บทที่ 15
หมิงถานรู้สึกว่าตนเองเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเหลือเกินราวกับนอนหลับไปนานแสนนาน เมื่อนางค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็เห็นเพียงนอกห้องที่มืดสนิท ภายในห้องเองก็เริ่มจุดโคมไฟแล้ว
เจียงซวี่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนตั่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบนเตียง เขาก็เงยหน้าขึ้นมา วางม้วนหนังสือในมือลง ก่อนลุกขึ้นเดินไปยังข้างเตียง
“ตื่นแล้วหรือ”
หมิงถานพยักหน้า อยากจะลุกขึ้นนั่ง
เจียงซวี่ช่วยประคองนาง ต่อมาก็จับหมอนตั้งขึ้นให้นางได้เอนพิง ส่วนตนเองก็สะบัดชายเสื้อออกแล้วถือโอกาสนั่งลงที่ขอบเตียงเช่นกัน
“รู้สึกเช่นไรบ้าง” เขาเอ่ยถามเสียงอบอุ่น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ สามีเล่า ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
“ข้าติ้งเป่ยอ๋องไม่เป็นไร เจ้าต่างหาก หลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ต้องเชิญท่านหมอมาดูอาการอีกรอบหรือไม่”
หมิงถานชะงักไปชั่วครู่ “หนึ่งวันหนึ่งคืน?”
นางคิดว่าหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วยามเสียอีก
เช่นนั้นเรื่องไฟไหม้เรือสำราญก็เกิดขึ้นเมื่อวานน่ะสิ
นางรีบเอ่ยถามเรื่องเมื่อคืนอีกสองสามประโยค เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนเจียงซวี่ยังต้องขึ้นไปช่วยนางบนเรืออีก นางก็ถามไถ่อย่างระมัดระวังว่า “จริงสิสามี เมื่อคืนข้าขึ้นไปบนเรือสำราญ คงมิได้สร้างปัญหาให้สามีกระมัง อีกอย่างเมื่อคืนข้ากับอวิ๋นอี่ช่วยแม่นางคนหนึ่งมาจากห้องเครื่องใต้ท้องเรือ นางถูกคนจับมัดเอาไว้ ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“ยังมีชีวิตอยู่ นางคือคนที่พวกข้ากำลังตามหาพอดี พระชายามิได้สร้างปัญหาแต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นช่วยพวกข้าไว้แทนเสียอีก”
หมิงถานประหลาดใจอยู่นิดๆ “สามีกำลังตามหาคน? จริงหรือ แล้วเหตุใดสามีต้องตามหานางด้วยเล่า”
อันที่จริงนางแค่เอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง พอถามจบก็รู้สึกว่าพลั้งปากพูดจาไม่เหมาะสมไป นางจึงละล่ำละลักเบี่ยงประเด็น อยากจะกลบเกลื่อนเรื่องนี้ให้ผ่านพ้นไป
แต่ไม่คาดคิดว่าเจียงซวี่กลับเป็นฝ่ายวกเข้าหัวข้อสนทนาเดิม เขาเล่าเรื่องราวทุกอย่าง รวมไปถึงเรื่องที่ว่าเขากับซูจิ่งหรานมาที่หลิงโจวเพื่อสะสางภารกิจอันใดกันแน่ให้นางฟังทั้งหมดรอบหนึ่งอย่างมีน้ำอดน้ำทน รายละเอียดยังครอบคลุมไปถึงเรื่องต่างๆ มากมายในราชสำนักอีกด้วย
เรื่องราวของข่าวสารในถ้อยคำเหล่านี้มีมากเกินไป หมิงถานอึ้งงันไปครู่ใหญ่ๆ มิอาจทำความเข้าใจได้ในทันทีทันใด
กระทั่งนางข่มกลั้นความแตกตื่นในใจลงแล้วค่อยๆ ซึมซับทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างช้าๆ เสร็จแล้วนางก็จิกมุมผ้าห่มแน่น อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นเสียงแผ่วเบาด้วยความลังเลใจว่า “สามี สตรีในแคว้นเรามิอาจก้าวก่ายงานราชกิจ ท่านพูดเรื่องพวกนี้กับข้า…”
