บทที่ 16
อวี้ป๋อจงได้แต่ฉงนมึนงงตลอดการสนทนา เขาไม่คาดคิดเลยว่าตนเองอุตส่าห์ประดิดประดอยคำพูดมาตลอดทั้งคืนอย่างยากลำบาก แต่วันนี้ติ้งเป่ยอ๋องกลับให้โอกาสเขาแค่คุกเข่าคารวะเท่านั้น ทว่าก่อนที่จะถูกคนเชิญออกไป เขากลับตาไวเหลือบไปเห็นผ้าไหมโปร่งบางที่อยู่บนเก้าอี้ผืนนั้น
หลังจากกลับไปแล้ว อวี้ป๋อจงก็ระบายความอัดอั้นตันใจให้ท่านพ่อตาของตนฟัง
“…ติ้งเป่ยอ๋องผู้นี้รับมือยากจริงๆ ขอรับ ไม่ให้โอกาสเขยได้พูดเลยสักนิด อันที่จริงเรื่องของโจวเป่าผิงยังพูดง่าย แค่ยอมสังเวยสักสองสามคน ปั้นแต่งสาเหตุการตายที่พอจะฟังเข้าหูเสียใหม่ก็ได้แล้ว แต่ว่าเงินจังกอบการค้าทางทะเลนั้น ท่านพ่อตา นี่พวกเราต้องจ่ายจังกอบการค้าทางทะเลชดเชยในช่วงสองปีที่ผ่านมาอีก ฝ่าบาททรงเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว ในเวลาเช่นนี้กองการค้าทางทะเลมีเงินทองเยอะแยะมากมายเพียงนั้นที่ใดกัน”
นายท่านใหญ่ซู่นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าบอกว่าต่อจากนี้ไปห้ามหักจังกอบเป็นของตนเองก็ยังพอจะเป็นไปได้ แต่ว่าการให้จ่ายจังกอบชดเชยย้อนหลังสองปีอาจจะมิใช่ดำริของฝ่าบาทก็เป็นได้”
“ท่านจะบอกว่านี่เป็นความคิดของติ้งเป่ยอ๋องเองอย่างนั้นหรือ”
“ไทเฮาทรงมีจดหมายมาแจ้งว่าให้พวกเราเตรียมพร้อมยอมอ่อนข้อเรื่องจังกอบการค้าทางทะเล แต่พระนางไม่เคยตรัสว่าจะต้องจ่ายเงินคืนย้อนหลังสองปี กฎหมายย่อมไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ฝ่าบาทคงไม่ถึงกับทรงบีบบังคับพวกเรามากถึงเพียงนี้”
อวี้ป๋อจงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย “หรือว่าเหตุเพลิงไหม้เมื่อหลายวันก่อนทำให้พญายมผู้นั้นไม่ค่อยพอใจ?”
นายท่านใหญ่ซู่แค่นเสียงฮึ “ก็เพราะเจ้าทำเรื่องโง่ๆ นั่นล่ะ!”
อวี้ป๋อจงยิ้มแห้งๆ ละล่ำละลักเอ่ยว่า “เขยจะชดเชยให้อย่างสุดความสามารถ จะชดเชยให้อย่างสุดความสามารถขอรับ”
“เจ้าจะชดเชยอันใดได้ เจ้าจะเป็นคนรวบรวมเงินจังกอบการค้าทางทะเลเอง?”
“อย่างนี้ขอรับ วันนี้ตอนเขยไปพบติ้งเป่ยอ๋อง เขยสังเกตเห็นว่าติ้งเป่ยอ๋อง…” อวี้ป๋อจงขยับเข้ามาใกล้โดยพลัน จากนั้นกระซิบบอกนายท่านใหญ่ซู่รอบหนึ่ง “หากทำเช่นนี้แล้ว ขอแค่พญายมผู้นั้นสงบโทสะลงได้ คิดว่าก็คงจะพอมีโอกาสเจรจาเงื่อนไขนี้ขอรับ”
นายท่านใหญ่ซู่ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ยังไม่รีบไปจัดการอีก”
“ขะ…ขอรับ”
อวี้ป๋อจงถอยกรูดออกไปอย่างเร็วไว
วันถัดมา อวี้ป๋อจงส่งเทียบมาเชิญติ้งเป่ยอ๋องและคุณชายรองสกุลซูไปนั่งเป็นแขกที่หอฮุยโหลว ลิ้มรสสุราฟังบทเพลง โดยอ้างว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับพวกเขาทั้งสอง
ก่อนจะออกไปข้างนอกในครานี้ เจียงซวี่กลับตั้งใจพูดมากกว่าปกติหลายประโยค ปลอบให้หมิงถานสบายใจ
บัดนี้หมิงถานรู้ถึงผลได้ผลเสียของเบื้องหลังเรื่องนี้แล้ว นางย่อมวิเคราะห์ออกว่าสกุลซูคงจะไม่ทำอันใดเขาแน่นอน
แต่เมื่อวานนางไปได้ยินฮูหยินท่านเจ้าเมืองพูดว่าสตรีที่หอฮุยโหลวของเมืองเฉวียนเฉิงเสมือนดังม้าผอมหยางโจว* ไม่เหมือนกับหญิงสาวในเรือสำราญร้อยแปดสิบลำที่ต้องคอยสาละวนปรนนิบัติต้อนรับแขกเหรื่อ คนที่ถูกขุนนางสูงศักดิ์พาตัวกลับไปเป็นอี๋เหนียงที่จวนก็มีอยู่เยอะแยะมากมาย
หมิงถานตะขิดตะขวงในใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่สะดวกใจจะพูดอันใดมาก นางเพียงแค่บ่นอุบอิบเสียงเบาว่า “อยู่ๆ จะเชิญก็เชิญ ไม่รู้จักหาข้ออ้างที่ฟังเข้าหูเสียบ้างเลย รับลมล้างฝุ่น** อันใดกัน มาถึงหลิงโจวตั้งหลายวันแล้วยังจะรับลมล้างฝุ่นอีก สามีมิใช่ไม้ปัดขนไก่เสียหน่อย มีฝุ่นธุลีเกาะเยอะแยะเสียที่ใดกัน”
นางบ่นกระปอดกระแปดพลางปรนนิบัติเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ หลุบตาช่วยเขาเปลี่ยนชุดอย่างอืดอาดเชื่องช้า หลังจากห้อยหยกประดับแล้ว นางก็ยังแอบห้อยถุงหอมสีดำปักลายนกยวนยางเล่นน้ำใบหนึ่งให้เขาอีกด้วย
เจียงซวี่สังเกตเห็นเพียงแค่ว่าถุงหอมยังนับว่ามีสีเรียบๆ แต่เขาไม่ได้พิศดูลายปักด้านบนอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เขาก็กำชับกำชาหมิงถานอีกสองประโยค ก่อนจะยื่นมือออกไปลูบศีรษะของนาง จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับซูจิ่งหราน
การที่อวี้ป๋อจงจัดงานเลี้ยงขึ้นในคราวนี้ได้ให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการเลี้ยงต้อนรับติ้งเป่ยอ๋อง จึงต้องเชิญเจ้าหน้าที่ทางการมาร่วมงานเป็นเพื่อนมากมายหลายคนอย่างขาดเสียไม่ได้ นอกจากเจ้าเมืองแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงในท้องที่ เช่นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองต่างก็มาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าครบครัน
เมื่ออวี้ป๋อจงกล่าวโอภาปราศรัยเสร็จ ทุกคนก็ผลัดกันคารวะสุราให้แก่เจียงซวี่
ครั้นเห็นว่าวันนี้ติ้งเป่ยอ๋องไว้หน้าเขามากกว่าเมื่อวาน อวี้ป๋อจงก็มิได้หวาดผวาเสียขวัญจนตัวสั่นงกเงิ่นเหมือนก่อนหน้านี้อีก เขาดื่มสุราไปหนึ่งจอก ซ้ำยังเอ่ยตามมารยาทขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคด้วยความปากไวว่า “ท่านอ๋องกับคุณชายรองสกุลซูมาถึงหลิงโจวได้หลายวันแล้ว เดิมผู้น้อยควรจะเลี้ยงต้อนรับทั้งสองท่านให้เร็วกว่านี้ถึงจะถูก แต่ว่าหลายวันก่อนมีธุระติดพันให้ล่าช้าไป ต้อนรับบกพร่อง ต้อนรับบกพร่องแล้ว”
เจียงซวี่หลุบตาพลางจับจอกสุราเล่น จู่ๆ ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “ใต้เท้าอวี้พูดอันใดกัน เดิมทีก็ไม่ถึงตาเจ้าได้ต้อนรับบกพร่องอยู่แล้ว”
ทุกคน “…”
ถูกต้อง เจ้าเมืองกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองยังอยู่ทั้งคน ไหนเลยจะถึงตาผู้บัญชาการกองการค้าทางทะเลอย่างเขาได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน ต่อให้หลิงโจวเป็นถิ่นของสกุลซู่อย่างไร การพูดเช่นนี้ก็ออกจะโอหังล้ำเส้นเกินไปจริงๆ
สีหน้าของอวี้ป๋อจงค้างแข็งไปเล็กน้อย ความหวาดกลัวยามถูกความน่าเกรงขามและแรงกดดันเข้าครอบงำเมื่อวานนี้เอ่อทะลักเข้ามาในหัวใจอีกครา เหงื่อกาฬเย็นเฉียบผุดพรายขึ้นมาบนแผ่นหลังของเขา ก่อนจะรีบร้อนเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มประจบประแจงว่า “ขอรับๆๆ ที่นี่ยังมีท่านเจ้าเมือง ใต้เท้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอยู่อีก ไม่มีทางถึงตาผู้น้อยออกหน้าเลี้ยงต้อนรับก่อนแน่ เพียงแต่ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงบารมีของท่านอ๋องมาเนิ่นนานแล้ว เลยอยากจะอุทิศเรี่ยวแรงอันน้อยนิดให้ท่านอ๋องบ้างเท่านั้นเองขอรับ”
เจียงซวี่มิได้ส่งเสียงตอบอีก
อวี้ป๋อจงเช็ดหยาดเหงื่อบนหน้าผาก ครั้นแล้วก็หันไปทักทายซูจิ่งหรานตามมารยาทด้วยความระมัดระวัง เคราะห์ดีที่ซูจิ่งหรานพูดจาน่าฟังกว่ามาก จึงบรรเทาความตึงเครียดกระวนกระวายในใจของอวี้ป๋อจงลงไปได้บ้าง
หลังจากคารวะสุราครบสามรอบแล้ว ในที่สุดอวี้ป๋อจงก็เริ่มเอ่ยเข้าเรื่องสำคัญ
“จริงสิขอรับ ท่านอ๋อง ผู้น้อยมีเรื่องหนึ่งขออนุญาตรายงาน คือเรื่องการตายของโจวเป่าผิงผู้ตรวจการกองการค้าทางทะเล ข้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าและคนของที่ว่าการเมืองได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบมาระยะใหญ่ๆ แล้ว ผู้น้อยคิดว่าผู้ตรวจการโจวตั้งตนอยู่ในความดีงามเสมอมา ปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง ไม่มีทางเป็นคนที่ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับการหลับนอนกับหญิงคณิกาทั้งวันทั้งคืนอย่างแน่นอน”
เจียงซวี่กับซูจิ่งหรานรับฟังอย่างเงียบๆ คนอื่นก็พากันพยักหน้า ให้ความร่วมมือกับการแสดงละครของอวี้ป๋อจง
“ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าการตายอย่างกะทันหันของผู้ตรวจการโจวคงมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างอื่น แต่ก่อนหน้านี้ตรวจสอบอยู่เนิ่นนานกลับไม่เจอเงื่อนงำอันใดเลย ผู้น้อยคิดว่าใต้เท้าโจวเป็นคนที่ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญก็เลยไม่กล้าปิดบังรั้งรอ จึงเขียนฎีการายงานสาเหตุการตายเบื้องต้นส่งไปยังเมืองหลวงทันที แต่ว่าผู้น้อยก็สั่งให้คนสืบสาวสาเหตุการตายที่แท้จริงของผู้ตรวจการโจวอย่างละเอียดยิบมาตลอด สวรรค์ไม่ทอดทิ้งผู้มุมานะ หลายวันผ่านไปในที่สุดก็สืบเจอจนได้ขอรับ!”
อวี้ป๋อจงหน้าไม่แดงหัวใจไม่สั่น “เดิมทีขุนนางดูแลกองการค้าในกองการค้าทางทะเลไม่ลงรอยกับผู้ตรวจการโจวมานานแล้ว ในใจมีความอาฆาตแค้น มิหนำซ้ำขุนนางดูแลกองการค้าผู้นี้ยังรวบรวมสมัครพรรคพวกในกองการค้าทางทะเล สมคบคิดกับเจ้าหน้าที่ออกประกาศ เจ้าหน้าที่พิจารณาโทษและเสมียนซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชายักยอกทรัพย์หลวงเป็นของส่วนตน แต่โชคร้ายถูกผู้ตรวจการโจวจับได้ ผู้ตรวจการโจวเป็นขุนนางใจซื่อมือสะอาด ไม่ยอมร่วมมือทำชั่วกับพวกเขา เมื่อดึงเข้ามาเป็นพวกไม่สำเร็จ พวกของขุนนางดูแลกองการค้าผู้นั้นจึงสังหารปิดปากเขา ซ้ำยังจงใจใส่ร้ายป้ายสี หมายจะทำลายชื่อเสียงบารมีของเขา!”
เจียงซวี่ยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ ซูจิ่งหรานหลุบตาลงจิบสุรา คิดในใจว่า ต้องลำบากใต้เท้าอวี้ยอดทนเจ็บเฉือนเนื้อตนเองเช่นกัน อุตส่าห์ยอมสละคนมากมายถึงเพียงนี้ในคราวเดียวให้ฝังศพเป็นเพื่อนโจวเป่าผิง
“บัดนี้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ถูกจับตัวส่งไปที่ว่าการเมืองทั้งหมดแล้ว คนเหล่านี้ทำร้ายเข่นฆ่าสหายร่วมงาน ปฏิบัติตนไม่ซื่อตรง ตายไปก็ไม่ควรค่าให้เสียดาย ตอนนี้เพียงแค่ควบคุมตัวไว้รอส่งตัวไปรับการลงโทษที่เมืองหลวง ส่วนผู้ตรวจการโจวนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อกองการค้าทางทะเลอย่างสุดความสามารถ ความประพฤติและความสามารถของเขาทุกคนล้วนเห็นเป็นที่ประจักษ์ ต้องมาจบชีวิตเช่นนี้ช่างเป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยแท้ หวังว่าพอท่านอ๋องกลับเมืองหลวงไปแล้ว จะช่วยกราบทูลฝ่าบาทแทนกองการค้าทางทะเลแห่งหลิงโจว ช่วยคืนความบริสุทธิ์ให้แก่ใต้เท้าโจว ให้ขุนนางผู้จงรักภักดีได้นอนตายตาหลับในยมโลกด้วยเถิดขอรับ”
ครั้นอวี้ป๋อจงกล่าววาจาเหล่านี้จบ คนอื่นๆ ก็อดเอ่ยคล้อยตามขึ้นมิได้
“ใช่แล้วๆ”
“ใต้เท้าโจวมิได้ทำอันใดผิดเลยสักนิด”
“น่าเสียดายเหลือเกิน”
ไม่รู้ว่าเจียงซวี่กำลังครุ่นคิดอันใดอยู่ พอฟังคำกล่าวนี้จบ เขาก็ไม่ได้แสดงทีท่าใดๆ ออกมา
ในใจของอวี้ป๋อจงกระสับกระส่ายกระวนกระวาย พลันย้อนนึกถึงวาจาที่กล่าวไปเมื่อครู่นี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนว่ามีตรงที่ใดไม่เหมาะสมหรือไม่ หรือว่าแก้ไขเช่นนี้แล้วท่านอ๋องก็ยังไม่พอใจอีก?
เนิ่นนานผ่านไป ในที่สุดเจียงซวี่ก็ส่งเสียงออกมาว่า “อืม” จากนั้นก็รินสุราให้ตนเองหนึ่งจอกพลางดื่ม
นี่หมายความว่าพอใจแล้วใช่หรือไม่
อวี้ป๋อจงมองสำรวจสีหน้าท่าทางของเจียงซวี่ด้วยความระมัดระวัง ครู่ใหญ่ผ่านไป สุดท้ายเขาก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ต่อมาก็รีบปรบไม้ปรบมือเรียกหญิงสาวอรชรชดช้อยกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
ไม่นานนักก็เห็นหญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างนวยนาดอ่อนช้อย ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ยอบกายทำความเคารพพร้อมกล่าวด้วยเสียงนุ่มละมุนว่า “คารวะติ้งเป่ยอ๋อง คารวะใต้เท้าทุกท่าน”
ซูจิ่งหรานมองจนเผลอตะลึงลานไปแวบหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ สตรีเหล่านี้ดูเหมือนจะเจริญหูเจริญตายิ่งกว่าสตรีที่เจอในร้านเซียนเฉวียนเมื่อวันนั้นเสียอีก มีหญิงงามมากมายหลากหลายรูปแบบ แต่ละคนต่างก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ไม่ว่าเลือกใครออกมาต่างก็มีรูปโฉมงดงามไม่ด้อยไปกว่าสนมชายาในวังหลวงแม้แต่น้อย
แม่นางเหล่านี้ล้วนเป็นหญิงสาวที่หอฮุยโหลวบรรจงอบรมบ่มเพาะขึ้น หญิงคณิกาทั่วๆ ไปย่อมมิอาจเทียบเทียมได้ แต่ละคนต่างก็เป็นหญิงงามอย่างหาตัวจับยาก ศาสตร์การบรรเลงฉิน เดินหมาก เขียนพู่กัน วาดภาพ ล้วนแตกฉานในทุกด้าน กิริยามารยาทไม่แพ้คุณหนูตระกูลใหญ่ ซ้ำพวกนางยังได้เปรียบที่ได้เรียนรู้เรื่องที่พวกคุณหนูมิอาจเรียนได้ ในจำนวนนั้นมีอยู่หลายคนที่บรรดานายท่านสกุลซู่เลี้ยงดูไว้เพื่อจะเก็บไว้ใช้งานเอง แต่บัดนี้จำเป็นต้องเอาออกมาต้อนรับพญายมผู้นี้เสียก่อน
เจียงซวี่กวาดตามองแวบหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงหยุดลงบนร่างของหญิงสาวคนที่สองจากขวามือมากกว่าคนอื่นหนึ่งอึดใจ
อวี้ป๋อจงรู้จักสังเกตสีหน้าแววตาของผู้อื่นยิ่ง เมื่อเห็นดังนั้นแล้วก็รีบส่งสัญญาณสั่งให้หญิงสาวผู้นั้นเข้ามาปรนนิบัติใกล้ๆ
หญิงสาวที่เหลือก็มิได้เข้าใกล้บุรุษคนอื่นๆ แต่กลับถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ เพียงแต่เปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่รูปงามสะสวยงดงามแต่มิได้โดดเด่นสะดุดตาเหมือนกลุ่มเมื่อครู่นี้เข้ามาคอยปรนนิบัติแทน
หญิงสาวที่ถูกสั่งให้มาปรนนิบัติเจียงซวี่สวมชุดกระโปรงหรูฉวินสีแดงสด ผิวพรรณขาวผุดผ่องยิ่งกว่าหิมะ รูปโฉมงามล้ำสะคราญตา
นางยอบกายคารวะ จากนั้นนั่งลงข้างๆ กายของเจียงซวี่อย่างเรียบร้อยว่าง่าย รักษาระยะห่างเล็กน้อยอย่างรู้จักกฎระเบียบ นางหยิบตะเกียบหยกขึ้นคีบหน่อไม้เขียวให้เจียงซวี่หนึ่งชิ้น เอ่ยด้วยสุ้มเสียงละมุนละไมใสกระจ่าง “หน่อไม้เขียวของหลิงโจวกรุบกรอบสดใหม่ นำไปผัดจะเลิศรสที่สุด ท่านอ๋องจะลองชิมดูหรือไม่เจ้าคะ”
ทุกคนต่างก็จดจ้องท่าทีของเจียงซวี่ รวมไปถึงซูจิ่งหรานด้วย
แม่นางผู้นี้รูปโฉมงดงามล้ำเลิศอย่างที่สุด แต่ว่าไฉนข้าดูแล้วถึงรู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาเล่า เหมือน… เหมือน… เขาคล้ายกับหัวสมองตีบตัน นึกไม่ออกขึ้นมาชั่วขณะ
เจียงซวี่มิได้มองหญิงสาวผู้นั้น ทว่ากลับนิ่งเงียบไปสักพัก สุดท้ายเขาก็หยิบตะเกียบ คีบหน่อไม้เขียวที่หญิงสาวผู้นั้นตักให้เขาขึ้นมา
ในใจอวี้ป๋อจงเชื่อมั่นแน่วแน่ วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงาม วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงามจริงๆ เขารู้อยู่แล้วว่าแม้ติ้งเป่ยอ๋องผู้นี้เปลือกนอกจะเย็นชา แต่กลับลอบเสพอภิรมย์กับหญิงสาวในห้องหนังสืออย่างลับๆ ดูท่าแล้วเขาคงจะไม่ปฏิเสธหญิงสาวของหอฮุยโหลวผู้นี้เป็นแน่ หมากตานี้เขาเดินถูกจริงๆ
ทว่าในที่ว่าการเมืองของท่านเจ้าเมืองในยามนี้ หมิงถานเองก็กำลังลองลิ้มชิมรสอาหารโอชะของหลิงโจวที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองได้สั่งการให้คนตระเตรียมให้นางเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน
หลิงโจวผู้คนแยะทรัพยากรมาก อาหารการกินล้วนประณีตพิถีพิถันเป็นอย่างมาก หมิงถานลองชิมขนมที่นางรู้สึกว่าแปลกประหลาดน่าสนใจไปหลายอย่างในคราวเดียว ขณะที่นางกำลังบอกกับฮูหยินท่านเจ้าเมืองว่า วันหลังเมื่อกลับเมืองหลวงแล้ว จะต้องหาพ่อครัวจากหลิงโจวเข้าจวนสักคนให้ได้ อยู่ๆ ด้านนอกก็มีคนเข้ามารายงานว่า “พระชายา ฮูหยิน ตะ…ใต้เท้าอวี้ได้ส่งหญิงสาวหลายนางจากหอฮุยโหลวมาที่นี่ บอกว่า… บอกว่าต้องการมอบให้ติ้งเป่ยอ๋องขอรับ”
รอยยิ้มบนมุมปากของหมิงถานแข็งทื่อไปเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็วางตะเกียบลง ลุกขึ้นเอ่ยถามว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ”
บ่าวรับใช้ตัวสั่นงันงก เอ่ยทวนถ้อยคำเมื่อครู่นี้ซ้ำอีกรอบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นต่อไปว่า “ตอนนี้แม่นางเหล่านั้นกำลังรออยู่นอกห้องโถง…”
หมิงถานยืนอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยสั่งการอย่างสงบเยือกเย็น “เชิญพวกนางเข้ามา”
นางหันกายกลับไป นั่งตัวตรงลงบนที่นั่งตำแหน่งประธานในห้องโถง ส่วนฮูหยินท่านเจ้าเมืองก็นั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ นางอย่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
หญิงสาวจากหอฮุยโหลวเดินชดช้อยอ่อนพลิ้วเข้ามาด้านในอีกครั้ง ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน จากนั้นก็ทำความเคารพหมิงถานและฮูหยินท่านเจ้าเมือง
