บทที่ 4 ไม่ต้องทน
“เที่ยวเล่น?”
หิมะขาวแปดเปื้อนสีแดงเป็นดวงๆ เด็กหนุ่มผู้เพิ่งก่อเหตุสังหารหมู่มาหมาดๆ พลันเอ่ยถามนางอย่างปุบปับว่าอยากไปเที่ยวเล่นด้วยกันหรือไม่
มิหนำซ้ำรอบตัวเขายังอวลอายด้วยบรรยากาศบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอยู่เหนือโลกียวิสัย
ซางหรงตอบไม่ออก ความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวเขาเพิ่มขึ้นในใจอีกโข รอบตัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมภูเขาพัดซ่า เขาไม่มีอะไรทำเลยเสือกกระบี่ออกไปนอกราวลูกกรงแล้วงัดปลายขึ้น เศษหิมะสีขาวเงินกระเด็นเข้าใส่ฝ่ามือที่แบอยู่ของนาง
ฝ่ามือข้างนี้แดงก่ำเพราะถูกกาน้ำชาลวกเมื่อครู่ บัดนี้หิมะเย็นเฉียบช่วยบรรเทาความปวดแสบปวดร้อนให้เบาบาง ก่อนจะละลายเป็นน้ำไหลหยดลงตามหว่างนิ้ว
ซางหรงเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม
คงเพราะเสียเลือดมาก ใบหน้าของเขาถึงได้ซีดเผือดขึ้นทุกที ตอนนี้แผลบนแขนที่ลึกที่สุดเลือดหยุดไหลแล้ว ทว่าแผลเล็กแผลน้อยจุดอื่นยังไม่ได้รับการรักษา แค่โรยยาห้ามเลือดให้เท่านั้น ไม่รู้ว่าได้ผลหรือไม่
“ข้าจะไปหาหมอเป็นเพื่อน”
แม้แรกเริ่มเดิมทีนางจะตื๊อขอความตายจากเขา ทว่าเขาช่วยนางไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นับเป็นความดีที่เขามีให้ ซางหรงจึงคิดว่าตัวเองควรทำอะไรสักอย่าง
นางประคองเจ๋อจู๋ให้ลุกขึ้น อีกฝ่ายยังคงต้องอาศัยพิงราวลูกกรงข้างหลังเพื่อพยุงตัว ลมหายใจค่อนข้างหนัก มือข้างที่ยันราวลูกกรงเกร็งจนกระดูกและเส้นเอ็นบนหลังมือปูดนูนขึ้นมาชัดกว่าปกติ นางได้ยินเขาสั่งว่า “ไปดูในตู้ขวามือของตั่งไม้ไผ่ หาเสื้อผ้ามาให้ข้าสักชุด”
ซางหรงพยักหน้ามึนๆ พอผละจากเขาแล้วหมุนตัวมาเท่านั้น ก็เห็นศพที่ถูกนางเขวี้ยงกาน้ำชาใส่จนหัวแตกอยู่ตรงหน้าประตูทันที นางตัวแข็งทื่อ ก่อนจะรั้งชายกระโปรงวิ่งก้าวสั้นๆ อ้อมศพเข้าไปข้างใน
เจ๋อจู๋ได้ยินเสียงกุกกักดังออกมาจากในเรือน เขาขยับตัวยืนตรง แล้วเดินตามเข้าไปบ้าง
พื้นเรือนเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำชาและเลือดที่ไหลคดเคี้ยว ทันทีที่ซางหรงหยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่นในตู้ออกมาสะบัดให้คลี่ออก ละอองฝุ่นก็ฟุ้งตลบจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำเอานางสำลักพร้อมขมวดคิ้ว
คิ้วของนางอ่อนทว่าดก เป็นสีน้ำตาลจางๆ แลดูคล้ายภูเขาไกลลิบที่ถูกบดบังด้วยสายหมอก ไม่ได้โก่งโค้งเรียวบางดุจกิ่งหลิว แค่ทำมุมเชิดขึ้นเล็กน้อยตรงหางคิ้วเท่านั้น ส่วนดวงตาเป็นดวงตาพญาหงส์แดง* ที่หาได้ยาก เรียวยาวแต่ไม่เล็กหยี มีรอยพับเปลือกตาชั้นที่สองสวยงาม หางตาเชิดขึ้นน้อยๆ ยามนี้ท้องฟ้าอรุณรุ่งกระจ่างขึ้นมากแล้ว แสงสว่างอ่อนเย็นส่องผ่านบานหน้าต่างแตกพังเข้ามาข้างใน ม่านแสงแผ่กระจาย แต่งแต้มความผ่องแผ้วจากโลกียวิสัยให้ดวงตาคู่นั้น
นางเบือนหน้าไปสำลักจนน้ำตาคลอ ก่อนจะบอกเขาว่า “เจ๋อจู๋ อย่าใส่เสื้อคลุมตัวนี้เลยดีกว่า”
“หือ?”
เขารอฟังประโยคถัดไป
“ไม่รู้ว่าเก็บในตู้มากี่เดือนกี่ปีแล้ว มีแต่ฝุ่นทั้งนั้น” หัวคิ้วนางขมวดแน่นขึ้นทุกที ก่อนจะเน้นเสียงบอกเขาว่า “สกปรกเหลือเกิน”
“ชุดที่ข้าใส่อยู่ก็ใช่จะสะอาด”
ฝีเท้าของเจ๋อจู๋โผเผเต็มที โชคดีที่ซางหรงปราดเข้ามาช่วยประคองได้ทันการณ์ เขาก้มหน้ามองนางแล้วว่า “พวกเราจะปลอมตัวเป็นชาวนาเพื่อไม่ให้สะดุดตาผู้คน แล้วรีบลงจากเขาโดยเร็วที่สุด”
“ได้”
ซางหรงพยักหน้า ก้มลงไปเห็นผ้าคาดเอวของเขาจึงเอื้อมมือแกะแบบไม่ต้องคิด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีนางก็ได้สบประสานกับสายตาตกตะลึงน้อยๆ ของเด็กหนุ่ม เขาอยู่ใกล้แสนใกล้ ใกล้เสียจนนางเห็นแพขนตาดกหนาคู่นั้นทาบเงาดำจางๆ ใต้เปลือกตาล่าง
แขนเสื้อที่ฉีกขาดดูดติดกับปากแผล ซางหรงไม่กล้าจับสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะไม่รู้ต้องทำอย่างไรถึงจะถอดเสื้อคลุมเปื้อนเลือดทั้งตัวนี้ออกจากร่างเขาได้อย่างราบรื่น ทว่าเด็กหนุ่มกลับดึงเสื้อออกเสียเองอย่างไม่อินังขังขอบ บาดแผลที่ห้ามเลือดด้วยฤทธิ์ยาจึงมีเลือดไหลพลั่กอีกครั้งในพริบตาต่อมา
ซางหรงแค่เห็นยังรู้สึกเจ็บแทน แต่พอเงยหน้าขึ้นมองกลับพบว่าเขาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“หากเจ็บก็ไม่ต้องทนหรอกนะ” นางบอกอย่างอดไม่อยู่
“จะทนหรือไม่ มีความหมายอันใดเล่า”
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาเกาะบนปลายจมูก เขารู้สึกขันวาจาของนาง
“มีสิ” ซางหรงเปิดจุกขวดยาขวดเดิมอีกครั้ง แล้วจับข้อมือเขาไว้ ค่อยๆ โรยยาลงบนบาดแผลให้อย่างตั้งใจ คราวนี้มือนางไม่สั่นแล้ว
เด็กหนุ่มหลุบตารอ พอนางใส่ยาให้เสร็จเขาก็ทำท่าจะดึงมือออก ทว่านางกลับกระชับปลายนิ้วแน่นขึ้นกว่าเก่าเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าต่ำ มองเห็นเพียงเรือนผมดกดำล้อแสงวาววามราวกับเลื่อมไหม
ลมเย็นๆ เป่ารดแผลฉกรรจ์บนท่อนแขนอย่างนุ่มนวล