“ข้าติ้งเป่ยอ๋องเป็นคนบอกกับเจ้า ไม่ใช่เจ้าแอบฟังเสียหน่อย” เจียงซวี่ตัดบท “อีกอย่างการที่ห้ามมิให้สตรีก้าวก่ายงานราชกิจนั้น ที่ผ่านๆ มาล้วนเอาไว้ใช้กับพวกโง่เขลาไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ต่อไปเจ้าไม่จำเป็นต้องจงใจหลบเลี่ยง เจ้าเป็นพระชายา ออกความเห็นสักสองสามประโยคก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าหากความคิดเห็นมีประโยชน์ ข้าติ้งเป่ยอ๋องก็จะรับฟังไว้ แต่ถ้าเป็นคำพูดยุยงเสี้ยมสอน แล้วข้าติ้งเป่ยอ๋องถูกเจ้าบงการครอบงำ เช่นนั้นก็หมายความว่าข้าผู้นี้ไม่มีความสามารถในการแยกแยะถูกผิด เกี่ยวอันใดกับเจ้าตรงไหน”
หมิงถานจ้องมองเขาอย่างตะลึงอึ้งงัน
คำพูดของเขาในวันนี้อยู่นอกเหนือการอบรมสอนสั่งที่นางเคยได้รับมาตั้งแต่เมื่อก่อน ทว่าฟังแล้วก็ดูเหมือนจะพอมีเหตุผลอยู่บ้าง
“คิดอันใดอยู่หรือ”
หมิงถานส่ายศีรษะ “วันนี้สามีพูดเยอะเหลือเกิน”
“…”
หมิงถานรีบร้อนแก้ตัว “ข้าไม่ได้หาว่าสามีพูดมากนะเจ้าคะ แต่เพราะทุกทีสามีพูดน้อยกว่านี้ ถ้อยคำที่สามีพูดในวันนี้มากกว่าในยามปกติของหนึ่งเดือนรวมกันเสียอีก”
โธ่เอ๊ย ยิ่งแก้ยิ่งแย่
หมิงถานพูดจาสับสนวกวน ขณะที่ไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขเช่นไรนั้น เจียงซวี่พลันเปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าติ้งเป่ยอ๋องอยากถามเจ้า”
“เรื่องใดหรือ”
“เหตุใดเจ้าต้องขึ้นไปบนเรือสำราญด้วย”
เขาครุ่นคิดมาตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งถึงวันนี้ สุดท้ายก็พอจะเข้าใจว่าเหตุใดนางถึงคิดว่าเขาจะไม่สามารถเอาตัวรอดจากภยันตรายได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย นั่นเป็นเพราะนางคิดว่าสกุลซู่ตั้งตัวเป็นเจ้าของแผ่นดินที่หลิงโจว มีอำนาจมากมายล้นฟ้า เหตุการณ์นี้สกุลซู่จงใจวางแผนเล่นงานเขา
แต่ว่าจากความเข้าใจของเขา ต่อให้เขาเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ พระชายาก็ไม่ควรจะหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ถึงจะถูก
ถ้าหากสกุลซู่สามารถเอาชีวิตเขาบนเรือสำราญได้ นางขึ้นไปก็เท่ากับรนหาที่ตายเปล่าๆ นางฉลาดเฉลียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คงไม่ถึงขั้นไม่เข้าใจแม้แต่เรื่องแค่นี้กระมัง อีกทั้งนางก็รักตัวกลัวตายมาตลอด เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า
จริงๆ แล้วในใจของเขาก็พอจะมีคำตอบอยู่เลือนราง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงยังคิดจะถามนางกับปากตนเองอีก พอถามจบ เขาก็เอาแต่จดจ้องนางอยู่อย่างนั้น แววตาสงบเยือกเย็นทว่าเปิดเผยตรงไปตรงมา
หมิงถานสบสายตากับเขาอย่างอึ้งๆ อยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็เบนสายตาออกด้วยความอึดอัดขัดเขินเล็กน้อย
นางจิกมุมผ้าห่ม ใบหูเริ่มร้อนผ่าวอย่างไม่มีสาเหตุ
ยามนี้พอได้สติแจ่มชัดแล้ว นางก็รู้สึกว่าเมื่อคืนตนเองช่างโง่เขลาจนเกินควบคุม แต่ว่ายามนั้นนางก็คิดแต่จะทำเช่นนั้น คิดแค่ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกับสามีนางก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เพียงลำพังต่อไปอีก นางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นเหมือนกัน บางทีอาจเพราะนางถูกวางยาก็เป็นได้ เหตุใดถึงต้องเอาแต่ถามนางด้วยเล่า!
“ขะ…ข้าดูเหมือนจะเวียนหัวนิดหน่อย ยังอยากนอนอีกสักครู่…”
สุ้มเสียงของนางแผ่วเบายิ่ง นางดึงผ้าห่มขึ้นมาอย่างเร็วไว ก่อนจะมุดตัวเข้าไปทั้งร่าง กระทั่งศีรษะน้อยๆ ก็ยังคลุมปิดมิดแน่นหนา นอกจากนั้นยังพลิกตัวเข้าด้านใน เขยิบเข้าไปตรงมุมเตียงทีละนิดๆ
ค่ำคืนยามคิมหันต์ฤดูที่หลิงโจวไม่ค่อยเหมือนกับเมืองหลวงสักเท่าไร ลมราตรีชื้นแฉะ ซ้ำยังเจือด้วยไอร้อนที่ยังไม่เลือนหายจากตอนกลางวัน ในเมื่อหมิงถานไม่ยอมตอบ เจียงซวี่เองก็มิได้ฝืนใจนาง เขายืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกจากห้องชั้นในไปอย่างเงียบเชียบ
เขาเดินตรงออกไปจนถึงนอกเรือน ก่อนจะหยุดยืนเอามือไพล่หลังนิ่งอยู่บนขั้นบันได ไม่รู้เช่นกันว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
ส่วนหมิงถานนั้นซุกอยู่ในผ้าห่มทำตัวนิ่งเงียบประหนึ่งนกกระทาขลาดกลัว ในสมองของนางก็สับสนว้าวุ่นมากดุจเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดความหวาดหวั่นลนลานจากความงุนงงสับสนอีกด้วย
นางรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานางชื่นชอบสามีมาก แต่สิ่งที่นางชอบควรจะเป็นสามีของนาง…ที่มีรูปโฉม ฐานะ ความประพฤติตน และความรู้ความสามารถโดดเด่นล้ำเลิศเหนือผู้ใดต่างหาก
สิ่งที่เรียกว่าความรักใคร่ชื่นชอบล้วนสร้างขึ้นบนเงื่อนไขว่าบุรุษผู้นี้เป็นสามีของนาง
ถ้าหากไม่เกิดเหตุพลิกผัน นางไม่ได้รับสมรสพระราชทาน สามีของนางเปลี่ยนเป็นเหลียงจื่อเซวียนหรือว่าซูจิ่งหรานแทน นางก็คงจะชอบ คงจะอยู่ร่วมกับเขาด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจเช่นเดียวกัน สตรีออกเรือนไปก็ต้องเชื่อฟังสามี ร่วมแรงร่วมใจกัน มีอันใดไม่ถูกต้องกัน
แต่ก่อนนางคิดเช่นนี้มาตลอด
ทว่าตอนนี้นางเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว
ไม่ว่าสามีของนางจะเป็นใคร พอถึงยามคับขันนางก็คงจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขา ไม่อยากมีชีวิตอยู่เพียงลำพังต่อไปอยู่ดีหรือ
นางพลิกกายตะแคงข้าง มุมผ้าห่มที่ถูกจิกแน่นไว้ในมือกลายสภาพเป็นก้อนกลมยับย่นไปแล้ว นางเบิกตาโพลง มิอาจข่มตาหลับ เบื้องหน้าปรากฏภาพในวันวานเมื่อครั้งที่ได้อยู่ร่วมกันกับสามีขึ้นมาทีละฉากทีละตอนอย่างมิอาจห้ามได้
