หนึ่งที…สองที…
แพขนตาของเจ๋อจู๋ไหวกระเพื่อม เขาอึ้งงันจนลืมตอบสนองโดยสิ้นเชิง
“เสื้อคลุมตัวนี้ทั้งสกปรกทั้งเนื้อหยาบ หากไม่พันแผลเสียก่อนจะถูกเนื้อผ้าเสียดสีเอาได้” ซางหรงเหลือบมองเสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่นบนตั่งไม้ไผ่ก่อนปล่อยข้อมือเขาให้เป็นอิสระ แล้วเงยหน้าขึ้นบอก
ส่วนเจ๋อจู๋กำลังหรี่ตามองนางอย่างเพ่งพิศ
เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว
ซางหรงกำลังจะขยับปากก็เห็นปลายนิ้วขาวผ่องเรียวยาวของอีกฝ่ายเอื้อมมาดึงชายแขนเสื้อชั้นนอกของนางไว้ นางยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียง ‘แควก’ ก็พลันดังเข้าหู ชายแขนเสื้อถูกฉีกออกมาเป็นริ้วซึ่งไม่นับว่ายาวนักในพริบตา
“เจ้าจะทำอะไร”
ซางหรงเบิกตากว้างอย่างตกใจ พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าริ้วผ้าแพรหิมะเนื้อละเอียดนุ่มเป็นเลื่อมวาวถูกเขาเอาไปใช้พันแผล เริ่มมีเลือดซึมติดเนื้อผ้า
นางลูบชายแขนเสื้อขาดวิ่นของตัวเองอย่างทำอะไรไม่ถูก ชุดกระโปรงนี้เป็นชุดโปรดของนาง แต่ตอนนี้กลับ…
เจ๋อจู๋เหลือบตาขึ้นมาเห็นอีกฝ่ายไม่พูดไม่จา เอาแต่เม้มปากมองเขาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์แม้แต่นิดเดียว
“หากเจ้าหนีออกมา อีกฝ่ายจะต้องจำชุดที่เจ้าใส่ตอนเกิดเหตุได้ขึ้นใจ เจ้าอยากโดนพบตัวทันทีที่ลงจากเขาหรือไรกัน” เขาหยิบเสื้อคลุมบนตั่งไม้ไผ่ขึ้นมาสะบัด ละอองฝุ่นปลิวว่อนอยู่ในแสงอรุณจนเห็นชัด ทว่าดวงตาในเบ้าลึกของเขามีแต่ความเฉยเมย
ซางหรงผงะ จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่อยาก”
อยู่ๆ นางก็โมโหไม่ออกเสียแล้ว
“เช่นนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย”
เจ๋อจู๋ไม่ประสงค์จะพูดมากนัก สวมเสื้อคลุมเสร็จก็เดินออกไปด้วยฝีเท้าที่ติดจะเบาโหวงเล็กน้อย
ซางหรงมองเขาเตะศพตรงหน้าประตูให้พ้นทาง จากนั้นชายเสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่นก็กระพือพลิ้วเหนือธรณีประตู โดยที่ริมฝีปากเผยอค้างของนางไม่ทันได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น นางหันไปมองเสื้อคลุมฝุ่นเขรอะในตู้พร้อมขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม
ลมหนาวบนเขาเย็นเยือก โหมกระหน่ำเสียจนเจ็บหู
ไม่รู้ว่าซางหรงพยุงเด็กหนุ่มผู้บาดเจ็บเดินอยู่นานเท่าไร พื้นบางๆ ของรองเท้าปักที่สวมสึกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ยังเปียกหิมะจนชุ่ม ทุกย่างก้าวมีแต่ความหนาวเหน็บจนชาดิก
นอกจากเสื้อผ้าเนื้อหยาบเก่าๆ เต็มตู้ เรือนหลังนั้นยังมีรองเท้าผ้าของสตรีอีกสองคู่ ทว่าใหญ่กว่าเท้านางมาก ใส่แล้วเดินไม่ถนัด นางเลยต้องใส่รองเท้าตัวเองดังเดิม
พระอาทิตย์สีทองบนท้องฟ้ากลมขึ้นเรื่อยๆ พอลงเขามาได้อย่างทุลักทุเล อยู่ๆ เจ๋อจู๋ก็ล้มลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซางหรงพยายามเข้าไปช่วยพยุงแต่รั้งไม่อยู่ เลยล้มลงบนพื้นหิมะด้วยกันทั้งคู่
ผู้เฒ่าผมขาวโพลนที่กำลังขับเกวียนเทียมวัวอยู่บนถนนกลางเขาเห็นภาพนั้นก็ชะโงกหน้ามาเมียงมองอยู่ไม่ไกล แล้วตะโกนถาม “นางหนู มีอะไรกันหรือ”
“ท่านลุง รบกวนช่วยทีเถิดเจ้าค่ะ” ซางหรงประคองเจ๋อจู๋ขึ้นมาไม่ไหว นางหันไปมองตามเสียง แล้วขอความช่วยเหลืออย่างร้อนรน
เกวียนเทียมวัวแล่นโคลงเคลงบนถนนดินโคลนที่เต็มไปด้วยหิมะ ซางหรงไม่เคยนั่งรถประหลาดเช่นนี้มาก่อน จึงต้องเกาะไม้กระดานข้างหนึ่งอย่างระมัดระวังแกมหวาดกลัวขณะนั่งคุกเข่าตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับแม้เพียงนิด
เจ้าวัวสีน้ำตาลแกว่งหางของมันไปมา ขณะนางเหม่อลอยปลายหางของมันก็ฟาดเพียะลงบนแขน ทำเอานางสะดุ้งโหยงจนแทบพลัดตกเกวียน
“นางหนูนั่งระวังหน่อย” ผู้เฒ่าที่ขับเกวียนหันมาบอก เมื่อครู่มัวแต่มองว่าเด็กหนุ่มที่หมดสติรูปร่างหน้าตาอย่างไร ไม่ทันได้มองฝั่งแม่นางน้อยให้เต็มตา ตอนนี้เมื่อได้พิศดูดีๆ ก็ตกใจมากทีเดียว