สมญาหอนักฆ่าอันดับหนึ่งในแผ่นดินของหอจื้อเฟิงนั้นได้มาจากภูเขาศพและทะเลเลือดที่สั่งสมมานานปี
ผู้คุมกฎมีทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน มักจะมีคนตายไปอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยขาดคนที่ทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อให้ได้เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
หนึ่งถึงสิบเจ็ดคือจำนวนที่อาบย้อมไปด้วยเลือด เบื้องหลังคือนักฆ่ามากมายที่ต้องพลีชีพเพราะแบกตัวเลขเหล่านี้เอาไว้ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบลำดับที่ไม่เคยถูกแทนที่เลยนั้น นอกจากลำดับสองก็คือลำดับสิบเจ็ด
ลำดับสิบเจ็ดคือเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ซึ่งปีนี้เพิ่งอายุเพียงสิบหกปี
ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นผู้คุมกฎของหอจื้อเฟิงได้ และหอจื้อเฟิงมีกฎอยู่ว่าหากผู้คุมกฎคนใดไปตายข้างนอก คนที่ติดตามไปปฏิบัติภารกิจด้วยทั้งหมดจะต้องกลับเข้าไปอยู่ในบ่อโลหิต
บ่อโลหิตเป็นเสมือนนรกแห่งหอจื้อเฟิง ใครก็ตามที่ได้ออกมาจากที่นั่นไม่เคยคิดจะหวนกลับไปซ้ำสอง
“บ่อโลหิตก็นับเป็นจุดจบด้วยหรือ”
เด็กหนุ่มขยับมือข้างที่ถูกคมกระบี่บาด เลือดไหลลงมาตามปลายนิ้วขาวเรียว ดวงตาหยีโค้งน้อยๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย “หากพวกเจ้าเข้าร่วมภารกิจเมื่อวาน ถนนหลวงสายนั้นต่างหากเล่าถึงจะเป็นจุดจบของหอจื้อเฟิง”
“ผู้คุมกฎสิบเจ็ดหมายความว่าอย่างไร”
ชายเสื้อคลุมสีน้ำตาลขมวดคิ้ว
ดวงตาของเด็กหนุ่มส่องประกายเฉียบขาด “หอจื้อเฟิงไม่เคยถามตัวตนของผู้ว่าจ้าง แต่ต้องสืบดูให้รู้ว่าเป้าหมายที่จะตายเป็นใคร งานสืบตัวตนนี้ผู้ใดในหอเป็นผู้รับผิดชอบ”
“งานครานี้รับมาอย่างฉุกละหุก ผู้ว่าจ้างให้ราคาสามหมื่นตำลึงแลกกับชีวิตคนสองชีวิต ผู้คุมกฎสิบเอ็ดกลับหอมาบอกว่าเป็นคนสกุลกู้แห่งมณฑลกู่หนิงของหย่งซิง”
“เงินตั้งสามหมื่นตำลึงกับชีวิตคนแค่สองชีวิต?” เด็กหนุ่มถือกระบี่ยืนตัวตรง แขนเสื้อปลิวสะบัดในสายลม “สกุลกู้เป็นตระกูลพ่อค้าในมณฑลกู่หนิงของหย่งซิง มีค่าหัวถึงสามหมื่นตำลึงเชียวหรือ”
“ท่านตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่” ชายผู้นั้นเริ่มหมดความอดทน
เจ๋อจู๋นิ่งเงียบ ก้มหน้ามองกระบี่อ่อนในมือ คมกระบี่สะท้อนแสงวูบวาบเป็นประกายเย็นเยียบส่องกระทบนัยน์ตา เขาถอนหายใจ “พวกเจ้าช่างโง่เขลาโดยแท้
“พี่อวิ๋น ข้าว่าเขาตั้งใจจะหลอกพวกเราต่างหาก!”
นักฆ่าหนุ่มคนหนึ่งชักอดรนทนไม่ไหว “มันบาดเจ็บสาหัสมาจากแม่น้ำผิงชวน บัดนี้แผลยังไม่หาย พวกเราฆ่ามันทิ้งเสียตรงนี้เถิด! ถึงอย่างไรผู้คุมกฎสิบเอ็ดก็สนิทสนมกับประมุขหอ พวกเราชำระแค้นให้ผู้คุมกฎสิบเอ็ดเสียตรงนี้ ไม่แน่ว่าพอกลับหออาจได้รับการละเว้นโทษ ไม่ต้องกลับเข้าบ่อโลหิตก็เป็นได้!”
หอจื้อเฟิงมีธรรมเนียมให้ทำคุณไถ่โทษได้
ทุกคนคล้อยตามคำพูดนั้น สายตาทุกคู่จึงจับจ้องไปที่ร่างของเด็กหนุ่มโดยพลันและส่องประกายเหี้ยมเกรียมชวนสะท้านใจดุจนกนักล่า
ต่อให้ลมหิมะโหมแรงสักเพียงไร เสียงต่อสู้ฆ่าฟันก็ยังทะลุผ่านประตูไม้เข้ามาในเรือนอย่างชัดเจนอยู่ดี
ซางหรงคุดคู้อยู่ตรงมุมเตียงไม่กล้าขยับ ประสาทสัมผัสทุกส่วนเครียดเขม็ง กลิ่นคาวเลือดซึ่งลอยมาพร้อมกับลมหนาวที่กรูเกรียวเข้ามาจากช่องโหว่บนบานหน้าต่างเข้มคลุ้งขึ้นทุกที
ถึงกระนั้นนางก็ยังอดใจเงี่ยหูฟังไม่ได้ ข้างนอกมีเสียงคมอาวุธกระทบกัน เสียงคนร้องโหยหวน เสียงของหนักตกลงพื้น นางจำแนกเสียงอย่างตั้งใจ เสียงร้องลั่นนั้นบ้างทุ้มห้าว บ้างแหบแตก ไม่มีเสียงใดเป็นของเด็กหนุ่มคนนั้นเลย
ความเคลื่อนไหวพลันเงียบหาย ราวกับลมฝนที่โหมกระหน่ำสงบลงดื้อๆ นางอดใจไม่ไหวเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างที่มีรอยเลือดสาดกระเซ็นบานนั้น
เสียง ‘โครม’ พลันดังขึ้น
ซางหรงหันไปมองตามสัญชาตญาณ เห็นบานประตูล้มกระแทกพื้นพอดี สายลมเย็นเฉียบหอบเกล็ดหิมะโถมทะลักเข้ามาข้างใน ชายแปลกหน้าที่อยู่บนบานประตูกระอักเลือดทีหนึ่ง ก่อนจะหันมาเห็นนางที่อยู่บนเตียงเข้า ไม่รู้เขาคิดจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ คือนางเห็นเขาทำท่าจะลุกเดินมาทางนี้
ซางหรงเปลือยเท้าวิ่งลงจากเตียงไปแอบ พร้อมฉวยกาน้ำชาบนเตาอั้งโล่ขึ้นมา ชาในกากำลังเดือดพล่านทีเดียว ตัวนางเองถูกลวกมือ ยังไม่ทันได้จับให้เต็มมือก็เขวี้ยงกาใส่ชายผู้นั้นก่อน
กาน้ำชาลอยไปกระแทกหน้าผากชายผู้นั้นอย่างจัง น้ำชาเดือดๆ สาดรดลงบนใบหน้าและลำตัว ร้อนลวกจนผิวแดงเห่อและร้องโหวกเหวก
ระหว่างที่ซางหรงยังเป่าฝ่ามือข้างที่ถูกลวก เสียงร้องนั้นพลันขาดช่วงไป พอนางเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นลำคอของชายผู้นั้นทะลุเป็นรูและมีเลือดพุ่งทะลัก มองเห็นสีขาวเงินเย็นเยียบส่องประกายอยู่กลางเนื้อเหวอะหวะได้รำไร ดูเหมือนจะเป็นวัตถุที่แทงทะลุลำคอ
นางแข็งทื่อไปทั้งตัว ชายผู้นั้นเบิกตาโพลงขณะล้มตึงลงกับพื้น
ขาทั้งสองข้างของนางอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ทรุดฮวบลงนั่ง นางเพิ่งเห็นศพสิบกว่าศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่นอกประตูที่พังล้มตอนนี้เอง แต่ละศพเลือดโชกจนเห็นหน้าไม่ถนัด เลือดไหลเนืองนองจนแทบย้อมพื้นหิมะบนลานเรือนให้เป็นสีแดงฉานทั้งลาน