี๋โม่เป็นตายไม่ยอมพูด ต้องรอให้เฉิงอวี๋จิ่นแต่งเข้าไปก่อน ตั้งครรภ์แล้ว นางกับพี่ฮั่วของนางจึงค่อยสร้างความรักที่ทุกข์ทรมาน เจ้าไล่ข้าหลบด้วยความทุกข์ใจแต่ก็ห้ามใจไม่อยู่

ชาตินี้เฉิงอวี๋โม่เกิดใหม่ไปพูดตามตรงกับฮั่วฉางยวนตั้งแต่ต้น เฉิงอวี๋จิ่นกลายเป็นพี่สาวตัวร้ายที่แอบอ้างไปในทันที

ตอนนี้เฉิงอวี๋จิ่นให้โอกาสเฉิงอวี๋โม่ได้เล่าเรื่องของนางกับฮั่วฉางยวนต่อหน้าทุกคน แต่เฉิงอวี๋โม่จู่ๆ กลับหวาดกลัวขัดเขิน ไม่ยอมพูดอีก

เฉิงอวี๋จิ่นไม่อยากจะสนใจเฉิงอวี๋โม่อีก

เฉิงหยวนจิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของเฉิงอวี๋จิ่นแล้วเหลือบมองเฉิงอวี๋โม่อย่างเงียบๆ แวบหนึ่งก็คิดถึงสิ่งที่เขาเห็นในวันนี้ เฉิงอวี๋จิ่นพูดกับฮั่วฉางยวนว่า ‘น้องหญิงโม่ของท่าน’

ที่แท้เป็น ‘โม่’ นี้นี่เอง

เฉิงอวี๋โม่ถูกคำพูดของเฉิงอวี๋จิ่นทำให้อับอายจนหน้าแดงก่ำ เงยหน้าไม่ขึ้น ผู้อื่นไม่รู้ว่าเมื่อวานเฉิงอวี๋โม่พูดอะไรกับเฉิงอวี๋จิ่น พวกเขาคิดว่าเฉิงอวี๋โม่ละอายในเรื่องที่พูดกันนี้ ผลปรากฏว่าถูกเฉิงอวี๋จิ่นโมโหใส่ หร่วนซื่อสีหน้าไม่สู้ดี ทว่าตอนนี้เฉิงอวี๋จิ่นเป็นบุตรสาวของท่านหญิงชิ่งฝู นางไม่มีสิทธิ์จะพูดสั่งสอน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกวาดตามองทุกคนแวบหนึ่ง พูดเสียงเข้มว่า “พอได้แล้ว พูดให้น้อยหน่อยเถอะ”

จากนั้นนางก็มองไปที่เฉิงอวี๋จิ่น “ยายหนูใหญ่ เจ้าบอกความจริงย่ามา เจ้าไม่รู้เรื่องราวการถอนหมั้นจริงหรือ เจ้าฉีกหนังสือหมั้นหมายต่อหน้าทุกคน เป็นการล่วงเกินจวนจิ้งหย่งโหวอย่างมาก หลังจากนั้นจิ้งหย่งโหวไล่ตามออกไป พูดอะไรกับเจ้าบ้าง”

เฉิงอวี๋โม่ฟังถึงตรงนี้แล้วก็ตกใจ อะไรกัน! พี่ฉางยวนไล่ตามพี่หญิงใหญ่ออกไปหรือ ไม่ใช่สิ พี่หญิงใหญ่ฉีกหนังสือหมั้นหมายด้วยตนเองหรือ ตกลงกันว่าสกุลฮั่วจะมาถอนหมั้นมิใช่หรือไร เหตุใดดูไปแล้วเหมือนพี่หญิงใหญ่ไม่เห็นสกุลฮั่วอยู่ในสายตาเลย…

ถูกถามต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่สบายใจจริงๆ สายตาทุกคนจับจ้องมาที่ตัวเฉิงอวี๋จิ่น

เฉิงอวี๋จิ่นพูดด้วยสีหน้าดังเดิม “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ก็แค่ท่านโหวฮั่วมาขออภัยข้า กล่าวว่าสามารถเกี่ยวดองกับจวนอี๋ชุนโหวได้ เขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก แต่วันที่มีพายุหิมะวันนั้นเขาจำคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ผิดคน ดังนั้นจึงเข้าใจผิดว่าเป็นข้า เขามาขออภัยข้าด้วยตนเอง ยังฝากข้ามาขออภัยท่านย่าด้วย วันหน้าเขาต้องมาขอขมาที่จวนแน่นอน”