หมิงถานไล่มองประเมินทีละคนๆ โทสะที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่มีสาเหตุเริ่มปะทุออกมาข้างนอก นางกำมือแน่นอย่างไม่แสดงอาการ “แม่นางทุกคนมาจากหอฮุยโหลว? ท่านอ๋องทราบเรื่องหรือไม่”
นี่… หญิงสาวทั้งหลายมองหน้ากันไปมา ตอนที่พวกนางออกมาท่านอ๋องยังไม่ทราบเรื่อง แต่หลังจากนั้นทราบแล้วหรือไม่ พวกนางก็ไม่รู้เหมือนกัน
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของพวกนาง หมิงถานก็โล่งอกไปเล็กน้อย นางถามขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านอ๋องเล่า”
ในจำนวนนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งมีไหวพริบเฉียบแหลม คิดว่าต่อไปก็จะเป็นคนของท่านอ๋องแล้ว ถ้าหากไม่อยากถูกท่านอ๋องใช้การชั่วครั้งชั่วคราวแล้วโยนทิ้งไม่ให้ติดตามกลับเมืองหลวงไปด้วย นางก็ต้องเกาะพระชายาเอาไว้ถึงจะถูก
เพราะถึงแม้คนอย่างพวกนางจะมีรูปโฉมมีความรู้ความสามารถเลิศเลอเพียงไร แต่ชาติกำเนิดก็เห็นกันอยู่ชัดเจน ล้วนถูกลิขิตให้พร้อมถูกทอดทิ้งได้ตลอดเวลา แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้มีอำนาจในเรือนหลังก็คือพระชายาอยู่ดี ตอนนี้พระชายาดูเหมือนจะไม่ชอบพวกนาง มิสู้เบี่ยงเบนความสนใจ แล้วค่อยหาโอกาสขอการปกป้องคุ้มครองในภายหลังจะดีกว่า อย่างน้อยก็ต้องตามกลับเมืองหลวงเข้าจวนอ๋องให้ได้ก่อนถึงจะไม่ขาดทุน
พอคิดถึงตรงนี้หญิงสาวผู้นั้นก็เดินเข้ามายอบกายคารวะอย่างชดช้อย เอ่ยตอบอย่างสุภาพเรียบร้อยว่า “เรียนพระชายา ตอนพวกบ่าวมาที่นี่ ท่านอ๋องยังคงร่ำสุราอยู่กับใต้เท้าทั้งหลาย ท่านอ๋องให้แค่ชิงอวี่อยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ พวกบ่าวก็ไม่ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“ชิงอวี่?”
“ชิงอวี่เป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดของหอฮุยโหลว และก็เป็นหญิงสาวที่มามา* สอนวิชาให้ความสำคัญมากที่สุด พวกบ่าวล้วนมิอาจเทียบกับนางได้เจ้าค่ะ”
หมิงถานนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง
เจตนาแอบฟ้องที่แฝงอยู่ในถ้อยคำนี้นางจะฟังไม่ออกได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้นางคร้านจะมาสนใจความหัวแหลมเจ้าแผนการของสตรีผู้นี้ ท่านอ๋องเลือกให้หญิงสาวคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน… ข่าวคราวนี้ได้ทำให้นางค้างคาใจมากจริงๆ
* ม้าผอมหยางโจว เป็นคำเรียกหญิงคณิกา มีที่มาจากสมัยโบราณหยางโจวเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู นายหน้ามักเลือกซื้อเด็กสาวเพื่อไปเป็นหญิงคณิกาด้วยวิธีเช่นเดียวกับการซื้อม้า คือเลือกที่ผอมแห้งเพราะราคาถูก แล้วค่อยขุนให้สมบูรณ์เพื่อเพิ่มราคาในภายหลัง
** รับลมล้างฝุ่น เป็นสำนวน หมายถึงเลี้ยงต้อนรับแขกที่มาจากแดนไกล
* มามา หมายถึงแม่เล้า
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.