ทุ่งหญ้าแห้งผืนกว้างจรดขอบฟ้าถูกทับไว้ใต้หิมะ นอกจากลมหนาวสะท้านที่พัดอู้เสียดแทรกมาตามแมกไม้ ป่าเขาละแวกนี้ก็แทบไร้สรรพเสียงอื่น
ทันใดนั้นเสียงสวบสาบก็ลอยแว่วออกมาจากในกอหญ้า
หลังกลิ้งตัวลงมาจากเนินเขาริมถนนหลวงซางหรงลากกิ่งไม้วิ่งมาตลอดทาง จนสุดท้ายเข้ามาในป่าทึบแถบนี้ พอได้ยินเสียงฝีเท้าม้าอยู่ไกลๆ ก็เข้าไปหมอบนิ่งในพงหญ้า พรางตัวในหิมะ ไม่กล้าขยับอยู่เป็นนาน
เสียงคนใกล้เข้ามา ก่อนจะผ่านเลยไป จวบจนเสียงม้าร้องค่อยๆ ห่างออกไปทีละน้อย นางถึงลุกขึ้นมานั่งกลางพงหญ้า
หิมะเกล็ดใสปานผลึกแก้วที่เกาะอยู่เต็มตัวร่วงกราวลงมาตามความเคลื่อนไหวอันปุบปับ นางหนาวจนหน้าขาวซีด ปลายจมูกเล็กๆ แดงก่ำ เกล็ดหิมะที่ทำท่าจะละลายเกาะพราวอยู่บนขนตางอนยาว ดูขาวโพลนราวกับน้ำค้างแข็ง พอสูดหายใจเฮือกใหญ่สายลมหนาวสะท้านก็ฉวยโอกาสแทรกเข้าไปในลำคอ จนนางต้องไออย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าไอได้ไม่กี่ครั้งซางหรงก็พยายามกลั้นไว้ สองเท้าเย็นเฉียบจนแข็งทื่อ นางยักแย่ยักยันลุกขึ้นยืน คว้ากิ่งไม้ข้างตัวออกเดินโขยกเขยกต่อ ระหว่างนั้นยังลากกิ่งไม้กลบรอยเท้าที่ตัวเองทิ้งไว้บนพื้นหิมะข้างหลังไปด้วย
สุดแนวป่าทึบมีหาดกรวดน้ำตื้น ทว่าเวลานี้จมอยู่ใต้หิมะ ผิวแม่น้ำก็จับตัวเป็นน้ำแข็ง ลมหายใจของนางกลายเป็นไอขาว ร่างทั้งร่างเหน็บหนาวจนแทบไร้ความรู้สึก
ถัดจากสีขาวยังคงมีแต่สีขาว นางหยุดยืนอยู่กับที่ ไม่ว่ามองไปทางใดก็ล้วนเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุด
รองเท้าปักพื้นบางเปียกหิมะจนชุ่มนานแล้ว เท้าทั้งสองข้างของซางหรงไม่เหลือความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ริมฝีปากแห้งผาก อ่อนล้าเต็มที แต่แล้วทันใดนั้นนางก็เงยหน้าพรวดอย่างระแวดระวังเมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง
แขนเสื้อคลุมสีดำสะบัดโบกตามแรงลมอยู่เบื้องหน้าไกลๆ กระบี่อ่อนในมือพุ่งพลิ้ว วาดแสงวาบประหนึ่งดาวตก คนผู้นั้นเบี่ยงตัวหลบอาวุธลับที่คนไล่ตามหลังซัดใส่อย่างง่ายดาย ก่อนจะทิ้งตัวลงบนผืนน้ำแข็ง
แม่น้ำแผ่ไอเย็นเป็นหมอกหนา ซางหรงที่ดูอยู่ห่างๆ เห็นร่างสองร่างรุกไล่กันไปมาอยู่บนนั้นได้เพียงเลือนราง คมอาวุธกระทบกันเป็นเสียงกังวานกระจ่างใส ทว่ายามนี้โสตสัมผัสของนางได้ยินไม่แจ่มชัด
ลมหิมะทวีกำลังแรงขึ้น หิมะปุยใหญ่ดุจขนห่านป่าตกลงมา ม่านหมอกถูกลมพัดให้เบาบางลง เสียงผิวน้ำแข็งลั่นเปรี๊ยะดังมาไม่ไกล บัดนี้บนแม่น้ำเหลือเพียงคนคนเดียวยืนถือกระบี่ แผ่นน้ำแข็งแบนเรียบแตกทะลุเป็นหลุมขนาดใหญ่
มือหนึ่งถือกระบี่ยาวอาบเลือด อีกมือดึงน้ำเต้าหยกใบเล็กๆ แกะสลักอย่างประณีตที่ห้อยอยู่ตรงเอว ผู้ที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
หมอกเย็นเยือกลอยอ้อยอิ่งเป็นสาย มองไปทางใดก็เห็นแต่หิมะขาวโพลน บนบ่าของเขาเต็มไปด้วยเกล็ดขาว แขนเสื้อดำเข้มดุจน้ำหมึก เข็มขัดเตี๋ยเซี่ย* ทำจากหนังขับเน้นช่วงเอวสอบ แม้แต่ประกายที่ส่องออกมาจากหัวเข็มขัดทองคำยังเย็นเยียบ
เขาใช้ปากดึงจุกไม้ออกง่ายๆ ปรายตามองนางแวบหนึ่งแล้วเดินผ่าน สุราเย็นๆ ไหลวาบผ่านลำคอ แพขนตาดกหนาช้อนขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็หยุดนิ่งแล้วผินหน้ามองมา
ปลายนิ้วงอกระชับเข้ากับด้ามกระบี่ จิตสังหารแผ่ออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง แต่พอเห็นสายตาที่จ้องเขม็งของนาง เขาก็หลุบตามองน้ำเต้าสุราที่ตนเองถืออยู่
“กระหายมากหรือ” เขาถาม
ซางหรงพยักหน้า จ้องน้ำเต้าสุราใบเล็กของอีกฝ่ายตาเป๋ง
ดวงตาของเด็กหนุ่มหยีโค้ง หันปลายกระบี่เปื้อนเลือดชี้พื้นหิมะขาวพิสุทธิ์ “ดื่มสักจิบปะไร”
ซางหรงเห็นกับตาว่าเลือดที่ติดอยู่บนคมกระบี่ของเขาไหลหยดลงพื้นหิมะ แล้วแผ่ขยายออกเป็นดวงแดงฉาน นางส่ายหน้าหนักแน่น “สกปรก”
ครั้นนางเอ่ยเช่นนั้น เขากลับทำเหมือนได้ยินเรื่องขบขัน “แต่เจ้าไม่รังเกียจว่าข้าสกปรก?”
พริบตาต่อมาเขาก็ยื่นน้ำเต้าสุราไปตรงหน้านาง กรอกสุราร้อนแรงใส่ปากนางโดยไม่รอการตอบสนอง แล้วยังสมใจเมื่อได้เห็นนางสำลักจนหน้าแดงก่ำ
เขาหัวเราะ…อย่างยโสและร้ายกาจ
สุราร้อนแรงแผดเผาลำคอลงไปเป็นทางราวกับลูกไฟ ซางหรงสำลักจนตาแดง น้ำอุ่นเอ่อคลอหน่วยจนเห็นรอยยิ้มโอหังของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ถนัดนัก
หลังขยับข้อนิ้วที่หนาวจนแข็งของตัวเองสองสามที นางก็ปลดเครื่องประดับทุกชิ้นบนตัวลงมาลวกๆ แล้วยัดทั้งหมดใส่มือฝ่ายตรงข้าม
เด็กหนุ่มชะงัก หลุบตามองเครื่องประดับมีค่าที่มาอยู่บนฝ่ามือตัวเองอย่างกะทันหัน ก่อนจะเหลือบตาขึ้นพิจารณาดรุณีตรงหน้าอีกครั้ง กระโปรงงามหรูเนื้อเนียนนุ่มลวดลายวิจิตรเปียกหิมะจนยับยู่ยี่ ปลายจมูกแดงก่ำด้วยความหนาว นัยน์ตาดำขลับ ตาขาวเป็นสีแดงจางๆ เพราะสำลักสุรา ผิวหน้าขาวผ่องเนียนละเอียด จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสารไม่พอ เพราะความสูงส่งในสายเลือดที่ปล่อยวางไม่ได้ยังสะท้อนออกมาจากข้างใน
“แค่สุราหนึ่งจิบ ไม่มีค่าคู่ควรกับข้าวของเจ้าหรอก”
เขาเตือนสติ ท่าทีดูสนใจนางขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้ารู้”
ซางหรงพยักหน้า เด็กหนุ่มตัวสูงเหลือใจ สูงจนนางต้องแหงนคอมอง “ข้าอยากขอให้เจ้าช่วย”
“ช่วยอะไร”
เขาปัดหิมะออกจากบ่าพลางถามเสียงต่ำราบเรียบ ลุ่มลึกยากจะคาดเดาความคิด
หิมะปุยใหญ่ปลิวว่อนเต็มฟ้า สายหมอกเย็นเฉียบลอยอ้อยอิ่ง ซางหรงหนาวจนประสาทสัมผัสแทบไม่ทำงาน ชายแขนเสื้อยับย่นปลิวพลิ้วในสายลมดุจริ้วเมฆ เกล็ดหิมะร่วงผ่านดวงหน้าซีดเผือด ขณะนางตอบกลับไปอย่างจริงจัง
“ช่วยฆ่าข้าที”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 พ.ค. 68