เขามักจะพูดน้อยเสมอ เคร่งขรึมสุขุม เย็นชาเฉยเมย บางครั้งยังแสดงความรำคาญใจอย่างชัดเจนออกมาอีกด้วย แต่กับนางแล้วเขาอ่อนโยนเสมอมา โอบอ้อมอารีต่อนางครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมอ่อนข้อให้ครั้งแล้วครั้งเล่า…
ไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องใดขึ้นมา จู่ๆ ศีรษะเล็กๆ ของนางก็โผล่พรวดออกมาจากผ้าห่ม นางพลิกร่างหนึ่งที มุมปากยกขึ้นสูงอย่างไม่รู้สึกตัว ในใจทั้งสับสนทั้งหวานล้ำ
ผ่านไปครู่ใหญ่นางก็เยี่ยมศีรษะออกไปนอกขอบเตียง ตะโกนหยั่งเชิงไปทางด้านนอกว่า “สามี? อาถานหิวแล้ว”
ด้านนอกมีเสียง “อืม” ดังขึ้น ไม่นานนักเจียงซวี่ก็พาบ่าวรับใช้ที่นำอาหารว่างมื้อดึกมาส่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกัน
ราตรีแสนดีงามเยี่ยงนี้จะปล่อยให้สูญเปล่ามิได้
ซูจิ่งหรานเดินทอดน่องพิศชมจันทราอย่างเอ้อระเหยลอยชาย เขาเดินหาจนเจอที่ลับตาห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง ขณะกำลังจะเป่าขลุ่ยใต้แสงจันทร์ ทันใดก็พลันเห็นอวิ๋นอี่นั่งเอนพิงอยู่บนชายคาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล กำลังแทะน่องไก่อย่างชวนให้เสียบรรยากาศยิ่งนัก เขาจึงอดตะโกนเรียกมิได้ “แม่นางอวิ๋น”
“คุณชายรองสกุลซู”
ซูจิ่งหรานพยักหน้า ก่อนจะทะยานร่างขึ้นไปบนชายคา
“คุณชายรองสกุลซู ท่านเป็นวรยุทธ์ด้วยหรือ” อวิ๋นอี่ประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย ตลอดเวลาที่เดินทางร่วมกันมา นางดูไม่ออกเลยสักนิดว่าคนผู้นี้เคยเรียนวรยุทธ์มาด้วย
“พอได้บ้างนิดหน่อย” ซูจิ่งหรานแย้มยิ้ม ปัดฝุ่นบนเศษกระเบื้องให้สะอาด เลิกชายชุดคลุมออกแล้วหย่อนตัวลงนั่ง
ซูจิ่งหรานกล่าวเช่นนี้หาใช่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ ดูจากวิชาตัวเบาของเขาแล้ว อวิ๋นอี่เองก็ดูออกว่ากำลังภายในของเขามิได้แกร่งกล้า คงจะอยู่แค่ในระดับที่สามารถปกป้องตนเองได้ธรรมดาๆ เท่านั้น
นางเพิ่งจะแทะน่องไก่ไปได้ครึ่งเดียว ทันใดนั้นก็รู้สึกกระดากใจที่จะแทะกินต่อไปคนเดียว แต่ว่านางกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย นางไม่อยากจะหยุดกินตอนนี้ หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายนางก็หยิบน่องไก่ที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันออกมาจากในอกเสื้อแล้วยื่นออกไปให้เขา “ให้ คุณชายรองสกุลซู เชิญท่านกินเถิด”
คุณชายรองสกุลซูหลุบตาลง พลันระบายรอยยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ขอบคุณแม่นางอวิ๋นมาก”
เขารูปโฉมหล่อเหลาหมดจด ยามคลี่ยิ้มยิ่งชวนให้คนรู้สึกอบอุ่นอิ่มเอมราวกับอาบสายลมวสันต์ อวิ๋นอี่อึ้งงันไปชั่วขณะ นางรีบร้อนชักมือกลับ กัดแทะน่องไก่ต่อไป ทว่าการเคลื่อนไหวกลับสำรวมขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยอย่างมิอาจห้าม
“นี่คือไก่รมชาของหลิงโจว?” ซูจิ่งหรานดมกลิ่นเบาๆ แล้วเอ่ยถามขึ้น
อวิ๋นอี่พยักหน้า “ข้าเจอร้านที่ขายดีที่สุดร้านหนึ่ง เห็นว่าขายมาสามรัชศกแล้ว ทุกวันพอถึงยามสาม ร้านก็จะเริ่มจุดเตา แต่ละวันต้องขายหลายสิบเตา กลิ่นหอมของใบชาเข้มข้นยิ่ง คุณชายรองสกุลซูลองชิมดูสิ”
ซูจิ่งหรานอยากจะลองชิมดูยิ่งนัก เพียงแต่การใช้มือเปล่าฉีกกินอาหารเช่นนี้ช่างทำให้เขาลำบากใจเหลือเกิน เขานิ่งคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ผู้แซ่ซูเพิ่งจะกินอาหารว่างมื้อดึกมา รอกลับไปถึงห้องแล้วจะต้องลิ้มชิมรสให้เต็มที่แน่นอน”
อวิ๋นอี่พยักหน้าเบาๆ มิได้เอ่ยอันใด
“จริงสิ ผู้แซ่ซูมีคำถามหนึ่งอยากจะขอคำชี้แนะจากแม่นางอวิ๋นมานานแล้ว เหตุใดแม่นางอวิ๋นถึงได้ชอบกินไก่ย่างถึงเพียงนี้เล่า” ซูจิ่งหรานถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
อวิ๋นอี่ฉงน “ก็ไก่ย่างอร่อยนี่นา ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้ชอบกินแค่ไก่ย่างเสียหน่อย เป็ดย่าง ห่านย่างข้าก็ชอบกินเหมือนกัน อาหารอร่อยๆ ข้าชอบกินหมดนั่นล่ะ”
ซูจิ่งหรานแย้มยิ้มออกมาอีกครั้ง
อวิ๋นอี่หลุบตาลง กัดไปสองสามครั้งก็เหลือน่องไก่แค่เพียงครึ่งน่องเท่านั้น นางเอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ว่า “องครักษ์จินอวิ๋นไร้บิดามารดา ทุกคนต่างก็กินเก่งกันทั้งนั้น อาจเพราะตอนเด็กๆ เคยอดอยากมากระมัง แต่ว่าข้าก็จำไม่ได้แล้วล่ะ”
ได้ยินดังนั้น มุมปากของซูจิ่งหรานก็ค้างแข็งไปเล็กน้อย “ขออภัยด้วย ผู้แซ่ซูล่วงเกินแล้ว”
“องครักษ์จินอวิ๋นไร้บิดามารดาเป็นเรื่องจริง การที่จดจำเรื่องสมัยเยาว์วัยไม่ได้แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดี คุณชายรองสกุลซูไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอก”
“แม่นางอวิ๋นมีจิตใจที่ปล่อยวางได้เช่นนี้ช่างล้ำค่ายิ่ง”
“คุณชายรองสกุลซู ปัญญาชนอย่างพวกท่านเป็นเช่นนี้กันหมดเลยหรือ” อวิ๋นอี่รู้สึกอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติไปทั่วทั้งกาย “หรือว่ามีแต่คนที่สอบติดตำแหน่งทั่นฮวาถึงจะเป็นเช่นนี้”
“ ‘เช่นนี้’ คือ… อย่างไรหรือ”
“ก็คือ…ชอบเอ่ยชมผู้อื่น” อวิ๋นอี่เกาจมูก “มักจะพูดจาระวังความรู้สึกของคนรอบข้างอยู่เสมอ” ทั้งที่เป็นสหายรักกัน แต่กลับไม่เหมือนนายท่านที่ชอบสั่งให้นางไสหัวไปบ้าง สั่งให้ถือศีรษะเข้ามาพบบ้างอยู่เรื่อย
ซูจิ่งหรานยิ้มแย้มด้วยท่าทางเรียบเฉยเป็นที่สุด “คนเราแค่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ก็มีเรื่องยากลำบากมากพออยู่แล้ว สร้างปัญหาให้ผู้อื่นน้อยลงหน่อยจะเป็นการดีที่สุด จริงๆ แล้วตอนเยาว์วัยผู้แซ่ซูยังไม่รู้ประสีประสา เมื่อครั้งเข้าเรียนในสำนักศึกษาก็เคยพูดจาทำร้ายจิตใจสหาย แต่กลับไม่รู้ว่าตอนเด็กๆ เขาไม่เคยได้รับความสนใจจากคนในครอบครัว ชีวิตกระเสือกกระสนดิ้นรนมีสารพัดปัญหา แค่พูดต่อว่าไม่กี่ประโยคก็เกือบจะทำให้เขาคิดสั้นแล้ว ความโหดร้ายทารุณจากความรู้เท่าไม่ถึงการนั้นทำร้ายคนได้มากที่สุด เพราะเคยทำผิดพลาดมาก่อน หลังจากสำนึกตัวได้แล้วผู้แซ่ซูก็พอจะรู้จักทำตัวนุ่มนวลขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย”
อวิ๋นอี่พยักหน้าคล้ายกับเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจอยู่ในที
ซูจิ่งหรานแหงนมองแสงจันทรา จู่ๆ ก็พลันเกิดความคิดขึ้นมาในใจ “แม่นางอวิ๋นอยากฟังเพลงหรือไม่” เขาลูบขลุ่ยหยกอย่างแผ่วเบา
“ได้”
ซูจิ่งหรานลุกขึ้น ร่างกายสูงเพรียวยืดสะโอดสะองอยู่ภายใต้จันทรา เขาเกิดอารมณ์คึกคักเป่าเพลง ‘จันทราเหนือแม่น้ำซีเจียง’ ขึ้นมาอย่างลื่นไหลปานเมฆาเคลื่อนคล้อยสายธารรินไหล
ครั้นบทเพลงเนิบยาวจบลง ซูจิ่งหรานก็ลดขลุ่ยหยกลงอย่างเชื่องช้า “เพลง ‘จันทราเหนือแม่น้ำซีเจียง’ บทนี้แบ่งออกเป็นสามช่วง ช่วงแรก…”
ซูจิ่งหรานหันหน้ากลับไปก็พบว่าศีรษะของอวิ๋นอี่กำลังสัปหงก
“แม่นางอวิ๋น?”
ศีรษะของอวิ๋นอี่คะมำลงไปอย่างแรงหนึ่งที จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง ซ้ำยังเช็ดน้ำลายที่อาจจะหลงเหลืออยู่ตรงมุมปากออกตามจิตใต้สำนึก “อ้อ สามช่วง สามช่วง”
บทเพลงนี้ชวนให้หลับดีจริงๆ นางอยากจะตั้งใจฟังดีๆ แต่ว่าช่างน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน นางเพิ่งฟังไปได้แค่ครึ่งเค่อก็ง่วงงุนจนทนไม่ไหว งานอดิเรกของปัญญาชนอย่างพวกเขาช่างอัศจรรย์ดีแท้
“ ‘จันทราเหนือแม่น้ำซีเจียง’ เพลงนี้เป่าได้ไพเราะเหลือเกิน ช่วงต้นเร็วไวพลิ้วแผ่ว ประหนึ่งจันทราข้างขึ้นมัวสลัวโผล่พ้นเมฆา ช่วงกลางราบเรียบสงบนิ่ง ดุจดังจันทร์กระจ่างเคลื่อนคล้อยลอยเด่น ส่วนท้ายเนิบยาวไม่ขาดสิ้น เสียงกังวานแว่วก้องสะท้อน ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานานแล้วว่าคุณชายรองสกุลซูเก่งกาจล้ำเลิศทั้งขลุ่ยทั้งปี่ วันนี้พอได้ฟัง ช่างสมกับคำร่ำลือจริงๆ” หมิงถานรอคอยเจียงซวี่ป้อนอาหารว่างมื้อค่ำไปพลางประคองใบหน้าเอ่ยชื่นชมเยินยอไปพลาง
มือของเจียงซวี่ที่กำลังตักโจ๊กอยู่หยุดชะงักไป สุ้มเสียงสงบเยือกเย็น “ดูท่าพระชายาจะติดใจเรื่องบรรเลงฉินกับขลุ่ยประสานเสียงยิ่ง มิสู้วันหลังข้าติ้งเป่ยอ๋องให้ซูจิ่งหรานมาร่วมบรรเลงเพลงกับเจ้าก็แล้วกัน”
“จริงหรือ ดีเลยเจ้าค่ะ” หมิงถานดวงตาลุกวาวเป็นประกาย พยักหน้าถี่รัว
“…”
ช้อนเงินในมือของเขาขยับมาทางขอบถ้วยเล็กน้อย ต่อมาก็ยื่นส่งออกไปข้างหน้า
เดิมหมิงถานยังคิดอยากจะพูดอันใดบางอย่างอีก แต่เมื่อเห็นเขาป้อนโจ๊กมา นางก็ขยับหน้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วกินเข้าไปหนึ่งคำเล็ก ทว่าโจ๊กเพิ่งจะเข้าปากนางก็ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับเอ่ยว่า “ร้อน!”
“ร้อนก็เลิกพูดเสีย”
“…”
ที่แท้สามีของตนมิได้อยากจะเชิญคุณชายรองสกุลซูมาร่วมบรรเลงเพลงกับนางจากใจจริง หมิงถานได้แต่ส่งเสียงขานรับว่า “อ้อ” ด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน
เนื่องจากหมิงถานกับอวิ๋นอี่ได้ช่วยชิวเยวี่ยเอาไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เจียงซวี่จึงได้รับหลักฐานที่โจวเป่าผิงทิ้งเอาไว้ให้อย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้มิอาจรอดพ้นสายตาคนสกุลซู่ไปได้ ดังนั้นในวันถัดมาอวี้ป๋อจงผู้บัญชาการกองการค้าทางทะเลของหลิงโจวจึงส่งเทียบมาขอเข้าคารวะเจียงซวี่
ยามที่ทราบเรื่องนี้ หมิงถานกำลังฝนหมึกให้เจียงซวี่อยู่ในห้องหนังสือในเรือน “สามี ใต้เท้าอวี้ผู้นี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับสกุลซู่หรือ”
“เขยแต่งเข้า”
ที่แท้ก็เช่นนี้เอง มิน่าเขาถึงไม่ได้แซ่ซู่
เจียงซวี่วางพู่กันลง เอ่ยกับผู้ที่เข้ามารายงานว่า “เชิญเขามาที่ห้องหนังสือ”
“ขอรับ”
หมิงถานตะลึงงันไป “สามีจะพบเขาที่นี่เลยหรือ”
“เหตุใดจะเจอไม่ได้เล่า”
หมิงถานส่ายศีรษะ ก็มิใช่ว่าไม่ได้ นางเพียงคิดว่าพวกเขาจะออกไปตั้งโต๊ะเลี้ยงอาหารข้างนอกอย่างเป็นทางการ หรือไม่ก็เชิญท่านเจ้าเมืองไปพบปะพูดคุยที่ห้องโถงใหญ่พร้อมกันเสียอีก
ในเมื่อเป็นอย่างนี้นางก็วางแท่งหมึกในมือลงอย่างรู้ความ “เช่นนั้นอาถานขอตัวกลับห้องก่อน”
นางคิดจะเดินออกไป แต่ไม่รู้ว่าใต้เท้าอวี้ผู้นี้มีกี่เท้ากันแน่ พวกนางเพิ่งจะคุยกันไปเพียงสองสามประโยค เขาก็มาถึงข้างนอกห้องอย่างรวดเร็วเสียแล้ว นางฉงนอึ้งงัน หันหน้าไปหาเจียงซวี่ในทันที
เจียงซวี่กลับมิได้ใส่ใจมากนัก เพียงแค่มองไปทางฉากกั้นปราดหนึ่งเท่านั้น
หมิงถานเข้าใจความนัย จึงรีบร้อนเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังฉากกั้น แต่ว่านางรีบแอบอย่างฉุกละหุก ลืมไปว่านางฝนหมึกจนเหงื่อไหลไคลย้อย จึงยังคงพาดผ้าไหมโปร่งบางคลุมไหล่เอาไว้บนเก้าอี้ที่ด้านนอก
“ผู้น้อยอวี้ป๋อจง คารวะติ้งเป่ยอ๋อง ขอท่านอ๋องสุขสวัสดิ์ปลอดภัย”
อวี้ป๋อจงดูแล้วอายุอานามราวๆ สามสิบปี มีเนื้อหนังมังสาเล็กน้อย พอเดินเข้ามาก็คุกเข่าคารวะเจียงซวี่อย่างพินอบพิเทาทันที
เจียงซวี่มิได้เงยหน้าขึ้นมอง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชาอย่างถึงขีดสุด “หากใต้เท้าอวี้วางเพลิงให้น้อยลงสักสองกอง ข้าติ้งเป่ยอ๋องย่อมสุขสวัสดิ์ปลอดภัยแน่นอน”
อวี้ป๋อจงชะงักงัน
เขาเคยได้ยินชื่อเสียงในฐานะเทพสงครามของติ้งเป่ยอ๋องมาเนิ่นนานแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าติ้งเป่ยอ๋องอายุยังน้อยแต่ความน่าเกรงขามดุดันกลับหนักหน่วงรุนแรงยิ่งนัก คำพูดแค่เพียงประโยคเดียวก็ทำให้เหงื่อกาฬเย็นเฉียบผุดชุ่มบนแผ่นหลังของเขาได้แล้ว ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยรับคำต่อไปอย่างไรดี
หมิงถานที่หลบอยู่หลังฉากกั้นก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าสามีจะพูดตรงโผงผางถึงเพียงนี้ ดูท่าคงไม่คิดจะพูดจาวกวนอ้อมค้อมกับผู้มาเยือนให้มากความ
“ในเมื่อวันนี้เจ้ามาพบข้าติ้งเป่ยอ๋องก็คงจะรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าข้าผู้นี้ไม่อยากจะติดพันวุ่นวายกับกองการค้าทางทะเลของพวกเจ้ามากนัก หลักฐานสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ แต่ว่ามีเงื่อนไขอยู่สองข้อ ข้อแรก จังกอบจากการค้าทางทะเลของหลิงโจวในช่วงสองปีที่ผ่านมาต้องจ่ายชดเชยให้ครบเต็มจำนวน ภายภาคหน้าคนของท่าเรือหลิงโจวอย่าคิดจะได้เงินจากจังกอบตรงนี้อีก ข้อสอง โจวเป่าผิงเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ จะปล่อยให้ตายอย่างอยุติธรรมไม่ได้”
บนหน้าผากของอวี้ป๋อจงก็เริ่มมีเหงื่อผุดพรายออกมาแล้วเช่นกัน “นี่…”
“ถ้าเจ้าตัดสินใจไม่ได้ก็กลับไปปรึกษากับคนที่ตัดสินใจได้มาเสีย ใครก็ได้เข้ามา ส่งแขก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.