ไฉนเด็กหนุ่มสาวคู่นี้ถึงได้งามราวกับเทพสร้างทั้งคู่เลยเล่า
“นางหนู พวกเจ้าเป็นพี่น้องกันหรือ”
แม้ปากจะถามเช่นนั้น แต่ใจผู้เฒ่าคิดว่าทั้งสองหน้าตาไม่เหมือนกันสักนิดเดียว
ซางหรงได้ยินคำถามก็ก้มหน้าลงมองเด็กหนุ่มที่นอนหลับตานิ่งทีหนึ่ง พบว่าด้ามกระบี่อ่อนครึ่งด้ามกับพู่ห้อยเปื้อนเลือดโผล่ออกมาจากผ้าคาดเอวเขา จึงรีบยัดมันกลับเข้าไปอยู่ใต้ผ้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าชายชราไม่ได้หันมาทางนี้ก็พรูลมหายใจอย่างโล่งอก แล้วตอบเบาๆ “เจ้าค่ะ ท่านลุง”
“ไม่รู้ว่าพี่ชายเจ้าป่วยเป็นโรคอะไร ตัวเมืองไม่ไกลจากที่นี่นักหรอก ข้าจะพาพวกเจ้าไปส่ง จะได้ไปหาหมอรักษาอาการเขาเสีย”
คำตอบของนางไม่ได้สร้างความสงสัยให้ผู้เฒ่า เขาใช้แส้ในมือเฆี่ยนวัวทีหนึ่งพลางส่งเสียงให้ดังขึ้นแข่งกับเสียงล้อเกวียนแล่นกลุกๆ
“ขอบคุณท่านลุง พวกเราจะจ่ายค่ารถให้แน่เจ้าค่ะ” ซางหรงเอ่ยขอบคุณ แต่ในใจคิดว่าพาเจ๋อจู๋ไปส่งโรงหมอเช่นนี้ไม่รู้จะปลอดภัยหรือไม่
ไม่แน่ว่าอาจยังมีคนตามฆ่าเขา ไหนจะราชองครักษ์หลิงเซียวที่จะต้องยังตามหาตัวนางอยู่อย่างแน่นอน
คิดมาถึงตรงนี้หัวใจก็หนักอึ้งด้วยความกังวล นางจ้องมองเด็กหนุ่มที่นอนไม่ได้สติเงียบๆ ในใจคิดกับตัวเองว่าจะอย่างไรก็ตามแต่ นางจะปล่อยให้ราชองครักษ์หลิงเซียวเจอตัวไม่ได้
ไม่ได้เด็ดขาด
บางที…ในเมื่อคนเหล่านั้นตายไปบนเขาแล้วก็อาจไม่มีใครมาตามฆ่าเขาอีกก็ได้ ต่อให้มี เขาเก่งกาจออกอย่างนี้ ย่อมเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
หาไม่เขาคงไม่ลงจากเขาหรอก
บัดนี้คนที่ยังไม่ปลอดภัยอย่างแท้จริงอาจมีเพียงนาง
ซางหรงคิดไม่ตกอยู่นาน เสียงลมข้างหูไม่ดังชัดเท่าเดิมอีกต่อไป นางจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างเหม่อลอย ทว่าภาพที่ปรากฏในสมองกลับเป็นไอน้ำอุ่นแผ่กำจาย กลีบบุปผาขาวบ้างแดงบ้างลอยเต็มสระน้ำอาบเลือด รวมทั้ง…ศพสตรีนางหนึ่งที่เบิกตาโพลงอย่างคนตายตาไม่หลับ
มือที่จิกขยุ้มกระโปรงไว้แน่นสั่นระริก ยังไม่ทันได้สติจากห้วงความคิดนั้น ปากก็โพล่งออกไปก่อน “หยุดรถ!
“ท่านลุง ข้า…”
พอผู้เฒ่าลงจากเกวียนหันมามองนางด้วยความฉงน ซางหรงก็ยัดไข่มุกสองเม็ดที่ดึงออกจากรองเท้าปักใส่มืออีกฝ่าย “ข้าทำของสำคัญตกหาย รบกวนท่านช่วยพา…พี่ชายข้าไปส่งโรงหมอในเมืองก่อน ข้าหาของเจอเมื่อไรค่อยตามไปหาเขาในเมือง”
“เอ่อ…นางหนู…”
ผู้เฒ่ายังพูดไม่ทันจบ แม่นางน้อยตรงหน้าก็ลงจากเกวียนเรียบร้อยแล้ว
ในใจนึกสงสัยว่าของอะไรจะสำคัญล้ำค่ายิ่งกว่าชีวิตพี่ชายตนเอง ทว่าพอเหลือบมองเด็กหนุ่มบนเกวียนที่ยังสลบไสลไม่ได้สติ ผู้เฒ่าก็ไม่กล้าเสียเวลามากกว่านี้ เพราะเกรงจะพาเขาไปส่งถึงมือหมอไม่ทัน ได้แต่บอกว่า “ข้าไปหาหมอที่โรงหมอคังผิงในเมืองเป็นประจำ หมอที่นั่นดีมาก เจ้ารีบไปหาของเข้าเถิด แถบนี้มีหมู่บ้านเยอะ ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน มีคนเดินทางเข้าเมืองมากมาย รับรองว่าเดี๋ยวเจ้าก็เจอเกวียนเล่มใหม่!”
“เจ้าค่ะ ข้าจะรีบหาของ”
ซางหรงพยักหน้าเงอะงะ ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางแทบไม่ได้เหลือบมองเด็กหนุ่มบนเกวียนด้วยซ้ำ
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเกวียนเทียมวัวลอยห่างออกไปแล้ว ซางหรงจ้องมองฝ่ามือขวาแดงพองของตนแล้วแหงนหน้า แสงอาทิตย์เจิดจ้าบาดตาเหลือเกิน
บนถนนกลางเขาที่เป็นสีเหลืองอร่ามใต้เปลวแดด นางมองร่างที่นอนนิ่งไม่ขยับอยู่บนเกวียนเทียมวัว
ซางหรง เลิกคิดเสียที
นางบอกตัวเองอยู่ในใจ
ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าการหนีอีกแล้ว หากกลับไปที่นั่น แม้แต่อิสรภาพที่จะตายเจ้าก็ไม่มี
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มวันที่ 5 มิ.ย. 2568)