เมื่อมาถึงชั้นของเรา ฉันออกจากลิฟต์มาก่อนโดยมียายน้ำเดินตามออกมาติดๆ ฉันเตรียมตัวรอฟังคำถากถางของเธอบ้าง
“ฉันเสียใจกับเธอด้วยนะ”
เอ…จะมาไม้ไหนเนี่ย
“เรื่องอะไร”
“ก็เห็นใส่สีไว้ทุกข์ทั้งปี เลยคิดว่าคนใกล้ตัวจากเธอไปทีละคนสองคนเพราะทนปากเธอไม่ได้น่ะสิ”
พูดจบแล้วยายน้ำก็เดินจากไป เธอไม่ได้เมตตาฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้สึกเจ็บๆ คันๆ แต่ก็มันส์ดี
เอ…ฉันเป็นพวกนิยมความเจ็บปวดรึเปล่าเนี่ย
ยกนี้ฉันแพ้เพราะเธอมีเวลาคิดโต้ตอบตอนอยู่ในลิฟต์ แต่ไม่เป็นไร…ชีวิตของเราสองคนยังต้องเจอกันอีกนาน
การประชุมเริ่มขึ้นตรงเวลา ยายน้ำเริ่มสรุปงานในโปรเจ็กต์ที่ตัวเองรับผิดชอบก่อน จากนั้นก็เป็นคิวของฉันบ้าง เราทั้งสามคนใช้เวลาพูดคุยกันเกือบชั่วโมง ส่วนใหญ่พี่อี๊ดจะรับฟังแต่ก็มีคำถามและคำแนะนำแทรกมาเป็นระยะๆ หลังจากจบการรายงานแล้ว พี่อี๊ดก็มีเรื่องคุยกับเราบ้าง
“เอาล่ะ วันนี้พี่มีสองเรื่องจะแจ้งให้ทราบ เรื่องแรกคือส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงของเรา ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เราเสียลูกค้าให้คู่แข่งไปพอสมควร ทำให้เขามีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเกินหน้าเราไปประมาณสองสามเปอร์เซ็นต์ บอสก็เริ่มเตือนมาแล้วให้เราเร่งหาลูกค้าหน่อย”
“น้ำสงสัยจังว่าทำไมเดอะ ช้อยส์ถึงดึงลูกค้าของเราไปได้ ทั้งที่ลูกค้าเหล่านั้นก็เคยพึงพอใจกับงานของเรามาก”
“เออ พี่ก็ไม่แน่ใจ อาจจะเป็นเพราะเขามีเงินทุนมาก แล้วใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อเข้าแข่งขันกับเราก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นบัวจะพยายามดูแลลูกค้าเก่าของเราแล้วกันนะคะ อาจจะต้องเพิ่มกลยุทธ์บางอย่างเพื่อดึงดูดเขาเอาไว้”
พี่อี๊ดพยักหน้า “เราสองคนลองคิดดูแล้วกันว่าพอจะมีทางไหนแก้ไขปัญหานี้ได้บ้าง ส่วนอีกเรื่องคือพี่มีโปรเจ็กต์ใหม่ที่เพิ่งรับมาจากบิ๊กบอสเราเมื่อวานนี้”
“กินได้ไหมคะพี่” ฉันถามเพื่อจะได้รู้ว่ามันจะเป็นงานของใคร
“ได้บ้างไม่ได้บ้าง” พี่อี๊ดพูดยิ้มๆ