X
    Categories: กล่อมเกลาปราชญ์หญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 3

โรงเตี๊ยมพลันสับสนวุ่นวายขึ้นมา องครักษ์แคว้นฉียืนเรียงเป็นสองแถว สาวใช้รูปร่างหน้าตางดงามยืนประจำที่ นี่สิถึงจะเรียกได้ว่าต้อนรับขับสู้ แต่จ้าวจ้งเจียวไม่ซาบซึ้งด้วยสักนิด

เขามองกระบี่ที่ปักอยู่บนพื้นทีหนึ่ง จากนั้นก็ปรายตาไปยังฝักกระบี่ที่ห้อยอยู่ตรงเอวกงซีอู๋ แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “นี่น่ะหรือธรรมเนียมรับรองแขกของแคว้นฉี”

กงซีอู๋ตอบด้วยสีหน้าและแววตาราบเรียบ “ฉีหวังประชวรหนัก ทั่วทั้งแผ่นดินจะมีการต่อสู้จนเลือดตกยางออกมิได้ ผู้น้อยจำเป็นต้องลงมืออย่างไม่มีทางเลือก”

“เช่นนั้นการที่ท่านมหาอำมาตย์แคว้นฉีให้ข้าเป็นฝ่ายไปพบเขา ก็เป็นธรรมเนียมรับรองแขกเหมือนกันหรือ”

“อันผิงจวินเป็นแม่ทัพ เพิ่งดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์ได้ไม่นาน จึงบกพร่องในเรื่องธรรมเนียมอยู่บ้าง”

จ้าวจ้งเจียวเหยียดมุมปาก “แล้วเหตุใดตัวท่านที่ทำหน้าที่นี้ถึงได้มาช้านัก นี่ก็เป็นธรรมเนียมรับรองแขกหรือ”

กงซีอู๋เหลือบตามองอย่างมีนัยลึกซึ้ง “ฉางอันจวินไม่ใช่แขก”

จ้าวจ้งเจียวเบิกตากว้าง พอจะสาวเท้าออกเดินก็ถูกอะไรรั้งไว้ เขาตวัดกระบี่ฟันชายเสื้อคลุมที่ถูกตรึงไว้กับพื้นด้วยความโมโห

กงซีอู๋เบี่ยงตัวพลางผายมือเชิญราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น “ทางเราเตรียมจวนตัวประกันไว้พร้อมแล้ว เชิญฉางอันจวินเข้าพักได้”

จ้าวจ้งเจียวเก็บกระบี่ ใบหน้าบึ้งตึงขณะมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา ทว่าสุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปอย่างทนไม่ไหว

เมื่อทุกคนออกไปกันหมดแล้ว ตันคุยก็ประคองอี้เจียงขึ้นมาแล้วชักกระบี่ออกจากพื้น ใช้สองมือประคองส่งคืนกงซีอู๋ “คุยดูแลแม่นางได้ไม่ดี รู้สึกผิดต่อบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านกุ่ยกู่ยิ่งนัก ผู้ทรงภูมิกงซีโปรดอย่าได้ถือสา”

กงซีอู๋เก็บกระบี่เข้าฝัก “ท่านมีใจผดุงคุณธรรมในแบบจอมยุทธ์ ทำถูกต้องแล้วล่ะ”

ตันคุยทำท่าจะก้มลงคำนับอีกครั้ง แต่ถูกอีกฝ่ายจับข้อมือเอาไว้

อี้เจียงกำลังแอบขยับออกไปยืนให้ไกลๆ ก็ได้ยินเสียงกงซีอู๋พูดกับตนเองเสียก่อน “ไม่ได้พบกันนาน ศิษย์น้องไม่อยากคุยกับข้าหรือ”

นางปัดเศษดินออกจากตัว สูดหายใจลึกๆ พอหันกลับมาสีหน้าก็นิ่งสงบดุจสายน้ำ “พวกเรายังมีอะไรให้คุยกันได้อีกเล่า”

กงซีอู๋กวาดตามองนางอยู่นาน ก่อนจะยิ้มเรียบๆ “นึกว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์น้องจะมีเรื่องอยากพูดกับข้าเสียอีก”

อี้เจียงมองลายปักงดงามบนชุดที่เขาสวม ไหนจะหยกประดับมีพู่ห้อยตรงเอว พอมองสภาพตนเองแล้วนางก็กระตุกมุมปาก “ศิษย์พี่คิดจะให้ไปพูดกันที่ใด”

กงซีอู๋ล้วงป้ายไม้แผ่นหนึ่งจากในแขนเสื้อส่งให้ “พรุ่งนี้หลังยามอู่ สามเค่อ ข้าจะรอเจ้าที่สำนักศึกษาจี้ซย่า”

อี้เจียงรับป้ายไม้ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็เดินออกไปแล้ว

จวนตัวประกันตั้งอยู่ไม่ห่างจากวังหลวง นี่คงเป็นเพียงจุดเดียวที่สร้างความพอใจให้จ้าวจ้งเจียวได้บ้าง ท่ามกลางความไม่พอใจนานัปการ

กว่าอี้เจียงจะไปถึง ฟ้าก็เกือบมืด เนื่องจากเผยยวนหมดสติ นางจึงต้องเสียเวลาหว่านล้อมตันคุยอยู่นาน เขาถึงยอมทิ้งความรังเกียจ แบกเผยยวนออกจากโรงเตี๊ยมจุดพักม้า

จวนตัวประกันไม่ใช่คฤหาสน์ใหม่ การตกแต่งก็เทียบจวนฉางอันจวินที่แคว้นจ้าวไม่ได้ ห้องโถงด้านหน้าเล็กเสียจนน่าเวทนา แต่ก่อนเคยได้จุดตะเกียงสว่างไสวเต็มห้อง ตอนนี้ได้จุดแค่สองดวง จ้าวจ้งเจียวแต่งชุดสตรีนั่งอยู่ในนั้นยังตกอยู่ในเงามืดเสียครึ่งร่าง

พออี้เจียงเดินผ่านหน้าห้อง เขาก็เงยหน้าขึ้นมาเรียกเอาไว้ “ผู้ทรงภูมิอย่าเพิ่งไป”

เมื่อตอนกลางวันอี้เจียงได้รับความอับอายในโรงเตี๊ยมจุดพักม้า ทั้งยังโดนกงซีอู๋เห็นเข้า นางจึงถลกชายเสื้อคลุมก้าวเข้าไปในห้องโถงอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“นายท่านมีอะไรจะกล่าวหรือ”

จ้าวจ้งเจียวเห็นนางไม่ยอมคำนับเขาด้วยซ้ำก็แค่นจมูกดังหึ “ตอนนั้นเจ้าบอกว่าการมาเป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นฉีมีประโยชน์ต่อข้าในระยะยาว ไหนลองอธิบายให้ข้าฟังโดยละเอียดซิว่ามีประโยชน์อย่างไร”

อี้เจียงเชิดหน้า “ปราชญ์วางแผนเพื่อคนรู้ใจ นายท่านเห็นข้าเป็นแค่ทาสสำหรับระบายโทสะเท่านั้น แล้วเหตุใดข้าต้องเปลืองสมองวางแผนเพื่อนายท่านด้วย”

จ้าวจ้งเจียวมุมปากกระตุก เกือบอาละวาดใส่นางอยู่แล้ว “ทำไม ต้องให้ข้าขอขมาเจ้าหรือ!”

อี้เจียงยกมือปราม “เช่นนั้นข้าจะแจกแจงส่วนได้ส่วนเสียให้ฟังก่อน หากนายท่านเห็นว่ามีเหตุผล ค่อยขอขมาข้าก็ยังไม่สาย”

ฝ่ายตรงข้ามกลอกตา ยิ่งดูมีจริตเย้ายวนเมื่ออยู่ในชุดสตรี “ว่ามาสิ”

นางกล่าว “นายท่านมาอยู่แคว้นฉีครั้งนี้ แม้จะเป็นตัวประกัน แต่ความจริงแล้วคือมาสร้างผลงาน ความดีความชอบของท่านมีได้ถึงสองประการ ประการแรกหากองทัพไปช่วยแผ่นดินเกิด แก้ปัญหาเร่งด่วนที่สุดให้แคว้นจ้าว ประการที่สองกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นฉีและแคว้นจ้าวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น วันข้างหน้าเมื่อนายท่านกลับไป ก็จะมีสถานะที่มั่นคงจากความดีความชอบสองประการนี้ ยังไม่เรียกว่าเป็นประโยชน์อีกหรือ”

สีหน้าของจ้าวจ้งเจียวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขาเหลือบตามองนางหลายครั้งขณะเม้มปากนิ่ง

อี้เจียงรู้ว่าเขาคล้อยตาม แต่ทำวางท่าไม่ยอมรับ นางอยากดัดนิสัยเด็กนี่มานานแล้ว จึงถลกแขนเสื้อก้าวเข้าไปถอดเสื้อคลุมเขา

“ในเมื่อนายท่านเข้าใจภาระหน้าที่ของตนเองแล้วก็ควรปรับปรุงตัวเสียใหม่ สำรวมตัวอย่างเคร่งครัด อย่าทำอะไรให้คนแคว้นฉีจับผิดได้ ท่านมาอยู่ที่นี่ในฐานะตัวแทนแคว้นจ้าวนะ!”

จ้าวจ้งเจียวตกตะลึงอ้าปากค้าง ยกมือสองข้างขึ้นกอดอกโดยไม่รู้ตัวแล้วพูดตะกุกตะกักเป็นครั้งแรกในชีวิต “จะ…เจ้า…นี่เจ้าถอดเสื้อข้าหรือ!”

อี้เจียงพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “นายท่านยังติดค้างคำขอขมาข้า ข้าจะจำไว้”

ถึงนางจะเดินออกไปแล้ว จ้าวจ้งเจียวก็ยังได้แต่มองตามตาค้าง ไม่ได้สติกลับมา

ได้แกล้งจ้าวจ้งเจียวก็สะใจดีอยู่หรอก แต่ความสะใจนี้อยู่ได้แค่คืนเดียว เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น อี้เจียงก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวรับศึกครั้งใหม่

สำนักศึกษาจี้ซย่าตั้งอยู่ตรงประตูจี้เหมินไม่ไกลจากเมืองหลินจือ สร้างขึ้นโดยฉีหวนกง เพื่อเป็นศูนย์รวมบัณฑิตผู้มีความรู้จากแคว้นต่างๆ โดยเฉพาะ ตันคุยเป็นผู้บอกเรื่องเหล่านี้แก่อี้เจียง ขนาดมือกระบี่เต็มตัวอย่างเขายังรู้ แสดงว่าสำนักศึกษาแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก

เผยยวนกลับมาเป็นปกติแล้ว วันนี้ก็มาหาอี้เจียงที่เรือนแต่เช้า ทว่าเอาแต่เกาะอยู่ตรงประตูไม่พูดไม่จา

นางย่อมรู้ว่าเขาคิดอะไร จึงบอกขันๆ “ถ้าอย่างไรก็ไปด้วยกันกับข้าสิ”

ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามโบกมือไปมา “ไม่ๆๆ อย่าเลยขอรับ ต้องให้ผู้ทรงภูมิไปนั่นแหละ มิเช่นนั้นเกรงว่าผู้ทรงภูมิกงซีจะไม่ยอมพบยวน”

“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า”

เผยยวนถอนหายใจ จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา แล้วชะโงกตัวเข้ามากระซิบตรงริมหูนาง “ผู้ทรงภูมิไม่รู้อะไร ว่ากันว่าผู้ทรงภูมิกงซีเป็นทายาทรุ่นหลังของผู้ปกครองแคว้นจิ้น แคว้นจิ้นถูกแยกออกเป็นสามแคว้น คือแคว้นจ้าว แคว้นหาน และแคว้นเว่ย แล้วเขาจะยอมพบยวนซึ่งเป็นคนแคว้นหานหรือ”

นางเลิกคิ้ว “ข่าวของเจ้าเชื่อถือได้หรือไม่”

อีกฝ่ายส่ายหน้า “ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ แต่ระวังไว้ก่อนดีกว่า”

อี้เจียงนึกถึงบุคลิกท่าทางของกงซีอู๋เมื่อคืน พลันรู้สึกว่าเป็นไปได้

เวลานัดหมายคือหลังยามอู่สามเค่อ แต่ตันคุยบอกว่าสำนักศึกษาอยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล ให้รีบออกเดินทางแต่หัววันดีกว่า อี้เจียงปลอบโยนเผยยวนเล็กน้อย จากนั้นก็ออกจากจวนตัวประกัน

อยู่ที่นี่อะไรก็ด้อยกว่าตอนอยู่แคว้นจ้าวไปเสียทุกอย่าง เมื่อก่อนนางชอบตั้งแง่รังเกียจว่ารถม้ากระเทือน ตอนนี้ทั้งจวนตัวประกันมีรถม้าใช้แค่คันเดียว ซึ่งเตรียมไว้สำหรับฉางอันจวิน ต่อให้นางอยากนั่งก็ไม่ได้นั่ง นางเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ตอนเดินออกไปถึงหน้าประตูจวน จะให้ขี่ม้านางก็ขี่ไม่เป็น ระหว่างที่ไม่รู้จะทำเช่นไรดีนั้น รถม้าคันหนึ่งก็เคลื่อนมาแต่ไกล

“ผู้น้อยรับคำสั่งท่านเสนาบดีให้มารับผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ” คนรถบอกอย่างนอบน้อม

อี้เจียงคร้านจะเกรงใจ จึงรับน้ำใจมาด้วยความยินดี

ตอนไปถึงสำนักศึกษาจี้ซย่า แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าก็พบว่าเกือบได้เวลานัดหมายพอดี ตรงประตูใหญ่มีคนยืนเฝ้าสองคน ลักษณะท่าทางเหมือนบัณฑิต บอกให้นางแสดงหลักฐานยืนยันตัวตน อี้เจียงพลันนึกถึงป้ายไม้ที่กงซีอู๋ให้มาเมื่อวาน จึงล้วงออกมาดู บนนั้นเขียนว่ากุ่ยกู่ พอยื่นไปให้บัณฑิต ฝ่ายตรงข้ามก็ประสานมือคำนับเชิญนางเข้าไปข้างในทันที

ด้านในกว้างขวางอย่างเหลือเชื่อ มีทั้งเฉลียงทางเดิน หอสูง ลำธาร ต้นไม้ให้เงาร่มรื่น มิน่าถึงได้ชื่อว่าจี้ซย่า ระหว่างที่เดินมาตามทาง นางเห็นพวกบัณฑิตจับกลุ่มเล็กๆ ถกปรัชญากันอยู่ทั่วไป แต่พอเห็นนาง เสียงพูดคุยก็สะดุดลงทันที ต่างหันมามองนางด้วยสายตาสนใจใคร่รู้

นางหยุดยืนบนสะพาน ก้มหน้าลงมองธารใสที่ไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง ใบหน้าของตนเองสะท้อนอยู่บนนั้น แม้จะแต่งตัวแบบบุรุษ วางท่าขึงขัง แต่ดวงหน้าก็อ่อนใสเกินไปจริงๆ ผิดกับบัณฑิตคนอื่นที่บ้างองอาจผ่าเผย บ้างสง่าทรงภูมิ บัณฑิตบางคนจอนผมหงอกขาวแล้วด้วยซ้ำ เด็กสาววัยกำดัดเช่นนางดูไม่เข้าพวกจริงๆ

ยืนอยู่สักพัก เด็กรับใช้คนหนึ่งก็เข้ามาดึงชายเสื้ออี้เจียง ก่อนผายมือเชิญให้นางเดินไปด้วยกัน

อี้เจียงเดินตามเด็กรับใช้มาค่อนข้างไกล พอก้าวขึ้นไปบนเฉลียงทางเดินก็เห็นกงซีอู๋ยืนอยู่ด้านหน้า

บนเฉลียงทางเดินสีแดงที่ปกคลุมด้วยหลังคากระเบื้องเขียว ท่ามกลางดอกไม้ใบหญ้างามตระการตา เขาสวมเสื้อคลุมตัวหลวม เกล้าผมเป็นมวยสูง หยุดมองนางแวบหนึ่งก็หมุนตัวเดินไปข้างหน้า

แสงแดดยามบ่ายส่องลงมาเฉียงๆ บนพื้นมีเงาของคนสองคนเดินตามกัน เงาหนึ่งยาวเงาหนึ่งสั้น

“ข้าเขียนทุกอย่างเอาไว้ในจดหมายโดยละเอียดแล้ว เหตุใดศิษย์น้องยังมาอีก”

มีดเดียวเห็นแผล ตรงไปตรงมายิ่งนัก นางมองแผ่นหลังของเขา “เพราะเลี่ยงไม่ได้จึงต้องมา”

ชายหนุ่มข้างหน้าหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองนาง

อี้เจียงลนลานนิดๆ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มแบบจ้าวจ้งเจียว แต่เป็นชายหนุ่มสุขุมที่มีความเป็นผู้ใหญ่ หน้าตาหมดจดคมคาย บุคลิกโดดเด่น หล่อเหลาตรงตามทัศนคติความงามของคนยุคนี้ เมื่อถูกเขาจ้องมอง นางย่อมจะรู้สึกขัดเขิน

“เจ้าไม่ควรรับใช้ฉางอันจวินเลย” น้ำเสียงของเขาทุ้มลึกเหมือนสุราหมักบ่มชั้นดี ทว่าแต่ละคำที่ออกมาราบเรียบเป็นเส้นเดียว ฟังไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด “ติดตามผิงหยวนจวินยังได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับความเป็นไปของแผ่นดิน แต่ติดตามฉางอันจวินก็เหมือนตัดขาดจากทางโลก เจ้าเป็นศิษย์สำนักกุ่ยกู่ หาใช่สำนักเต๋า จะตัดขาดทางโลกได้อย่างไร”

คำพูดของเขาแทงใจดำยิ่งนัก ถูกต้อง นางไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น เหมินเค่อไม่ใช่งานทั่วไปที่มีการลงนามในสัญญา ทำไม่ดีอย่างมากก็แค่ถูกเบื้องบนตำหนิ ร้ายแรงที่สุดคือม้วนเสื่อกลับบ้าน ถึงอย่างนั้นก็เป็นงานที่อาจต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน

แม้จ้าวจ้งเจียวจะอารมณ์ร้าย แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใจฝักใฝ่อำนาจ ทั้งยังมีที่ให้นางอยู่ มีข้าวให้นางกิน แล้วไม่ดีตรงที่ใดกันเล่า เทียบกับการติดคุกตอนที่มาถึงใหม่ๆ ชีวิตที่กินๆ นอนๆ ไปวันๆ จนกว่าจะตายถือว่าดีมากแล้ว

แน่นอนว่านางตอบไปเช่นนั้นไม่ได้ จึงให้เหตุผลว่า “ที่ข้าไปอยู่กับฉางอันจวินนับเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น หากไม่ติดคุก ข้าก็ไม่ต้องใช้วิธีนี้หรอก”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นในแววตากงซีอู๋ “ศิษย์น้องพูดเช่นนี้เท่ากับโทษข้าหรือ ตอนนั้นเจ้าเป็นคนขอประลองกับข้าเองแท้ๆ ทั้งยังรับปากว่าถ้าเจ้าแพ้ จะลบความรู้สึกที่มีต่อข้าทิ้งไป ผ่านมานานป่านนี้ศิษย์น้องน่าจะลบทิ้งได้แล้วกระมัง”

ความรู้สึกที่มีต่อเขา? อี้เจียงเงยหน้าขึ้นมองดวงตาคมกริบ ก่อนจะหน้าแดงด้วยความกระอักกระอ่วนเมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

นางนึกว่าศิษย์สองคนของสำนักกุ่ยกู่ทะเลาะกันด้วยเรื่องศีลธรรมจรรยาอะไรเสียอีก ที่แท้ก็ปัญหาหัวใจนี่เอง!

ด้วยกลัวจะเผยพิรุธ อี้เจียงจึงตอบกลับไปแบบคลุมเครือ “เรื่องนั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว ไยท่านจึงพูดถึงมันขึ้นมาอีก”

ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ โดยไม่ตอบอะไร จากนั้นก็หมุนตัวออกเดินต่อ “ศิษย์น้องต่างจากข้า อาจารย์อบรมเลี้ยงดูเจ้ามาแต่เล็กจนโตด้วยตนเอง คาดหวังกับเจ้าไว้มาก เจ้าจะทำให้อาจารย์ผิดหวังไม่ได้”

อี้เจียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดกงซีอู๋ถึงพูดขึ้นมา นางรู้สึกกดดันราวถูกภูเขาทั้งลูกทับอยู่บนร่าง

“ข้ามีอะไรจะให้เจ้าด้วย” เมื่อเดินไปถึงหน้าบันไดหอ กงซีอู๋ก็ล้วงม้วนหนังสือไม้ไผ่บางๆ ออกมาจากแขนเสื้อ “อาจารย์มอบสิ่งนี้ไว้ให้ข้า ข้าอ่านทำความเข้าใจจบแล้ว จึงส่งต่อให้เจ้า”

นางประหลาดใจอย่างมากที่ศิษย์สำนักเดียวกับตนใจกว้างถึงขนาดยอมมอบตำราให้คู่แข่ง ปกติมีแต่จะเก็บไว้คนเดียวมิใช่หรือ

“เอ่อ…อาจารย์มอบให้ศิษย์พี่ ถ้ารับมาคงไม่ดีกระมัง” ถึงจะพูดเช่นนั้น อี้เจียงก็ยังเอื้อมมือออกไปรับ

กงซีอู๋จับม้วนหนังสือไม้ไผ่เคาะลงบนกลางฝ่ามือนางทีหนึ่ง “ข้าไม่ได้ให้เปล่าๆ”

อี้เจียงใจเต้นแรง รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล

กงซีอู๋ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะเด็กรับใช้ที่เป็นคนส่งสารเมื่อครู่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง รายงานว่าทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว ขอเชิญให้เขาไปที่หอกลางของสำนักศึกษา

อี้เจียงพอเดาได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่ากงซีอู๋เรียกนางมาที่นี่จะต้องไม่มีจุดประสงค์แค่พูดคุยกันไม่กี่คำ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

กงซีอู๋ชี้มาที่นางแล้วสั่งเด็กรับใช้ว่า “ท่านนี้คือผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อแห่งสำนักกุ่ยกู่ อีกประเดี๋ยวเจ้าค่อยเชิญนางไปที่หอกลาง ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน”

เด็กรับใช้พยักหน้ารับคำสั่ง ยืนส่งเขาจากไปอย่างนอบน้อม จากนั้นค่อยหันมาเชิญอี้เจียงออกเดิน

อี้เจียงไม่รู้ว่าพวกนั้นเตรียมอะไรเอาไว้ ได้แต่เดินตามไป

เด็กรับใช้พาอี้เจียงเดินรอบสำนักศึกษารอบหนึ่ง พอเสียงระฆังทุ้มหนักดังแว่วแต่ไกล เขาก็เร่งฝีเท้าขึ้นทันทีและขอให้อี้เจียงรีบเดิน

เดินไปได้ครึ่งทาง อี้เจียงก็เห็นเหล่าบัณฑิตเมื่อครู่ทยอยกันเดินมาทางนี้ จึงเดาว่าเสียงระฆังคงเป็นสัญญาณเรียกรวมตัว

สุดเฉลียงยาวคือลานกว้างขนาดใหญ่ โดยอยู่ตรงข้ามกับหอสูง มองผ่านบันไดขึ้นไปเห็นบานประตูห้องโถงเปิดกว้าง เด็กรับใช้นำทางอี้เจียงมาจนถึงที่นี่ก็กลับไป นางเดินเรียงแถวตามบัณฑิตคนอื่นๆ เข้าไปข้างใน

ห้องโถงใหญ่ซึ่งเปี่ยมด้วยความขลังสร้างลึกเข้าไปเป็นแนวยาว เสาข้างในสูงใหญ่วิจิตร ตั้งแต่ประตูไปจนถึงโต๊ะประธานปูด้วยพรมผืนหนา ทอเป็นลวดลายงดงาม ด้านหลังโต๊ะคือฉากบังตารูปวิหคเหิน ทางด้านซ้ายและด้านขวาห้อยม่านที่กระเพื่อมเบาๆ ตามลม เชื่อว่าด้านหลังจะต้องเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ สองฝั่งพรมคือโต๊ะและเบาะนั่งที่จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยฝั่งละหลายแถว เท่าที่ดูสามารถรองรับเป็นร้อยคนได้โดยไม่เป็นปัญหา​

บัณฑิตพากันหาที่นั่ง อี้เจียงเห็นพวกเขาหาที่นั่งกันตามสบาย ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องนั่งตรงที่ใด นางจึงเดินเข้าไปนั่งบ้าง แต่จงใจเลือกนั่งแถวหลังให้ห่างจากโต๊ะประธานเข้าไว้

เมื่อทุกคนนั่งกันครบหมดแล้ว ข้ารับใช้คนหนึ่งก็เดินออกจากหลังฉากบังตามายืนข้างโคมไฟทรงนกกระเรียนแล้วประกาศเสียงดัง “ท่านมหาอำมาตย์อันผิงจวินมาถึงแล้ว”

เสียงในห้องเงียบลง คนอีกคนเดินออกมาจากด้านหลังฉากบังตา คนผู้นั้นมีคิ้วหนาเข้ม ตาโต รูปหน้าเหลี่ยม ไว้เคราสั้น รูปร่างสูงใหญ่ เขาก้าวเข้ามานั่งลงตรงโต๊ะประธาน

นี่เองมหาอำมาตย์แคว้นฉีที่ทำให้จ้าวจ้งเจียวโมโหแทบตาย อี้เจียงรู้ว่าคนผู้นี้ชื่อเถียนตัน เพราะก่อนออกจากจวนตัวประกันได้ยินจ้าวจ้งเจียวด่าอยู่แว่วๆ เจ้าตัวสวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าสีฟ้าอ่อนไร้ลวดลาย ดูน่าจะเป็นคนสมถะเรียบง่าย

เถียนตันนั่งตัวตรงสง่า กระแอมทีหนึ่งก่อนเริ่มอารัมภบทซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าวันนี้อากาศดี ตนดีใจเป็นอย่างมากที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่

อี้เจียงไม่ได้สนใจฟังเท่าไรนัก เพราะกำลังกวาดตามองไปรอบห้องโถง เหตุใดถึงไม่เห็นกงซีอู๋นะ

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอเชิญทุกท่านแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ตามสบาย”

เถียนตันพูดมาถึงตรงนี้ อี้เจียงถึงเพิ่งหลุดจากภวังค์ บัณฑิตที่นั่งแถวหน้าลุกขึ้นยืนกล่าวเสียงดัง “อันผิงจวินกล่าวเช่นนี้ผิดเสียแล้ว แคว้นฉีได้ตกลงไว้กับแคว้นจ้าวว่าขอเพียงส่งตัวประกันเข้ามา แคว้นฉีก็จะส่งกองทัพไปช่วยรบกับแคว้นฉิน แล้วไฉนถึงต้องยกเรื่องนี้มาถกกันอีกเล่า”

เถียนตันตอบ “การส่งกองทัพออกไปเป็นเรื่องใหญ่ ควรพูดถึงผลได้ผลเสียให้กระจ่างอยู่แล้ว”

อี้เจียงชะงัก ที่แท้ก็มาถกกันว่าแคว้นฉีจะส่งกองทัพออกไปดีหรือไม่หรอกหรือ อย่าบอกนะว่าแคว้นฉีจะผิดคำพูด?

บัณฑิตผู้นั้นส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำตอบของเถียนตัน “เมื่อคิดสร้างแคว้นจะเสียสัจจะมิได้ หาไม่จะถูกคนทั้งแผ่นดินหัวเราะเยาะเอา”

เถียนตันขมวดคิ้ว ท่าทางคล้อยตาม จากนั้นก็กวักมือเรียกข้ารับใช้เข้ามากระซิบอะไรข้างหูสองสามประโยค

ข้ารับใช้หายเข้าไปหลังฉากบังตา ไม่นานก็ถือม้วนหนังสือไม้ไผ่ออกมาส่งให้เถียนตันม้วนหนึ่ง

เถียนตันกวาดตาอ่าน ถึงค่อยเหมือนได้เติมความมั่นใจ เมื่อเอ่ยออกมาอีกครั้งน้ำเสียงจึงหนักแน่นขึงขัง “พูดถึงแคว้นที่ไม่รักษาสัจจะ แคว้นจ้าวนั่นแหละที่เป็นอันดับหนึ่ง หลายปีก่อนแคว้นจ้าวพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะใช้เมืองเจียว เมืองหลี และเมืองหนิวหูมาแลกคืนเมืองลิ่น เมืองฉี และเมืองหลีสือที่แคว้นฉินตีไปได้ แต่เมื่อแคว้นฉินคืนทั้งสามเมืองให้แล้ว แคว้นจ้าวกลับผิดคำพูด เป็นเหตุให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างฉินกับจ้าว บัณฑิตสำนักข่งจื่ออย่างพวกท่านพูดว่าควรช่วยเหลือผู้มีคุณธรรมให้มาก ช่วยผู้ไร้คุณธรรมให้น้อย ในเมื่อแคว้นจ้าวเสียสัจจะก่อน เช่นนี้เรียกว่าไร้คุณธรรมได้หรือไม่ แคว้นฉีเราไม่อยากช่วยก็ปกติมิใช่หรือ”

“เอ่อ…” บัณฑิตผู้นั้นนั่งลงไปอย่างกระอักกระอ่วน

ชายชราผมขาวจากโต๊ะฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นมากล่าวว่า “ข้ามองว่าน้ำให้กำเนิดไม้ได้ ไม้มากซับน้ำ น้ำมากไม้เพิ่ม เสริมความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน แคว้นฉีธาตุน้ำ แคว้นจ้าวธาตุไม้ ส่วนแคว้นฉินธาตุไฟ หากกดแคว้นจ้าวไว้ได้ ก็จะกลายเป็นไฟล้างผลาญไม้ให้มอดไหม้ ตามหลักเบญจธาตุ ตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวคืออาศัยฉีต้านฉิน เหตุใดอันผิงจวินถึงไม่ปล่อยไปตามครรลองธรรมชาติ เข้าช่วยแคว้นจ้าว แล้วได้ชื่อว่ารักษาสัจจะไปในตัว”

เถียนตันพยักหน้า “บัณฑิตสำนักอินหยางพูดจามีความหมายลึกซึ้ง แตกต่างจากที่เคยได้ยินมาจริงๆ”

แต่พอข้ารับใช้ถือม้วนหนังสือไม้ไผ่จากด้านหลังฉากบังตามาส่งให้อีกครั้ง น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “แผ่นดินแบ่งออกเป็นแคว้นต่างๆ แต่ธาตุของผู้ทรงภูมิมีเพียงห้าธาตุ ต่อไปหากมีแคว้นอื่นเปิดศึก ควรจะจัดอยู่ในธาตุใดกันเล่า”

บัณฑิตผมขาวส่ายหน้ายิ้มๆ ท่าทางปลงตกว่าพูดเรื่องลึกซึ้งกับคนมีปัญญาตื้นเขินไปก็เท่านั้น “ช่างเถอะ อันผิงจวินไม่เชื่อเรื่องธาตุ ย่อมไม่คล้อยตามอยู่แล้ว”

ใครคนหนึ่งลุกขึ้นมาพูดอีก “พระพันปีจ้าวเป็นน้องสาวร่วมอุทรของฉีหวัง ฉีและจ้าวจึงมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แค่ขอให้ส่งตัวประกันก็ไม่เหมาะแล้ว นี่ยังจะนั่งดูเฉยๆ โดยไม่ช่วยเหลืออีกหรือ”

“ผู้น้อยคิดว่า…” บัณฑิตอีกคนลุกขึ้นยืน

อี้เจียงมองบัณฑิตคนใหม่ลุกขึ้นยืนทีละคน แล้วถูกเถียนตันตอบกลับไปทีละคน ความสนใจของนางจดจ่ออยู่กับข้ารับใช้ที่เดินกลับไปกลับมาคนนั้น

คนที่โต้แย้งบัณฑิตไม่ใช่เถียนตัน แต่เป็นคนที่อยู่หลังฉากบังตา

ในที่สุดห้องโถงก็เงียบกริบ ไม่ใช่เพราะไม่มีใครอยากพูด แต่คงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องพูด

มหาอำมาตย์คนหนึ่งเพิกเฉยต่อความน่าเชื่อถือของแคว้นท่ามกลางเหล่าบัณฑิตทั่วแผ่นดินที่นั่งชุมนุมกันได้ แสดงว่าตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะตระบัดสัตย์

อันที่จริงในมุมมองของอี้เจียง คนอื่นจะตัดสินใจเช่นไรก็ไม่ส่งผลกระทบต่อนางทั้งสิ้น เพราะเมื่อผ่านไปอีกร้อยอีกพันปี สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่อยู่แล้ว แต่สำหรับหวนเจ๋อ ตอนนี้นางเป็นเหมินเค่อของแคว้นจ้าว ตามหลักควรต้องรับใช้แคว้นจ้าว

“ได้ยินว่าวันนี้มีคนของสำนักกุ่ยกู่มาที่สำนักศึกษาด้วย ไม่ทราบว่าจะขอฟังความเห็นได้หรือไม่”

อี้เจียงเงยหน้าขึ้น พบว่าเถียนตันกำลังสอดส่ายสายตามองหาไปทั่ว บัณฑิตคนอื่นก็เหลียวมองกันไม่หยุด คราวนี้นางมั่นใจแล้วว่าคนที่อยู่หลังฉากบังตาคือใคร

นอกจากกงซีอู๋ยังจะมีใครจงใจลากนางออกมาอีก นางรู้มาจากเผยยวนว่าเสนาบดีเป็นตำแหน่งขุนนางระดับสูง เท่าที่ดูจากวันนี้ กงซีอู๋ที่ได้ครองตำแหน่งเสนาบดีสามารถควบคุมเถียนตันซึ่งเป็นมหาอำมาตย์ได้อีกด้วย

อี้เจียงบีบฝ่ามือตนเอง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นยืน “หวนเจ๋อคิดว่าแคว้นฉีจำเป็นต้องช่วยเหลือแคว้นจ้าว”

เถียนตันทอดสายตามาแต่ไกล แล้วกวาดตาพิจารณานางอย่างไม่คิดจะปิดบังความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเป็นความประหลาดใจที่เกิดจากตัวนางหรือคำพูดของนางกันแน่ “เถียนตันใคร่ขอฟังคำอธิบายโดยละเอียด”

สมองของอี้เจียงทำงานอย่างรวดเร็ว พยายามถ่ายทอดออกมาทางคำพูด “คนทั้งใต้หล้ารู้กันดีว่าแคว้นฉินมีใจกระหายเหี้ยมเกรียม ที่โจมตีแคว้นจ้าวครั้งนี้ไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้น แต่เป็นการเดินหมากตัวแรกเพื่อหยั่งเชิงหกแคว้นต่างหาก หลังจากนี้จะไม่มีแคว้นใดโชคดีหนีรอดไปได้แม้แต่แคว้นเดียว หากฉีและจ้าวเป็นเหมือนเยียนและจ้าวที่ไม่สมัครสมานกัน ก็จะเข้าทางแคว้นฉินพอดี ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ใช่ส่งทหารไปช่วยจ้าว แต่เพื่อช่วยฉี หรืออาจกล่าวได้ว่าช่วยราษฎรแคว้นอื่นนอกเหนือจากแคว้นฉิน”

ดวงตาของเถียนตันเป็นประกายวาบด้วยความตกตะลึง

ไม่ว่าอย่างไร ‘ผู้มีประสบการณ์’ อย่างอี้เจียงก็มองจากมุมที่รู้ว่าแคว้นฉินจะรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง โดยไม่ทันคิดว่ากลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าตนเองไม่ทันตระหนักถึงจุดนี้ อย่างน้อยในสายตาของเถียนตัน เขาก็มองแคว้นฉินเป็นเพียงพวกชอบวางตัวเป็นใหญ่มาโดยตลอด จะอย่างไรการแย่งชิงความเป็นใหญ่ก็คือจุดมุ่งหมายหลักของยุคนี้

เถียนตันยังส่งสายตาไปให้ข้ารับใช้เหมือนเดิม ฝ่ายหลังเดินเข้าไปเอาม้วนหนังสือไม้ไผ่ออกมาจากด้านหลังฉากบังตาอีกครั้ง

อี้เจียงคอยสังเกตสีหน้าเถียนตันตลอดเวลา อยากจะปรี่เข้าไปดูเองเสียด้วยซ้ำว่าบนม้วนหนังสือเขียนไว้ว่าอย่างไร

เถียนตันอ่านจบก็เก็บม้วนหนังสือเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มพูด “ผู้ทรงภูมิฉลาดปราดเปรื่อง มีสายตากว้างไกล เถียนตันได้เรียนรู้จากท่าน จะยกทัพออกไปโดยเร็ว ไม่มีทางผิดคำพูดเป็นอันขาด”

แม้จะถือว่าตนเองเป็นคนนอก แต่อี้เจียงก็ต้องยอมรับว่าชั่วขณะนี้นางรู้สึกภูมิใจอย่างมาก นางมองไปทางด้านหลังฉากบังตา ม่านแพรถูกแหวกออกเบาๆ ร่างของใครคนหนึ่งเคลื่อนไหว แต่ทันเห็นแค่ชายเสื้อคลุมไวๆ เท่านั้น

เท่ากับว่าข้าชนะแล้วหรือไม่นะ กงซีอู๋ยอมปล่อยให้ข้าชนะง่ายๆ เชียวหรือ อี้เจียงนึกถึงประโยคที่เขาพูดไว้ว่า ‘ข้าไม่ได้ให้เปล่าๆ ’ แล้วรู้สึกว่าเรื่องยังไม่จบแค่นี้แน่

ยามออกจากสำนักศึกษาจี้ซย่า อี้เจียงต้องฝ่าวงล้อมมาตลอดทาง เหล่าบัณฑิตเป็นกลุ่มคนที่กระหายในความรู้จริงๆ พอใครแสดงความเห็นได้โดดเด่นกว่าคนอื่นก็แย่งกันเข้ามาขอคำชี้แนะ

กงซีอู๋เตรียมรถม้าส่งอี้เจียงกลับไปเหมือนเดิม พอขึ้นรถแล้ว นางก็หยิบม้วนหนังสือไม้ไผ่ม้วนนั้นมาคลี่ออกช้าๆ กลิ่นหอมโชยออกมาจากเนื้อไม้ คล้ายกับกลิ่นกายของกงซีอู๋ ดูท่าหนังสือม้วนนี้จะถูกเขาจับมาจนปรุแล้วกระมัง

ตอนแรกอี้เจียงรู้สึกเบื่อๆ เลยตั้งใจจะคลี่ออกมาอ่านฆ่าเวลา แต่กลับพบว่าบนม้วนหนังสือมีบทขยายความที่เขียนไว้ด้วยหมึกสีแดงมากมาย จึงอ่านอย่างตั้งใจโดยไม่รู้ตัว

ตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวัน แต่สวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ต่างจากตัวคนเขียน สมองพลันจินตนาการภาพเขายามตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ เป็นภาพที่ทำให้คนต้องใจเต้นจริงๆ มิน่า หวนเจ๋อถึงได้มีใจให้เขา ลำพังแค่ใบหน้านั้น หากได้ใกล้ชิดกันทุกวัน ใครไม่หวั่นไหวก็ผิดปกติแล้ว

ตอนที่กลับมาถึงจวนตัวประกันก็เป็นเวลาเข้าไต้เข้าไฟพอดี อี้เจียงลงจากรถพลางทุบหน้าแข้งอันปวดเมื่อยของตนเอง พอเดินเข้ามาข้างในก็พบว่าทุกคนยืนอยู่หน้าเรือนกันครบ นางจึงบอกยิ้มๆ “ข้าก็กลับมาไม่เย็นมากนี่ ไม่ต้องออกมารอก็ได้”

ตันคุยตอบ “ข้าน่ะรอแม่นาง ส่วนคนอื่นรอฉางอันจวิน”

เผยยวนรีบบอก “ไม่ๆ ข้าก็รอผู้ทรงภูมิเช่นกัน นายท่านน่ะต้องรออยู่แล้ว แต่ผู้ทรงภูมิก็ต้องรอด้วย”

อี้เจียงถามอย่างกังขา “นายท่านไปที่ใดหรือ”

เผยยวนถอนหายใจ “เห็นว่าแคว้นฉีไม่ยอมส่งกองทัพไปช่วยแคว้นจ้าวเสียที นายท่านจึงไปขอเข้าเฝ้าฉีหวัง”

ระหว่างที่พูดกันอยู่นั้น จ้าวจ้งเจียวก็กลับมาพอดี วันนี้เขารวบมวยสูงครอบรัดเกล้า สวมเสื้อคลุมตัวยาวเต็มยศ ท่าทางเคร่งขรึม พอเข้ามาเห็นอี้เจียงก็ยิ้ม ทั้งยังประสานมือคำนับ “ได้ยินว่าวันนี้ผู้ทรงภูมิเกลี้ยกล่อมให้มหาอำมาตย์ของแคว้นฉียกทัพสำเร็จ จ้าวจ้งเจียวซาบซึ้งใจยิ่งนัก”

รอยยิ้มของจ้าวจ้งเจียวเจ้าเล่ห์เหมือนรอยยิ้มตอนที่เจอกันครั้งแรก อี้เจียงจึงไม่เชื่อว่าเขาพูดจากใจจริง “เพราะข้ากลัวว่านายท่านจะหาว่าข้าไม่ยอมทำตัวให้เป็นประโยชน์อีกน่ะสิ”

ฝ่ายตรงข้ามยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม “ที่ใดกันเล่า น่ากลัวว่าต่อไปคนทั้งจวนตัวประกันจะต้องพึ่งใบบุญผู้ทรงภูมิถึงจะอยู่รอดด้วยซ้ำ”

เชอะ เจ้าเด็กขี้ประชดเอ๊ย อี้เจียงเชิดหน้า ยืนเอามือไพล่หลัง “นายท่านไม่ต้องกังวลไป หวนเจ๋อไม่ถือดียกตนข่มท่านหรอก ยังจะเห็นท่านเป็นเจ้านายเช่นเดิม”

“หึ!” จ้าวจ้งเจียวเลิกเล่นละคร สะบัดแขนเสื้อเดินฉับๆ เข้าไปข้างในด้วยความโมโห

อี้เจียงจ้องมองแผ่นหลังของเขา ไม่ลืมที่จะราดน้ำมันลงบนกองไฟ “วันนี้นายท่านแต่งตัวใช้ได้เลยนี่ พยายามต่อไปเล่า”

จ้าวจ้งเจียวชะงักเท้า กัดฟันกรอดหันขวับกลับมา แต่อี้เจียงเผ่นหนีไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ตันคุยกับเผยยวน ทั้งสองคนหันไปมองตากันแล้วพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียว “อืม ใช้ได้…ใช้ได้”

 

เถียนตันเคลื่อนทัพจริงอย่างที่พูด ซ้ำยังคุมทัพไปแคว้นจ้าวด้วยตนเองในคืนนั้น

ตั้งแต่นั้นมาจวนตัวประกันก็ไม่ค่อยสงบสุขนัก มักจะมีคนมาเยี่ยมเยือนเป็นระยะ จ้าวจ้งเจียวออกไปรับแขกหลายครั้ง แต่พอถามก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามมาเพื่อคารวะผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ เขาทำหน้าบึ้ง ไม่ออกไปดูอีกเลย เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนหลายวัน

อี้เจียงปฏิเสธแขกทุกคน นางเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนางแสดงความเห็นในสำนักศึกษาจี้ซย่านั่น อย่างคำที่ว่าไว้…จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ตอนนี้ชื่อเสียงนางโด่งดังยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก

ฤดูร้อนมาเยือนแบบไม่รู้ตัว เรือนของอี้เจียงเล็กมาก เปิดประตูออกไปเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เจอดอกไม้ใบหญ้าขึ้นดารดาษ แสงอาทิตย์เจิดจ้า กลิ่นดอกไม้ตลบอบอวล ทั่วทั้งเรือนมีแต่บรรยากาศอันสดชื่น

อากาศที่หลินจือกำลังดี ตกบ่ายจะมีลมภูเขาพัดมาจากทางทิศเหนือ นางรู้สึกว่าช่วงเวลานี้สบายที่สุด หลายวันที่ผ่านมา พอคล้อยบ่ายทีไร นางจะเอาม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ได้จากกงซีอู๋มานั่งอ่านตรงริมหน้าต่าง

ว่าไปก็แปลก ทั้งที่เป็นความเห็นเกี่ยวกับเรื่องหนักๆ ของแผ่นดิน บางเรื่องก็ลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจ แต่บทขยายความที่เขาเขียนไว้มักจะโผล่มาได้ถูกจังหวะเสมอ ทำให้นางอ่านต่อไปได้อย่างราบรื่น อี้เจียงอดคิดไม่ได้ ว่าถ้าให้เขาเป็นอาจารย์คงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะเขาเข้าใจว่าผู้เรียนต้องการอะไร

อี้เจียงอดยิ้มไม่ได้เมื่อจินตนาการภาพชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสอนหนังสือในยุคปัจจุบัน ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นด้านนอก นางรีบปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม เห็นเผยยวนที่สวมเสื้อสีเขียวอ่อนเนื้อบางเดินเข้ามาในเรือน

“ผู้ทรงภูมิพอจะมีเวลาหรือไม่”

อี้เจียงเก็บม้วนหนังสือแล้วนั่งตัวตรง “มี ทำไมหรือ”

ฝ่ายตรงข้ามยิ้มอย่างเกรงใจ “ยวนรู้ว่าระยะนี้ผู้ทรงภูมิไม่อยากพบใคร แต่สหายเก่าคนหนึ่งของยวนอยากเจอท่านมาก ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิจะให้พบหน่อยได้หรือไม่”

แน่นอนว่าอี้เจียงไม่อยากพบ แต่นานๆ เผยยวนจะขอร้องนางสักที ที่นางนั่งอ่านหนังสืออย่างตอนนี้ได้ก็เพราะเขา ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ลง พยักหน้าเอ่ยว่า “ก็ได้”

เผยยวนเอ่ยขอบคุณแล้วเดินออกไป อี้เจียงรีบลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็เก็บของออกจากโต๊ะ ก่อนนั่งตัวตรงอย่างสำรวม

สักพักเผยยวนก็กลับมาอีกครั้ง “เชิญผู้ทรงภูมิคุยกันตามสบาย ยวนไม่รบกวนแล้ว” เขาเบี่ยงตัวให้คนที่อยู่ข้างหลังเดินเข้ามา จากนั้นตนเองก็หมุนตัวเดินออกไป

อี้เจียงมองไปที่ประตูเรือน สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือชุดสีเขียว เสื้อปลายแขนสอบ เข้ารูปตรงเอว เหมือนชุดชาวหู* ผู้มาใหม่ผิวขาวสะอาด หน้าตาหมดจด รูปร่างผอมบาง ไม่สูง แต่ชุดที่สวมใส่ทำให้ดูทะมัดทะแมงอย่างยิ่ง

“ผู้น้อยเซ่าจิว คารวะผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ”

อี้เจียงฟังเสียงถึงเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสตรี นางทั้งแปลกใจทั้งดีใจ รู้สึกตื่นเต้นเหมือนตนเองถูกจับไปปล่อยเกาะร้าง ท่ามกลางความเวิ้งว้างก็ได้พบพวกเดียวกันอยู่ใกล้ๆ เพราะเจ้าคนชอบแต่งชุดสตรีนั่นแท้ๆ ตอนนี้นางจึงแทบแยกแยะสตรีบุรุษไม่ออกแล้ว

“แม่นางเซ่าจิวมาจากที่ใดหรือ” อี้เจียงรู้สึกว่าคำถามของตนเองฟังดูตีสนิทเกินไปสักหน่อย

อีกฝ่ายนั่งคุกเข่าตรงข้ามอี้เจียง “เซ่าจิวเป็นศิษย์สำนักโม่จื่อ เป็นคนบ้านเดียวกันกับเผยยวน เพิ่งมาจากเมืองต้าเหลียงแคว้นเว่ยเมื่อเดือนก่อน เห็นใครต่อใครพูดกันว่าผู้ทรงภูมิเย่อหยิ่งทะนงตน ไม่ยอมให้ใครเข้าพบ เท่าที่ข้าเห็น ผู้ทรงภูมิก็เป็นกันเองดีนี่”

อี้เจียงหัวเราะแห้งๆ ขณะเลื่อนชาที่อุ่นแล้วไปให้ “แม่นางเซ่าจิวมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”

เซ่าจิวยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วพลางแลบลิ้น “ฝีมือต้มชาของผู้ทรงภูมิไม่ได้เรื่องเลย ดีนะข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มชา”

อี้เจียงไม่โกรธแม้แต่น้อย กลับชอบนิสัยโผงผางปากไวของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่คนเช่นนี้ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหรอก

เซ่าจิววางจอกชาลง พอเหลือบตาขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าก็ดูเคร่งเครียดจริงจังขึ้น “วันที่ผู้ทรงภูมิเกลี้ยกล่อมอันผิงจวินที่สำนักศึกษาจี้ซย่า เซ่าจิวก็อยู่ด้วย ที่มาวันนี้ก็มีจุดประสงค์เหมือนบัณฑิตคนอื่น นั่นคือใคร่อยากถามผู้ทรงภูมิว่าไฉนถึงได้มั่นใจว่าแคว้นฉินคิดจะชิงแผ่นดิน ไม่ใช่แค่วางตัวเป็นใหญ่”

ที่แท้คนพวกนั้นมาหาข้าเพราะอยากถามเรื่องนี้เองหรือ อี้เจียงรู้สึกขบขันนิดๆ ขณะย้อนถามไปว่า “แล้วพวกเจ้าไม่ได้คิดเช่นนี้หรือ”

เซ่าจิวตาหงส์ หางตายกเฉียงขึ้นเล็กน้อย ดูซุกซนน่ารักแต่น้ำเสียงกลับเย็นชา “แน่นอนว่าไม่ใช่”

อี้เจียงประหลาดใจ หลังจากใคร่ครวญคำพูดและน้ำเสียงของอีกฝ่ายอยู่สักพักก็เข้าใจแจ่มแจ้ง นางรู้จุดประสงค์ของแคว้นฉินเพราะมองผ่านอดีต แต่คนในยุคนี้เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไป จะรู้เจตนาของแคว้นฉินชัดเจนได้อย่างไร แคว้นฉินไม่ได้ประกาศให้คนทั้งใต้หล้ารู้เสียหน่อยว่าข้าจะรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง

นางขยุ้มน่องตนเองอย่างแรง คิดน้อยไปจริงๆ มิน่าตอนนั้นเถียนตันถึงได้ดูตกตะลึงนัก จะบอกว่าคำพูดของนางในวันนั้นเปิดโปงความจริงก็ยังได้

อยู่ๆ คนที่นั่งตรงข้ามก็ชะโงกหน้าเข้ามาจ้องอี้เจียงเขม็ง “ผู้ทรงภูมิคิดว่าเหตุใดกงซีอู๋ถึงได้ยอมรับความคิดของท่าน”

“นั่นเพราะ…”

“เพราะเขาก็คิดเช่นนี้เช่นกัน” เซ่าจิวต่อให้เสียเอง ความเหยียดหยามสะท้อนออกมาทางสีหน้า “กงซีอู๋ผู้นี้มองแคว้นฉินเป็นศัตรูตัวฉกาจของแคว้นฉีมาโดยตลอด แต่เป็นการปักใจเชื่อที่ไร้เหตุผลเกินไป”

ต้องเรียกว่ามองการณ์ไกลต่างหากเล่า อี้เจียงเถียงในใจ

เซ่าจิวพูดขึ้นมาอีก “คนผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ตนเองไม่พูด แต่ยืมปากผู้ทรงภูมิพูด”

ท่าทางนางจะไม่ชอบกงซีอู๋มากทีเดียว อี้เจียงลอบพินิจเงียบๆ

“การวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินใครอย่างไร้ความรับผิดชอบก็มิต่างจากการทำลายชื่อเสียงคนอื่น คำพูดในวันนั้นของผู้ทรงภูมิเท่ากับเป็นการกล่าวหาว่าแคว้นฉินไร้คุณธรรม แคว้นฉินหรือจะยอมปล่อยให้จบลงโดยง่าย” เซ่าจิวส่ายหน้าถอนหายใจ “ลองคิดถึงเว่ยฉีที่กำลังหนีตายอยู่ก็แล้วกัน เขาเป็นคนจุดชนวนสงครามฉินจ้าวครั้งนี้ขึ้นมา เกรงว่ามุมมองของศิษย์สำนักกุ่ยกู่อย่างพวกท่านจะนำความเดือดร้อนมาให้ราษฎรในภายหลังเช่นกัน”

อี้เจียงหัวเราะ “แม่นางคิดมากไปแล้ว”

เซ่าจิวจ้องหน้าอี้เจียงอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน สีหน้ากลับไปยิ้มแย้มอีกครั้ง “ช่างเถอะ เซ่าจิวพูดแค่นี้แล้วกัน ผู้ทรงภูมิฟังแล้วก็ลืมไปเสีย อีกไม่กี่วันตรงริมแม่น้ำจือสุ่ยจะจัดงานเฉลิมฉลอง เซ่าจิวขอเชิญล่วงหน้า ผู้ทรงภูมิจะต้องไปเที่ยวชมงานด้วยกันให้ได้เล่า”

อี้เจียงยังเอาแต่คิดถึงคำพูดของเซ่าจิว จึงพยักหน้ารับอย่างใจลอย

เซ่าจิวออกไปแล้วแต่เสียงยังดังมาให้ได้ยินจากในสวน อี้เจียงดึงความคิดกลับมาและเดินออกไปดู ที่แท้อีกฝ่ายก็กำลังคุยกับเผยยวน

“ปกติเวลาข้าชวนให้ออกไปเที่ยวด้วยกัน ไม่เห็นเจ้าจะเคยรับปาก พอรอบนี้ไม่ชวนเจ้า เจ้ากลับจะตามไปด้วย!” เซ่าจิวเอ่ยขึ้นมา

เผยยวนเดินตามหลังเซ่าจิวพลางกล่าวว่า “ออกไปเที่ยวกับเจ้าจะสนุกอะไร ออกไปเที่ยวกับผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อสิ จะต้องได้เรียนรู้อะไรมากมายแน่นอน”

“เจ้า…” เซ่าจิวชะงักเท้า หันมาถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่พาเจ้าไปด้วย!” พูดจบก็วิ่งออกไปหลายก้าว พอนึกอะไรขึ้นได้ก็หันกลับมาด่า “เจ้าทึ่ม!”

อี้เจียงยืนพิงประตูมองอย่างสนุกสนาน อยากจะผิวปากสักทีด้วยซ้ำ

ได้ยินว่าฉีหวังประชวรหนัก ผู้ที่จัดการดูแลราชกิจบ้านเมืองในตอนนี้คือพระมเหสีจวินคนเดียว คนทั้งแผ่นดินกำลังหน้าดำคร่ำเครียด ไฉนถึงจะจัดงานเฉลิมฉลองอะไรนี่เล่า คิดแล้วก็แปลก

 

ฝนตกอยู่สองวันหลังจากที่เซ่าจิวกลับไป เมื่อฟ้าเปิดอีกครั้ง อากาศก็ร้อนขึ้นไม่น้อย เซ่าจิวให้คนส่งเทียบมาเชิญอี้เจียงซ้ำ เพื่อที่ว่านางจะได้ไม่ลืมนัดหมาย

วันนั้นอี้เจียงตื่นแต่เช้า รู้สึกว่าอากาศค่อนข้างร้อน รื้อค้นสัมภาระอยู่นานถึงจะเจอเสื้อคลุมตัวยาวเนื้อบาง ดีที่นางเป็นคนปรับตัวเก่งมาแต่ไหนแต่ไร หากต้องใส่เสื้อผ้ายาวๆ ปิดแขนปิดขาทุกวันคงทนไม่ไหวแน่

วันนี้ตันคุยกระตือรือร้นเป็นพิเศษ จูงม้าเข้ามาตามหน้าตามหลัง จะไปส่งอี้เจียงให้ได้

“แม่น้ำจือสุ่ยอยู่ไม่ไกล ข้าเดินไปเองได้” นางบอกพลางเดินออกจากจวน

ฝ่ายตรงข้ามจูงม้าตามมาข้างหลัง “ไม่ได้ขอรับ ข้าต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้แม่นาง”

อี้เจียงฟังแล้วตงิดใจจึงหันมาถามเขา “แล้วตอนที่กงซีอู๋เรียกข้าไปพบที่สำนักศึกษาจี้ซย่า ไฉนเจ้าไม่เห็นบอกว่าจะตามไปอารักขาข้าเลย เจ้าเชื่อใจเขาเพียงนี้เชียว?”

ตันคุยหัวเราะหึๆ “ที่นั่นมีแต่บัณฑิตที่เพียบพร้อมด้วยวิชาความรู้ จะอันตรายได้อย่างไร”

อี้เจียงส่ายหน้าแล้วออกเดินต่อโดยไม่สนใจเขา

แม่น้ำจือสุ่ยเป็นแม่น้ำสายหลักของเมืองหลินจือ กว้าง น้ำใสสะอาด บรรยากาศเงียบสงบ สองฟากฝั่งนอกเมืองที่แม่น้ำไหลผ่านเต็มไปด้วยพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อเข้ามาในเมืองก็เห็นแต่ศาลาและหอริมน้ำ ทัศนียภาพรื่นรมย์ตระการตา

เซ่าจิวรออยู่ในศาลาริมฝั่งน้ำ วันนี้เจ้าตัวแต่งกายด้วยสีดำทั้งชุด ดูเรียบง่ายเป็นอิสระ แต่อี้เจียงเห็นแล้วร้อนแทน

“ผู้ทรงภูมิมาตรงเวลาพอดี” เซ่าจิวเดินเข้ามาทักทาย พอเห็นว่ามีตันคุยอยู่ด้วยก็ยกมือประสานค้อมกายคำนับ “ท่านนี้จะต้องเป็นท่านตันคุยผู้มีชื่อเสียงโด่งดังแน่นอน”

ชายหนุ่มยิ้มเขินๆ “ชมเกินไปแล้ว”

เซ่าจิวเอ่ยทักทายทั้งสองคน แต่สายตากลับคอยมองไปข้างหลังอี้เจียงราวกับกำลังหาใครอยู่

อี้เจียงบอกยิ้มๆ “เผยยวนไม่ได้มาหรอก แต่ถ้าเจ้าอยากเจอเขา ข้าให้ตันคุยไปรับเขามาก็ได้”

“ไม่ๆๆ!” เซ่าจิวส่ายหน้า “คนสำนักโม่จื่อเช่นข้ารำคาญนิสัยหยุมหยิมกับเรื่องธรรมเนียมของบัณฑิตสำนักข่งจื่อเป็นที่สุด เขาไม่มาก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมาคอยเถียงกับข้า”

อี้เจียงกลั้นยิ้มพยักหน้า

ทั้งสามเดินเข้าไปในศาลา อี้เจียงกวาดตามองไปรอบตัวแต่ไม่เห็นมีคนอื่น จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “งานเฉลิมฉลองเล่า”

เซ่าจิวยิ้ม “น่าจะยังไม่ถึงเวลากระมัง ต้องรออีกสักพัก” จากนั้นก็จับมืออี้เจียงเอาไว้อย่างสนิทสนม “ฉวยโอกาสตอนที่งานเฉลิมฉลองยังไม่เริ่ม ข้ามีเรื่องอยากคุยกับผู้ทรงภูมิตามลำพัง ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่”

เชื่อว่าเซ่าจิวคงไม่ค่อยได้เจอพวกผู้ทรงภูมิที่เป็นสตรีบ่อยนัก อี้เจียงเหลือบมองตันคุยทีหนึ่งแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นเราไปหาที่คุยกันดีกว่า”

ตันคุยรออยู่ในศาลา เซ่าจิวพาอี้เจียงเดินเลียบแม่น้ำออกไปเรื่อยๆ ตรงนั้นเป็นผืนป่าเล็กๆ เมื่อเดินทะลุออกไปก็เป็นช่วงคอคอดของแม่น้ำจือสุ่ย บนแม่น้ำมีเรือเล็กลอยอยู่ลำหนึ่ง

เซ่าจิวลงเรืออย่างชำนิชำนาญ ก่อนหันมาประคองอี้เจียงแล้วพูดขึ้นขณะพายเรือ “ได้ยินว่าผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ใช้ชีวิตอยู่บนเขาอวิ๋นเมิ่งมาโดยตลอด คิดว่าผู้ทรงภูมิคงไม่มีโอกาสได้ลงน้ำสักเท่าไร”

อี้เจียงว่ายน้ำเป็น ทั้งไม่กลัวน้ำสักนิด แต่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น นางจึงต้องแกล้งจับกราบเรือแน่น ทำเหมือนเพิ่งเคยลงน้ำเป็นครั้งแรก “ไม่ใช่เสียหน่อย”

เซ่าจิวหัวเราะแล้วพายเรือไปฝั่งตรงข้าม

อี้เจียงเกาะเซ่าจิวมือหนึ่ง ส่วนอีกมือถลกชายเสื้อคลุมก่อนกระโดดลงจากเรือ จากนั้นก็มองผืนป่าด้านหน้า พูดยิ้มๆ “ตรงนี้กำลังเหมาะ อยากพูดอะไรก็พูดได้เลย ไม่มีใครได้ยินหรอก”

เซ่าจิวเดินตามหลังนางไม่พูดไม่จา

อี้เจียงนึกว่าเซ่าจิวกำลังคิดว่าจะพูดเช่นไรดีจึงไม่รบกวน เดินต่อไปได้สามสี่ก้าวก็เห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางแมกไม้ สวมชุดสีขาวเรียบๆ ปล่อยผมยาวสยายอย่างผ่อนคลาย กงซีอู๋นั่นเอง นางจึงถลกชายเสื้อคลุมวิ่งเข้าไปหา

“ศิษย์พี่ก็อยู่ด้วยหรือ”

ชายหนุ่มยืนพิงโคนต้นไม้หลับตาทำสมาธิ พอได้ยินเสียงอี้เจียงก็ลืมตาขึ้นมา “ศิษย์น้องเป็นคนเรียกข้ามามิใช่หรือ”

“หา?” นางชะงัก ฉับพลันก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นรอบตัวพร้อมกับรู้สึกว่างโหวงที่ใต้ฝ่าเท้า นางล้มลงทั้งตัวและเห็นแวบๆ ว่ากงซีอู๋ก็ล้มเช่นกัน

พอพยายามลุกขึ้นมาก็พบว่าตนเองติดอยู่ในหลุมเสียแล้ว ขาขยับไม่ได้โดยสิ้นเชิงเพราะถูกท่อนไม้สี่ท่อนที่พาดตัดกันในแนวระนาบตรึงเอาไว้ รอบตัวมีท่อนไม้พุ่งออกมาเพิ่มจากทิศทางต่างๆ พาดกันไปมา คราวนี้แม้แต่เอวกับคอนางก็ขยับไม่ได้เช่นกัน เหมือนติดอยู่ในกรงสามชั้นอย่างไรอย่างนั้น

“กลไกสำนักโม่จื่อสมคำเล่าลือจริงๆ” เสียงเนิบนาบของกงซีอู๋ดังขึ้น เขาน่าจะอยู่ข้างๆ ในสภาพไม่ต่างจากนางเท่าไร

อี้เจียงแหงนหน้าขึ้น เซ่าจิวกำลังยืนมองลงมาจากปากหลุม ในมือถือเชือกเส้นหนึ่ง ฝ่ายนั้นเหลือบตามองไปทางซ้าย จากนั้นก็มองไปทางขวา “สำนักกุ่ยกู่ไม่เคยมีเจตนาจะยุติสงคราม มีแต่คิดจะโหมกระพือไฟสงครามให้ยิ่งลุกลาม สำนักที่ถือหลักไม่โจมตีซึ่งกันและกันอย่างสำนักโม่จื่อเราไม่ยอมนิ่งดูดายเป็นอันขาด วันนี้ขอให้ทั้งสองท่านคิดทบทวนให้ดี หากผู้ทรงภูมิกงซียอมลาออกจากราชสำนักไปใช้ชีวิตอย่างสงบ ส่วนผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อก็ไม่ก้าวก่ายกับความเป็นไปของใต้หล้าอีก ข้าก็จะปล่อยพวกท่านไป มิเช่นนั้นก็เชิญติดอยู่ในนี้ต่อไปเถอะ!” เซ่าจิวพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป

อุตส่าห์ได้เจอสตรีที่เป็นสหายพูดคุยได้ ซ้ำยังเป็นสหายของเผยยวน อี้เจียงจึงปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างจริงใจ นึกไม่ถึงว่าจะโดนเล่นงานเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอี้เจียงหดหู่เพียงใด

แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้

อี้เจียงตั้งสติพิจารณาท่อนไม้ตรงหน้า แต่ละท่อนใหญ่หนาแข็งแรง ไม่รู้ว่าสตรีตัวเล็กๆ อย่างเซ่าจิวยกไหวได้อย่างไร แม้จะเป็นท่อนไม้ แต่เมื่อวางพาดตัดกันไปมากลับจำกัดการเคลื่อนไหวให้เป็นศูนย์ได้ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

นางพลันนึกขึ้นได้ว่ากงซีอู๋มีนิสัยพกกระบี่ติดตัว จึงพยายามใช้หัวไหล่ดันท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ตั้งใจว่าจะดันให้เกิดช่องว่างเพื่อปีนออกไปหาเขาแล้วใช้กระบี่ช่วยคนออกมา

คิดเอาไว้เสียสวยหรู แต่พออี้เจียงดันไม้ท่อนนั้นออกจากตัวด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี กลับได้ยินเสียงหนักๆ ดังลั่น พร้อมกับที่ผนังหลุมฝั่งซ้ายมือทลายลง ที่แท้ผนังหลุมนี้ก็เป็นแค่การสร้างพื้นที่ลวงตาโดยใช้กิ่งไม้พอกโคลนวางไว้ในแนวตั้ง ท่อนไม้เมื่อครู่เคลื่อนไปกระแทกผนังให้ทลายลง แล้วพุ่งต่อไปจนสุดทาง

สุดทางคือกงซีอู๋ที่ถูกไม้ท่อนนั้นกระทุ้งชายโครงเข้าอย่างจังจนร้องอู้ในคอ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: