ซางหรงพลันตระหนักว่าที่แท้ ‘พี่สิบเอ็ด’ ผู้นั้นได้จบชีวิตลงแล้วด้วยมือของเด็กหนุ่มผู้นี้
เจ๋อจู๋ปล่อยมือจากนาง เช็ดท้องนิ้วลวกๆ สองทีแล้วเก็บกระบี่อ่อนอีกครั้ง ก่อนออกเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าเบาหวิวแคล่วคล่อง ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวสายตาก็หลุบลงมองมือเล็กที่หนาวจนข้อนิ้วแดงก่ำ
พู่ห้อยกระบี่สีแดงชาดของเขาเล่นลมอยู่ในมือนาง โบกสะบัดพลิ้วล่องดุจปุยเมฆ
ประหลาดแท้
นางไม่รู้หรอกว่าพู่ห้อยกระบี่ที่นางรวบรวมความกล้าคว้าจับไว้ตอนนี้อาบเลือดคนมาแล้วมากน้อยเท่าไร ทั้งไม่รู้และไม่กลัว นางจับพู่ไว้แน่นขณะแหงนหน้ามองเขาเงียบๆ ไม่เอ่ยคำ ทั้งที่ร้องขอความตายแต่กลับทำเหมือนคนใกล้จมน้ำคว้าเกาะเส้นฟาง
สายลมหนาวพัดหวีดหวิวจนซางหรงปวดรูหูยิ่งกว่าเก่า สุราร้อนแรงจิบนั้นเริ่มออกฤทธิ์เงียบๆ ศีรษะปวดร้าว ใบหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้ากลายเป็นภาพเลือนรางสามภาพซ้อนกัน
จากนั้นนางก็ล้มพับไปอย่างไม่มีเค้าลางใดๆ ทั้งสิ้น
พู่ห้อยกระบี่สีแดงที่ถูกทึ้งขาดนอนนิ่งอยู่ระหว่างนิ้วมือดรุณีน้อย หิมะปุยใหญ่เหมือนขนห่านตกลงมาพร่างพรมบนร่างนางราวกับกำลังเริงระบำ ก่อนสติจะขาดหาย ดวงตาหรี่ปรือของนางเห็นเพียงชายแขนเสื้อเนื้อบางสะบัดพลิ้วของร่างที่หมุนตัวเดินจากไป
ซางหรงรู้สึกร้อนจนตื่น
นางจ้องมองผ้าห่มสีมอซออย่างงุนงง ผ้ามีด้วยกันทั้งหมดสามชั้น ห่มร่างนางไว้อย่างแน่นหนา ภายในเรือนจุดเตาถ่าน ไอร้อนผ่าวอังให้นางเหงื่อแตกโซมทั้งตัวขณะนอนหลับ
เมื่อเลิกผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียง ซางหรงกวาดตาพิจารณาเรือนที่ไม่นับว่าใหญ่หลังนี้ ภายในตกแต่งอย่างสมถะเรียบง่าย ปลายจมูกยังได้กลิ่นชื้นที่ถูกเตาถ่านรมจนแห้ง
ตั่งไม้ไผ่ที่ตั้งริมหน้าต่างมีโต๊ะเล็กวางอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีเตาอั้งโล่จุดถ่านแดงฉาน ตั้งหม้อกระเบื้องต้มยาที่กำลังเดือดคลั่ก ส่งควันขาวพวยพุ่ง กลิ่นสมุนไพรขมๆ ลอยไปทั่ว
…‘แอ๊ด’
ซางหรงหันขวับไปมองตามสัญชาตญาณเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ลมหิมะข้างนอกทะลักพรูเข้ามาในเรือน พัดพาให้ชายเสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่นของเด็กหนุ่มคนนั้นพลิ้วพะเยิบ เขาขัดดาลประตูอย่างว่องไว แล้วหมุนตัวมาปรายตามองนางแค่แวบเดียว ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่ตั่งไม้ไผ่อย่างไม่สนใจ
ยาในหม้อถูกเทใส่ชาม แลเห็นควันลอยพลุ่งออกจากปากชามโขมง จากนั้นดวงตาคมปลาบของเขาก็เหลือบขึ้น “มากินยา”
ซางหรงมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติกลับมามองยาน้ำสีดำมะเมื่อมที่วางอยู่ใกล้มือเขา นางเม้มปาก มิได้ก้าวออกไป
“เจ้าคงยังไม่รู้ว่าข้าฆ่าคนด้วยวิธีใด” เจ๋อจู๋จิบชาร้อนอย่างแช่มช้า “หากไม่อยากตายในสภาพศพพิกลพิการผิดปกติก็ควรจะทำตามที่ข้าบอก”
ซางหรงเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างอันเย็นชาของฝ่ายตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่งก่อนลุกเดินเข้าไปเงียบๆ ด้วยฝีเท้าเบากริบ ตอนทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามเขานางก็ยังไม่ลืมจัดชายกระโปรงยับยู่ยี่ของตนให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยใช้ช้อนตักยาขึ้นมาอย่างว่าง่าย ด้วยความที่ยาร้อนจัดนางเลยถูกลวกไปทีหนึ่ง แล้วเหลือบตาขึ้นแอบมองคนตรงหน้า
เด็กหนุ่มจ้องมองนางด้วยสีหน้าเฉยชา
นางก้มหน้าโดยไม่พูดอะไร
สายลมโหมกระหน่ำอยู่ข้างนอก เกล็ดหิมะกระทบบานหน้าต่างเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงลมครางอู้ เจ๋อจู๋นั่งเท้าคางด้วยมือข้างเดียว ส่งสายตาหน่ายเนือยมองนางพองแก้มเป่ายา ก่อนจะย่นจมูกจิบทีละคำเล็กๆ
อากาศภายในเรือนตอนนี้อุ่นอวล พวงแก้มดรุณีน้อยเริ่มมีเลือดฝาด แลเห็นเป็นสีแดงซ่านอยู่ใต้ผิวขาวเนียนละเอียด นัยน์ตาดำขลับเป็นประกายแวววาว กลีบปากเป็นสีแดงสด
ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากโข เจ๋อจู๋คิดเช่นนั้นอย่างใจลอย
เขาล้วงอะไรต่อมิอะไรในแขนเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ เสียงกระทบกันเป็นกังวานใสดึงความสนใจให้ซางหรงเหลือบตาขึ้นมอง
ทุกชิ้นเป็นเครื่องประดับของนาง นางมองผ่านๆ แค่ปราดเดียวก็รู้ว่าปิ่นมุกประดับผีเสื้อทองหายไป
“ผีเสื้อทองตัวนั้นของเจ้า…”
ซางหรงเห็นปลายนิ้วขาวผ่องของเขางอเข้าเล็กน้อยแล้วเคาะโต๊ะเล็กเบาๆ “กลายเป็นเรือนหลังนี้”
นางยังไม่ทันเอ่ยวาจา ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็หยีโค้งด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “คนที่ฆ่าครานี้สร้างความยุ่งยากนิดหน่อย ข้าจำต้องหาที่ซ่อนตัวจนกว่าเรื่องจะเงียบ แต่วางใจเถิด เดี๋ยวอีกสักสองวันข้าก็ไถ่ผีเสื้อทองตัวนั้นมาคืนเจ้าได้แล้ว” เจ๋อจู๋จิบชาอีกหนึ่งจิบ