“จริงหรือ” คำพูดของเฉิงอวี๋จิ่นพูดได้อย่างงดงาม แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสงสัยอย่างมาก หากฮั่วฉางยวนจะขอขมา วันนี้คงไม่แสดงท่าทีเช่นนั้น และสีหน้าตอนที่ฮั่วฉางยวนไล่ตามออกไป…ก็ไม่ค่อยเหมือนจะไปขออภัย

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงขมวดคิ้ว “ยายหนูใหญ่ เจ้ารู้ความแต่เด็ก เจอเรื่องเช่นนี้ควรจะพูดอย่างไรทำอย่างไร เจ้าคงรู้กระจ่างกระมัง”

เฉิงอวี๋จิ่นถูกเค้นถามไม่หยุด นางก้มหน้าลง กำลังคิดจะใช้ความอ่อนแอมาเปลี่ยนจุดสนใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเฉิงหยวนจิ่งที่อยู่ข้างกายพูดว่า “คุณหนูใหญ่พูดถูกต้อง”

เฉิงอวี๋จิ่นตะลึงงันไป เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจ

เฉิงหยวนจิ่งยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มองอารมณ์ไม่ออกกลับได้ยินเสียงกังวานของเขาพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ตอนข้ากลับจวนเจอคุณหนูใหญ่กับจิ้งหย่งโหวพอดี สถานการณ์เหมือนที่คุณหนูใหญ่เล่าไว้”

เสียงพูดของเฉิงหยวนจิ่งน่าฟังมาก เสียงที่เขาใช้พูดไม่ใช่เสียงดังทรงพลัง หรือเสียงราวตีระฆังอย่างนั้น แต่เป็นแบบสงบนิ่งไม่ร้อนรน แฝงบารมีกดดันที่ไร้รูปลักษณ์ ทำให้คนอยากจะก้มหัวศิโรราบ เขาไม่ได้บอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เพียงพูดว่าเฉิงอวี๋จิ่นพูดไม่ผิด หากเป็นเรื่องโกหกก็เป็นเฉิงอวี๋จิ่นที่โกหก

ทว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวก็เพียงพอแล้ว ท่านหญิงชิ่งฝูยิ้มเบิกบาน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไม่สะดวกใจจะถามต่อเช่นกัน ทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ ให้เฉิงอวี๋จิ่น “ในเมื่อไม่มีอะไร เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ วันหน้าห้ามทำเช่นนี้ เจ้าเป็นหญิง จะอยู่ลำพังกับชายคนนอกไม่ได้”

เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้า “เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงประทับตราสรุปเรื่องราว ไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก บทสนทนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เฉิงอวี๋จิ่นแอบโล่งใจ

เฉิงหยวนจิ่งฟังเพียงไม่กี่ประโยคก็ขยับตัวกล่าวลา ก่อนเขาจะเดินออกประตูไป ทันใดนั้นก็กวาดตามองเฉิงอวี๋จิ่นแวบหนึ่ง “เรื่องที่ท่านโหวสั่งเจ้าไว้ เจ้าไม่ไปทำหรือ”

เฉิงอวี๋จิ่นตะลึงไปชั่วครู่ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงเคยพูดสั่งข้าหรือ

ตอนเฉิงหยวนจิ่งพูดประโยคนี้เสียงไม่เบาเลย ตอนนี้ทุกคนกำลังมองอยู่ เฉิงอวี๋จิ่นทำได้เพียงแสร้งว่าเพิ่งนึกออก พูดว่า “ขอบคุณท่านอาเก้าที่เตือนสติ ข้าเกือบลืมไปแล้ว ท่านย่า ท่านแม่ ข้าขอตัวก่อน”

บรรดาสาวใช้รีบขยับตัว ปรนนิบัติสวมเสื้อคลุมกันลมให้เฉิงอวี๋จิ่น และเปลี่ยนรองเท้าให้ ขณะที่เฉิงอวี๋จิ่นทำสิ่งเหล่านี้อยู่ เฉิงหยวนจิ่งก็ยืนรออยู่หน้าประตู รอจนนางสวมใส่เรียบร้อยเดินออกมา เฉิงหยวนจิ่งกวาดตามองนางด้วยสายตาเรียบเฉยแวบหนึ่ง “ไปกันเถอะ”

บทที่ 8

เฉิงหยวนจิ่งรูปร่างสูงสง่า รูปโฉมงดงามหมดจด เขายืนรอเฉิงอวี๋จิ่นตรงปากประตู คนอื่นๆ พากันแอบมองเขา หลังจากเฉิงอวี๋จิ่นสวมใส่เครื่องแต่งกายเรียบร้อย ทั้งสองคนก็กล่าวลาพร้อมกัน พลิกเปิดม่านประตูเดินออกไป

หลังจากทั้งสองคนออกไป ภายในหอโซ่วอันราวกับว่างลงครึ่งหอ หร่วนซื่อกับท่านหญิงชิ่งฝูมีความคิดแตกต่างกันไป พวกนางยืนอยู่สักครู่ เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีท่าทางเหนื่อยล้าจึงฉวยโอกาสกล่าวลา

สะใภ้ทั้งสองพาคนออกไปหมดแล้ว ภายในห้องที่อบอุ่นเหลือฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเพียงผู้เดียว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงในเวลานี้จึงแสดงท่าทางอ่อนล้าอย่างคนชราในอายุเท่านี้ออกมา นางพิงหมอนกลมรองคอ หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า

แม่นมจางเป็นแม่นมคนสนิทที่ติดตามมาตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแต่งเข้าจวนอี๋ชุนโหว เดินเข้าใกล้อย่างเบามือเบาเท้า ยัดหมอนใส่หลังเอวของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง แล้วถามเสียงเบาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ในตอนที่แม่นมจางคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงคงไม่พูดอะไรแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกลับพูดลากเสียงยาว “เขาอายุสิบเก้าแล้ว เพียงพริบตาก็สิบกว่าปีแล้ว”

แม่นมจางนิ่งเงียบไปเช่นกัน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแม้จะไม่ได้พูดชื่อ แต่แม่นมจางเป็นคนเก่าแก่มาสามสิบกว่าปีแล้ว จะไม่รู้ถึงปมในใจของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงได้อย่างไร ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ เสี่ยวเซวียซื่อแทบจะกลายเป็นโรคทางใจของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว

แม่นมจางหยุดนิ่งครู่หนึ่งแล้วพูดปลอบเสียงเบา “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านทำใจให้สบายเถอะ ต่อให้นางได้รับความรัก แต่สุดท้ายท่านยังคงเป็นภรรยาเอก นางเป็นได้เพียงภรรยานอกสมรสไปชั่วชีวิต อีกอย่างเสี่ยวเซวียซื่อตายไปแล้ว ท่านจะถือสาคนตายไปแล้วทำไม ต่อให้ได้รับความรักจากบุรุษมากเพียงใด หรือต่อให้มีบุตรชายโดดเด่นสักเพียงใดก็หาได้มีชีวิตเสพสุขนั้น”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแค่นเสียงสบถเย็นชา ลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น “ข้าก็แค่โกรธมาก ยามนั้นสกุลเซวียของพวกนางมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ส่วนบ้านข้าเป็นเพียงเศรษฐีที่รวยในชั่วข้ามคืน ถ้ามิใช่เพราะสกุลเซวียเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งในราชสำนักทำให้เดือดร้อน ถูกเนรเทศทั้งบ้าน สกุลเฉิงก็คงไม่ชายตามองข้าหรอก ท่านโหวกับเสี่ยวเซวียซื่อเติบโตคู่กันมาแต่เด็ก หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่อายุสิบสองสิบสาม รอให้เสี่ยวเซวียซื่อเข้าพิธีปักปิ่น* ก็จะแต่งงานกัน ผลปรากฏว่าก่อนวันแต่งงานดันเกิดเรื่องกับสกุลเซวียขึ้นเสียก่อน พ่อแม่สามีไม่กล้าล่วงเกินสกุลหยาง ทำได้เพียงรีบยกเลิกการแต่งงานกับเสี่ยวเซวียซื่อ หันมาวางสินสอดที่บ้านพวกเรา ข้ารู้ว่าตั้งแต่แรกเริ่มท่านโหวไม่เคยยินดีเลย”

แม่นมจางคุกเข่าอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ถอนใจแล้วพูดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า…”

“ไม่เป็นไร ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้ ข้าคิดตกนานแล้ว ความรักเหล่านี้เป็นเรื่องจับต้องไม่ได้ รีบคลอดบุตรชายยืนให้มั่นคงจึงเป็นเรื่องสำคัญ หลังแต่งงานแม้ว่าเขาจะมีท่าทีไม่ร้อนไม่หนาวต่อข้า แต่ยังดีที่ให้เกียรติข้า ไม่ได้รับอนุภรรยาเหล่านั้นเข้ามาในบ้าน บุตรชายสองบุตรสาวหนึ่งล้วนออกมาจากท้องของข้า แค่นี้ก็พอแล้ว ข้าก็จะไม่ไปแย่งชิงกับสตรีในใจของเขา แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าผ่านไปยี่สิบปีแล้วเขายังดึงดันหาเสี่ยวเซวียซื่อจนเจอ ทั้งยังพานางกลับมาอีก!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสบถเย็นชา รัชศกเจี้ยนอู่ปีที่เก้า เฉิงอวี๋จิ่นและเฉิงอวี๋โม่ฝาแฝดคู่นี้อายุได้ประมาณหนึ่งขวบ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยังจมอยู่ในความสุขของการเป็นย่า วันหนึ่งในเดือนสี่ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงจู่ๆ ก็พาเด็กคนหนึ่งกลับมาจากข้างนอก บอกว่านี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขากับเสี่ยวเซวียซื่อ เพิ่งมีอายุห้าหกขวบ ยังจะให้เด็กคนนั้นเข้ามาอยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลอีกด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเห็นแล้วสงสัยอย่างมาก เด็กคนนั้นรูปโฉมดี บนมือไม่มีรอยด้านแม้แต่น้อย กิริยาการกระทำมีระเบียบมากกว่าบุตรชายแท้ๆ ของนางเสียอีก เด็กเช่นนี้เป็นเด็กที่เสี่ยวเซวียซื่อที่ถูกเนรเทศไปชายแดนไม่มีใครเป็นที่พึ่งจะเลี้ยงดูออกมาได้จริงหรือ

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสงสัย นางมีความเห็นแก่ตัว กอปรกับกลัวว่าท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงจะถูกสตรีผู้นั้นหลอก จึงยับยั้งไม่ยอมให้เด็กคนนั้นเข้ามาอยู่ในลำดับวงศ์ตระกูล แต่ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกลับแสดงความแข็งกร้าวอย่างหาได้ยาก พูดอย่างหนักแน่นว่านั่นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เขาแอบเลี้ยงไว้นอกบ้านมานานหลายปี เด็กน้อยแม้จะมีชีวิตไร้ความกังวล แต่จะให้ระหกระเหินอยู่นอกบ้านไปตลอดไม่ได้ จึงพากลับมาเคารพบรรพชนเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงหลายปีมานี้สงสัยในฐานะของเฉิงหยวนจิ่งมาตลอด เขาเป็นบุตรชายของเสี่ยวเซวียซื่อนั้นไม่ผิด แต่จะเป็นลูกของท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงหรือไม่นั้นก็ไม่แน่ เสี่ยวเซวียซื่อรูปโฉมงดงาม หญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่งถูกเนรเทศไปยังชายแดนอย่างนั้นจะพบเจอเรื่องดีอะไรได้ ไม่รู้แน่ว่านี่เป็นบุตรชายของผู้ใด อาจถูกเสี่ยวเซวียซื่อยกมาให้ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิง แต่ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกลับโง่เขลารับสองแม่ลูกกลับมาที่เมืองหลวง เลี้ยงบุตรชายแทนผู้อื่นจริงๆ

เวลาผ่านไปหลายปี ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงได้พบเสี่ยวเซวียซื่อ แก้มและมือของเสี่ยวเซวียซื่อไม่ละเอียดดังเดิม แต่ความอ่อนโยนสงบนิ่งในตัวนั้นยังคงเป็นเหมือนที่ผ่านมา ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเพราะอิจฉาและสงสัย เป็นตายไม่ยอมให้เสี่ยวเซวียซื่อเข้ามาอยู่ในจวนโหว ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงจำต้องเลี้ยงสองแม่ลูกไว้นอกจวน ค่าใช้จ่ายทุกอย่างใช้จากเงินของตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงหลายปีมานี้พยายามหักเงินของท่านโหวผู้เฒ่าเฉิง แต่ก็เหมือนเจอภูตผีวิญญาณ บุตรชายของเสี่ยวเซวียซื่อผู้นั้นยังคงเลี้ยงได้อย่างเปิดเผยดีงาม กิริยาการกระทำมีความสง่าเหมือนได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ทั้งยังเชิญอาจารย์มาสอนสั่ง เข้าสอบขุนนางจนกระทั่งสอบได้จิ้นซื่อ

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงคิดถึงตรงนี้ก็แค้นจนคันฟัน “คนไร้หัวใจผู้นี้ หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเขาไปเอาเงินมากมายมาจากที่ใด เลี้ยงบ้านนอกสมรสไว้ไม่ว่า กลับยังเลี้ยงบุตรชายนอกสมรสจนเป็นจิ้นซื่ออีก บุตรชายข้าตั้งแต่เจ็ดขวบก็บังคับให้เขาเรียนหนังสือ ปกติตีและด่าว่าเขาไม่น้อยเช่นกัน ผลปรากฏว่าแม้แต่ถงเซิง* ยังเป็นไม่ได้เลย!”

คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงด่าคือซื่อจื่อเฉิงหยวนเสียน แม่นมจางไม่อาจพูดอะไรมากได้ ทำได้เพียงพูดปลอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าท่านจะร้อนใจไปไยเจ้าคะ การสอบขุนนางเตรียมไว้ให้กับบุตรหลานสกุลต่ำต้อยไร้หนทาง ซื่อจื่อมีบรรดาศักดิ์ติดตัว เหตุใดต้องทนทุกข์กับเรื่องพรรค์นั้นด้วย อีกอย่างตระกูลพวกเรามีความดีความชอบ ย่อมมีเงาที่บรรพชนทิ้งเอาไว้อยู่ จะต้องผ่านความยุ่งยากไปไย”

“บุ๋นไม่ได้บู๊ไม่เก่ง รู้แต่ขลุกอยู่กับอนุภรรยาเหล่านั้นทุกวัน ทำให้ข้าโกรธแทบตายแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดถึงบุตรชายคนโตแล้วก็ทนไม่ไหวก่นด่าออกมา

แม่นมจางเพียงแค่รับฟังเท่านั้น เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงบริภาษรุนแรงเช่นนี้ก็ฉุกคิด ทั้งที่บุตรชายมีภรรยาเป็นถึงท่านหญิง ในห้องจะมีอนุภรรยามากมายอย่างนั้นได้อย่างไร นี่ก็เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่รักบุตรชาย ยัดเยียดสตรีเข้าไปให้เองอย่างไรเล่า

แม่นมจางพูดด้วยรอยยิ้ม “ซื่อจื่ออายุยังน้อย ชอบเล่นสนุก รอให้เขาโตขึ้นอีกนิดก็รู้ที่จะก้าวหน้าเอง อีกอย่างท่านยังมีนายท่านรองอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

“เจ้ารองยังขยันขันแข็งมาก เชื่อฟังกว่าพี่ชายเขาตั้งแต่เด็ก หลายปีมานี้ยังขยันหมั่นเพียรดังเดิม” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตอนพูดถึงบุตรชายคนรองบนใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ช้าก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “แต่ภรรยาของเขาผู้นั้นเดินเหินไม่แข็งแกร่ง พูดจาก็ไร้เรี่ยวแรง ดูแล้วเชิดหน้าชูตาไม่ได้ แม้แต่บุตรสาวที่นางเลี้ยงก็เป็นเช่นเดียวกัน ดูคุณหนูใหญ่สิ เป็นพี่น้องฝาแฝดกันแท้ๆ แต่พอมาเลี้ยงภายใต้การเลี้ยงดูของชิ่งฝูก็ดูสง่างามรู้ความกว่าลูกบ้านรอง เฮ้อ น่าเสียดาย หมากที่ดีเช่นนี้ การถอนหมั้นในครั้งนี้เกินครึ่งคงเสียไปแล้ว เสียดายที่ข้าอุ้มชูนางมาหลายปี หวังให้นางมีหน้ามีตา แต่งกับครอบครัวที่ดี วันหน้าช่วยสนับสนุนบิดาและน้องชาย จิ้งหย่งโหวมีอนาคตดีเพียงใด ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน”

คำพูดนี้แม่นมจางไม่สะดวกจะพูดต่อ คุณหนูใหญ่หลายปีมานี้มีตัวตนอยู่เป็นดั่งเสาหลักของสกุล ไม่ว่าเรื่องอะไรขอเพียงมีคุณหนูใหญ่อยู่ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก อันดับหนึ่งย่อมเป็นของคุณหนูใหญ่แน่นอน เมื่อเทียบกันแล้วคุณหนูรองเฉิงอวี๋โม่จะน่าเข้าหากว่า ได้รับความชื่นชอบจากพี่น้องมากกว่า

ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับแม่นมจางที่เป็นบ่าวคนหนึ่ง ในความคิดของนาง ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูใหญ่หรือคุณหนูรองล้วนแต่เป็นคนที่สูงจนนางเอื้อมไม่ถึง ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “อาศัยบุตรสาวคงไม่ได้แล้ว หรือวันหน้าต้องให้เฉิงหยวนจิ่งขึ้นมาเป็นเสาหลักสกุลเฉิงจริงๆ แต่เขาเป็นบุตรชายนอกสมรส…”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก ทว่าลูกหลานจะมีความโดดเด่นหรือไม่ แค่ดูการกระทำก็มองออกได้แล้ว เฉิงหยวนเสียนมาถึงวัยกลางคนแล้ว ตำแหน่งยังใหญ่เทียบเฉิงหยวนจิ่งที่อายุสิบเก้าไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้แต่นายท่านรองเฉิงที่หร่วนซื่อมักจะพร่ำพูดว่ามีความขยันโดดเด่น เทียบกับเฉิงหยวนจิ่งแล้วก็ยังห่างชั้นกันมาก

บุรุษทั้งจวนสกุลเฉิงมัดรวมกันยังเทียบเฉิงหยวนจิ่งคนเดียวไม่ได้เลย ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงย่อมยอมรับไม่ได้ ทว่านี่จะมีวิธีแก้ไขอะไรได้ แม่นมจางพูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี “ฮูหยินผู้เฒ่า อายุท่านไม่น้อยแล้ว หลานสาวใกล้จะแต่งงาน ท่านยังจะยึดติดอยู่กับเรื่องสมัยสาวๆ ด้วยเหตุใดเจ้าคะ เสี่ยวเซวียซื่อป่วยตายไปหลายปีแล้ว บุตรชายนอกสมรสกลายเป็นคนที่มีตำแหน่งขุนนางสูงที่สุดในสกุลเฉิง ต่อให้ท่านจะไม่คิดผูกมัดใจเขา แต่จะผลักนายท่านเก้าไปนอกบ้านไม่ได้นะเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถอนหายใจ “ข้ามีหรือจะไม่รู้ เสี่ยวเซวียซื่อป่วยตายไปในรัชศกเจี้ยนอู่ปีที่สิบเก้า นางมีความอดทนมาก อยู่จนเห็นเฉิงหยวนจิ่งสอบได้จิ้นซื่อ จึงยอมปล่อยมือ พูดไปก็บังเอิญ ในปีนั้นเองคดีสกุลเซวียกลับมาจบลงด้วยดี เสี่ยวเซวียซื่อก่อนตายได้ยินว่าบุตรชายสอบได้จิ้นซื่อ ได้ยินว่าคดีทางบ้านเดิมจบลงด้วยดี เป็นการตายที่ไม่มีความเสียดายอะไรจริงๆ ถ้าบุตรชายสองคนนั้นของข้ามีโอกาสที่ดีเหมือนเฉิงหยวนจิ่ง ให้ข้าตาย ข้าก็เต็มใจ”

“ไอ้หยา! ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านพูดอะไรกันเจ้าคะ!” แม่นมจางรีบถ่มน้ำลายลงพื้นสองทีแล้วพูดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าพูดคำไม่เป็นมงคลเช่นนี้นะเจ้าคะ บ่าวคิดว่าถ้าท่านอยากจะควบคุมนายท่านเก้าก็มีวิธีมากมาย เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง นายท่านเก้าตอนนี้ยังไม่ได้แต่งภรรยา ต่อให้เขาเก่งกาจเพียงใดก็ต้องพึ่งท่านให้ทาบทามสู่ขอมิใช่หรือเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเย็นชา “เรื่องนี้ก็ไม่แน่ ถ้าข้าคิดจะบีบเรื่องการแต่งงานของเขา เกรงว่าท่านโหวคงจะไม่อนุญาตเป็นคนแรก แต่พูดไปแล้วก็แปลก ท่านโหวรักบุตรชายที่ได้มาระหว่างทางคนนี้เหมือนแก้วตาดวงใจ เหตุใดจึงไม่จัดการแต่งภรรยาหรือรับอนุภรรยาให้เขาเลย ปีนี้เขาอายุสิบเก้าแล้ว คนอื่นที่อายุเท่าเขาคงใกล้มีลูกเต็มที”

พูดถึงเรื่องนี้แม่นมจางก็ไม่รู้เช่นกัน

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ช่างเถอะ รอวันหน้าท่านโหวอยู่ ข้าจะลองไปหยั่งเชิงความคิดของท่านโหวดู”

แม่นมจางรับคำ นางลังเลใจเล็กน้อย แล้วถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วเรื่องของคุณหนูใหญ่…ควรจะทำอย่างไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจ้องไปยังกระถางธูปที่อยู่ด้านข้างด้วยสายตาเคร่งเครียด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ดูต่อไปก็แล้วกัน ปล่อยข่าวที่สกุลฮั่วผิดสัญญาการหมั้นหมายออกไปก่อน ดูว่ามีใครที่ดีพอมาทาบทามสู่ขอคุณหนูใหญ่หรือไม่ ถ้าไม่มี…เช่นนั้นหลานสาวคนนี้ก็ต้องถือว่าเลี้ยงมาเสียเปล่าแล้ว”

ช่างโหดร้ายเสียจริง ได้รับการเลี้ยงดูอย่างหลานสาวบ้านใหญ่ที่สูงส่งมานานหลายปี บทจะตกต่ำก็ตกต่ำ ทว่าแม่นมจางนอกจากทอดถอนอยู่ภายในใจแล้วก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร ภายในจวนตระกูลชั้นสูงต่างมีอนาคตของตนเอง พูดถึงที่สุดแล้วคุณหนูใหญ่กับนางมีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือ

 

เฉิงอวี๋จิ่นถูกคำว่า ‘มีธุระ’ ดึงออกมาจากหอโซ่วอันของฮูหยินผู้เฒ่า นางเดินอยู่ข้างหลังเฉิงหยวนจิ่ง รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก จึงส่งเสียงถามว่า “ท่านอาเก้า ท่านเรียกข้าออกมามีธุระอะไรกันแน่”

เฉิงหยวนจิ่งเหลียวมองอย่างเย็นชาไปข้างหลังแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าดูท่าทางเฉลียวฉลาดดี แต่ดูตอนนี้เหมือนสมองจะใช้การได้ไม่ค่อยดีนัก”

คำพูดประโยคนี้กระตุ้นจนเฉิงอวี๋จิ่นอยากจะอ้าปากด่าคน ก่อนนางคิดได้ว่าคนตรงหน้าคือท่านอาเก้าของนาง อย่างไรเสียก็เป็นญาติผู้ใหญ่ จึงทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ “ขอบคุณท่านอาเก้าที่ชม แต่เหตุใดท่านอาเก้าจึงบอกว่าข้าสมองใช้การได้ไม่ค่อยดี”

เฉิงหยวนจิ่งคิดในใจว่าช่างโง่เขลาเหลือเกิน เขามีใจเมตตาอย่างหาได้ยาก คิดไม่ถึงว่าพูดมาถึงขั้นนี้แล้วเฉิงอวี๋จิ่นกลับยังคิดไม่ออก เฉิงหยวนจิ่งสีหน้าเรียบเฉย แม้แต่น้ำเสียงที่พูดก็ไม่ใส่ใจนัก “สตรีเหล่านั้นแต่ละคนอยากจะถามให้ถึงที่สุด เจ้าอยู่ในห้อง จะทำอะไรได้”

เพียงแค่พบหน้าเป็นเวลาสั้นๆ เฉิงหยวนจิ่งก็พอเข้าใจถึงเรื่องราวเรือนส่วนในของสกุลเฉิงได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ท่านหญิงชิ่งฝูทำเหมือนไม่ใช่เรื่องของตนเอง หร่วนซื่อพูดอ้อมค้อมวกไปมาเหมือนมีความคิดแอบแฝง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยังคงคิดอยากจะขายหลานสาว ความคิดเลวร้ายของพวกนางแทบจะไม่ปกปิดเอาไว้เลย สถานการณ์เช่นนี้ยังมีอะไรให้ควรอยู่ต่อไปอีก

คำพูดเหล่านี้เฉิงหยวนจิ่งไม่มีทางพูดออกมา เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับขอบเขตมาก พูดอีกอย่างก็คือเป็นคนที่เกิดมาเย็นชา คนอื่นเป็นอย่างไรเกี่ยวอันใดกับเขา คำพูดที่เขาเพิ่งพูดกับเฉิงอวี๋จิ่นนั้นเป็นความช่วยเหลือที่ยากจะเกิดขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมา

เฉิงอวี๋จิ่นเข้าใจความหมายของเฉิงหยวนจิ่งในทันที เรื่องที่เฉิงหยวนจิ่งเพียงเห็นก็มองออกได้ นางจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า

เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้า มองเกล็ดหิมะปลิวตกลงบนเสื้อคลุมแดงสดแล้วละลายไปอย่างรวดเร็ว เฉิงอวี๋จิ่นเงียบไปครู่หนึ่งจู่ๆ ก็พูดว่า “บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนกับหิมะนี้ มองจากที่ไกลๆ ขาวสะอาดสวยงาม แต่พอเดินเข้าไปใกล้…กลับไม่มีอะไรเลย”

เฉิงหยวนจิ่งประหลาดใจ หยุดเดินแล้วหันมองนาง

เฉิงอวี๋จิ่นหันไปมองลมพัดแรงนอกระเบียงทางเดินที่พัดเอาเกล็ดหิมะปลิวไปทั่ว ใบหน้าด้านข้างของนางสะท้อนประกายหิมะ ดูงดงามโปร่งใสยิ่งกว่าหิมะเสียอีก นางเอ่ยว่า “ข้าย่อมรู้ว่าอยู่ต่อไปคงลำบากใจมาก แต่จะมีหนทางใดอีก หากข้าไม่ปรนนิบัติมัดใจท่านแม่กับท่านย่าให้ดี ไม่ต้องรอถึงวันหน้า แค่พรุ่งนี้ข้าก็คงจะมีชีวิตที่ดีไม่ได้แล้ว”

เฉิงอวี๋จิ่นยื่นมือไปรองหิมะ เสื้อคลุมกันลมสีแดงสดของนางอยู่ตรงระเบียงทางเดินที่มืดครึ้มนั้น ดูสะดุดตาอย่างน่าประหลาด เฉิงอวี๋จิ่นหันมายิ้มให้เฉิงหยวนจิ่ง “เกรงว่าท่านอาเก้าคงไม่อาจเข้าใจได้กระมัง ถึงแม้ท่านจะเป็นลูกอนุภรรยา แต่พอเกิดมาก็มีท่านพ่อท่านแม่คอยรักและปกป้อง จัดการทุกเรื่องเพื่อท่าน รอท่านเติบใหญ่ ท่านยังสามารถสอบผ่านการสอบขุนนางเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้อีก ดังนั้นท่านจะเข้าใจความรู้สึกของการไร้หนทางเดินแต่จำเป็นต้องเดินออกไปในเส้นทางหนึ่งได้อย่างไร”

เฉิงหยวนจิ่งคล้ายได้ยินเสียงแตกร้าวเบาๆ ในใจ

ไร้หนทางเดิน แต่ไม่เดินก็ไม่ได้ ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไรเล่า

 

เชิงอรรถ

* พิธีปักปิ่น คือพิธีเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ของสตรีวัยสิบห้าปี โดยการรวบผมปักปิ่นเพื่อแสดงว่าถึงวัยออกเรือนแล้ว

* ถงเซิง เป็นคำเรียกรวมๆ ของบัณฑิตซึ่งยังไม่ได้สอบผ่านเป็นซิ่วไฉ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 65  เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: