บทที่ 1 ฆ่าข้าที
ผืนนภากระจ่างใส ลมรำเพย ทุ่งหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
บนถนนหลวงสายกว้างอยู่ในพื้นที่เมืองหนานโจว ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวผ่านช่องเขาอย่างเชื่องช้า ได้ยินเสียงเกือกม้าย่ำหิมะดังแซ่กๆ
หิมะที่ตกหนักยังนำความเคร่งเครียดมาสู่ใบหน้า ชายวัยกลางคนจ้องเขม็งไปยังป่าทึบที่แสงตะวันส่องลงมาไม่ถึง มือคลายออกจากสายบังเหียนที่เดิมกำไว้แน่น เอื้อมไปหาดาบเล่มยาวที่ห้อยอยู่ตรงเอวแทน
ชายเสื้อคลุมสีดำสนิทไหวพะเยิบตามแรงลม เผยให้เห็นลวดลายกระเรียนสีน้ำเงินเข้มข้างใต้
‘ฟิ้ว’
เสียงคมศรแหวกอากาศจู่โจมพลันดังขึ้น ดาบยาวตวัดฉับ เพียงเท่านั้นลูกธนูก็หักเป็นสองท่อน
ชายวัยกลางคนเหลือบมองไฟที่ดับมอดตรงหัวลูกธนู หว่างคิ้วพลันกระตุก พอหันไปทางชายป่าก็เห็นลูกธนูติดไฟมากมายพุ่งออกมาพร้อมกัน แม้ทางนี้จะเคลื่อนไหวรับมือได้อย่างว่องไว ก็ยังไม่วายมีลูกธนูเล็ดลอดไปปักประปรายตามรถม้า เปลวเพลิงลุกลามอย่างรวดเร็ว
แสงไฟโชติช่วงส่องสะท้อนดวงหน้าขาวซีดของชายชราร่างเตี้ยข้างรถม้า ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงแหลมสูงกว่าปกติด้วยอารามตระหนก “ถวายอารักขา! รีบถวายอารักขาเร็วเข้า!”
เสียงอึกทึกในชายป่าดังขึ้นกว่าเก่า ไม่ทันไรร่างของคนหลายคนก็กระโจนออกมา ในมือชูกระบี่เล่มยาวเงื้อง่า พอลงมาอยู่บนพื้นก็ฟันฉับเข้ากลางกะโหลกองครักษ์ชุดน้ำเงินไปหลายคน
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปโดยรอบ เสียงดาบปะทะกระบี่ดังไม่ขาดหู ชายวัยกลางคนที่ถือดาบเล่มยาวพลิกตัวลงจากหลังอาชา พอหันไปเห็นองครักษ์ชุดน้ำเงินคนหนึ่งเปิดประตูรถม้าแล้วประคองผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ข้างในออกมา เขาก็ล้วงอะไรบางอย่างออกจากอกเสื้อ พร้อมกับที่เสียงกึกก้องดังสะเทือนแก้วหู พลุสัญญาณสวยสดงดงามก็ระเบิดตัวขึ้นกลางฟ้า
“อย่าขยับ”
คนกลุ่มหนึ่งในชายป่าถือกระบี่เตรียมจะกระโจนลงไปสมทบ ทว่าผู้เป็นหัวหน้าพลันถูกใครบางคนกดแขนลง
“เจ๋อจู๋ เจ้าคิดจะทำอะไร”
ชายหนุ่มผู้สวมผ้าคลุมหน้าเผยให้เห็นเพียงดวงตามุ่นคิ้วน้อยๆ ขณะมองมือของเด็กหนุ่มที่อยู่บนท่อนแขนตนพลางถามเสียงขุ่น
“ถอนตัวจากเรื่องสกปรกตอนนี้ยังทันการณ์นะ” เด็กหนุ่มผู้นั้นมีน้ำเสียงกังวานใสและดวงหน้าขาวเนียนไร้สิ่งบดบัง
“ข้าไม่มีเวลามาฟังเจ้าพูดเหลวไหลหรอก” แววตาชายหนุ่มฟ้องว่าใกล้หมดความอดทนอยู่รอมร่อ เขาปัดมืออีกฝ่ายออก แล้วหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องสิบกว่าคนข้างหลัง
รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กหนุ่มชุดดำเลือนหาย ขณะดึงกระบี่อ่อนออกจากเอว ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตอบสนองก็เห็นแสงสะท้อนยาววาบผ่านหน้า คมกระบี่เย็นเยียบจ่อพาดลำคอในพริบตา เขาเหยียดแผ่นหลังตรงแหน็วพลางเค้นเสียงลอดไรฟัน “เจ๋อ…จู๋”
สายลมพัดผ่านแนวป่า แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมารำไรตกกระทบคมกระบี่เข้าพอดี สะท้อนเป็นริ้วแสงมากแฉก
“พี่สิบเอ็ด ภรรยาที่ท่านซ่อนไว้ในเมืองหนานโจวตายมาสามปีแล้วสินะ”
ชายหนุ่มหน้าผิดสีทันทีที่ได้ฟัง ใบหน้าหันขวับไปโดยไม่สนใจกระบี่บางเฉียบที่จ่อพาดคอ จึงถูกบาดเป็นแผลตื้นเลือดไหลซิบทันตา “เจ้ารู้ได้อย่างไร”