เมื่อม่านราตรีโรยตัว บนเขาก็มืดสนิท มีเพียงตะเกียงใต้ชายคาแกว่งไกวส่องแสงสว่างในค่ำคืนที่หิมะหยุดตกลงมาแล้ว
ซางหรงที่นอนบนเตียงแอบชะโงกตัว อาศัยแสงจากนอกหน้าต่างมองเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนตั่งไม้ไผ่
ลมหายใจของเขาแผ่วแสนแผ่ว ขนาดพยายามตะแคงหูฟังเงียบๆ ยังแทบไม่ได้ยิน นางบอกไม่ได้ว่าตัวเองรออยู่นานเท่าไร จวบจนความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้ามาช้าๆ นางก็พลันเบิกตากว้างพร้อมส่ายศีรษะ
เขาน่าจะหลับแล้วกระมัง
ซางหรงเลิกผ้าห่มและค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งอย่างเงียบเสียง ท่ามกลางแสงสลัวนางจ้องมองรองเท้าผ้าปักที่วางอยู่ข้างเตียง พื้นรองเท้าบางนิดเดียว จึงถูกเสียดสีจนขาดตั้งแต่ตอนนางวิ่งหนี
ในราตรีไร้หิมะ ประตูเรือนถูกเปิดออกเบาๆ ก่อนจะปิดลงดังเดิมอย่างแผ่วเบาพอกัน
ทว่าราตรีนี้ยังคงเป็นค่ำคืนเหมันต์ที่หนาวเหน็บแทบขาดใจอยู่ดี
ซางหรงที่ห่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่นเป่าลมหายใจร้อนๆ ออกมาทีหนึ่ง ปลดตะเกียงลงจากชายคา แล้ววิ่งไปทางสุดปลายป่าเขาอันมืดมิดอย่างไร้จุดหมาย
แสงสีอบอุ่นของตะเกียงส่องกระทบหิมะเย็นเฉียบ สะท้อนกลับมาเป็นเลื่อมพรายแวววาว ป่าเขาแห่งนี้ทั้งใหญ่และลึกกว่าที่นางจินตนาการไว้มากนัก
รอบตัวเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เป็นลำหนาต้นแล้วต้นเล่า กิ่งก้านที่ถูกหิมะเกาะพาดซ้อนกันดูราวกับงูเลื้อยบดบังผืนฟ้ากว้างใหญ่ แสงจากข้างบนจึงลอดลงมาได้เพียงรำไร
ซางหรงล้มลงเพราะสะดุดกิ่งไม้ที่ซ่อนอยู่ใต้หิมะ ตะเกียงที่ถือกระเด็นตกลงพื้น แล้วค่อยๆ ลุกโชนขึ้นตรงหน้านาง แนวเพลิงขยายขนาดกว้างขึ้น ก่อนจะมอดลงช้าๆ
จวบจนแสงตะเกียงเสี้ยวสุดท้ายดับลงเพราะเปียกหิมะ รอบตัวก็มืดสนิท ซางหรงลุกขึ้นมานั่ง ควานคลำพลางกระถดเข้าไปพิงโคนไม้ต้นหนึ่งแล้วห่อตัวคุดคู้
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงแซ่กๆ ดังแว่วมาแต่ไกล
นางเงยหน้าขึ้น เห็นใครคนหนึ่งถือตะเกียงท่ามกลางหิมะขาวโพลนเดินห่มแสงดาวมาทางนี้
คนผู้นั้นสวมเสื้อตัวในสีขาวพิสุทธิ์ แขนกว้างพลิ้วพะเยิบ ผูกทับด้วยเสื้อคลุมกันลมบุขอบด้วยขนกระต่าย ชายเสื้อสะบัดน้อยๆ ตามย่างก้าว ตะเกียงที่อยู่ในมือส่องสะท้อนดวงตาพราวระยับราวกับทะเลดาวของเจ้าตัว พอคนผู้นั้นเดินมาจนใกล้ ซางหรงถึงเพิ่งเห็นว่าเขาเปลือยเท้าย่ำหิมะ
นางมองเท้าของเขาอย่างอึ้งงัน ส่วนเขามองรองเท้าหุ้มแข้งสีดำที่นางสวมอยู่ เป็นรองเท้าบุรุษที่เห็นได้ชัดว่าใหญ่กว่าเท้านางมาก สวมแล้วดูน่าขบขัน
“ข้าทิ้งกำไลไว้ให้วงหนึ่งแล้วนี่”
นางละล่ำละลักอย่างร้อนรนนิดๆ ไม่กล้าสบประสานสายตาที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มคู่นั้นเลย
“ข้าบอกหรือว่าอยากได้”
เขาแค่นหัวเราะ
ซางหรงเม้มปากไม่ตอบคำ ทว่าตะเกียงในมือเด็กหนุ่มเคลื่อนเข้ามาหาใบหน้านาง แสงสว่างที่พลันสาดเข้ามาใกล้ทำให้นางต้องหลับตา
น้ำอุ่นที่เอ่อคลอดวงตาเจียนหยดลงมาเต็มทีได้ไหลกลิ้งลงมาตามแก้มพอดี ก่อนถูกแสงตะเกียงส่องกระทบเป็นประกายแวววาวราวกับผลึกแก้ว
ซางหรงรู้สึกอาย แพขนตางอนยาวไหวระริก ขณะเบือนหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็คู้เข้าไปแอบในเงามืดใต้ร่มไม้ที่แสงตะเกียงส่องเข้าไปไม่ถึง
“ร้องไห้ด้วยเหตุใด”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มราบเรียบไร้ความขุ่นมัว เขาพลันโน้มตัวลง ใช้ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นพิจารณานาง
ซางหรงแอบจนไม่มีที่ให้แอบ จังหวะที่เงยหน้าขึ้นปลายนิ้วของฝ่ายตรงข้ามพลันปัดผ่านพวงแก้ม เบาแสนเบาประหนึ่งไล้ด้วยขนนก
นางมองเขาอย่างตะลึงงัน
เด็กหนุ่มถอดเสื้อคลุมกันลมบนตัวโยนลงบนร่างนางด้วยท่าทางไม่ยี่หระ “ห่มเสีย”
ซางหรงดึงเสื้อคลุมกันลมที่ตกลงมาคลุมศีรษะลงอย่างประหลาดใจ ในตอนนั้นเอง…ท่ามกลางแสงตะเกียงและหิมะขาวเด็กหนุ่มได้หมุนตัวหันหลังมาทางนางเรียบร้อยแล้ว
นางมองแผ่นหลังตรงหน้า ไออุ่นอวลของเขาตกค้างอยู่ในเสื้อคลุมกันลมขนกระต่ายอันอ่อนนุ่ม
แสงตะเกียงส่องสะท้อนชายแขนเสื้อตัวในของเจ๋อจู๋ เขาเปลือยเท้าย่ำหิมะ แบกแม่นางน้อยคนหนึ่งเดินไปตามป่าเขาอันวิเวก
“ข้าจะคืนรองเท้าให้”
ซางหรงใช้สองมือโอบกระชับรอบคอเขา ตะเกียงแกว่งไกว เงาที่ทาทาบบนพื้นหิมะพลอยเต้นไหวตาม นางเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ไม่ต้อง”
อีกฝ่ายตอบกลับมาเพียงสองคำสั้นๆ
ซางหรงจึงเงียบไป แล้วก้มหน้ามองเงาของทั้งคู่อีกครั้ง ปอยผมเย็นเฉียบของอีกฝ่ายปัดไล้ผิวแก้มเบาๆ นางเหลือบตาขึ้นจ้องมองใบหูเขา
“ข้าขอทราบนามเจ้าได้หรือไม่”
นางโพล่งถามขึ้นมา
“เจ๋อจู๋”
เสียงตอบเยียบเย็นกระจ่างชัด
เจ๋อจู๋?
นางทวนนามนั้นในใจทีหนึ่งแล้วถามต่อ “แผ่นดินนี้มีแซ่ ‘เจ๋อ’ ด้วยหรือ”
“ไม่มี”
เด็กหนุ่มพลันหยุดเดิน จากนั้นก็เอี้ยวหน้ามองคนที่เกาะอยู่บนบ่า ดวงตาคมหยีโค้ง กระเปาะตาล่างได้รูปสวยมีไฝเม็ดเล็กๆ อยู่เม็ดหนึ่ง
นางได้ยินเขาเอ่ยว่า
“แผ่นดินนี้มีคนไร้ชื่อแซ่อยู่มากมาย ข้าคือหนึ่งในนั้น”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 พ.ค. 68