X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2 บทที่ 45 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การฆ่าตัวตาย และการกระทำชำเรา

การล่อลวง การลักพาตัว การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 45

 

ถ้าไม่ใช่เพราะไฟปิดอยู่ลั่วอี้จะต้องเห็นว่าใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยแดงก่ำมากแน่ๆ

เวินเสี่ยวฮุยอดไม่ได้ที่จะเอนตัวไปด้านหลัง “ทะ…ทำไมเหรอ”

“พี่ชอบหลีซั่วมาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ แต่พี่กลับปฏิเสธเขาเพียงเพราะเหตุผลที่พี่บอกเหรอ ชอบเขาไม่พองั้นเหรอ ทั้งๆ ที่พี่อยากมีความรักนี่นา”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกสับสนเล็กน้อย ทำไมท่าทีของลั่วอี้ถึงได้…ก้าวร้าวแบบนี้ล่ะ ทำอย่างกับว่าการที่เขาปฏิเสธหลีซั่วเป็นความผิดอย่างนั้นแหละ ซึ่งลั่วอี้ที่เป็นแบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกกลัวเล็กน้อย

“ลั่วอี้ นายเป็นอะไรไป”

คิ้วดุจกระบี่ของลั่วอี้ขมวดกัน “…เป็นเพราะผมหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยกลืนๆ น้ำลาย “วันนี้นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย ทำไมถึงได้ทำตัวแปลกๆ แบบนี้”

ลั่วอี้อ้าปากเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็กลืนคำพูดนั้นกลับเข้าไป เขาพลิกตัวลงจากเตียง

“ผมจะไปเข้าห้องน้ำ” พูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่หันมามอง

เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึงอยู่นาน เขาคิดทบทวนทุกคำพูดของลั่วอี้แต่ก็ไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าลั่วอี้ต้องการจะพูดอะไรและมันหมายถึงอะไร อีกอย่างทำไมพอเขาปฏิเสธหลีซั่วแล้ว ลั่วอี้ถึงไม่ดีใจแทบคลั่งอย่างที่เขาจินตนาการไว้ล่ะ…

เวินเสี่ยวฮุยนอนกลับลงไปบนเตียง ลืมตามองเพดาน ภายในรู้สึกไม่สบายใจ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้วเขาคงต้องยอมรับว่าเหมือนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ ใช่แล้ว หลังจากที่เขาเซ็นสัญญาก็มีบางอย่างระหว่างเขากับลั่วอี้ที่เปลี่ยนไป ลั่วอี้หลีกเลี่ยงเขา ความกระตือรือร้นที่มีต่อเขาลดลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิกิริยาหลังจากที่รู้ว่าเขาปฏิเสธหลีซั่วในวันนี้ เขาเคยคิดว่าลั่วอี้จะมีปฏิกิริยาเอาไว้หลายแบบ แต่กลับไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้เลย

เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะเขาคิดมากไปเอง หรือลั่วอี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

ลั่วอี้อยู่ในห้องน้ำนานมาก เมื่อเขาออกมาเวินเสี่ยวฮุยก็แสร้งหลับตาทำเป็นหลับไปแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัด คิดไม่ถึงว่าเมื่อได้นอนร่วมเตียงเป็นครั้งแรกหลังกลับมาจากอเมริกากลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อกัน จิตวิญญาณของพวกเขาที่พูดคุยกันจนถึงเที่ยงคืนในอดีตหายไปไหนหมด

 

หนึ่งเดือนต่อมาลั่วอี้ก็ยังคงยุ่งเหมือนเดิม ครั้งนี้เวินเสี่ยวฮุยหลอกตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ลั่วอี้กำลังหลบหน้าเขาจริงๆ วันเกิดของลั่วอี้กำลังจะมาถึงในสัปดาห์หน้า เขาวางแผนไว้ว่าจะจัดงานวันเกิดปีที่สิบแปดให้ลั่วอี้อย่างดี ทว่าในเวลานี้เขากลับไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้น เขาไม่ใช่คนที่จะเก็บงำอะไรได้เป็นเวลานานและต้องการจะคุยกันให้รู้เรื่องตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ว่าครั้งนี้เขากลับกลัว ลังเลไม่กล้าถาม เพราะกลัวว่าทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับสัญญาที่เขาได้เซ็นไป ไม่อย่างนั้นแล้วเขาก็ไม่สามารถอธิบายความแตกต่างในท่าทีของลั่วอี้ก่อนและหลังเซ็นสัญญาได้เลย รู้จักกันมาสองปีกว่า ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ สิ่งที่ทำให้เวินเสี่ยวฮุยรับไม่ได้มากที่สุดก็คือพวกเขาไม่มีความขัดแย้งกันเลยด้วยซ้ำ

หลัวรุ่ยยกผลไม้ที่หั่นเรียบร้อยแล้วมาวางลงตรงหน้าเวินเสี่ยวฮุย เอาไม้จิ้มฟันจิ้มสตรอเบอรี่แล้วป้อนเข้าปากของเขา

“เหม่ออะไรน่ะ ไหนว่าจะปรึกษาฉันว่าจะทำเค้กอะไรสำหรับวันเกิดลั่วอี้ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ทำแล้ว” เวินเสี่ยวฮุยพูดอย่างไม่สบอารมณ์

หลัวรุ่ยถลึงตา “ฉันยุ่งขนาดนี้ วันนี้อุตส่าห์หาเวลาว่างมาออกแบบเค้กให้นาย ทำไมนายถึงไม่อยากทำแล้วล่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยยู่ปาก “พักหลังนี้ไม่รู้ว่าลั่วอี้เป็นอะไร เย็นชากับฉันมากเลย”

“เขายุ่งกับการเปิดบริษัทไม่ใช่หรือไง อีกอย่างก็กำลังเตรียมวิทยานิพนธ์ด้วย?”

“อืม”

“งานเยอะขนาดนี้คงไม่มีเวลามาเล่นเป็นเพื่อนนายหรอก”

“ฉันต้องการให้คนมาเล่นเป็นเพื่อนฉันตั้งแต่เมื่อไรกัน เมื่อก่อนต่อให้เขายุ่งแค่ไหนก็ยังโทรมาหา ส่งข้อความมาหาฉันทุกวัน แต่ตอนนี้มันน้อยมาก” เวินเสี่ยวฮุยข่มเอาไว้ไม่พูดเรื่องสัญญาออกมา เขารู้ดี ถ้าหลัวรุ่ยไม่รู้ว่ายังมีเรื่องสัญญานี้จะต้องคิดว่าเขาว่างเกินไปแน่ๆ

เป็นไปตามคาด หลัวรุ่ยพูดออกมา “นายถูกตามใจจนเคยตัวน่ะสิ ลั่วอี้ยังดีกับนายไม่พออีกเหรอ ก็แค่ไม่ใส่ใจนิดหน่อยเอง นายน้อยท่านไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยหงุดหงิดเล็กน้อย “นายจะไปเข้าใจอะไร”

“ฮึ ไม่ช่วยนายทำเค้กแล้ว”

“ไม่ทำแล้ว ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากฉลองวันเกิดกับเขา คิดแล้วแม่งหงุดหงิดชะมัด”

หลัวรุ่ยเห็นว่าเขาไม่คิดที่จะทำจริงๆ ก็พูดด้วยความประหลาดใจ “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง นายยิ่งควรจะเซอร์ไพรส์วันเกิดเขานะ โรแมนติกจะตาย”

เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า “ค่อยว่ากัน ถึงยังไงตอนนี้ฉันก็ไม่มีอารมณ์แล้ว หลีซั่วส่งตั๋วหนังรอบปฐมทัศน์มาให้สองใบ เขาไม่ว่างไป นายจะไปหรือเปล่า”

“ไปสิ ไปพักผ่อนพอดีเลย”

“โอเค งั้นไป”

ภาพยนตร์เรื่องนั้นเป็นแนวโรแมนติกคอมมิดี้ บังเอิญมากว่าผู้กำกับคือหลี่ฮว่า ตอนที่หลี่ฮว่ายังสาว เธอรับงานแสดงมากมายโดยไม่เลือก ตอนนี้ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาและค่าตัวที่สูงขึ้นก็เริ่มรับภาพยนตร์น้ำดี จู้จี้จุกจิกเรื่องบทและทีมงานผลิต ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะผันตัวเองจากเบื้องหน้าสู่เบื้องหลัง และภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของเธอ

เวินเสี่ยวฮุยกับหลัวรุ่ยสวมชุดสูทลำลองแบบคู่สีขาวสีดำไปงาน รอบปฐมทัศน์ได้รวบรวมผู้คนจากวงการบันเทิงและแฟชั่นไว้มากมาย และพวกเขาก็ไม่ได้ดูแปลกแยกแต่อย่างใดในฝูงชน

“ว้าว คนหล่อเยอะจังเลย” หลัวรุ่ยร้องเสียงต่ำด้วยความตื่นเต้น

ดวงตาทั้งคู่ของเวินเสี่ยวฮุยก็เป็นประกายเช่นกัน “นั่นไม่ใช่นางแบบที่ฮอตสุดๆ ในตอนนี้หรอกเหรอ ขาเรียวยาวคู่นั้นสุดยอดไปเลย”

“หน้าดูแปลกๆ ไปหน่อยนะ”

“นั่นเรียกว่าบุคลิกต่างหาก นายจะมองหน้าทำไม ดูขาสิ พอปิดไฟก็เหมือนกันหมดแหละ”

ทั้งสองคนหัวเราะคิกคัก

ขณะที่การฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์กำลังจะเริ่มต้น พวกเขาก็ไปนั่งตามตั๋วที่นั่ง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นที่นั่งวีไอพีแถวหน้าซึ่งอยู่ใกล้กับเวทีมาก

“ว้าว ตั๋วของหลีซั่วเยี่ยมจริงๆ”

“ใช่แล้ว ใกล้มากเลย ฉันเห็นการแต่งหน้าของพวกเขาชัดมาก จะได้ศึกษาสักหน่อย” เวินเสี่ยวฮุยติดนิสัยนี้จากการทำงานไปแล้ว

พวกเขานั่งลงได้ไม่นานก็มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นข้างๆ “เอ๋? เวินเสี่ยวฮุย?”

เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเซ่าฉวินที่ไม่ได้เจอกันมาปีกว่า! ตอนนี้เซ่าฉวินเป็นเจ้านายใหญ่ของเขา เขารีบลุกขึ้นยืน

“คุณชายเซ่า”

เซ่าฉวินโบกๆ มือเป็นสัญญาณให้นั่งลง

ในเวลานี้เวินเสี่ยวฮุยจึงสังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มรูปงามที่ติดตามอยู่ข้างๆ เซ่าฉวิน เมื่อชายคนนั้นเห็นพวกเขาก็มีความรู้สึกรังเกียจพวกรักร่วมเพศกันเอง สายตาของเขาไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าคิดว่าเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเซ่าฉวิน

เวินเสี่ยวฮุยไม่เคยแสดงความอ่อนแอในด้านนี้อยู่แล้ว เขามองอีกฝ่ายกลับด้วยสายตา ‘มองอะไร ไอ้เฮงซวย’ จากนั้นก็จงใจพูดอย่างหยาดเยิ้ม

“คุณชายเซ่า ไม่เจอกันตั้งนาน คุณยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นทุกที อยู่ในสถานที่แบบนี้ขนาดดารายังเทียบคุณไม่ได้เลย”

เซ่าฉวินหัวเราะ “ปากหวานจังเลยนะ เพื่อนของนายก็อยู่ด้วยนะ”

หลัวรุ่ยพยักหน้าให้เซ่าฉวิน ภาพพจน์ที่เซ่าฉวินมีต่อเขายังคงน่ากลัวอยู่เล็กน้อยเสมอ

เซ่าฉวินไม่มีวี่แววที่จะแนะนำชายหนุ่มข้างๆ เลยแม้แต่น้อย แต่นั่งลงข้างเวินเสี่ยวฮุยโดยตรง

“ทำไมถึงมารอบปฐมทัศน์ได้ล่ะ”

“เพื่อนมาไม่ได้ พอดีว่าพวกเราว่าง คุณล่ะ คุณชอบหนังแนวนี้เหรอ”

“ว่างไม่มีอะไรทำ ก็เลยมาเชียร์เพื่อน”

เห็นได้ชัดว่าเพื่อนที่เขาพูดถึงคือหลี่ฮว่า

เวินเสี่ยวฮุยคิดในใจ ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ พาเพื่อนใหม่มารู้จักเพื่อนเก่าอย่างไร้อุปสรรค

เวินเสี่ยวฮุยมองตาหลัวรุ่ย จิตวิญญาณแห่งการซุบซิบนินทาเผาไหม้อยู่ในดวงตาของกันและกัน

เวลานี้ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และนักแสดงต่างก็อยู่บนเวทีแล้ว สีหน้าของเวินเสี่ยวฮุยเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง เขาอยากรู้ว่าหลี่ฮว่าจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นเซ่าฉวินกับเพื่อนใหม่ คิดไม่ถึงว่าหลี่ฮว่าจะกล่าวทักทายแขกที่มาร่วมงานรอบปฐมทัศน์อย่างภาคภูมิใจ เมื่อสายตาหยุดอยู่ที่เซ่าฉวินก็ยังคงยิ้มอย่างใจกว้างโดยไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย เซ่าฉวินก็ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกัน

เวินเสี่ยวฮุยอดไม่ได้ที่จะชูนิ้วโป้งอยู่ในใจพลางคิดในใจว่าสองคนนี้สุดยอดจริงๆ

หลังจากพูดคุยบนเวทีสักพักและปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมพอประมาณ ภาพยนตร์ก็เริ่มฉาย

เซ่าฉวินหันตัวมาเล็กน้อย “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”

“ผมสบายดีมากๆ ต้องขอบคุณคุณชายเซ่าที่ทำให้ผมได้ไปเรียนต่อเมืองนอก พอกลับมาก็ทำงานได้ราบรื่นขึ้นมาก”

เซ่าฉวินหัวเราะเสียงต่ำ “ฉันบอกแล้วว่าจะปฏิบัติต่อนายอย่างดี ไม่ได้โกหกนายใช่ไหมล่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะแห้งๆ “แน่นอนว่าคำพูดของคุณชายเซ่ามีค่าเหมือนทองคำ”

“ไม่เจอกันหนึ่งปีนายดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว ทำงานให้ดี จวี้ซิงจะมีโอกาสให้นายก้าวหน้าได้มาก”

“แน่นอน ขอบคุณคุณชายเซ่า”

“จริงสิ” เซ่าฉวินเผยรอยยิ้มขี้เล่น “ช่วงนี้หลานของนายเป็นยังไงบ้าง”

หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยเต้นตึกตัก เขายังไม่ลืมว่าลั่วอี้เคยส่งรูปเปลือยของประธานหลัวให้กับเซ่าฉวิน แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่รู้ว่าเซ่าฉวินรู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือของลั่วอี้ แต่เมื่อดูจากข้อเท็จจริงที่ว่าเซ่าฉวินไม่ได้มาหาเรื่องเขาหลังจากนั้น เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายขนาดนั้น แน่นอนว่าถ้าเซ่าฉวินไม่ได้พูดอะไร เขาก็ต้องแสร้งโง่แล้วพูดว่า “สบายดีครับ ใกล้จะเรียนจบแล้ว”

“อ่อ เก็บหน่วยกิตเร็วดีจังเลย”

เวินเสี่ยวฮุยคิดจะเออออด้วย แต่จู่ๆ ก็อึ้งไป เขาไม่เคยพูดว่าลั่วอี้กำลังเรียนมหาวิทยาลัย ด้วยอายุของลั่วอี้ตอนนี้น่าจะกำลังเรียนจบมัธยมปลายถึงจะถูก เซ่าฉวินรู้ได้อย่างไร…เขาหันไปมองเซ่าฉวินด้วยตัวที่แข็งทื่อ

เซ่าฉวินก็มองเขาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน สายตาเฉียบคมดุจใบมีด ราวกับว่าการเสแสร้งของเขาถูกตัดขาดในทันที ทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว

เซ่าฉวินรู้ เซ่าฉวินจะต้องรู้แน่ๆ! เขาสืบเรื่องของลั่วอี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขารู้อะไรบางอย่าง เขาคงไม่ไปสืบเรื่องของลั่วอี้ แล้ว…ลั่วอี้รู้หรือเปล่า

เซ่าฉวินพูดเสียงเบา “ไม่ต้องตื่นเต้น นายก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

ความหมายในคำพูดนี้ก็คือลั่วอี้ทำผิดอย่างนั้นเหรอ แต่เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว ถ้าเซ่าฉวินคิดจะหาเรื่องก็คงไม่รอมาจนถึงตอนนี้หรอก

เขาพูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “คุณชายเซ่า ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคุณ”

“แกล้งโง่กับฉันมีประโยชน์เหรอ ฉันรู้เรื่องที่พวกนายทำอย่างแจ่มแจ้งมากนะ ต้องพูดว่าฉันประทับใจนายมากกว่า ตอนแรกฉันนึกว่านายจะเป็นพวกขี้ขลาดซะอีก แต่คิดไม่ถึงว่านายจะฉลาดเหมือนกันนี่”

เห็นได้ชัดว่าเซ่าฉวินคิดว่ารูปเปลือยนั้นเป็นฝีมือของเขากับลั่วอี้ ไม่ว่าใครก็คงจะไม่เชื่อว่าเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคนหนึ่งจะมีอุบายและวิธีการอย่างนี้ ฉะนั้นเวินเสี่ยวฮุยจึงไม่สามารถโต้แย้งได้เลย สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด ถ้าบอกว่าเขาไม่รู้ ใครจะไปเชื่อล่ะ

ทั้งสองคนชมภาพยนตร์ที่ไร้รสชาติโดยมีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกเสียใจมากที่มาในวันนี้ ที่ซวยยิ่งกว่าก็คือนึกไม่ถึงว่าจะเจอกับเซ่าฉวิน เขาคิดว่าควรจะหาข้ออ้างเผ่นออกไปดีหรือเปล่า แต่มันจะชัดเจนเกินไป

มองอยู่ครู่หนึ่งเซ่าฉวินก็พูดขึ้น “ลั่วอี้ไม่ใช่หลานแท้ๆ ของนายสินะ ฉันแอบหาข้อมูลนายมานิดหน่อย เขาเป็นลูกชายของเด็กผู้หญิงที่พ่อนายรับเลี้ยง”

เวินเสี่ยวฮุยแอบกลอกตา “อืม”

“ภูมิหลังของเขาน่าสนใจอยู่นะ”

หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยเต้นตึกตัก “คะ…คุณรู้อะไร”

“ก็รู้นิดหน่อย แต่ไม่ได้สืบต่อเพราะมีความเสี่ยง แถมยังไม่จำเป็น แต่ในฐานะที่นายเป็นพนักงานที่ฉันให้ความสำคัญในการฝึกฝน ฉันจะเตือนนายอย่างหนึ่ง อยู่ให้ห่างเขาไว้จะดีที่สุด”

“คำพูดของคุณ…หมายความว่าอะไร”

“ก็หมายความว่าเขาเป็นบุคคลอันตรายไง เขามีสถานะที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการ”

“เรื่องนี้ผมรู้ แต่สำหรับผมแล้วเขาเป็นแค่เด็กที่พี่สาวฝากฝังไว้กับผมเท่านั้น ตราบใดที่พวกเราไม่ไปก่อเรื่องจะมีอันตรายได้ยังไง” ขณะที่เวินเสี่ยวฮุยกล่าวประโยคนี้ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย อันที่จริงพ่อของลั่วอี้เป็นเหมือนระเบิดที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะเป็นภัยต่อพวกเขาหรือเปล่า เขาคิดแค่ว่า ‘เสือถึงจะร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง’* คิดว่าอย่างน้อยคนคนนั้นก็จะไม่ทำร้ายลั่วอี้

เซ่าฉวินหัวเราะเยาะ “ฉันคงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง ฉันเตือนนายให้ระวังเอาไว้ นายก็อย่าเห็นคำพูดของฉันเป็นลมข้างหูซะล่ะ”

“…แล้ว”

หลังจากภาพยนตร์จบลงเวินเสี่ยวฮุยก็ลากตัวหลัวรุ่ยหนีไปอย่างรวดเร็ว

หลัวรุ่ยถามด้วยความตื่นเต้นตลอดทาง “หนังเสียงดังเกินไปฉันฟังไม่ถนัดเลย เซ่าฉวินพูดอะไรกับนายน่ะ สีหน้านายไม่ค่อยดีเลยแฮะ”

“ไม่มีอะไร ก็ยังเป็นเรื่องรูปเปลือยนั่นแหละ น่าจะไม่มีอะไรแล้ว”

“อ่อ ผ่านไปตั้งนานแล้ว น่าจะไม่มีอะไรหรอกมั้ง” หลัวรุ่ยลูบๆ ศีรษะของเขา “นายอย่ากลัวไปเลย ถ้าเซ่าฉวินคิดจะทำอะไรจริงๆ คงไม่รอนานขนาดนี้หรอก เลิกคิดได้แล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า

ในเวลานี้มือถือของเวินเสี่ยวฮุยดังขึ้น เขามองดูสายเรียกเข้า เป็นแม่ของเขาที่โทรเข้ามา

“ฮัลโหล แม่”

“เสี่ยวฮุย แกรีบกลับมาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของเฝิงเยวี่ยหวาทั้งกระวนกระวาย ทั้งโกรธ และหายใจติดขัด

“เป็นอะไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

“มีโจรขึ้นห้อง!” เฝิงเยวี่ยหวาพูดด้วยความโมโห “ไอ้โจรนี่มันจะต้องไม่ตายดี กล้าย่องเข้ามาในห้องของฉันเรอะ ถ้าฉันอยู่ห้องล่ะก็จะฆ่ามันด้วยมีดหั่นผักเลยเชียว!”

“แม่ ผมจะกลับไปเดี๋ยวนี้ แม่แจ้งความแล้วยัง อย่าเพิ่งแตะต้องอะไรจนกว่าตำรวจจะมานะ”

“ฉันรู้แล้ว แกรีบกลับมาเถอะ มาเช็กดูว่ามีอะไรหายไปหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยลากหลัวรุ่ยขึ้นรถแท็กซี่ แล้วรีบมุ่งหน้ากลับไปยังที่พัก ทว่าเพิ่งจะขึ้นรถได้ไม่นานลั่วอี้ก็โทรเข้ามา

ในสมองของเวินเสี่ยวฮุยเต็มไปด้วยเรื่องโจรขึ้นห้อง เมื่อเห็นสายของลั่วอี้ก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไร

“ฮัลโหล ลั่วอี้”

“พี่เสี่ยวฮุย พี่อยู่ไหนน่ะ มากินมื้อดึกด้วยกันสิ”

“ไม่ล่ะ ตอนนี้ฉันต้องกลับไปที่ห้อง”

“น้ำเสียงพี่ดูร้อนรนจังเลย มีอะไรเหรอ”

“เฮ้อ มีโจรขึ้นห้องน่ะ”

“โจร?” ลั่วอี้พูดเสียงต่ำ “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไร มีอะไรหายไปบ้าง”

“ฉันอยู่ระหว่างทาง ยังไม่รู้”

“พี่ถึงบ้านตรวจสอบสถานการณ์แล้วโทรหาผม อยากให้ผมเข้าไปหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอก แม่ฉันอยู่บ้านน่ะ”

“…นั่นสิ สรุปว่าพี่ตรวจสอบสถานการณ์แล้วต้องโทรหาผมนะ”

“ได้” เมื่อเผชิญหน้ากับความห่วงใยของลั่วอี้ เวินเสี่ยวฮุยก็สบายใจขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เขาสงสัยว่าความห่างเหินก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขาคิดไปเองหรือเปล่า ถึงอย่างไรเขากับลั่วอี้ก็เข้ากันได้ดีตลอดสองปีที่ผ่านมา มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จู่ๆ จะไม่ดีนี่นา

เมื่อกลับถึงห้องตำรวจก็มาถึงแล้วและกำลังบันทึกคดี เวินเสี่ยวฮุยมองดูห้องที่ถูกรื้อกระจัดกระจายก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย

แม่ของเขานั่งอยู่บนโซฟา เอียนก็อยู่ด้วย พร้อมกับปลอบโยนเธอ

“แม่”

เฝิงเยวี่ยหวาโมโหจนดวงตาแดงก่ำ “ทำไมแกเพิ่งมาเอาป่านนี้!”

“แม่ อย่าเสียใจไปเลย” เวินเสี่ยวฮุยเดินเข้ามากอดเธอ “คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว บ้านเรามีของมีค่าที่ไหนล่ะ สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือแม่คนสวยของผมนี่แหละ”

เฝิงเยวี่ยหวาอดที่จะหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้ “เป็นแต่พูดจาไร้สาระ”

หลัวรุ่ยก็ปลอบใจเช่นกัน “คุณน้าครับ เสี่ยวฮุยพูดถูก คนไม่เป็นไรก็คือความโชคดีในความโชคร้ายนะครับ”

เฝิงเยวี่ยหวาพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา

เอียนลูบๆ หลังของเธอ “คืนนี้พวกเรามาเก็บของด้วยกันเถอะ”

หลังจากเวินเสี่ยวฮุยกับตำรวจจดบันทึกคดีเสร็จก็ดึกมากแล้ว โดยตำรวจได้นำกล้องวงจรปิดของที่พักไปตรวจสอบต่อ แล้วพรุ่งนี้พวกเขายังต้องไปที่สถานีตำรวจเพื่อให้ความร่วมมือในการสอบสวน

หลังจากตำรวจกลับไปแล้ว พวกเขาก็มองดูห้องที่เละเทะ ยังไม่ทันเริ่มเก็บกวาดก็รู้สึกเหนื่อยซะแล้ว

“มาดูของที่หายกันก่อนเถอะ ดูไปด้วยเก็บกวาดไปด้วย” เอียนพูด

“ครับ” เวินเสี่ยวฮุยถกแขนเสื้อขึ้น

เอียนมองหลัวรุ่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เสี่ยวฮุย เขาเป็นแฟนของเธอเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยมองดูชุดสูทคู่ของพวกเขาจากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ประมาณนั้นมั้งครับ”

ทั้งสี่คนเริ่มจัดห้องทั่วทุกตารางนิ้ว

เวินเสี่ยวฮุยตรวจนับข้าวของในห้องของตัวเอง ห้องของเขาไม่ใหญ่ เดินหารอบหนึ่งก็ไม่เห็นว่ามีอะไรหายไป โชคดีมากที่เขาทิ้งแล็ปท็อปไว้ที่ทำงานและไม่ได้นำกลับมาด้วย ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานมากแน่ๆ

หลังจากตรวจดูเสร็จก็มีแค่เงินสดในห้องนั่งเล่นที่หายไปแต่ก็เพียงไม่กี่ร้อยหยวนเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามกล่องเครื่องประดับของเฝิงเยวี่ยหวาที่ซ่อนอยู่ในตู้หนังสือถูกรื้อค้นออกมาแต่ไม่ได้เอาไปด้วย ชวนให้สงสัยว่าเจ้าโจรคนนี้ตาบอดหรือเปล่า

เฝิงเยวี่ยหวาถอนหายใจโล่งอก “ยังดีที่หายไม่เยอะ”

เวินเสี่ยวฮุยเองก็โล่งใจมาก “เยี่ยมไปเลย ก็แค่จัดข้าวของในห้อง แถวที่พักของพวกเราไม่เคยเกิดเรื่องมาสิบกว่าปี ทำไมถึงเกิดเรื่องกับพวกเราได้นะ หรือว่าโจรจะจ้องพวกเราไว้นานแล้วเพราะเห็นว่าผมเหมือนคนมีตังค์?”

เฝิงเยวี่ยหวาหัวเราะพลางด่า “แกมันเหมือนคนมีตังค์ตรงไหน”

“บุคลิกไง บุคลิกสูงส่งไงล่ะ”

เอียนกับหลัวรุ่ยหัวเราะออกมา

พวกเขาอดนอนเพื่อจัดห้อง ในที่สุดก็จัดห้องเสร็จในเวลาตีสามกว่าๆ หลังจากเอาขยะออกไปทิ้ง ห้องทั้งห้องก็คืนสู่ความมีระเบียบเรียบร้อยดังเดิม

เอียนเกรงใจที่จะอยู่ค้างคืนที่นี่จึงขับรถกลับไปแล้ว คืนนี้หลัวรุ่ยจะอยู่ค้างคืนด้วย

หลังจากหลัวรุ่ยนอนลงบนเตียงของเวินเสี่ยวฮุยก็พลิกตัวมาพูดอย่างไม่สบายใจ “เมื่อก่อนไม่เห็นจะรู้สึกว่าเตียงมันเล็กขนาดนี้นี่นา”

“นายมานอนที่เตียงฉันครั้งล่าสุดเมื่อไร มัธยมต้นมั้ง”

“ความหมายของนายคือตอนนี้ฉันอ้วนขึ้นใช่ไหม” หลัวรุ่ยหยิกๆ เนื้อที่พุง “อย่าทำให้ฉันกลัวสิ”

“กินแต่ของหวานทั้งวัน อ้วนไม่อ้วนนายไม่รู้หรือไง”

หลัวรุ่ยบ่นพึมพำอย่างหดหู่ใจ

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจ “ฉันนอนไม่ค่อยหลับ พอโจรขึ้นห้องแล้วก็รู้สึกว่าที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว รู้สึกไม่วางใจเลย” ก็เหมือนกับเกราะป้องกันบางอย่างถูกทำลายลง ทำให้ยากต่อการสงบสติอารมณ์

หลัวรุ่ยกอดเขาแล้วลูบศีรษะพลางปลอบประโลม “เบบี๋ ไม่ต้องกลัว ถ้านายไม่วางใจล่ะก็จะย้ายไปอยู่ที่บ้านฉันก่อนก็ได้ ถึงยังไงพ่อแม่ของฉันก็ไม่อยู่บ้าน”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “ไม่ต้องหรอก ฉันคิดอยากจะเปลี่ยนห้องใหม่ให้แม่อยู่ตลอด ไว้ฉันได้มรดกก้อนนั้นแล้ว สิ่งแรกที่จะทำก็คือเปลี่ยนที่อยู่ที่ดีกว่านี้และใหญ่กว่านี้”

“ถ้านายจะซื้อบ้านล่ะก็ ซื้อหลังที่ใกล้บ้านฉันหน่อยดีไหม”

“ให้ตายเถอะ พ่อทายาทเศรษฐี นายรู้ไหมว่าที่ดินบ้านพวกนายมันแพงแค่ไหน ต่อให้ขายฉันก็ซื้อไม่ไหวหรอก”

หลัวรุ่ยยู่ปาก “เมื่อก่อนสมัยเรียนก็เจอนายได้ทุกวันนี่นา”

“เดี๋ยวนี้อาทิตย์หนึ่งก็เจอกันหลายครั้ง โธ่เอ๊ย นายรักฉันขนาดนี้ ฉันกดดันมากนะ”

หลัวรุ่ยหัวเราะแล้วด่า “ไอ้บ้าเอ๊ย”

ทั้งสองกอดกันผล็อยหลับไป เวินเสี่ยวฮุยหลับตาเพียงไม่กี่นาทีก็ลืมตาขึ้นกะทันหัน เขาขยับไหล่เล็กน้อย

หลัวรุ่ยพูด “เป็นอะไรไป”

“ลั่วอี้ให้ฉันรายงานสถานการณ์ ฉันยุ่งจนลืมไปเลย”

“พรุ่งนี้ก็ได้นี่นา จะรีบไปไหน ไม่มีของหายสักหน่อย”

“นายไม่เข้าใจนิสัยของเขา” เวินเสี่ยวฮุยลุกขึ้นนั่งแล้วควานหามือถือ

“ถ้าเขาร้อนใจขนาดนั้นก็คงโทรมาแล้วล่ะ”

“ตามคาด มือถือของฉันแบตฯ หมด…” เวินเสี่ยวฮุยหยิบมือถือออกมาแล้วทุบศีรษะด้วยความโกรธ เขารีบชาร์จแบตเตอรี่ทันที และทันทีที่เขาเปิดเครื่องก็มีหลายข้อความและหลายสายที่ไม่ได้รับ การโทรครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง เขารีบโทรกลับ ทันทีที่เชื่อมต่อสายได้เขาก็พูด “ขอโทษทีนะลั่วอี้ ฉันเก็บห้องตลอดเวลาเลยไม่รู้ว่ามือถือแบตฯ หมด”

ที่ปลายสายสูดหายใจเข้าลึก ลั่วอี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงล้ำลึกอย่างยิ่ง ทันทีที่ได้ยินก็รู้ได้ว่าเหมือนกำลังข่มความโกรธเอาไว้

“ผมอยู่ข้างล่างห้องพี่”

เวินเสี่ยวฮุยตกใจ “หา? ตอนนี้เหรอ”

“ใช่”

“นะ…นายมาที่ห้องฉันได้ยังไง นี่มันตีสามแล้ว”

“เพราะพี่ปิดเครื่องตลอดเวลา ผมจะรู้ได้ยังไงว่าพี่เป็นยังไงบ้าง”

“โอ๊ย นะ…นายรอแป๊บ ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้” เวินเสี่ยวฮุยพลิกตัวกระโดดลงจากเตียงพลางพูดกับหลัวรุ่ย “นายนอนเถอะ เดี๋ยวฉันกลับมา”

ลั่วอี้อึ้งไป “พี่กำลังคุยกับใคร ใครนอนอยู่ข้างพี่”

“หลัวรุ่ย เขามาช่วยฉันเก็บห้อง”

“อ่อ” น้ำเสียงของลั่วอี้สงบลง

หลัวรุ่ยมองเขาแล้วยิ้มอย่างคลุมเครือ

เวินเสี่ยวฮุยมองค้อนอีกฝ่ายก่อนจะกดร่างกลับลงไปบนเตียง “นอนเถอะนายน่ะ” เขาใส่เสื้อคลุมทับชุดนอนแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง

ทันทีที่มองลงไปชั้นล่างลั่วอี้ก็อยู่นอกทางเดินอาคาร เขาสวมเสื้อสเว็ตเตอร์มีฮู้ดซึ่งไม่หนานัก พิงอยู่กับจักรยาน กำลังรอเขาพร้อมสองมือล้วงกระเป๋า

เวินเสี่ยวฮุยวิ่งเข้าไป ใช้มือปิดหูของอีกฝ่ายที่แข็งจากความหนาว “เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ทำไมนายถึงใส่เสื้อบางแบบนี้ นายก็รู้ว่าอุณหภูมิตอนกลางคืนมันลด…”

ลั่วอี้กอดเขาแน่นทันที

เวินเสี่ยวฮุยตัวแข็งค้าง

ลั่วอี้พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “โชคดีที่พี่ไม่เป็นอะไร”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ “ไม่เป็นไร ตอนที่โจรเข้ามาไม่มีใครอยู่ห้อง พวกเราเช็กดูแล้วก็ไม่มีของมีค่าหายไป ประเด็นคือห้องฉันไม่มีของมีค่าน่ะสิ ฮ่าๆ”

ลั่วอี้ใช้แก้มถูๆ กับแก้มของเขา “โจรได้อะไรไป”

“แค่เงินสดไม่กี่ร้อยหยวน ขนาดเครื่องประดับของแม่ฉันยังไม่แตะต้องเลย มีแหวนเพชรเชียวนะ”

แววตาของลั่วอี้ล้ำลึกมาก “อะไรอีก มีอะไรหายบ้าง”

“ฉันไม่เห็นว่ามีอะไรหายนะ แล็ปท็อปของฉันก็อยู่ที่ทำงาน กองเครื่องประดับของก๊อปโจรก็ยังไม่แตะเลย โจรรายนี้ดวงซวยจริงๆ ปล้นใหญ่ทั้งทีแต่ดันเอาแค่ไม่กี่ร้อยหยวน” เวินเสี่ยวฮุยคิดว่าท่าในตอนนี้กระอักกระอ่วนมาก เขาอยากให้ลั่วอี้ปล่อยเขา แต่ลั่วอี้กลับไม่ปล่อยมือ ที่จริงแล้วเขาค่อนข้างสุขใจ ความเฉยเมยของลั่วอี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาดูเหมือนจะหายวับไปในอ้อมกอดนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากเกินไป ลั่วอี้ก็แค่ยุ่งจริงๆ เท่านั้น

สุดท้ายแล้วลั่วอี้ก็ปล่อยเขา ทว่ายังคงโอบมือรอบเอวของเขา “ไว้พี่ได้รับมรดกแล้วก็ย้ายเข้าไปในห้องชุดที่แม่ทิ้งไว้ให้ได้แล้ว การรักษาความปลอดภัยในเขตที่พักอาศัยนั้นดีมาก”

“ดีเลย ไว้ถึงเวลาค่อยไปดู ฉันก็คิดที่จะเปลี่ยนที่อยู่ที่ดีกว่านี้ให้แม่ฉันจริงๆ ที่นี่มันเก่าเกินไป”

ลั่วอี้พูดเสียงเบาอีกครั้ง “พี่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “จะเป็นอะไรได้ล่ะ ก็แค่โจรเอง”

ลั่วอี้มองเขาอย่างลึกซึ้ง จู่ๆ ก็ก้มหน้าประกบริมฝีปากของเขา

เวินเสี่ยวฮุยตาโต หัวใจเต้นเร็วฉับพลัน ในสมองว่างเปล่า

 

* เสือถึงจะร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง เป็นสำนวน หมายถึงคนเราไม่ว่าจะโหดเหี้ยมแค่ไหนก็จะไม่ทำร้ายลูกของตัวเอง

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: