X
    Categories: กล่อมเกลาปราชญ์หญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 4

อี้เจียงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เขาอยู่ห่างจากตนเองแค่ชั่วผนังกั้น นางถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

ฝ่ายตรงข้ามส่ายหน้า “ระวังหน่อย หลุมที่ขังพวกเราไว้เชื่อมต่อกัน หากแตะต้องอะไรเพียงนิดก็จะกระทบกันทั้งหมด ดังนั้นอย่าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า”

นางพิจารณากลไกนี้ใหม่อีกครั้งแล้วขมวดคิ้ว “หมายความว่าถ้าจะออกไปให้ได้ พวกเราก็ต้องเคลื่อนไหวพร้อมกันสองฝั่งน่ะสิ”

“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า

อี้เจียงนึกว่ากงซีอู๋จะมีแผนการอะไรดีๆ เสียอีก ปรากฏว่ารออยู่นานเขาก็ยังไม่พูดต่อ ทั้งไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาทางสีหน้าทั้งสิ้น

กลไกนี่ก็แค่รูปทรงเรขาคณิตวางต่อกันเท่านั้น ไม่เป็นไร เมื่อก่อนข้าทำข้อสอบเรขาคณิตได้คะแนนดี อี้เจียงให้กำลังใจตนแล้วตัดสินใจว่าจะหาวิธีแก้ปัญหาเอง

“หลักการกลไกสำนักโม่จื่ออยู่ที่ความสัมพันธ์ของเหตุและผล ทุกอย่างเชื่อมต่อกันเป็นลูกโซ่ หากเจ้าหาวิธีแก้สำเร็จก็จะออกไปได้” กงซีอู๋พูดขึ้นเรียบๆ

ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อี้เจียงก็คิดว่านี่อาจเป็นหลักการฟิสิกส์มากกว่า ดวงตานางกลอกมองซ้ายมองขวากลับกันไปมา ในนี้มีท่อนไม้แนวขวางอย่างน้อยหกสิบท่อน ดูไม่ออกว่าต่อกันอย่างไร พวกมันวางซ้อนกันอย่างแน่นหนาแต่ก็ยังขยับได้ ใช้กฎอะไรกันนี่ หากขยับท่อนไม้ท่อนหนึ่งแล้วท่อนไม้ท่อนอื่นๆ ขยับตาม ก็หมายความว่าขอแค่ขยับแล้วหยุดวิถีการเคลื่อนไหวของกลไกได้ก็พอแล้วใช่หรือไม่

คิดมาถึงตรงนี้สมองก็สว่างวาบ อี้เจียงยกมือซ้ายขึ้นดันไม้ตรงต้นคออย่างยากลำบากพลางจินตนาการว่ามันจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดแล้วบอกกงซีอู๋ “ผลักไม้ท่อนที่สามทางทิศใต้หน่อย”

ชายหนุ่มปรายตามองอี้เจียงทีหนึ่ง แต่ก็ให้ความร่วมมือโดยดี ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของเขาและนาง ไม้สองท่อนนั้นมาเจอกันตรงกลาง ดันกันแนบสนิท ทั้งคู่จึงมีพื้นที่ให้เคลื่อนไหวมากขึ้นเล็กน้อย

อี้เจียงลิงโลด วิธีนี้ได้ผล! นางจึงมองหาท่อนไม้ท่อนที่สองที่จะจัดการด้วยวิธีเดิม

เวลาอาหารกลางวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว จากที่คำนวณคร่าวๆ อี้เจียงยืนนิ่งอยู่ในนี้มาแล้วสองสามชั่วยาม* เป็นอย่างต่ำ ร่างกายเล็กบางของนางหรือจะทนรับความตรากตรำเช่นนี้ไหว ท้องโหวงด้วยความหิว เหงื่อไหลราวกับสายฝน เพิ่งจะดันไม้ออกไปได้แค่สี่ห้าท่อนก็รู้สึกว่าร่างกายมาถึงขีดจำกัดแล้ว

ร่วมแรงร่วมใจกันสองคนน่ะไม่มีปัญหา แต่ผ่านไปได้ไม่นานอี้เจียงก็พบว่าท่อนไม้ที่ดูเหมือนวางต่อกันง่ายๆ นี้ความจริงแล้วซับซ้อนพิสดาร ยิ่งแก้ยิ่งยาก ระยะเวลาที่นางต้องหยุดใช้ความคิดก็นานขึ้นเรื่อยๆ

อี้เจียงเป็นคนแข็งมาแต่ไหนแต่ไร หากเซ่าจิวค่อยพูดค่อยจากันดีๆ ยังพอว่า แต่อีกฝ่ายกลับใช้วิธีนี้ นางจึงมุ่งมั่นว่าจะต้องออกจากคุกนี้ไปให้ได้

“ท่อนที่สามด้านซ้ายหรือท่อนที่สี่ด้านหน้านะ” อี้เจียงงึมงำเบาๆ ติดอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ไปต่อไม่ได้เสียที

“ท่อนไม้หกสิบสี่ท่อนมีกลไกทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบแปดกลไก ศิษย์น้องไม่เคยเจอกลไกสำนักโม่จื่อมาก่อน แก้กลไกได้ขั้นนี้นับว่าปราดเปรื่องจริงๆ” มีแค่เสียงของกงซีอู๋นั่นแหละที่ยังเรียบเรื่อยผ่อนคลายประดุจสายลมอ่อนที่พัดผ่านป่าผืนนี้ได้ “ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าศิษย์น้องไม่ควรปลีกตัวจากแผ่นดินอันสับสนวุ่นวาย ไปจากฉางอันจวินแล้วหาเจ้านายใหม่เสียดีกว่า”

เสียงของเขาดึงสติอี้เจียงกลับมา นางใช้มือซ้ายที่เคลื่อนไหวได้แล้วปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เพราะศิษย์พี่แท้ๆ ตอนนี้ข้าอยากปลีกตัวจากแผ่นดินอันสับสนวุ่นวายก็ทำไม่ได้แล้ว”

ในสำนักศึกษาวันนั้น แรกสุดเขาโน้มน้าวนางไม่ให้หนีไปใช้ชีวิตอย่างสงบ จากนั้นก็ชี้นำให้เถียนตันเรียกนางออกมาแสดงความเห็น แล้วรับความเห็นของนางโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทำให้นางตกเป็นเป้าสายตาของคนมากมาย ถ้าบอกว่าไม่มีเจตนา…ใครจะเชื่อ

ชายหนุ่มยังคงทำหน้านิ่งไร้ความรู้สึกและไม่ได้ปฏิเสธ

อี้เจียงพูดออกไปแล้วก็นึกเสียใจในความปากไวของตนเอง เมื่อก่อนหวนเจ๋อจะต้องไม่มีความคิดอยากหลีกหนีความวุ่นวายแน่ น่ากลัวว่าการแสดงออกของนางในวันนี้และสิ่งที่นางพูดในสำนักศึกษาจี้ซย่าอาจทำให้เขาสงสัยแล้วก็เป็นได้

นางใคร่ครวญสักพัก ตัดสินใจโต้กลับไปอีก “ไม่ได้เจอกันนาน ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าศิษย์พี่พูดเก่งขึ้นมากเลยเล่า”

กงซีอู๋หันมามองอี้เจียง เสื้อสีขาวของเขาเปรอะเปื้อนคราบดิน ผมยาวสยายตกลงมาปรกตาครึ่งหนึ่ง ดูนิ่งสงบราวกับหิมะบนผาสูง “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าศิษย์น้องไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด”

อี้เจียงชะงัก ข้าคิดมากไปเองอย่างนั้นหรือ

หลังพูดเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นดันไม้ท่อนที่อยู่หลังเอว นางนึกแปลกใจที่เขาไม่เรียกให้ตนช่วยดันไม้พร้อมกัน ก่อนจะพบว่าพอเขาผลักไม้ท่อนนั้น ไม้ท่อนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวก็ขยับออกไปหมด ราวกับทหารที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเคลื่อนตัวออกไปจนชิดผนังหลุมอย่างว่าง่าย รอบกายจึงเบาโล่งขึ้นทันที

กงซีอู๋ปัดเสื้อผ้า ดึงกระบี่ออกมา ใช้ฝักยันผนังดินเอาไว้ มืออีกข้างจับปากหลุมเป็นหลักยึด พาตนเองกระโดดขึ้นไปข้างบน จากนั้นก็เดินมาที่หลุมของอี้เจียง ยื่นมือลงมาให้นาง

ตอนที่ถูกเขาดึงขึ้นจากหลุม อี้เจียงยังตกตะลึงไม่หาย “ที่แท้ท่านก็แก้กลไกได้?”

ชายหนุ่มเหลือบมองนาง “ข้าไม่ได้บอกนี่ว่าแก้ไม่ได้”

บ้าจริง! อี้เจียงรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ทั้งคู่เดินตามกันไปที่ริมแม่น้ำ เรือไม่อยู่แล้ว คงเป็นเซ่าจิวที่พายกลับไปฝั่งตรงข้าม

อี้เจียงมองอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าทางด้านตะวันตกก็ถอนหายใจ “ตันคุยมากับข้าด้วย แต่ไม่เห็นจะออกตามหา”

กงซีอู๋ตอบ “ตันคุยเป็นคนซื่อ เซ่าจิวเองก็เป็นบัณฑิตที่มีแต่ชื่อกลวงๆ อยู่ในสำนักศึกษาจี้ซย่า เขาไม่สงสัยในตัวนางหรอก เซ่าจิวแค่หาเหตุผลง่ายๆ มาอ้าง เขาก็ไม่ออกตามหาแล้ว”

พอนึกถึงเซ่าจิว อี้เจียงก็โมโหไม่หาย “ในเมื่อนางเป็นบัณฑิตที่มีแต่ชื่อกลวงๆ เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า”

“ถึงสำนักโม่จื่อจะรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นน่าชื่นชม แต่แนวคิดเผื่อแผ่ความรักทั้งแผ่นดิน ไม่โจมตีกันและกันที่พวกเขาริเริ่มขึ้นนั้นไม่อ้างอิงกับหลักความเป็นจริงแม้แต่นิดเดียว ลูกศิษย์รุ่นเซ่าจิวที่อายุยังน้อยย่อมทุ่มเทให้กับสิ่งที่ไร้ความเป็นจริงนี้ และถูกหลอกใช้ได้ง่ายที่สุด”

อี้เจียงนิ่งคิด “แคว้นฉินเป็นคนบงการ?”

“เป็นไปได้มาก เพราะเจ้าเน้นย้ำจุดยืนให้ฉีช่วยจ้าว ส่วนข้าผลักดันให้นำไปปฏิบัติจริง แคว้นฉินจะไม่อยู่เฉยก็ไม่แปลก ฟั่นจวี มหาอำมาตย์แคว้นฉินก็เป็นคนเก่งคนหนึ่ง ว่าไปแล้วก็มีศักดิ์เป็นศิษย์น้องของอาจารย์”

“เช่นนี้นี่เอง” อี้เจียงจดจำคำพูดของกงซีอู๋อย่างตั้งใจ คิดแล้วก็อดละอายใจเล็กน้อยไม่ได้ “เรื่องวันนี้เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของข้า ทำให้ศิษย์พี่ต้องมาเดือดร้อนไปด้วย”

กงซีอู๋ส่ายหน้า “ที่เซ่าจิวเข้ามาเป็นบัณฑิตมีชื่อกลวงๆ อยู่ในสำนักศึกษาจี้ซย่า เป็นเพราะนางหมายหัวข้าอยู่แล้ว อีกอย่างกลไกนี้แค่เตรียมอย่างเดียวก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือน ตอนนั้นนางยังไม่รู้จักเจ้า ที่ถูกคือต้องบอกว่าข้าทำให้เจ้าเดือดร้อนต่างหาก”

อี้เจียงเม้มปากมองไปยังฝั่งตรงข้าม “ตอนนี้พวกเราจะกลับไปอย่างไร”

“ข้าสั่งการคนของข้าไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาพวกเขาจะมารับ” ชายหนุ่มชี้ไปทางตะวันออก “ข้าจะไปทางนั้น เจ้าไปทางตะวันตก ถ้าเจอทหารแคว้นฉีก็ให้พามาพบกันตรงนี้”

มีอำนาจนี่ดีจริงนะ อี้เจียงแอบคิดในใจ ก่อนหมุนตัวเดินไปทางตะวันตก

ทางตะวันตกตลิ่งค่อนข้างสูง แม่น้ำกว้าง ทว่าต้นไม้ใบหญ้าไม่แน่นหนาเท่าไรนัก แสงอัสดงสะท้อนบนผิวน้ำ นกบินโฉบผ่านตัดแสงสีเงินให้แตกออกเป็นริ้ว

เดินอยู่นานก็ได้เจอคนจริงๆ อี้เจียงถลกชายเสื้อคลุมวิ่งเข้าไปหา ก่อนจะพบว่าคนตรงหน้าเป็นชายชราผมหงอกขาวคนหนึ่งกับชายวัยกลางคนสวมชุดสีน้ำเงินอมดำอีกคนหนึ่ง

ทั้งคู่นั่งหันหน้าออกไปทางแม่น้ำ หันหลังให้นาง เสียงพูดคุยลอยมาให้ได้ยิน บางครั้งก็เนิบนาบแผ่วเบา บางครั้งก็เคร่งเครียดเหมือนถกอะไรกันอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้า ทั้งสองก็หันมาพร้อมกันแล้วหยุดสายตาอยู่บนร่างของอี้เจียง

นางรู้สึกคุ้นหน้าชายชราอย่างบอกไม่ถูก คิดอยู่สักพักก็นึกออก ที่แท้ก็เป็นบัณฑิตสูงวัยที่ยกธรรมชาติของธาตุทั้งห้ามาเกลี้ยกล่อมเถียนตันในสำนักศึกษาจี้ซย่าวันนั้น

เห็นได้ชัดว่าชายชราก็จำอี้เจียงได้เช่นกัน เขาลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยว่า “ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อแห่งสำนักกุ่ยกู่ไม่ใช่หรือ”

อี้เจียงรีบประสานมือคำนับ เห็นคราบดินที่อยู่ตามเสื้อตนเองก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย

ร่างอ้อนแอ้นของเด็กสาวในอาภรณ์สีขาวเนื้อเบายืนต้านลมอยู่ริมน้ำ ดูไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นคนเดียวกับบัณฑิตที่แสดงความเห็นในวันนั้น ชายชราลูบเครากล่าวยิ้มๆ “วันนั้นคำพูดของผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตามๆ กันทีเดียว”

นางค้อมตัวลงซ่อนสีหน้า “กฎห้าธาตุของผู้ทรงภูมิต่างหากที่ช่วยเปิดปัญญาให้ข้า”

ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะ “คนสำนักกุ่ยกู่ชมหลักปรัชญาสำนักอินหยางเราเช่นนี้ น่าแปลกใจจริงๆ”

ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นบ้าง “สำนักกุ่ยกู่ยังวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดการปกครองบ้านเมืองโดยหลักอกรรมของสำนักเต๋าเราเอาไว้มากเช่นกัน”

อี้เจียงเพิ่งรู้ว่าคนผู้นี้มาจากสำนักเต๋า

เห็นว่าพวกบัณฑิตมักจะมีนิสัยแปลกๆ สองคนตรงหน้านี้ก็เช่นกัน พวกเขาหันไปถกเถียงพูดคุยกันต่อโดยไม่สนใจว่านางอยู่ด้วยหรือไม่

อี้เจียงตั้งใจจะเดินต่อเพราะไม่อยากรบกวน แต่พลันได้ยินพวกเขาพูดกันเรื่องอัศจรรย์พันลึกเข้าเสียก่อน ทั้งวิถีดาวหกสิบสี่ทิศ ทั้งธรรมชาติ และผีสางเทวดา มีแต่ศัพท์ประหลาดๆ ฟังดูเร้นลับ นางจึงอดจะชะงักเท้าอีกครั้งไม่ได้

เท่าที่จำได้ ทั้งสำนักอินหยางและสำนักเต๋าล้วนมีแนวคิดเกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ตอนนี้คนที่มีความรู้เกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวอย่างละเอียดลึกซึ้งจากทั้งสองสำนักอยู่ตรงหน้า นี่เป็นเพราะสวรรค์มอบโอกาสมาให้นางแล้วใช่หรือไม่

ความคิดที่ไม่กล้านึกถึงตลอดช่วงที่ผ่านมาวิ่งวนในสมองอี้เจียงอย่างบ้าคลั่ง นางก้าวไปข้างหน้าอย่างอดใจไม่ไหว “ไม่ทราบว่าข้าจะขอคำชี้แนะจากทั้งสองท่านเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

แม้สำนักกุ่ยกู่เพิ่งถูกล้อเลียนไปเมื่อครู่ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์นาง ต่างพักเรื่องที่ถกเถียงกันไว้ชั่วคราวแล้วพยักหน้าให้ยิ้มๆ

เสียงของอี้เจียงสั่นนิดๆ “สมมติ…ข้าแค่สมมติเฉยๆ สมมติว่าอยู่ดีๆ มดตัวหนึ่งก็ข้ามมิติเวลาไปอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ทั้งสองท่านคิดว่ามาจากสาเหตุอะไร”

ชายชรากับชายวัยกลางคนเผยสีหน้างุนงง ต่างหันไปมองหน้ากัน จากนั้นก็ส่ายหน้า

บัณฑิตสำนักอินหยางกล่าวว่า “ธรรมชาติดำเนินไปตามวิถี ธาตุทั้งห้าตอบสนองซึ่งกันและกัน สรรพสิ่งและดวงดาวโคจรไปตามวัฏจักร การจะข้ามมิติเวลานั้นเป็นไปไม่ได้”

บัณฑิตสำนักเต๋าพูดขึ้นมา “เต๋ากล่าวว่าจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว เคลื่อนไหวตามกาล สอดคล้องกลมกลืนกับสรรพสิ่ง ไร้ซึ่งรูปร่าง แล้วจะมีปัจจุบันกับอนาคตได้อย่างไร”

อย่างเดียวที่อี้เจียงฟังรู้เรื่องคือพวกเขาไม่เชื่อว่าเรื่องที่นางพูดมีอยู่จริง

อี้เจียงอุตส่าห์เตรียมใจรอฟังเหตุผลแปลกประหลาดทุกรูปแบบ ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะไม่เชื่อเลยสักนิด ถ้าแม้แต่พวกเขายังไม่เชื่อ จะมีใครที่นี่เข้าใจสิ่งที่นางประสบพบเจออีก ยังจะมีใครช่วยนางแก้ปัญหาได้

“ขอบคุณผู้ทรงภูมิทั้งสองท่านมาก” นางก้มหน้าคำนับลาอีกครั้งอย่างหงอยเหงา

“คนสำนักกุ่ยกู่ก็ถามอะไรเช่นนี้เป็นด้วย ประหลาดจริงๆ” บัณฑิตวัยกลางคนส่ายหน้ายิ้มๆ

ชายชราก็มองอี้เจียงที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าแปลกใจเช่นกัน “ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมองเรื่องใหญ่ของแผ่นดินได้ละเอียดถ่องแท้ ไฉนถึงได้ดูหดหู่เซื่องซึมกับเรื่องหยุมหยิมที่ไร้ความสำคัญเช่นนี้ได้”

แสงอัสดงเหลือแค่แสงเรื่อเรืองอ่อนๆ ประกายระยิบระยับบนผิวแม่น้ำจือสุ่ยหายไปทีละน้อย อี้เจียงนั่งกอดเข่าอยู่ริมน้ำ ก้มหน้ามองเงาสะท้อนของตนเอง

ใบหน้านี้มิใช่ของนาง ร่างกายก็เช่นกัน

คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เพิ่งซื้อมาเปลี่ยนก่อนปีใหม่ หน้าจอถูกนางครูดเป็นรอยชัดเจน นางปวดใจด้วยความเสียดายอยู่นาน ตอนเทศกาลซั่งหยวน* นางแอบจุดประทัดเล่น โดนแม่ด่าแทบแย่ นางกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานนัดกันแต่งตัวประหลาดเข้าไปถ่ายรูปในโรงเรียนเก่า ทำเอาพวกรุ่นน้องหันมามองกันเกรียว พ่อบอกว่านางเรียนจบแล้ว ถือเป็นผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ ควรจะหาคนรักสักคนได้เสียที…นี่ต่างหากชีวิตที่นางควรใช้ นี่ต่างหากปัญหาที่นางควรเจอ

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่อี้เจียงก็ไม่กล้านึกถึงชีวิตเมื่อก่อนเพราะกลัวตนเองจะทนไม่ไหว ทั้งที่ดูเหมือนลืม แต่ความจริงแล้วกลับฝังลึกอยู่ในใจ ดูเหมือนยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ความจริงยังมีความหวัง จนกระทั่งตอนนี้…

ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นบางๆ นางเอาคางเกยแขนทั้งสองข้าง พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ห้ามน้ำตาไม่อยู่

“ที่แท้ศิษย์น้องก็มาอยู่ตรงนี้เอง”

เสียงของกงซีอู๋พลันดังขึ้น อี้เจียงสะดุ้ง รีบนั่งตัวตรง ปาดน้ำตาออกไปอย่างแนบเนียน ขณะที่ใบหูได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินใกล้เข้ามา

“ศิษย์น้องกำลังคิดอะไรอยู่” กงซีอู๋ตลบชายเสื้อคลุมนั่งลงข้างกายอี้เจียง “พูดให้ข้าฟังได้นะ”

นางส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”

“แต่ก่อนศิษย์น้องมีอะไรก็พูดกับข้าได้ทุกเรื่องนี่”

อี้เจียงอาศัยแสงสุดท้ายของวันหันไปถลึงตาใส่เขา พูดอย่างอ่อนใจ “ข้ากำลังคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก”

“หือ?”

“มีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง แต่ละตอนของแม่น้ำเป็นฤดูกาลที่แตกต่างกันออกไป ปลาในแม่น้ำแค่ว่ายไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก็จะผ่านฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ครบทั้งสี่ฤดู ปลาต้องว่ายไปข้างหน้าเท่านั้น จะว่ายย้อนกลับมาไม่ได้ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด มีปลาตัวหนึ่งว่ายตามกระแสน้ำไปจนถึงฤดูร้อน อยู่ๆ มันก็ย้อนกลับไปห้วงน้ำที่เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า”

กงซีอู๋นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ถ้ากระแสน้ำไหลเร็วขึ้น ขณะที่ปลาว่ายช้าลง ก็อาจเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้”

อี้เจียงคิดตามอย่างตั้งใจ ก่อนรู้สึกว่ามีเหตุผล หายากตรงที่เขาไม่ได้ด่วนสรุปในทันทีว่าปัญหานี้ไม่มีทางเกิดขึ้น

“จากนั้นปลาตัวนี้ก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ว่าฤดูใบไม้ผลินี้แตกต่างจากฤดูใบไม้ผลิที่มันเคยผ่านมาโดยสิ้นเชิง น้ำในแม่น้ำก็ไม่สบายตัวอย่างที่มันคิด มันควรทำเช่นไรดี”

กงซีอู๋จ้องมองผิวน้ำเหมือนมีปลาตัวนั้นอยู่จริงๆ “ปลายังคงเป็นปลาและยังอยู่ในน้ำเหมือนเดิม ในเมื่อมันไม่เคยกระโดดขึ้นบก แล้วเหตุใดถึงต้องมานั่งใคร่ครวญว่าจะทำเช่นไรดี”

อี้เจียงชะงักก่อนจะหันไปมองเขา เห็นมือใหญ่ยื่นเข้ามาหาตัว

ฝ่ามือที่แห้งเย็นนิดๆ ตบลงมาบนกระหม่อมนาง “โลกนี้กว้างใหญ่ มีเรื่องละเอียดซับซ้อนมากมาย คนธรรมดาจะเก็บมากังวลไปไย”

น่าแปลกที่อี้เจียงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย

นางอยู่ที่นี่มีสหายน้อยจนยกนิ้วนับได้ คนที่สามารถปรับทุกข์ระบายความในใจยิ่งไม่มีเลย กับกงซีอู๋คนนี้ นางตั้งใจว่าจะอยู่ห่างๆ อย่างระวังตัวมาโดยตลอด ย่อมนึกไม่ถึงว่าคนที่ยอมตอบคำถามของนางอย่างจริงจังจะเป็นเขา เขาในเวลานี้เป็นแค่ศิษย์พี่ของนาง ไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัว

“ค่ำแล้ว ไปกันเถอะ” กงซีอู๋ลุกขึ้นยืน ตอนนี้ดวงจันทร์ลอยขึ้นมาอยู่บนฟ้าแล้ว

ทหารแคว้นฉีถือคบเพลิงยืนอยู่ไกลๆ เรือจอดเทียบฝั่ง หัวเรือมีสาวใช้ยืนถือผ้าคลุมกันลมเตรียมผูกให้กงซีอู๋ แต่เขาโบกมือปฏิเสธ ให้ไปมอบแก่อี้เจียงแทน

นางเพิ่งจะผูกเชือกที่คอเสร็จ ก็ได้ยินกงซีอู๋สั่งคนให้ไปตามจับตัวเซ่าจิว จึงอดเดินเข้าไปถามไม่ได้ “ท่านคิดจะจัดการกับนางอย่างไร”

ชายหนุ่มหันมามอง ใบหน้าคมคายใต้แสงไฟดูเฉยชาเหมือนนางถามเรื่องที่ไม่ควรถาม

เจอคนสูงส่งเยือกเย็นตัวจริงเช่นนี้ อี้เจียงต้องทำตัวสูงส่งเยือกเย็นยิ่งกว่า “ในเมื่อนางถูกคนหลอกใช้ ก็ไม่น่าจะมีโทษถึงตายกระมัง”

กงซีอู๋ปรายตามองดวงจันทร์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนบ่อน้ำเก่าที่ไร้ระลอกคลื่น “จับตัวนางมาให้ได้ก่อนแล้วกัน”

อี้เจียงคิดตาม จริงอย่างที่เขาพูด เซ่าจิวกล้าเล่นงานกงซีอู๋ ย่อมต้องเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว นางถอนหายใจอย่างโล่งอก นางไม่ได้เกิดใจดีอะไรขึ้นมาหรอก แค่นึกถึงเผยยวนเท่านั้น

รอบตัวเงียบสงัด มีแต่เสียงไม้พายกระทบผิวน้ำเบาๆ กงซีอู๋สั่งคนพายว่าอย่าให้เรือโคลงมาก แล้วเดินนำอี้เจียงเข้าไปยังห้องภายในเรือ

ห้องด้านในเตรียมสุราอาหารไว้แล้ว ทุกอย่างยังอุ่นอยู่ วันนี้อารมณ์ของอี้เจียงขึ้นๆ ลงๆ ทั้งวัน ทั้งกายทั้งใจเหนื่อยล้าเต็มที หิวจนแทบทนไม่ไหว พอนั่งลงแล้วได้กลิ่นหอมของอาหารก็ต้องรีบยกมือกุมท้องแน่น เพราะกลัวมันจะร้องจ๊อกๆ ให้ขายหน้า

สาวใช้ยกอ่างทองแดงเข้ามา กงซีอู๋ล้างมือแล้วส่งตะเกียบข้ามโต๊ะไปให้อี้เจียงพลางเอ่ยถามเรียบๆ “หนังสือที่ข้าให้ไป ศิษย์น้องอ่านแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” ถามราวกับเป็นอาจารย์ที่กำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ

อี้เจียงตอบเขาแต่ตามองอาหาร “อ่านไปได้เกือบครึ่งแล้ว ศิษย์พี่เขียนขยายความได้ละเอียดยิ่งนัก เป็นประโยชน์ต่อข้าจริงๆ”

“เช่นนั้นก็ดี” กงซีอู๋กล่าว “บันทึกของอาจารย์ม้วนนั้น เจ้าก็ควรให้ข้าเหมือนกันหรือไม่”

“อะไรนะ” ในที่สุดอี้เจียงก็เบนสายตาไปมองเขา แล้วรีบพูดต่อเพราะกลัวจะเผยพิรุธ “ข้าหิวมานาน มัวแต่ห่วงกิน ไม่ทันฟังที่ศิษย์พี่พูด”

กงซีอู๋มองหน้าอี้เจียง “อาจารย์เคยยกบันทึกให้พวกเราคนละม้วน ข้าเอาของข้าให้ศิษย์น้องดูแล้ว ศิษย์น้องก็ควรเอาม้วนของตนเองให้ข้าดูบ้างสิ”

ทีนี้อี้เจียงก็รู้แล้วว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงได้พูดว่า ‘ข้าไม่ได้ให้เปล่าๆ’ นางรีบทบทวนความทรงจำในใจอย่างรวดเร็ว ตอนที่มาถึงที่นี่นางก็อยู่ในคุกแล้ว ไม่เห็นจะมีบันทึกอะไรทั้งนั้น

“ข้าเดินทางอย่างรีบร้อน อาจจะลืมทิ้งไว้ที่แคว้นจ้าว ไว้คราวหน้าข้ากลับไปจะต้องหามาให้ศิษย์พี่แน่นอน”

กงซีอู๋ถือตะเกียบค้าง “บันทึกที่อาจารย์มอบให้ พวกเราควรเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา ไฉนศิษย์น้องถึงได้เลินเล่อเช่นนี้”

“เอ่อ…สงสัยข้าจะจำผิด ประเดี๋ยวข้ากลับไปแล้วจะลองหาดูดีๆ”

กงซีอู๋เม้มปากพยักหน้า

อี้เจียงใจคอไม่ดี เลยได้แต่กินอาหารเข้าไปมากๆ เพื่อระบายความเครียด

 

ภายในจวนตัวประกันเงียบสงัด

กงซีอู๋ให้คนมาส่งอี้เจียงที่จวน นอกจากข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูก็ไม่มีใครออกมารับนางเลยสักคน นางยืนถอนใจเฮือกอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ บางทีต่อให้นางหายไปจริงๆ อาจไม่มีใครรู้เลยก็ได้

เรือนด้านหน้าไม่ได้จุดตะเกียง ทุกคนคงเข้านอนกันหมดแล้ว อี้เจียงอาศัยแสงจันทร์ก้าวไปตามเฉลียงทางเดินจนถึงเรือน คลำหาตะเกียงมาจุดในความมืดแล้วรื้อค้นตามหีบเพื่อหาสัมภาระของตนเอง

ข้าวของทุกอย่างถูกนำออกมาวางเรียงกันบนโต๊ะ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนจำนวนหนึ่ง หนังสือมีแค่สองม้วน นอกจากม้วนที่กงซีอู๋ให้มาก็คือม้วนที่เป็นบันทึกประจำวันของตัวนางเอง

ครานี้จะทำเช่นไรดีเล่า หากรู้แต่แรกว่าต้องแลกเปลี่ยนหนังสือกัน ข้าก็ไม่เอาของเขามาหรอก!

ระหว่างที่กำลังกลัดกลุ้มใจอยู่นั้น เสียงคนก็ดังขึ้นด้านนอก ตามมาด้วยเสียงฝีเท้ารีบร้อนที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดูเหมือนจะมีคนจำนวนมากแห่เข้ามาในเรือน แสงจากคบเพลิงด้านนอกสว่างไสว ทาบเงาของคนเหล่านั้นลงบนกระดาษปิดบานหน้าต่าง

“ยังหาคนไม่เจออีกหรือ” เสียงของจ้าวจ้งเจียวดังมาจากตรงหน้าลาน

ตันคุยตอบ “ยังขอรับ หาทั้งข้างนอกข้างในหมดแล้วก็ยังไม่พบ”

อี้เจียงค่อยรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ที่แท้เมื่อครู่ไม่เจอใครก็เพราะพวกเขาออกไปตามหานางกันหมดนี่เอง นับว่ายังมีน้ำใจกันอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่เหลียวแลนางเลย

“นายท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้ากลับมาแล้ว” นางเปิดประตูเรือนพลางสาวเท้ายาวๆ ออกมา

จ้าวจ้งเจียว ตันคุย และพวกข้ารับใช้ที่ถือคบเพลิงต่างหันมามองโดยพร้อมเพรียงกัน

“เซ่าจิวบอกว่าแม่นางออกไปเที่ยวกับผู้ทรงภูมิกงซี ดึกๆ ถึงจะกลับ พวกเรารู้กันหมดแล้ว จึงไม่ได้เป็นห่วง” ตันคุยมีท่าทางงุนงงกับคำพูดของนาง

อี้เจียงเริ่มเอะใจ “อะไรนะ! ทุกคนไม่ได้กำลังตามหาข้าอยู่หรอกหรือ”

จ้าวจ้งเจียวเลิกคิ้ว “ตามหาเจ้าไปด้วยเหตุใดกัน เจ้าก็สบายดีมิใช่หรือ”

อี้เจียงพลันนึกถึงคำแนะนำของกงซีอู๋ที่ให้นางไปจากเจ้านายแล้งน้ำใจเพื่ออนาคตที่ดีกว่าขึ้นมาทันที “เช่นนั้น…พวกท่านกำลังตามหาใครอยู่เล่า”

“เผยยวน” จ้าวจ้งเจียวขมวดคิ้ว “เขาหายไปตั้งแต่บ่ายวันนี้ ตามหาทั้งในเรือนทั้งในเมืองจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบ สุดท้ายเลยต้องเข้ามาดูในเรือนเจ้านี่แหละ”

“…”

ใครหายตัวไปก็ล้วนไม่แปลกทั้งนั้น แต่เผยยวนหายตัวไปสิถึงแปลก

อี้เจียงคิดว่าถ้าเผยยวนผู้นี้มีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน จะต้องเป็นพวกอยู่ติดบ้านชนิดหมื่นปีก็ไม่ยอมออกไปที่ใด แต่ละวันต่อให้ไม่มีอะไรทำก็สามารถอยู่เงียบๆ ในเรือนได้ทั้งวัน ตามหลักแล้วคนที่ไม่ยอมก้าวออกจากบ้านเลยเช่นนี้ สามารถตัดความเป็นไปได้ที่จะหายตัวทิ้งได้เลย

จวนตัวประกันไม่เป็นสุขกันทั้งคืน ที่ใดไปหาได้ก็หากันจนทั่วแล้วแต่ยังคงไร้ร่องรอย พอเช้าวันที่สองจ้าวจ้งเจียวส่งคนออกไปตามหาต่อ วุ่นวายกันไม่หยุด

พอช่วงบ่าย พ่อบ้านกับพวกข้ารับใช้เริ่มหมดความอดทน พากันมารายงานว่า

“ฉางอันจวิน บ่าวคิดว่าผู้ทรงภูมิเผยยวนอาจหนีไปเองนะขอรับ”

“นั่นสิขอรับ บ่าวก็คิดเช่นนั้น เขาคงรู้สึกว่าติดตามท่านต่อไปมีแต่จะลำบากเลยทนไม่ไหวจนหนีไป”

“นั่นสิๆ อย่าตามหาต่อเลย”

จ้าวจ้งเจียวเองก็ได้นอนแค่สองชั่วยาม เพิ่งจะตื่นมาเมื่อครู่นี้ บนร่างยังสวมชุดนอน เขายืนหน้าบึ้งอยู่ตรงประตูเรือนโดยไม่พูดไม่จา แต่เพราะมีดวงตาแวววาม ปลายคางเรียวเล็ก ใบหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลผิดกับนิสัยเหี้ยมเกรียมข้างใน แม้กำลังโมโหก็ยังดูมีเสน่ห์เย้ายวน

ข้ารับใช้พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนที่แคว้นฉีจัดหาไว้ให้ มีแค่ไม่กี่คนที่เขาพามาด้วยจากแคว้นจ้าว จะตั้งอกตั้งใจทำงานให้เขาได้อย่างไรกัน อี้เจียงคร้านจะบ่นคนทำงานไม่จริงจังพวกนี้ นางก้าวออกมาด้วยดวงตาดำคล้ำ “นายท่าน ข้าคิดว่าเผยยวนอาจไม่ได้หนีไปเอง แต่ถูกคนจับตัวไป”

จ้าวจ้งเจียวยังหน้าบึ้งเช่นเดิม “เหตุใดถึงคิดเช่นนั้น”

“เผยยวนไม่ใช่เซินซี ตอนที่เซินซีแอบหนีไป เขายังตำหนิยกใหญ่ อีกอย่าง ถ้าจะหนี เขาคงหนีไปนานแล้ว เหตุใดต้องรอให้ถึงตอนนี้ด้วย”

“อืม…” ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้ว “ข้าเป็นคนพาเขามาที่นี่ หากเขามีอันเป็นไปขึ้นมา ข้าก็หนีความรับผิดชอบไปไม่ได้”

ถึงเจ้าคนชอบแต่งหญิงนี่จะมีนิสัยจูนิเบียว แต่ในเวลาคับขันก็ยังมีความรับผิดชอบดี อี้เจียงพยายามห้ามตนเองไม่ให้อ้าปากหาวแล้วพยักหน้า “นายท่านวางใจเถอะ จะต้องหาเขาเจอแน่”

ทว่าตัวประกันที่ไร้อำนาจบารมีคนหนึ่งจะตามหาคนในอาณาเขตแคว้นอื่นนั้นเป็นเรื่องยากเหลือเกินจริงๆ

จ้าวจ้งเจียวเองก็รู้ถึงได้ปรายตามอง แล้วยิ้มมุมปากให้อี้เจียง “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนให้ผู้ทรงภูมิเหนื่อยหน่อยแล้ว เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็ยังนับว่ามีที่พึ่งอยู่ในแคว้นฉีนี่”

อี้เจียงทำหน้าหน่าย กงซีอู๋น่ะหรือที่พึ่งของข้า เด็กหนอเด็ก เจ้ามันอ่อนหัดเกินไปแล้ว!

 

ตอนที่เผยยวนฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว พร้อมกับที่หูได้ยินเสียงกบร้องระงม

เขาลุกขึ้นมานั่ง หันมองไปรอบตัว เห็นเด็กสาวผมดำชุดดำนั่งยองๆ อยู่ข้างกองไฟ ใช้ท่อนไม้เขี่ยไฟให้ลุกโชนอย่างเบื่อหน่าย “อ้าว ฟื้นแล้วหรือ”

เขากระโดดพรวดขึ้นมายกนิ้วชี้หน้านาง “เจ้าลักพาตัวข้า?!”

เซ่าจิวค้อนควัก “ข้าไม่ได้ลักพาตัว แต่ช่วยเจ้าออกมาจากความลำบากต่างหาก เจ้ามันทั้งอ่อนแอทั้งหลอกง่าย สักวันคงถูกศิษย์หญิงของสำนักกุ่ยกู่นั่นพาให้เสียคน ถึงตอนนั้น แม้แต่ตนเองตายได้อย่างไรเจ้าคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เผยยวนฉุนขึ้นมา “นี่เจ้ากล้าพูดจาว่าร้ายผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อรึ!”

เซ่าจิวเบ้ปาก “เอาเถอะ นางยังไม่เท่าไร อย่างน้อยก็ดีกว่ากงซีอู๋มาก เจ้านั่นต่างหากถึงจะเป็นต้นกำเนิดแห่งความเลวทรามจริงๆ”

“อะไรนะ! เจ้ากล่าวว่าร้ายผู้ทรงภูมิกงซีด้วยรึ!” เผยยวนกระโจนเข้าใส่เซ่าจิวอย่างหมดความอดทน

เซ่าจิวเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไว หัวเราะร่วนมองเขาล้มคะมำไปกับพื้น “ฝีมือแค่นี้อย่ามาอวดเก่งกับข้าหน่อยเลย บัณฑิตอ่อนแอเช่นเจ้าดีแต่สนใจธรรมเนียมมารยาทหยุมหยิม มีหน้ามาสู้ข้าด้วยหรือ”

เผยยวนเห็นว่าเซ่าจิวเป็นสตรีจึงยอมอ่อนข้อให้ต่างหาก เขาลุกขึ้นมาพลางพูดอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ข่งจื่อกล่าวว่า ‘สิ่งใดไม่ปรารถนา จงอย่ายัดเยียดให้ผู้อื่น’ สำนักโม่จื่อของพวกเจ้าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ส่วนข้าอยากอยู่กับผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ เจ้าจะทำอะไรข้าได้!”

เซ่าจิวตอบฉุนๆ “ข้าก็จะจับตัวเจ้าน่ะสิ มีปัญหารึ!”

“เจ้า…” แก้มขาวสะอาดของเขาป่องขึ้นมาด้วยความโกรธอีกแล้ว เขาทิ้งตัวลงนั่งยองๆ อีกทาง ไม่สนใจนางพลางครุ่นคิดว่าจะกลับไปอย่างไรดี

เซ่าจิวโตมากับเผยยวนตั้งแต่เด็ก รู้จักนิสัยเขาดี มีหรือจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร นางจ้องหน้าเขาพลางดับฝันกลางวันของเขาอย่างเย็นชา “ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าเสียแรงคิดดีกว่า ศิษย์สำนักโม่จื่อเรามีฝีมือติดตัวทุกคน เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก แน่นอนว่าจะไม่มีใครมาช่วยเจ้าด้วย เพราะไม่มีใครรู้ว่าเจ้าถูกข้าจับตัวมา”

“ต้องเป็นเซ่าจิวแน่ๆ ที่จับตัวเขาไป” อี้เจียงกัดแผ่นแป้งคำหนึ่ง แล้วมองตันคุยที่ทำหน้าตกตะลึงอยู่ฝั่งตรงข้าม “ข้าก็เล่าไปแล้วมิใช่หรือ ว่าเรื่องมันเป็นเช่นนี้ เจ้าพลาดแล้วที่เชื่อใจนาง”

จากที่อี้เจียงคาดเดา เซ่าจิวน่าจะไหวตัวทันตั้งแต่เดินออกจากกลไกได้ไม่นาน เป็นไปได้ว่าอาจเห็นทหารแคว้นฉีที่กงซีอู๋พามาจึงตัดสินใจถอยทันที ก่อนเกิดความคิดขึ้นมาว่าจะจับตัวเผยยวนไปด้วย

ตันคุยใช้มือดันคางเอาไว้ไม่ให้ตนเองอ้าปากกว้าง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปแบบปุบปับ พูดขึ้นอย่างเป็นกังวล “คุยดูคนไม่เป็น ไว้ใจคนผิด เลยทำให้เผยยวนเดือดร้อน คิดแล้วก็…”

“ดีใจยิ่งยวดใช่หรือไม่” อี้เจียงต่อให้ “ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากให้เผยยวนไปใจจะขาด”

มือกระบี่เลิกเล่นละคร “แม่นางจะกังวลใจไปไย นางเป็นสหายเก่าแก่ของเขา จับตัวเขาไปก็ไม่ทำอะไรเขาหรอก”

อี้เจียงเองก็รู้ว่าเผยยวนจะไม่เป็นอันตราย เห็นได้ชัดว่าเซ่าจิวมีใจให้เขา ไม่มีทางทำอะไรเขาแน่ แต่เป็นไปได้ว่าตัวเซ่าจิวเองก็อยู่ในกำมือของแคว้นฉิน นางจะวางใจยกเผยยวนให้อีกฝ่ายไปได้อย่างไร

 

เมฆดำทะมึนประดุจน้ำหมึก กลั่นเม็ดฝนเป็นสายสีขาวราวกับไข่มุก อากาศฤดูร้อนแปรปรวนง่าย นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ไม่ต่างจากอารมณ์ของทารก

เด็กรับใช้ยกไม้ค้ำบานหน้าต่างออกเพื่อกันไม่ให้ฝนตรงเฉลียงทางเดินสาดเข้ามาในห้อง พอหันไปเห็นว่ากงซีอู๋เดินเข้ามาก็รีบค้อมคำนับ “รายงานท่านเสนาบดี ข่าวความเคลื่อนไหวจากจวนตัวประกันส่งมาถึงแล้วขอรับ”

กงซีอู๋ปรายตามองโต๊ะ จากนั้นก็พยักหน้า เด็กรับใช้เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ

ภายในห้องสะอาดเอี่ยมไร้ละอองฝุ่น ผนังสามด้านเต็มไปด้วยหนังสือ ตรงกลางตั้งโต๊ะเตี้ยมีห้อยม่านบัง โคมไฟวางอยู่สองฝั่ง ควันจากกำยานลอยคดเคี้ยวเป็นวง

ชายหนุ่มเกล้ามวย ประดับมงกุฎจื่อจิน คอเสื้อสีดำปักลายบางๆ ด้วยด้ายสีเข้มเป็นรูปต้นซือ ยามก้าวเดินชายเสื้อคลุมจะกระเพื่อมเหมือนคลื่นสีหมึก ขับใบหน้าให้ยิ่งดูขาวเนียน นัยน์ตานิ่งสงบ โต๊ะเคลือบเงาสีดำมีม้วนหนังสือไม้ไผ่วางอยู่สามสี่ม้วน ใส่ไว้ในถุงแพรปักลวดลายประณีต เขานั่งลงหลังโต๊ะ หยิบม้วนหนังสือจากในถุงแพรใบหนึ่งออกมาคลี่อ่าน

ศึกแรกของเถียนตันในแคว้นจ้าวไม่ได้รับชัยชนะ สถานการณ์ไม่สู้ดี ส่วนเว่ยฉีก็หนีกลับแคว้นเว่ย เพื่อใช้เป็นทางผ่านหนีไปยังแคว้นฉู่

เขาขมวดคิ้ววางม้วนหนังสือลง ก่อนหยิบถุงแพรอีกใบขึ้นมา

มีแต่เรื่องหยุมหยิมไร้สาระทั้งนั้น เขาหยิบถุงแพรใบใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงใบที่อยู่ล่างสุด ในนั้นมีม้วนหนังสืออยู่หนึ่งม้วนเต็ม แต่พอคลี่ออกมากลับมีตัวหนังสือเขียนอยู่บนไม้ไผ่แค่ซีกเดียว ชายหนุ่มกวาดตาอ่าน แล้วไม่แสดงความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น

บัณฑิตคนหนึ่งหายตัวไปมิใช่เรื่องใหญ่ เขาต้องการให้คนของตนเองจับตามองทุกความเคลื่อนไหวของหวนเจ๋อคนเดียวพอ

กงซีอู๋ดึงไม้ไผ่ซีกนั้นออกมา ค่อยๆ ใช้มีดสั้นขูดตัวอักษรทิ้ง ปลายนิ้วเรียวยาวกำอยู่รอบด้ามมีด ดวงตาหลุบลง การเคลื่อนไหวเยือกเย็นสง่างาม

“เรียนท่านเสนาบดี ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมาขอพบขอรับ” เสียงอ่อนเยาว์แต่สำรวมของเด็กรับใช้ดังมาจากหน้าประตู

กงซีอู๋ชะงัก แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เชิญนางเข้ามา”

เด็กรับใช้รับคำสั่งแล้วเดินกลับออกไป

 

อี้เจียงเพิ่งเคยมาจวนเสนาบดีเป็นครั้งแรก ที่นี่ใหญ่โตโอ่โถงกว่าที่นางคิดไว้มาก แต่ก็วังเวงอ้างว้างเกินไป ตลอดทางที่เดินเข้ามา นางไม่เห็นข้ารับใช้เลยสักคน เทียบกับจวนฉางอันจวินที่แคว้นจ้าวแล้วนับว่าคนละเรื่อง

น้ำฝนไหลลงมาจากหลังคาเฉลียงทางเดินราวกับม่าน อีกฝั่งหนึ่งของลานกลาง กงซีอู๋กำลังมองมาทางนี้จากข้างประตู

วันนี้อี้เจียงเลือกสวมชุดที่ดีที่สุดเพื่อมาที่นี่โดยเฉพาะ เป็นเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าสีขาวบริสุทธิ์ ปักลวดลายตรงคอ เกล้าผมมวยไว้เหนือกระหม่อม ดูสุขุมเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว นางถลกชายเสื้อคลุมย่ำน้ำฝนเข้าไปแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ศิษย์พี่ วันนี้ข้าถือวิสาสะมาเยี่ยมเพราะมีเรื่องอยากขอให้ท่านช่วย”

“เรื่องอะไร”

“ที่จวนตัวประกันมีบัณฑิตสำนักข่งจื่อคนหนึ่งชื่อเผยยวน อยู่ๆ เขาก็หายตัวไป หาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบ ข้าสงสัยว่าเซ่าจิวเป็นคนทำ”

“เจ้าต้องการให้ข้าจับตัวเซ่าจิวโดยเร็ว แล้วพาตัวเผยยวนคนนั้นกลับมา?”

อี้เจียงพยักหน้า

กงซีอู๋นิ่งเงียบ เขามีดวงตาลึกล้ำ รูปตาสวยจับใจราวกับวาดด้วยฝีแปรงชั้นเลิศของช่างวาด นัยน์ตาใสกระจ่าง ริมฝีปากปิดสนิท รูปโฉมหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน แค่ปรายตามองก็ให้ความรู้สึกสูงส่งราวกับไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์

แต่สายตาของเขาทำให้นางกดดัน

“ข้ารู้ว่าศิษย์พี่ไม่มีหน้าที่ต้องตอบรับคำขอของข้า เพราะระหว่างที่ตามจับตัวนางอาจเกิดเหตุเหนือความคาดหมายมากมาย และไม่รู้ด้วยว่าจะช่วยเผยยวนกลับมาได้หรือไม่”

“ศิษย์น้องรู้ก็ดีแล้ว”

อี้เจียงแอบกัดฟัน “ศิษย์พี่ต้องการอะไรก็ว่ามาได้เลย”

เขาส่ายหน้าน้อยๆ “เกรงว่าศิษย์น้องคงต้องพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว เพราะแม้แต่เจ้าเองก็อาจจะเอาตัวไม่รอด”

อี้เจียงชะงักพร้อมกับเห็นเขาผายมือ “เชิญศิษย์น้องกลับไปเถอะ”

หากมิใช่เพราะไร้อำนาจบารมี ใครจะอยากยอมก้มหัวให้คนอื่น! อี้เจียงหมุนตัวเดินออกมาด้วยความขุ่นเคืองใจ

เพิ่งผ่านไปแค่ครู่เดียว พอเดินออกจากจวนเสนาบดี ฝนก็หยุดแล้ว ทั้งดวงอาทิตย์ยังโผล่มาให้เห็นรำไร

ตันคุยรออยู่ตรงริมทาง พอเห็นอี้เจียงก็หุบร่มแล้วจูงม้าเดินเข้ามาหา แต่ทหารกลุ่มหนึ่งพลันเดินแซงเขาขึ้นมาขวางหน้าอี้เจียงเอาไว้

“ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อใช่หรือไม่” ทหารที่เป็นหัวหน้าเอามือกุมด้ามกระบี่ห้อยเอวพลางก้าวออกมา

อี้เจียงมองซ้ายมองขวาโดยไม่มีท่าทีแตกตื่น

ทหารนายนั้นล้วงม้วนภาพเหมือนในแขนเสื้อออกมาคลี่ดู เท่านี้ก็ได้คำตอบ “พวกเราได้รับพระบัญชาจากพระมเหสีให้ตามจับกุมผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อทั่วเมือง ผู้ทรงภูมิโปรดตามพวกเรามา” เขาโบกมือทีหนึ่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาก็รีบเข้ามาคุมตัวนางไว้ทันที

ตันคุยตกตะลึง พอจะเข้ามาขวางก็ถูกชักดาบวาววับใส่จนต้องถอยหลัง

“ท่านเสนาบดี ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อถูกพระมเหสีทรงจับตัวไปแล้วขอรับ” เด็กรับใช้สาวเท้าเข้ามาในห้องหนังสืออย่างรีบร้อนแล้วกระซิบรายงานข้างหูกงซีอู๋เบาๆ

“อืม” เขาพยักหน้า

หวนเจ๋อแจกแจงผลได้ผลเสียชัดเจนจนแคว้นฉียอมยกทัพ แต่แล้วกลับตกเป็นรองในเชิงศึก พระมเหสีจวินเป็นคนรอบคอบ แม้แคว้นฉีจะเป็นแคว้นใหญ่และไม่กลัวที่จะเป็นศัตรูกับแคว้นอื่น แต่เท่าที่ดูตอนนี้ นางคงนึกเสียใจที่มีเรื่องกับแคว้นฉินขึ้นมาแล้ว บางทีนางอาจคิดส่งตัวหวนเจ๋อไปให้แคว้นฉินจัดการ แคว้นฉีจะได้รอดตัวจากเรื่องนี้

“ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อถูกจับกุมตัวหน้าจวนเสนาบดี ท่านเสนาบดี…ไม่ช่วยหรือขอรับ” เด็กรับใช้ถามอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวตนเองจะพูดมากเกินไป

กงซีอู๋ส่ายหน้า “ไม่ช่วย”

 

“อะไรนะ หวนเจ๋อถูกจับตัวไป?”

จ้าวจ้งเจียวที่เพิ่งตื่นจากนอนกลางวันกำลังนั่งถือจอกชาอยู่ในห้อง พอได้ยินข่าวนี้เขาก็อยากหัวเราะออกมาดังๆ โชคดีที่ยกจอกชาขึ้นมาปิดปากไว้ได้ทันท่วงที

“นายท่านรีบหาวิธีช่วยนางออกมาเถอะขอรับ!” ตันคุยเดินกลับไปกลับมาตรงหน้า ร่างสูงใหญ่กำยำราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ของเขาทาบเงาดำลงบนร่างอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า

จ้าวจ้งเจียวกระแอมกระไอแห้งๆ แล้วหลับตาเอามือนวดขมับ “อย่าเพิ่งวิตกไป ขอข้าคิดก่อน”

มือกระบี่พูดขึ้นอย่างร้อนรน “นี่เวลาอะไรแล้ว นายท่านยังต้องคิดอีก? ตามความเห็นของคุย รีบเข้าวังหลวงไปขอเข้าเฝ้าฉีหวังดีกว่า อย่างน้อยจะได้รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเป็นเพราะอะไร!”

ฉีหวังป่วยหนักจนพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว งานใหญ่น้อยต่างๆ พระมเหสีจวินเป็นคนจัดการคนเดียว จ้าวจ้งเจียวไม่ค่อยชอบสตรีที่ทำอะไรล้วนรอบคอบระมัดระวังผู้นี้นัก เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา

ตันคุยร้อนใจจนอยากจะกระทืบเท้า “นายท่านลองคิดดูเถอะ ปกติแม่นางตั้งอกตั้งใจทำงานรับใช้ท่านแค่ไหน ท่านจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ หรือ”

จ้าวจ้งเจียวทบทวนความจำ ทว่าเรื่องแรกที่คิดออกคือตอนที่นางถอดเสื้อคลุมเขา มุมปากจึงกระตุกทีหนึ่ง

แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มาอยู่แคว้นฉี เรื่องใหญ่น้อยในจวนตัวประกันล้วนได้นางเป็นผู้ออกหน้าจัดการให้ตลอดจริงๆ ไม่รู้ว่านางกับกงซีอู๋มีอดีตระหว่างกันอย่างไร แต่นางรู้จักใช้ความสัมพันธ์นี้ให้เป็นประโยชน์ หลายคนในแคว้นฉีจึงนึกไปว่ากงซีอู๋สนิทสนมกับตัวประกันจากแคว้นจ้าว จึงพลอยดีกับเขาไปด้วย ทำให้เขาไม่โดนดูถูกดูแคลนมากนัก

จ้าวจ้งเจียวลุกขึ้นยืนอย่างจำใจแล้วบอกตันคุย “เจ้าออกไปก่อน ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าวังหลวง”

ฝ่ายตรงข้ามคำนับเขา แล้วเดินออกไปอย่างพอใจ

 

วังหลวงแคว้นฉีหรูหราอลังการสมกับเป็นแคว้นใหญ่ ตำหนักที่ประทับของฉีหวังมีต้นเสาและคานไม้แกะสลักประดับประดาอย่างสวยงาม แต่บรรยากาศกลับหดหู่วังเวงเพราะกลิ่นยาที่ลอยคลุ้ง

จ้าวจ้งเจียวสวมชุดเต็มยศและรัดเกล้าสูง เขาฝืนทนเหม็นกลิ่นยาขณะยืนรอเรียกเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอก

เสียงฝีเท้าดังอยู่ในตำหนักไม่ขาดระยะ แต่ไม่มีใครออกมาเชิญจ้าวจ้งเจียวเข้าไป เขารอจนเริ่มหมดความอดทน เดินกลับไปกลับมาตรงหน้าประตูอยู่นานก็ตัดสินใจถลกชายเสื้อคลุมจะเดินเข้าตำหนักเอง แต่ร่างของใครคนหนึ่งพลันเข้ามาขวางหน้าเอาไว้

“อะไรกัน ตัวประกันจะบุกรุกตำหนักบรรทมเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ” ฝ่ายตรงข้ามสวมรัดเกล้าหยกและอาภรณ์หรูหรา ท่าทางดูเย่อหยิ่งทะนงตน

จ้าวจ้งเจียวไม่คิดว่าวันนี้คนที่คอยปรนนิบัติรับใช้ฉีหวังจะเป็นรัชทายาทเจี้ยน ท่าทีที่แสดงต่อเขาก็แปลกประหลาดยิ่งนัก รัชทายาทเจี้ยนเป็นคนหน้าตาดี อุปนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่เคยพูดจาแรงๆ ใส่เขามาก่อน อยู่ดีๆ ก็พูดประโยคนี้ออกมา ทำเขาตั้งตัวไม่ติดทีเดียว

รัชทายาทเจี้ยนมองซ้ายมองขวา ก่อนคว้ามือจ้าวจ้งเจียวลากออกมาให้พ้นจากประตูตำหนัก กระซิบเบาๆ “ฉางอันจวินอย่าได้ถือสา เมื่อครู่ข้าจงใจพูดให้เสด็จแม่ได้ยิน เสด็จแม่ทรงสั่งไว้แต่แรกว่าห้ามไม่ให้เจ้าเข้าวังมาขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”

จ้าวจ้งเจียวได้ฟังก็เข้าใจ “หวนเจ๋อทำผิดร้ายแรงอะไรกันแน่ ถึงกับไม่ยอมให้ข้าช่วยพูด?”

รัชทายาทเจี้ยนหัวเราะ ก่อนจะเล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังโดยละเอียด โดยไม่ลืมที่จะกล่าวเสริมว่า “เถียนตันเชี่ยวชาญการรบ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงแคว้นจ้าวมากเกินไปหรอก”

เท่ากับว่าหวนเจ๋อโน้มน้าวให้เถียนตันยกทัพสำเร็จ ถึงได้เจอเคราะห์ร้ายแบบไม่คาดคิด จ้าวจ้งเจียวกัดริมฝีปาก ยังคิดหาทางออกไม่เจอ ได้แต่บอกว่า “เช่นนั้นรัชทายาทช่วยผ่อนผันไม่ให้นางต้องลำบากอยู่ในคุกมากเกินไปนักได้หรือไม่”

ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้าหงึกๆ ด้วยแววตาเอื้ออารี “หายากที่จ้งเจียวจะสงสารเห็นใจสตรีผู้หนึ่งเช่นนี้ วางใจเถอะ”

จ้าวจ้งเจียวเอ่ยขอบคุณอย่างใจลอย เดินออกมาสามสี่ก้าวถึงเพิ่งรู้ตัว รีบหันกลับไปอธิบาย “นางเป็นแค่เหมินเค่อคนหนึ่งของข้าเท่านั้น”

แต่รัชทายาทเจี้ยนเดินจากไปไกลแล้ว

ภายในเวลาไม่ถึงปีติดคุกไปสองครั้ง อี้เจียงรู้สึกว่าตนช่างมีโชคทางด้านนี้เหลือเกิน

คุกแคว้นฉียังใจดี ไม่ได้จับนางแยกขังเดี่ยว ดังนั้นนางจึงได้ฟังบุรุษห้องข้างๆ ร้องเพลงมาทั้งวันแล้ว

อี้เจียงปัดเศษหญ้าแห้งบนพื้นออกไป พยายามให้ชุดสีขาวที่สวมอยู่สกปรกน้อยที่สุด จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้ห้องเขา “คอไม่แห้งหรือ”

“หือ?” ฝ่ายตรงข้ามหันมามอง เขาแต่งตัวค่อนข้างดี ดูก็รู้ว่าชุดตัดเย็บจากเนื้อผ้าราคาแพง น่าเสียดายที่มีเศษหญ้าแห้งติดตัวเต็มไปหมด กระทั่งบนหัวยังมีหญ้าแห้งต้นหนึ่งปักอยู่ในมวยผมของเขา ดูโดดเด่นสะดุดตาราวกับเป็นผมเส้นเดียวที่ตั้งขึ้นมาชี้ต้านลม

“เจ้าพูดกับข้าหรือ”

อี้เจียงกำลังหงุดหงิด จึงถามกลับไปเสียงขุ่น “เจ้าร้องเพลงมาทั้งวันแล้ว ไม่ต้องพักบ้างหรือ”

ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินเข้ามาหาอี้เจียงสามสี่ก้าว ก่อนจะนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง “ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าอยากพูดอะไร ข้าไม่ร้องแล้วก็ได้”

เขาคิ้วเข้ม ตาโต หน้าตาสะอาดสะอ้าน แววตาสดใส อี้เจียงมองแล้วไม่อยากถือสาเลยโบกมือให้ “ช่างเถอะ พอดีข้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้ารอให้ข้าคิดเสร็จก่อนค่อยร้องต่อแล้วกัน”

“แล้วเมื่อไรเจ้าถึงจะคิดเสร็จเล่า”

“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

ชายหนุ่มกวาดตามองนาง “เจ้าเป็นเด็กสาวอายุแค่นี้ ไฉนจึงเข้ามาอยู่ในคุกหลวงแคว้นฉีได้”

อี้เจียงกำลังกลัดกลุ้มใจเรื่องนี้อยู่พอดี นางขี้เกียจปกปิดความรู้สึก จึงย้อนถามไปว่า “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดถึงได้ติดคุก”

เขาเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง มืออีกข้างวางอยู่บนหัวเข่า “อย่าไปพูดถึงมันเลย ข้าเป็นคหบดีแคว้นเว่ย มาทำการค้าในแคว้นฉี ปรากฏว่าถูกจับโทษฐานเป็นสายลับเสียได้”

หากอี้เจียงฟังไม่ผิด เมื่อครู่เขาร้องว่า ‘เฝ้ารอคอยคนงามยังไม่มา ข้าโศกาครวญเพลงในสายลม’ เผยยวนก็เคยร้องเพลงนี้ เป็นบทกลอนของกวีชวีหยวน ถ้าคนผู้นี้เป็นพ่อค้า ก็ต้องเป็นพ่อค้าที่มีความรู้พอตัว

อี้เจียงบันทึกเรื่องนี้ไว้ในใจ จากนั้นเม้มปากกล่าวว่า “ข้าก็คล้ายๆ เจ้า ไปมีเรื่องกับเชื้อพระวงศ์แคว้นฉีเข้าเหมือนกัน”

ชายหนุ่มทำท่าเจ็บปวด “เจ้าเพิ่งจะอายุแค่นี้เอง คนพวกนั้นไร้มโนธรรมจริงๆ!” พูดพลางนั่งหลังตรง ปัดเศษหญ้าออกจากตัวแล้วประสานมือคำนับ “ผู้น้อยจี้อู๋ ไม่ทราบแม่นางมีนามว่าอะไร”

แน่นอนว่าอี้เจียงไม่ยอมเปิดเผยตัวอยู่แล้ว นางตอบกลับไปอย่างสุภาพ “ผู้น้อยอี้เจียง”

จี้อู๋กล่าว “พวกเราเป็นคนหัวอกเดียวกัน เสียดายที่ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ครอบครัวข้าวิ่งเต้นใช้เงินก้อนโตมาเอาตัวข้าออกไปแล้ว อย่างช้าที่สุดคืนนี้ข้าก็จะได้ออกจากคุก”

“มิน่าเจ้าถึงได้ร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี” รอยยิ้มของอี้เจียงดูฝืดฝืนนิดๆ

นางเองก็พอเดาได้ว่าเหตุใดตนถึงได้ถูกจับตัวเข้าคุก คงเพราะเรื่องเถียนตันยกทัพไปช่วยแคว้นจ้าวนั่นกระมัง แต่นางไม่มีทางได้ออกไปง่ายๆ อย่างเขา เพราะครั้งนี้คนที่จับนางไม่ใช่เซ่าจิว แต่เป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นฉี ดีไม่ดีนางอาจตายอยู่ที่นี่ก็ได้

อี้เจียงนั่งชันเข่าพลางกัดริมฝีปากแน่น

จี้อู๋เอาแต่นั่งเท้าคางจ้องหน้าอี้เจียงไม่หยุด ด้วยคิดว่าเด็กสาวผิวขาวราวกับหิมะ ท่าทางสะอาดสะอ้าน ดูผอมบางจนน่าสงสาร แววตาของเขาจึงนุ่มนวลขึ้น จากนั้นก็เข้ามาเกาะลูกกรงห้องขัง “ถ้าแม่นางอี้เจียงอยากพูดอะไรกับคนในครอบครัว ฝากข้านำไปบอกพวกเขาได้นะ การค้าของข้าครอบคลุมทั้งหกแคว้นทางฝั่งตะวันออกของเขาเสียวซาน แม้แต่แคว้นฉินซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตก ข้าก็เคยไปมาแล้ว ข้าจะต้องนำคำพูดของเจ้าไปบอกต่อได้แน่นอน”

“ช่างมันเถอะ” อี้เจียงส่ายหน้า คราวนี้ใครก็ช่วยนางไม่ได้ทั้งนั้น

เสียงผู้คุมลากโซ่เหล็กดังขึ้นในคุก จากนั้นก็โยนลงพื้นดังเคร้ง ทำอี้เจียงสะดุ้งสุดตัว

จี้อู๋เห็นเช่นนั้นก็รีบปลอบ “แม่นางไม่ต้องกลัว ใต้หล้านี้เต็มไปด้วยจุดพลิกผัน เจ้าจะต้องถูกปล่อยตัวออกไปแน่”

อี้เจียงที่ยังขวัญหนีดีฝ่อหันไปมองเขา

จุดพลิกผัน? ยังจะมีจุดพลิกผันอะไรอีก

ช่วงตะวันลับฟ้า เสียงฝีเท้าร้อนรนก็ดังขึ้น หัวหน้าผู้คุมคุกนำผู้คุมจำนวนหนึ่งเดินลิ่วๆ มาที่หน้าประตูห้องขัง อี้เจียงถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัว พอพบว่าฝ่ายตรงข้ามเปิดประตูห้องของจี้อู๋ จากที่กลั้นหายใจอยู่ นางก็ถอนหายใจโล่งอก

“เห็นทีข้าคงต้องออกไปก่อนแล้ว” จี้อู๋ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เหลือบมองอี้เจียงก่อนจะเดินออกจากห้องขังยิ้มๆ เขาในตอนนี้ย่างก้าวด้วยฝีเท้ามั่นคง ยืดอกผึ่งผาย ท่วงท่าสง่างาม แตกต่างจากคนที่ร้องเพลงอยู่ในห้องขังเป็นคนละคน

จี้อู๋เพิ่งจะเดินออกไปไม่กี่ก้าว หัวหน้าผู้คุมก็เปิดประตูห้องขังของอี้เจียง

“คุมตัวไป” ผู้คุมสองคนรับคำสั่ง เดินเข้ามาลากตัวอี้เจียงราวกับลากซากสัตว์เปื่อยเน่าซากหนึ่ง

อี้เจียงตกใจยิ่งยวด ผู้คุมทั้งสองคุมตัวนางอย่างแน่นหนาจนขาทั้งสองข้างของนางไม่มีแรงแม้แต่นิดเดียว ได้แต่ถูกคนเขาลากไปตลอดทาง จนไล่ตามจี้อู๋ที่กำลังจะออกจากคุกทัน

จี้อู๋หันมามองเมื่อได้ยินเสียงข้างหลังและมีท่าทางประหลาดใจอย่างมาก

อี้เจียงอาศัยจังหวะที่ถูกลากผ่านชายหนุ่มไปคว้าแขนเสื้อเขาไว้ รีบละล่ำละลักบอกโดยไม่สนใจท่าทางยื้อยุดของพวกผู้คุม “ข้าฝากคำพูดไปบอกกงซีอู๋ที่เป็นเสนาบดีแคว้นฉีที ว่าคนที่อยู่ในคุกขอให้เขาไปเอาหนังสือม้วนหนึ่งจากจวนตัวประกันแคว้นจ้าว จำไว้ให้ดี!”

จี้อู๋มองอี้เจียงถูกลากตัวออกจากคุก เขารีบเดินตามไปรับปาก “แม่นางวางใจได้ ไว้เป็นธุระข้าเอง!”

 

ม้าร้องเบาๆ รถแล่นเสียงดังกุกกัก ล้อเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูจวนตัวประกัน

เด็กรับใช้กระโดดลงจากรถมาวางแท่นเหยียบลงบนพื้น กงซีอู๋ก้าวออกมาแล้วเดินเข้าไปในจวนตัวประกันโดยไม่หยุดเท้า

นับตั้งแต่แยกกันที่จุดพักม้าครานั้น จ้าวจ้งเจียวเพิ่งได้เจอกงซีอู๋เป็นครั้งที่สอง แต่เดิมก็ไม่ชอบหน้าเท่าไรนักอยู่แล้ว พอเห็นกงซีอู๋บุกรุกเข้ามาในที่พักของตน ความไม่พอใจก็ยิ่งเพิ่มพูน

เขายืนอยู่ตรงหน้าบันได ยังไม่ทันได้ขึ้นเสียงตำหนิ ฝ่ายตรงข้ามก็พูดขึ้นเสียก่อน “ข้ารับบัญชาพระมเหสีมาค้นเรือนหวนเจ๋อ”

แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องค้นเรือน แต่มีกองทหารฉีท่าทางขึงขังอยู่ตรงหน้า จ้าวจ้งเจียวจะทำอะไรได้อีก

กงซีอู๋เข้าไปในเรือนอี้เจียงตามลำพัง ยืนนิ่งอยู่กลางห้องสักพักก็ค้นม้วนหนังสือไม้ไผ่สองม้วนได้จากห่อสัมภาระตรงด้านในของเตียง

ม้วนหนึ่งเป็นของเขาเอง ไม่จำเป็นต้องอ่านละเอียด เขาหยิบอีกม้วนขึ้นมาคลี่ออกอ่านอยู่นาน คิ้วเริ่มขมวดแน่นขึ้นทีละนิด

 

ท่ามกลางยามวิกาลอันเงียบสงัด อี้เจียงที่นอนหลับไม่สนิทนักสะดุ้งตื่น พอลืมตาขึ้นมาก็พบกับแสงไฟสว่างจ้า นางนึกว่าตนเองจะถูกกำจัดทิ้ง จึงพยายามถอยหนีไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ ถึงพบว่าตนอยู่ในรถขนนักโทษแคบๆ ไม่มีพื้นที่ให้หนีไปที่ใดได้

ผู้คุมลากอี้เจียงลงจากรถแล้วคุมตัวกลับมาคุกใหญ่ ในที่สุดดวงตานางก็เริ่มคุ้นกับแสงไฟ จึงค่อยเห็นกงซีอู๋ยืนก้มหน้ามองนางอยู่ในห้องขัง

นางนั่งตัวตรง พยายามระงับความหวาดหวั่นในใจ “ศิษย์พี่มาเสียที เป็นเช่นไร เห็นหนังสือของข้าหรือไม่”

ชายหนุ่มล้วงหนังสือไม้ไผ่ม้วนนั้นออกจากแขนเสื้อ อี้เจียงผวาเข้าไปแย่งเขาก็ไม่ห้าม

“ข้ารู้ว่าศิษย์พี่รู้เรื่องของข้าดี ข้ามีบันทึกที่อาจารย์มอบให้อยู่ในมือหรือไม่นั้นไม่สำคัญหรอก เพราะสิ่งที่ท่านต้องการแต่แรกคือม้วนหนังสือที่ข้าพกติดตัวทุกวันม้วนนี้ต่างหาก”

ฝ่ายตรงข้ามไม่ปฏิเสธ

นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ว่าอย่างไร ขอเพียงศิษย์พี่ช่วยข้าออกไป ข้าก็จะบอกให้ท่านรู้ว่าในนี้เขียนอะไรไว้บ้าง ศิษย์พี่ก็อ่านเองแล้วนี่ แผ่นดินนี้นอกจากข้า ก็ไม่มีใครอ่านข้อความที่เขียนอยู่บนนี้ออกอีก”

นัยน์ตาของกงซีอู๋ไหวระริก สะท้อนแสงไฟวาววาม ดูเปี่ยมเสน่ห์สะกดใจ “ก็ได้”

อี้เจียงพยายามระงับความรู้สึกพลุ่งพล่านในอก ในที่สุดก็ไม่ต้องถูกส่งตัวไปยังที่ที่ไม่รู้ชื่อแล้ว

“แต่ข้ายังมีข้อแม้”

“เชิญศิษย์พี่ว่ามาได้”

“เมื่อข้าช่วยเจ้าออกไปแล้ว เจ้าต้องเป็นขุนนางแคว้นฉี” เสียงของเขาเรียบเรื่อยเหมือนสายลมยามราตรีที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง “ชั่วชีวิต”

อี้เจียงดีดลูกคิดในใจอย่างรวดเร็ว เหลือบตามองผู้คุมยืนถือคบไฟอยู่นอกห้องขัง จากนั้นก็หันกลับมามองหน้ากงซีอู๋แล้วลุกขึ้นมาโน้มร่างประชิดเขา กระซิบถามเบาๆ “ศิษย์พี่ยื่นเงื่อนไขเช่นนี้ ไม่กลัวว่าความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่านจะปะทุขึ้นมาใหม่หรือ”

กลิ่นกำยานที่ติดอยู่บนร่างเขาลอยเข้าจมูก ขนาดนางแสร้งทำตัวเยือกเย็นยังหน้าแดงอย่างห้ามไม่อยู่

กงซีอู๋ก้มหน้าลงจ้องตานาง “นี่คือเงื่อนไขของข้า หากศิษย์น้องไม่ตอบรับ ก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน”

อี้เจียงเชิดหน้า นางอ่านสายตาเขาจนปวดคอก็ยังไม่เห็นเขาจะมีท่าทียกเลิกเงื่อนไข จึงได้แต่พยักหน้า “ได้ ตกลงตามนี้”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: