X
    Categories: กล่อมเกลาปราชญ์หญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 5

มนุษย์เราคุ้นเคยกับสิ่งที่อยู่ในขอบเขตการรับรู้ของตน น้อยนักที่จะออกไปสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จัก นี่เป็นข้อเสียที่มนุษย์เรามีกันทุกคน

ที่ผ่านมาอี้เจียงคิดว่าตัวตนที่แท้จริงของนางเป็นข้อด้อย หากก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียวจะก่อให้เกิดความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้ นางกลัวว่าจะถูกคนที่นี่จับพิรุธได้ เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว นางเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จัก ดังนั้นนางจึงใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว

การถูกจับเข้าคุกอีกครั้งทำให้นางคิดขึ้นมาได้ว่าไม่มีใครในใต้หล้านี้ที่จะมีชีวิตมั่นคงไร้ความเสี่ยง หลบเลี่ยงได้ก็ใช่ว่าจะได้อยู่อย่างสุขสงบไปทั้งชีวิต อันที่จริงไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คาดเดาที่มาของนางไม่ถูกอยู่แล้ว แม้จะสงสัย ค้นหาคำตอบ ตัดสิน แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นปริศนาสำหรับพวกเขาอยู่ดี

ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ข้อด้อย แต่เป็นข้อได้เปรียบที่นางปล่อยให้สูญเปล่ามานานต่างหาก

ประตูห้องขังเปิดออก ทหารฉียืนเรียงริมทางเดินเป็นสองแถวยาวไปจนถึงหน้าประตูคุก

อี้เจียงถูกปล่อยตัวออกจากคุก

นางจัดสาบเสื้อให้เข้าที่ ลูบผมแล้วก้าวออกมา ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าอยู่บนฟ้า รู้สึกดีอย่างยิ่งที่ได้สูดอากาศสดชื่นข้างนอกอีกครั้ง

รถม้าจอดรออยู่แล้ว ทหารเปิดทางให้และเชิญนางขึ้นรถ รถม้าแล่นด้วยความเร็วสูง ไม่ได้ใช้ถนนใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงคนจอแจ แต่อ้อมไปตามทางรถวิ่งอันเงียบสงบรอบวังหลวง แล่นฉิวไปตลอดทางอย่างไร้อุปสรรค

อี้เจียงชะโงกหน้ามองออกมาเมื่อรถจอด วิสัยทัศน์เบื้องหน้าเปิดโล่ง เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ล้อมรั้วสูง มองหาที่สิ้นสุดไม่เจอ ตรงกลางมีเสาประตูสองต้นแกะสลักลวดลายงดงาม ป้ายที่ห้อยอยู่ข้างบนบ่งบอกว่าที่แห่งนี้คือค่ายฝึกทหารแคว้นฉี

“ผู้ทรงภูมิ เชิญขอรับ”

อี้เจียงเดินผ่านประตูเข้าไปพร้อมทหาร ข้างในฝุ่นดินฟุ้งตลบ ด้านหนึ่งมีม้ามากมาย ถัดออกไปเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีผืนกว้าง ดูแล้วน่าจะเป็นลานเลี้ยงม้า

ตรงกลางมีลานล้อมรั้วอีกชั้น เหล่าทหารซ้อมรบอยู่ในนั้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ด้านนอกลานฝึกซ้อมเป็นทางม้าวิ่งสองทางขนานกัน ทหารสวมชุดเกราะจำนวนหนึ่งกำลังขี่ม้าประชันทักษะกันด้วยหอกและดาบจริง นางเห็นแล้วยังรู้สึกวูบไหวในช่องท้อง

“ผู้ทรงภูมิ” อี้เจียงหันไปมอง ทหารที่นำทางนางมาผายมือเชิญ “พระมเหสีทรงกำลังรอท่านอยู่บนแท่น”

นางเหลือบมองแท่นสูงที่สร้างขึ้นจากไม้แล้วเดินขึ้นบันไดไป

ด้านหน้าฉากบังตาลายมังกร นางกำนัลสองคนแหวกม่านไหม สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่หลังม่าน สวมอาภรณ์ประณีตหรูหรา เขียนคิ้วดำ ทาปากแดง แต่งหน้าอย่างประณีตบรรจง

“หวนเจ๋อถวายพระพรพระมเหสี”

พระมเหสีจวินช้อนมือให้อี้เจียงลุกขึ้น “ท่านเสนาบดีบอกว่าเขามีวิธีทำให้แคว้นฉีถอนตัวออกจากเรื่องนี้ได้ ทั้งยังพูดขอร้องแทนผู้ทรงภูมิ ข้าเองก็เสียดายคนมีความสามารถ จึงปล่อยตัวผู้ทรงภูมิออกมา”

อี้เจียงปรายตามองกงซีอู๋ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะฝั่งซ้ายมือ ขนตายาวของเขาหลุบลง ไม่แสดงท่าทีตอบสนองใดๆ

นางฟังเสียงซ้อมรบอันห้าวหาญแล้วตอบกลับไปว่า “หม่อมฉันไม่เข้าใจ กองทัพฉีแข็งแกร่งออกปานนี้ เหตุใดพระมเหสีต้องทรงกลัวแคว้นฉินด้วย”

“เจ้าพึ่งได้เห็นการซ้อมรบแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว จะสรุปได้อย่างไร” พระมเหสีจวินขมวดคิ้วแน่นจนหว่างคิ้วย่นเป็นร่อง “แคว้นฉีมีแม่ทัพเก่งกาจน้อยนัก มีแค่เถียนตันคนเดียวที่รับภาระนี้ หาเรื่องใส่ตัวให้น้อยเข้าไว้จะเป็นผลดีต่อราษฎรมากกว่า”

อี้เจียงเหลือบมองกงซีอู๋อีกครั้ง “หม่อมฉันเชื่อว่าท่านเสนาบดีจะต้องมีแผนการดีๆ แน่ แต่หม่อมฉันเองก็มีทางออกอยู่ทางหนึ่ง ในเมื่อพระมเหสีทรงอยากประสานรอยร้าวระหว่างฉีและฉิน หวนเจ๋อก็ยินดีเป็นทูตให้แคว้นฉี ออกเดินทางไปแคว้นจ้าวเพื่อแจกแจงผลได้ผลเสียให้พระพันปีจ้าวทรงทราบ ความเป็นพันธมิตรของจ้าวและฉีจะสิ้นสุดลงนับแต่นี้ไป ถือเป็นการชดเชยให้แคว้นฉิน”

พระมเหสีดวงตาเป็นประกาย “เจ้าพูดจริงหรือ!”

กงซีอู๋พลันเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาคมกริบ “กระหม่อมเห็นว่าไม่ควร ต่อให้พระมเหสีทรงอยากส่งทูตไปแคว้นจ้าว ทรงแต่งตั้งคนอื่นไปก็ได้”

พระมเหสีจวินโบกมือปรามไม่ให้กงซีอู๋พูดต่อ “ท่านเสนาบดีกล่าวเช่นนี้ผิดไปแล้ว ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมาจากแคว้นจ้าว ย่อมได้รับความไว้วางใจจากพระพันปีจ้าว มอบหมายให้นางไปพูดเรื่องนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว”

อี้เจียงรีบค้อมศีรษะรับบัญชา “หวนเจ๋อจะออกเดินทางในทันที จะไม่ทำให้พระมเหสีทรงผิดหวังเป็นอันขาด”

กงซีอู๋มองมาด้วยแววตาลึกล้ำหาที่สิ้นสุดไม่เจอ

 

ณ จวนตัวประกัน จ้าวจ้งเจียวเพิ่งได้ข่าวว่าอี้เจียงถูกปล่อยตัวออกมา กำลังจะสั่งให้ตันคุยไปรับนาง ก็ได้ยินว่านางออกเดินทางไปแคว้นจ้าวแล้ว ทำให้เขางงงันจนพูดไม่ออก

นางออกมาได้อย่างไร แล้วไฉนพอออกมาก็ไปแคว้นจ้าวทันที คราวนี้จ้าวจ้งเจียวเป็นฝ่ายเดินกลับไปกลับมาเบื้องหน้าตันคุยบ้าง

ตันคุยเองก็ขมวดคิ้วแน่นด้วยความกังวล เขาเกาะประตูห้องโถง ชะเง้อคอมองออกไปข้างนอกราวกับว่ามองแล้วอี้เจียงจะปรากฏตัวขึ้นมาได้ “แม่นางเพิ่งออกจากคุกก็เดินทางไปแคว้นจ้าวทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่กลัวว่าสิ่งอัปมงคลจะติดตัวหรือไรนะ น่าเป็นห่วงจริงๆ”

จ้าวจ้งเจียวหยุดเดิน หน้าดำเป็นก้นหม้อ

ช่วยคิดอะไรที่มีประโยชน์สักหน่อยได้หรือไม่!

การเดินทางไปแคว้นจ้าวครั้งนี้สร้างความลำบากให้แก่อี้เจียงอย่างมาก ลำพังแค่การเตรียมตัวก่อนออกเดินทางก็ใช้เวลานานยิ่งเพราะนางขี่ม้าไม่เป็น แต่จำเป็นต้องเร่งทำเวลา นางจึงนั่งรถม้าไม่ได้

ทหารแคว้นฉีสองนายที่ตามไปอารักขาระหว่างทางนั่งอยู่บนหลังม้า มองอี้เจียงจับบังเหียน ประเดี๋ยวก็ทำท่าจะยกเท้าเหยียบโกลนขึ้นม้า ประเดี๋ยวก็เอาเท้าลง ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน นึกสงสัยในใจว่าท่านทูตพิเศษกินมากเกินไปก่อนออกเดินทางเลยปีนขึ้นม้าไม่ไหวหรือ

เลยเที่ยงไปแล้ว แดดร้อนจ้า นอกประตูเมืองไม่มีร่มเงากำบัง ทหารที่รักษาการณ์อยู่บนกำแพงเมืองมายืนดูจนแทบเรียงเป็นแถวหน้ากระดานอยู่แล้ว ทหารอารักขาทั้งสองจึงเอ่ยปากเร่งอย่างทนไม่ไหว

อี้เจียงยกมือปรามด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแล้วบอกว่า “ข้าต้องการของบางอย่าง พวกเจ้าต้องไปเตรียมมาให้ครบถึงจะออกเดินทางได้”

ทหารนายหนึ่งลงจากหลังม้า เดินเข้ามาประสานมือรอคำสั่ง “ท่านทูตพิเศษเชิญสั่งมาได้เลย ผู้น้อยจะรีบไปจัดการให้เดี๋ยวนี้”

อี้เจียงสั่งการโดยละเอียด ฝ่ายตรงข้ามทำหน้าแปลกๆ แต่ก็ยังเดินไปจัดการให้

สักพักทหารนายนั้นก็กลับมาพร้อมของที่นางต้องการ

สิ่งนั้นคือผ้าหลายชิ้นที่ยัดนุ่นไว้จนเต็ม ทั้งยังมีเชือก ขอบผ้าเพิ่งเย็บขึ้นมาประเดี๋ยวนั้น ฝีเข็มจึงหยาบอย่างเห็นได้ชัด

นุ่นเป็นของหายาก มีราคาแพง ทั้งตอนนี้อากาศก็ร้อนจัด ทหารฉีรู้สึกว่าทูตพิเศษจะต้องป่วยแน่ๆ

อี้เจียงเมินทหารรักษากำแพงเมืองที่ยืนดูตนอยู่เป็นนานสองนาน และไม่สนใจสายตาของทหารอารักขาทั้งสอง นางมัดผ้าที่ยัดนุ่นเข้ากับหัวเข่าทั้งสองข้าง เอว ข้อศอก และลำคออย่างแน่นหนา จากนั้นก็จับบังเหียนม้าอีกครั้ง

ร้อนตายไม่เท่าไร ตกม้าตายสิน่ากลัว!

อี้เจียงลูบหัวม้า ปลอบมันแล้วปลอบมันอีก จากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ ปีนขึ้นไปบนหลังมันในที่สุด

มือที่จับบังเหียนอ่อนปวกเปียก ส่วนขาที่หนีบสีข้างม้าทั้งสองข้างนั้นเกือบจะแข็งทื่อ แต่เจ้าม้าไม่ได้วิ่งเหยาะๆ เหมือนอย่างที่นางคิดไว้ในตอนแรก กลับควบกระโจนไปข้างหน้าคล้ายว่าหมดความอดทนนานแล้ว

ความฮึกเหิมของม้าแคว้นฉีเป็นที่รู้กันทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแต่อย่างใด

ทหารฉีสองนายเห็นท่านทูตพิเศษพุ่งออกไปเร็วราวลูกธนูพร้อมส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ก็อึ้งกันอยู่นานกว่าจะควบม้าตามไป

เสียงกรีดร้องของอี้เจียงดังต่อเนื่อง หนึ่งวันกับอีกคืนถึงค่อยฟังดูดีขึ้น จนสุดท้ายก็เงียบไปโดยสิ้นเชิง เพราะลำคอแหบแห้งจนร้องไม่ออก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อี้เจียงเดินทางไกลถึงเพียงนี้ แต่เป็นครั้งที่เหนื่อยที่สุดแน่นอน ราชสาส์นของพระมเหสีจวินเก็บอยู่ในอกเสื้อ เหนือกระหม่อมคือดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สาดแสงลงมา นางต้องขี่ม้าทั้งวันทั้งคืนแทบไม่มีเวลาให้พักผ่อน

อี้เจียงมาถึงเมืองหานตันในอีกสิบวันให้หลัง ตอนที่ลงจากม้า ร่างกายครึ่งล่างของนางชาดิกจนไร้ความรู้สึก สามารถจูงม้าเดินเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องคลานเข้าไปก็ถือว่าดีมากแล้ว

ไม่สิ ที่น่าดีใจที่สุดคือนางไม่ตกม้าตายต่างหาก

ไฟสงครามลุกโหมอยู่ที่แนวหน้า แต่เมืองหานตันยังคงสงบเงียบเหมือนเก่า มีต่างตรงที่ไม่เห็นผู้คนสวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ ออกมาเดินถนนและไม่ได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงเช่นเคย เมืองทั้งเมืองตกอยู่ภายใต้บรรยากาศอันเงียบเชียบ

อี้เจียงไม่ได้นอนหลับดีๆ มาหลายคืน เสื้อผ้าที่สวมก็ชื้นเหงื่อ ไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยน นางรู้สึกรำคาญตัวมานานแล้ว พอถึงโรงเตี๊ยมจุดพักม้าก็รีบไปแช่น้ำเป็นอันดับแรก

ระหว่างอยู่ในถังน้ำ นางนั่งหรี่ตานิ่งๆ สักพัก รอบตัวเงียบสงัด ไม่มีเสียงเอะอะครึกครื้นในเมืองดังมาให้ได้ยินอย่างเคย รับรู้ได้ว่าเมืองหานตันผิดแปลกไปจากปกติ

หลังจากยื่นเรื่องขอเข้าเฝ้าพระพันปีจ้าวไปแล้ว วังหลวงก็ส่งคนมารับในบ่ายวันที่สอง

วังหลวงแคว้นจ้าวไม่หรูหราเท่าแคว้นฉี แต่ก็สง่างาม

อี้เจียงตามข้าราชบริพารเดินไปถึงตำหนักบรรทมของพระพันปี ถอดรองเท้าเข้าตำหนัก รอบตัวเงียบสงัดไร้เสียงใดๆ แม้แต่นางกำนัลสักคนก็ไม่มีให้เห็น

การตกแต่งภายในยังเหมือนเดิมทุกประการ แต่ตัวพระพันปีจ้าวกลับเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าซีดขาวยิ่งกว่าที่เคย รูปร่างก็ซูบเซียวลง

อี้เจียงสวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าผ้าไหมสีขาวที่พระมเหสีจวินมอบให้ค้อมตัวคำนับ น้ำเสียงเนิบเนือยไม่เปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายดังเข้าหู “ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อกลับมาในฐานะทูตแคว้นฉี ข้าแปลกใจยิ่งนัก”

นางหลุบตา เสียงยังแหบนิดๆ “หวนเจ๋อเป็นทูตแคว้นฉี แต่ในใจยังมีแคว้นจ้าว ขอพระพันปีโปรดทรงเข้าพระทัยในจุดนี้”

“หือ? หมายความว่าอย่างไร”

“หวนเจ๋อมาแคว้นจ้าวครั้งนี้เพื่อช่วยตนเอง แต่บางทีก็อาจช่วยแคว้นจ้าวไปพร้อมกันได้”

พระพันปีขยับตัวขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น กวักมือเรียกนาง อี้เจียงก้าวไปข้างหน้าช้าๆ พร้อมกับที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเสียงแผ่ว “หากผู้ทรงภูมิช่วยแคว้นจ้าวได้ ข้ายินดีถอนคำพูดแต่เดิม แล้วแต่งตั้งเจ้าเป็นเสนาบดี”

อี้เจียงหัวเราะขันอย่างอดไม่อยู่ “พระพันปี หม่อมฉันเป็นสตรีนะเพคะ”

ฝ่ายตรงข้ามส่ายหน้า “ผู้ทรงภูมิก็เหมือนกับข้า เกิดในยุคนี้นับว่าทั้งโชคร้ายและโชคดี”

อี้เจียงฟังด้วยความงุนงง

พระพันปีอธิบายช้าๆ “ในอดีตข้าคิดว่าตนเองช่างโชคร้ายเหลือเกินที่เกิดเป็นสตรีในราชวงศ์ อายุครบสิบหกก็ต้องถูกจับคู่แต่งงานไปอยู่ราชวงศ์อื่น โดยที่ตนเองทำอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แต่มาลองคิดดูอีกที ข้าโชคดีอย่างใหญ่หลวงที่ไม่ได้ถือกำเนิดเป็นหญิงสามัญชน อย่างน้อยข้าก็สุขสบาย มีกินมีใช้ไปชั่วชีวิต ตัดสินใจเองได้ในหลายๆ เรื่อง ไม่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่เพราะภัยสงคราม ผู้ทรงภูมิเองก็เหมือนอย่างข้ามิใช่หรือ”

อี้เจียงเข้าใจกระจ่างแจ้ง

พระพันปีจ้าวกล่าวได้ไม่ผิด นางเคยกลัดกลุ้มทุกข์ใจที่ตนเองเป็นศิษย์สำนักกุ่ยกู่ เพราะเทียบกับแต่ก่อนแล้ว การใช้ชีวิตด้วยตัวตนนี้กลับเต็มไปด้วยอันตราย แต่ถ้านางเป็นแค่หญิงชาวบ้านในยุคนี้ ไม่ทันไรก็คงถูกจับแต่งงาน เหนื่อยตัวเป็นเกลียวไปทั้งชีวิตโดยไม่มีทางขัดขืนได้ ดีไม่ดีอาจต้องปากกัดตีนถีบเพื่อให้มีชีวิตรอด นั่นก็เป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ

ในสังคมที่มนุษย์ไร้สิทธิเสรีภาพนี้ ตัวตนของนางถือว่าได้เปรียบมากแล้ว เพราะทำอะไรต่ออะไรได้หลายอย่าง

อี้เจียงเม้มปากเงยหน้าขึ้นกล่าว “พระพันปีทรงมีพระทัยกว้าง หวนเจ๋อขอน้อมรับโอวาท”

พระพันปีเอามือกุมหน้าผากเอนร่างบนตั่งพลางส่ายหน้า “เสียดายที่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางการศึกจะเป็นเช่นไร ยากเหลือเกินที่จะช่วยจ้าวได้”

“หวนเจ๋อมีอยู่วิธีหนึ่ง อยากจะหารือกับพระพันปี บางทีอาจเป็นทางออกให้แคว้นจ้าวได้” จนถึงตอนนี้อี้เจียงก็ยังไม่ได้เอาราชสาส์นของพระมเหสีจวินออกมา นางเดินไปข้างหน้าสามสี่ก้าวแล้วโน้มตัวลงกระซิบเบาๆ ข้างหูพระพันปี

 

อี้เจียงเดินทางกลับแคว้นฉีในวันรุ่งขึ้น ตอนที่ข่าวมาถึงหูกงซีอู๋ นางก็ใกล้ถึงเมืองหลินจือแล้ว

ฉีหวังป่วยหนัก จึงไม่มีการประชุมขุนนางในวังหลวงมานานแล้ว ราชกิจต่างๆ ล้วนถูกจัดการในห้องข้างท้องพระโรงแทน

พระมเหสีจวินนำรัชทายาทเจี้ยนกับขุนนางใหญ่ที่ไว้เนื้อเชื่อใจหลายคนรออยู่ในห้องอย่างกระสับกระส่าย จวบจนทหารมารายงานว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อเข้ามาในวังหลวงแคว้นฉีแล้วถึงค่อยสบายใจ

เสียงรายงานดังขึ้นสามครั้ง กงซีอู๋เหลือบตามองไปทางประตูตำหนัก

เด็กสาวที่เดินเข้ามาข้างในไม่ได้ดูจืดจางเหมือนที่แล้วมา นางสวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าแขนกว้างสีดำ ปักลวดลายตรงคอและชายแขนเสื้อด้วยดิ้นทอง ผมรวบสูงไว้เหนือกระหม่อม ปล่อยปลายยาวเป็นหางม้าทิ้งตัวลงบนแผ่นหลัง กวัดแกว่งเบาๆ ตามจังหวะก้าวเดิน ดูเคร่งขรึมแต่ซุกซนอยู่ในที

“ผู้ทรงภูมิกลับมาเสียที เป็นเช่นไรบ้าง” พระมเหสีจวินไม่รอให้อี้เจียงคารวะก็ชะโงกตัวมาถามจากหลังโต๊ะ

อี้เจียงตอบ “หม่อมฉันร่วมลงนามความสัมพันธ์ใหม่กับแคว้นจ้าว ต่อไปจ้าวและฉีจะเป็นเสมือนแคว้นพี่แคว้นน้อง มีสายสัมพันธ์อันดี ร่วมใจต่อต้านแคว้นฉินด้วยกันตลอดไป ไม่มีวันเป็นอื่น”

รอบตัวเงียบกริบ ขุนนางหลายคนลุกพรวดขึ้นยืนด้วยความตกใจ

ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมเอาไว้อย่างประณีตของพระมเหสีจวินผงะไปเล็กน้อย “ผู้ทรงภูมิพูดผิดหรือว่าข้าฟังผิดกันนี่”

อี้เจียงหลุบตาอย่างนอบน้อมพลางตอบช้าๆ “พระมเหสีมิได้ทรงฟังผิด และหม่อมฉันก็ไม่ได้พูดผิด”

ภายในตำหนักเงียบสงัดราวกับป่าช้า จวบจนพระมเหสีจวินสะบัดแขนเสื้อปัดจอกชาบนโต๊ะทิ้ง

“โอหัง! ข้าให้เจ้าไปแคว้นจ้าวเพื่อตัดสัมพันธ์ แต่เจ้ากลับลงนามความสัมพันธ์ใหม่ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเป็นตัวแทนแคว้นฉีทำการเช่นนี้!”

อี้เจียงเหลือบตาขึ้นมองช้าๆ “สิทธิ์ที่พระพันปีทรงแต่งตั้งหม่อมฉันเป็นทูตแคว้นฉีอย่างไรเล่าเพคะ”

“เจ้า…” พระมเหสีจวินเดือดดาลยิ่ง สั่งบริวารให้เข้าไปจับนาง

อี้เจียงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “พระมเหสีทรงทราบดีว่าสิ่งที่หม่อมฉันพูดกับเถียนตันในวันนั้นมีเหตุผลหนักแน่น แต่ทรงทำเมินเพราะความหวาดกลัวที่มีต่อแคว้นฉิน ตอนนี้จะทรงกำจัดหม่อมฉันก็ต้องดูสถานการณ์ก่อนหรือไม่ ถ้าเถียนตันเกิดรบชนะขึ้นมาจะเป็นผลดีต่อทั้งแคว้นฉีและแคว้นจ้าว อย่างน้อยในช่วงสั้นๆ นี้ แคว้นฉินก็ไม่กล้ารุกคืบเข้ามาทางตะวันออกแม้แต่ก้าวเดียว!”

พระมเหสีจวินชะงักไปด้วยสีหน้าลังเล แล้วหันไปหาเถียนเจี้ยนผู้เป็นบุตรชายก่อน “ลูกแม่มีความเห็นเช่นไร”

รัชทายาทเจี้ยนยิ้ม ทว่าเอาแต่อึกๆ อักๆ อยู่นานไม่ยอมพูดอะไร

พระมเหสีขึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาขุนนางใหญ่คนอื่น “ทุกท่านคิดเห็นเช่นไรบ้าง”

คนที่เห็นต่างแสดงการคัดค้านอย่างรุนแรง “ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ! แคว้นฉินมีใจคิดรุกรานแคว้นอื่น แต่เพราะสายสัมพันธ์ที่พระมเหสีทรงสานเอาไว้ จึงมีเพียงแคว้นฉีที่รอดพ้น หากต่อต้านแคว้นฉินในตอนนี้ มิเท่ากับสิ่งที่ทำมาโดยตลอดล้วนสูญเปล่าหรือ”

กลุ่มคนที่สนับสนุนความคิดนี้ต่างพากันชี้หน้าด่าอี้เจียง ท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นเหมือนอยากกระโจนเข้ามากัดกินนางทั้งเป็น

แต่ก็มีคนที่เห็นด้วยกับอี้เจียงเช่นกัน “กระหม่อมเห็นว่าได้ ถ้าแคว้นฉินไม่ได้มีเจตนาแค่วางตัวเป็นใหญ่ วิธีนี้จะช่วยหยุดยั้งการรุกรานฝั่งตะวันออกของแคว้นฉินได้อย่างเห็นผลที่สุด”

พระมเหสีจวินมีท่าทางลังเล ก่อนจะหันไปทางกงซีอู๋ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือ “แล้วท่านเสนาบดีเห็นว่าอย่างไร”

กงซีอู๋อ่านสถานการณ์ของใต้หล้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มีหรือจะคัดค้าน อี้เจียงใคร่ครวญถึงข้อนี้อยู่แล้ว

เขาหลุบตาตอบ “กระหม่อมคิดว่ารอดูผลเงียบๆ ไปก่อนก็ได้”

พระมเหสีขมวดคิ้ว “จะมั่นใจได้อย่างไรว่าแคว้นฉินไม่ได้มีเจตนาแค่ตั้งตัวเป็นใหญ่”

วันนั้นอี้เจียงพูดคุยกับพระพันปีจ้าวอยู่นาน ย่อมเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี จึงตอบไปเสียงฉะฉาน “จ้าวผนวกจงซาน ฉีผนวกซ่ง ทั้งหมดนี้เพื่อตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างนั้นหรือ นับตั้งแต่แคว้นจิ้นแตกออกเป็นจ้าว หาน เว่ย สามแคว้น แคว้นใหญ่น้อยถูกผนวกดินแดนไปเท่าไร ผ่านมานานเพียงนี้ การขยายดินแดนใหม่กลายเป็นสิ่งจำเป็น พระมเหสีจะทรงหลอกองค์เองและคนอื่นไปด้วยเหตุใดกัน ที่ตอนนี้ฉินยังไม่รุกรานฉี ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ที่พระมเหสีทรงสร้างไว้ แต่เป็นเพราะแคว้นฉีอยู่ไกลเกินกว่าที่ปลายแส้ของฉินจะเฆี่ยนถึง เมื่อจ้าวล่มสลาย แคว้นถัดไปไม่เว่ยก็หาน ถัดจากนั้นจึงเป็นฉี”

พระมเหสีจวินหน้าซีด พูดอะไรไม่ออก

รัชทายาทเจี้ยนเองก็ดูตื่นตระหนก มองอี้เจียงกับมารดาสลับกันไปมา

กงซีอู๋ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงยังเยือกเย็นเหมือนปกติ “ทูลพระมเหสี ในเมื่อลงนามความสัมพันธ์ไปแล้ว ก็รอดูผลก่อนค่อยว่ากันทีหลังเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

หากไม่นับขุนนางใหญ่สามสี่คนที่คัดค้านอย่างรุนแรง คนอื่นๆ ต่างพากันกลับไปนั่งที่

“พวกกระหม่อมเห็นด้วยกับท่านเสนาบดี”

แม้พระมเหสีจวินจะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากโบกมือกล่าวว่า “ก็ได้ หากเถียนตันรบชนะ ข้าจะแต่งตั้งผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อเป็นขุนนางต่างแคว้นด้วยตนเอง ไม่กลับคำเด็ดขาด แต่หากไม่…”

อี้เจียงประสานมือขึ้นสูง ค้อมคำนับพลางบดบังแววตาของตนเองไปพร้อมกัน “หากไม่ชนะ หวนเจ๋อยินดีให้พระมเหสีทรงจัดการตามพระทัย”

อันที่จริงนางก็ไม่รู้ว่าจะชนะได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยเท่าที่ดูจากสถานการณ์ในเวลานี้ โอกาสชนะมีสูงมาก

พระพันปีจ้าวบอกนางว่าทัพฉินไม่ได้ยกไพร่พลมาทั้งแคว้น ที่เถียนตันไม่ได้รับชัยในการรบครั้งแรก ไม่ได้เป็นเพราะทัพฉินแกร่งกล้า แต่เป็นเพราะฉีและจ้าวไม่สามัคคี

จ้าวกังวลว่าฉีไม่ได้ยกทัพมาช่วยอย่างจริงใจ ส่วนฉีนั้นใจหนึ่งกลัวว่าจ้าวจะเอาแต่พึ่งตนเอง อีกใจหนึ่งไม่อยากมีเรื่องกับฉิน จึงไม่ได้รบอย่างเต็มความสามารถ

ครั้งนี้นางไปในฐานะตัวแทนแคว้นฉี ร่วมลงนามสายสัมพันธ์ใหม่กับแคว้นจ้าว ตอนนี้ข่าวเรื่องฉีและจ้าวร่วมแรงร่วมใจต่อต้านทัพฉินแพร่สะพัดไปทั่วแคว้นจ้าวแล้ว หากเถียนตันยังไม่ตั้งใจรบก็เท่ากับมีโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง ดังนั้นเขาต้องพยายามอย่างเต็มที่ วิธีนี้พระพันปีจ้าวเองก็คิดว่าน่าจะได้ผล

แสงแดดร้อนแรงดุจเปลวไฟ ได้หลบอยู่ในป่าจึงค่อยสบายตัวเล็กน้อย

เผยยวนในตอนนี้กำลังพิงต้นไม้หอบหายใจพลางโบกมือให้เซ่าจิวที่อยู่ข้างหน้า “ไม่ไหว…ร้อนจะตายอยู่แล้ว ขอพักหน่อย”

เซ่าจิวหันมามองแล้วยกมือเท้าเอว “เป็นบุรุษอกสามศอกแท้ๆ กลับบอบบางถึงเพียงนี้ เพิ่งจะเดินได้ไม่กี่ก้าวเอง”

เผยยวนทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น กระพือคอเสื้อ “จวนจะเข้าเขตแคว้นเว่ยอยู่แล้ว ยังจะบอกว่าเพิ่งเดินไม่กี่ก้าวอีก? เจ้าเป็นคนอยู่หรือไม่” เขากวาดตามองชุดสีดำเข้ารูปทั้งตัวของนางหนึ่งรอบแล้วส่ายหน้า “ช่างเถอะ เจ้าคงไม่ใช่คนจริงๆ นั่นแหละ”

เซ่าจิวแค่นหัวเราะทีหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินออกไป แต่ไม่นานก็กลับมา ค่อยๆ ย่องเข้าไปข้างหลังเขา

เผยยวนเหนื่อยแทบขาดใจจนเกือบผล็อยหลับ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเปียกลื่นบนหลังมือ พอลืมตาขึ้นมาดูก็ต้องร้องเสียงหลงพร้อมกระโจนร่างขึ้นมา สะบัดแขนอย่างเอาเป็นเอาตายจนงูน้ำสีดำมะเมื่อมกระเด็นไปบิดตัวเร่าๆ อยู่บนพื้น

“เป็นอย่างไร มีแรงเดินหรือยังทีนี้” เซ่าจิวเลิกคิ้วถาม

ชายหนุ่มกัดริมฝีปากล่าง สะบัดหน้าพรืดอย่างฉุนโกรธ

ไม่ใช่คนจริงด้วย ที่ยิ่งกว่านั้นคือไม่ใช่สตรี!

หลังจากเดินทางทั้งกลางวันกลางคืนมาตลอดทางแทบไม่หยุด ในที่สุดก็ได้เห็นกำแพงเมืองสูงตระหง่าน แสงอาทิตย์อัสดงส่องกระทบแผ่นอิฐหนา ทหารท่าทางขึงขังยืนอยู่บนกำแพงราวกับรูปปั้น

เซ่าจิวตบแขนเผยยวนอย่างอารมณ์ดี “ดูสิ ยังจำที่นี่ได้หรือไม่”

“เมืองต้าเหลียง ต้องจำได้อยู่แล้ว” ใบหน้าของเผยยวนเพิ่งจะมีรอยยิ้มให้เห็น เขารู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

ในอดีตที่พวกเขาออกจากแคว้นหานไปสัญจรหาความรู้ สถานที่แรกที่มาก็คือเมืองต้าเหลียงแห่งแคว้นเว่ยนี่เอง

เซ่าจิวลากแขนเขา “ไปเร็ว ชักช้าประเดี๋ยวจะไม่ทัน”

เผยยวนยังอยากเดินดูรอบๆ ให้เต็มที่สักหน่อย แต่กลับถูกนางลากเข้าไปในประตูเมืองโดยไม่ยอมหยุดพัก

เซ่าจิวใช้ชีวิตในต้าเหลียงมาหลายปีจึงคุ้นเคยกับเมืองนี้ดี นางลากชายหนุ่มวิ่งไปตลอดทาง ทั้งยังวิ่งเร็วกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

เผยยวนหายใจแทบไม่ทัน คนคนนี้ชอบวิ่งมาแต่เด็กแล้ว ในตอนนี้ยิ่งเก่งขึ้นกว่าเดิม

ตอนที่ดวงอาทิตย์จวนเจียนจะตกดิน เซ่าจิวมาอยู่ตรงหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง พอปล่อยมือ เผยยวนก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันที

“เจ้า…เจ้าวิ่ง…ทำไมกัน”

เซ่าจิวมองตรงไปข้างหน้า ขณะขมุบขมิบปากพึมพำ “ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่งอยู่ดี”

เผยยวนหันมองตามสายตาเซ่าจิว เห็นคฤหาสน์ใหญ่โต หน้าประตูใหญ่แขวนป้ายเขียนว่า ‘จวนมหาอำมาตย์’ ทว่าตอนนี้ถูกพันไว้ด้วยผ้าขาว บ่งบอกว่ากำลังจัดงานศพ

ประตูใหญ่พลันถูกเปิดออกจากข้างใน บ่าวไพร่ห้อมล้อมชายหนุ่มที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราและมีสีหน้าเคร่งขรึมออกมาขึ้นรถ เผยยวนได้ยินคนพวกนั้นเรียกเจ้าตัวว่า ‘ซิ่นหลิงจวิน’ ก็นึกรู้อยู่ในใจว่าที่นี่น่าจะเป็นจวนของเว่ยฉี มหาอำมาตย์แคว้นเว่ย

เผยยวนรีบลุกขึ้นจากพื้นแล้วถามเซ่าจิวโดยไม่สนใจจะปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า “เกิดอะไรขึ้น สำนักโม่จื่อให้เจ้ามาช่วยเว่ยฉีอย่างนั้นหรือ”

นางพยักหน้า “ข้าผิดเอง นึกว่ากำจัดหวนเจ๋อกับกงซีอู๋ให้แคว้นฉินแล้วจะช่วยเว่ยฉีได้ ไม่คิดเลยว่าพอใช้เวลาไปกับเรื่องนั้นกลับทำให้เสียการใหญ่”

สีหน้าของเผยยวนเปลี่ยนไปทันที “อะไรนะ! เจ้าจะเล่นงานผู้ทรงภูมิทั้งสองท่าน?!”

“ข้าเล่นงานไปแล้ว”

เผยยวนเลือดขึ้นหน้า แก้มสองข้างป่องออกมาเป็นลูกขณะม้วนแขนเสื้อ

เว่ยฉีตายแล้ว?

กงซีอู๋วางม้วนหนังสือไม้ไผ่ในมือลง คิดไม่ถึงจริงๆ ยังนึกว่าหนีไปแคว้นฉู่สำเร็จแล้วเสียอีก ซิ่นหลิงจวินยังรีบเดินทางไปแคว้นเว่ยเพื่อการนี้ ปรากฏว่าเว่ยฉีกลับฆ่าตัวตาย

ตัวชนวนสงครามมาตายไปเสียแล้ว คราวนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ถอนทัพ และหวนเจ๋อก็จะรักษาชีวิตไว้ได้

แต่ที่นางขอเดินทางไปแคว้นจ้าวเองครั้งนี้ เกรงว่าจะมีจุดประสงค์อื่น

ในจวนจุดตะเกียงแล้ว เด็กรับใช้เข้ามาขอให้กงซีอู๋เปลี่ยนเสื้อผ้าไปกินอาหาร พร้อมนำข่าวทางจวนตัวประกันมาให้

กงซีอู๋รับถุงแพรมาดึงม้วนหนังสือไม้ไผ่ออก กวาดตาอ่านได้แวบเดียวก็ลุกขึ้นยืน ไม่ผิดจากที่คาดไว้จริงๆ

 

ที่จวนตัวประกัน อี้เจียงเก็บสัมภาระเรียบร้อย เตรียมตัวเดินทางไปแคว้นจ้าว

แน่นอนว่าจ้าวจ้งเจียวต้องถามอย่างงุนงง “เกิดอะไรขึ้น เจ้าจะไปที่ใด”

นางตอบ “ข้าจะกลับแคว้นจ้าว นายท่านโปรดวางใจ อีกไม่นานข้าจะมารับท่านกลับไปแน่นอน”

ดวงตารูปกลีบท้อของจ้าวจ้งเจียวเบิกกว้างขึ้นเป็นสองเท่า “เจ้าไม่สบายหรือไม่”

อี้เจียงกลอกตาทีหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

จ้าวจ้งเจียวมองนางเดินออกจากจวน ได้แต่หันไปถามตันคุย แต่มือกระบี่ก็กำลังรีบร้อนตามนางไป ตอบอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน

จวบจนทั้งคู่ขึ้นม้าไปแล้ว เขาถึงเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้ จึงวิ่งตามออกไปตะโกนโหวกเหวกตรงหน้าประตู “เจ้าจงใจทิ้งข้าแล้วหนีไปเองชัดๆ!”

แต่ทั้งคู่ควบม้าไปไกลแล้ว ใครจะมาตอบเขาเล่า

 

อี้เจียงทำตัวราวกับหนีจริงๆ นางควบม้าด้วยความเร็วสูงตลอดทางโดยไม่หยุดพัก

พอออกมาถึงถนนใหญ่ นางก็ต้องรีบดึงม้าให้หยุด แต่ทักษะยังไม่ชำนาญพอจึงเกือบจะพลัดตกจากหลังม้า

ทหารฉีกองหนึ่งขี่ม้ามาขวางถนนเอาไว้ ในมือชูคบเพลิง ใครบางคนขี่ม้าออกมาจากด้านหลังสุด ผ้าคลุมโบกสะบัดตามลม ห้อยกระบี่ยาวตรงเอว แสงไฟส่องกระทบใบหน้าด้านข้าง นอกจากกงซีอู๋แล้วยังจะเป็นใครได้อีก

“ศิษย์น้องจะได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางต่างแคว้นอยู่แล้ว จะรีบร้อนเดินทางไปที่ใดกัน”

อี้เจียงหันไปส่งสายตาให้ตันคุย แล้วกระตุกบังเหียนม้าโดยแรงให้มันวิ่งไปทางขวา

ท่ามกลางความสลัวที่มีแต่แสงคบไฟ ตันคุยตอบสนองช้ากว่าปกติเล็กน้อย ก่อนจะรีบควบม้าตามไป

กงซีอู๋ชูนิ้วสองนิ้ววาดไปข้างหน้าเบาๆ “ตาม”

ทหารฉีพุ่งทะยานออกมาราวเสือร้ายกระโจนลงเขา

เลยกำหนดเวลากลับที่พักไปแล้ว ถนนใหญ่จึงเงียบสงัด อี้เจียงรู้ว่าจะออกจากเมืองตอนนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน นางจึงเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปแม่น้ำจือสุ่ยแทน

ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวส่องสว่าง นางหยุดม้าตรงริมแม่น้ำ บอกตันคุยให้ลงเรือเล็กที่จอดอยู่ริมตลิ่ง แล้วสั่งให้เขารีบพายออกมา

“แม่นางไปหาเรือมาจากที่ใด” มือกระบี่พายเรือพลางถามด้วยความฉงน

“พระพันปีจ้าวสั่งให้คนเตรียมไว้ให้” อี้เจียงทอดสายตามองไปไกล คบไฟของทหารฉีใกล้เข้ามาทางนี้แล้ว

ตันคุยเร่งฝีพาย ในที่สุดก็ถึงฝั่งตรงข้าม มีคนจูงม้าเร็วก้าวออกมาจากป่าทันที เขากวาดตาปราดเดียวก็มองออกว่าคนเหล่านั้นเป็นทหารที่แต่งกายด้วยชุดลำลอง สำเนียงบ่งบอกว่ามาจากแคว้นจ้าวจริงๆ

ทหารฉีมายืนเรียงแถวหน้ากระดานที่ฝั่งตรงข้าม อี้เจียงปีนขึ้นม้าแล้วหันไปมอง เห็นร่างของกงซีอู๋อยู่ใต้แสงไฟ

นางลูบหัวปลอบม้าที่กำลังตะกุยดินอย่างกระสับกระส่ายพลางส่งเสียงตะโกน “ศิษย์พี่ไม่ต้องมาส่งหรอก ข้าไม่อยากเป็นขุนนางต่างแคว้นของแคว้นฉี ตำแหน่งเสนาบดีแคว้นจ้าวกำลังรอข้าอยู่!”

“ไฉนศิษย์น้องถึงได้กลับคำเสียเล่า” เสียงของกงซีอู๋ลอยมาตามลม

อี้เจียงหัวเราะลั่น นี่เป็นครั้งแรกที่นางปลอดโปร่งใจได้เพียงนี้ “ศิษย์พี่ให้ข้าเป็นขุนนางที่แคว้นฉีไปชั่วชีวิต เพราะอยากให้ข้าอยู่ใต้การควบคุมของท่านตลอดไปกระมัง ทำศึกต้องใช้เล่ห์กล ข้าให้คำสัญญาเพื่อเอาตัวรอด จะถือเป็นจริงได้อย่างไร”

นางให้ม้าเหยาะย่างไปตรงริมน้ำ “อ้อ จริงสิ ยังมีนี่” ดึงม้วนไม้ไผ่ที่ใช้เป็นบันทึกประจำวันจากในห่อสัมภาระข้างหลังมาชูขึ้นสูง “ศิษย์พี่อยากรู้มากเลยใช่หรือไม่ว่าในนี้เขียนอะไรไว้บ้าง” นางคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ปล่อยมือให้ม้วนหนังสือร่วงหล่น ลอยไปตามกระแสน้ำ

สีหน้าของกงซีอู๋นิ่งสนิท

นางปัดมือ “ศิษย์พี่รักษาตัวด้วย แล้วค่อยเจอกันใหม่” พูดจบก็กระตุกบังเหียนให้ม้าหันหัว ก่อนควบหายไปในความมืด

“ท่านเสนาบดี…” ทหารฉีหันไปมองกงซีอู๋ เฝ้ารอคำสั่งจากเขาว่าจะทำเช่นไรต่อ แต่กลับได้เห็นรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากเขาแทน ทหารฉีจึงหันไปมองหน้ากันเหลอหลา

 

การเข้าออกเขตแดนแคว้นต่างๆ จำเป็นต้องมีขั้นตอนและใช้เอกสารที่เรียกว่า ‘หนังสือผ่านแดน’ อี้เจียงมองว่าหนังสือผ่านแดนนี้ก็คล้ายหนังสือเดินทางในยุคปัจจุบัน โชคดีที่นางทำหนังสือผ่านแดนเอาไว้ตั้งแต่ตอนเป็นทูตให้แคว้นฉี

จากเมืองหลินจือขี่ม้าไปทางทิศตะวันตกอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ออกจากพรมแดนแคว้นฉี ตอนแรกอี้เจียงทำใจไว้ว่าจะต้องถูกกงซีอู๋ไล่ตามมา นึกไม่ถึงว่าตลอดทางจะราบรื่นไร้อุปสรรค สามารถเข้าเขตแดนแคว้นจ้าวโดยปลอดภัย

ดวงอาทิตย์ยามเช้าเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ส่องแสงสีแดงอ่อนอันเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นใหม่ ถนนหลวงโล่งกว้าง สองฝั่งทำนาข้าวสาลีเป็นผืนยาวเหยียด มองดูคล้ายนางกำนัลใส่ชุดสีเขียวยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในวังหลวง โน้มรวงส่ายไหวท่ามกลางลมอ่อน ถูกแดดส่องจนส่งกลิ่นหอมหวานอบอวล

ที่นี่เงียบสงบ ทั้งอยู่ห่างไกลจากไฟสงคราม ทหารจ้าวยี่สิบถึงสามสิบนายที่แต่งชุดลำลองคอยตามหลังอี้เจียงไม่ห่างตลอดทาง จวบจนมาถึงที่นี่ถึงค่อยผ่อนคลาย ปล่อยม้าเดินช้าๆ

ตันคุยเพิ่งจะได้รู้ต้นสายปลายเหตุ เขาพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่รับรู้พลางถามอี้เจียง “แม่นาง ท่านโยนบันทึกของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ทิ้งแม่น้ำเช่นนี้ไม่เสียดายหรือ”

นั่นมันบันทึกของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ที่ใดกันเล่า อี้เจียงนึกกังขาความสามารถในการจับใจความสำคัญของตันคุย แต่ตอนนี้นางเหนื่อยจนแทบสัปหงกแล้วจึงได้แต่ตอบไปส่งๆ “เสียดายสิ เสียดายใจแทบขาด”

ตันคุยถอนหายใจเฮือกๆ ราวกับสูญเสียของล้ำค่าไปชิ้นหนึ่ง

ทั้งสองเอาแต่คุยกันเรื่องม้วนหนังสือจนลืมจ้าวจ้งเจียวที่กำลังทุบจอกสุราสำริดทิ้งด้วยความโมโหในจวนตัวประกันไปโดยสิ้นเชิง

 

พอเข้าเมืองก็มีขุนนางมารอรับโดยเฉพาะที่โรงเตี๊ยมจุดพักม้า จัดเตรียมอาหารและน้ำอาบให้เป็นอย่างดี

อี้เจียงได้ใช้ชีวิตไปตามเวลาที่ควรเป็นแล้ว ตกกลางคืนนางนอนหลับเต็มอิ่ม วันรุ่งขึ้นก็ตื่นตรงเวลาแต่เช้า ออกเดินทางไปยังเมืองหานตันต่อ

พระพันปีจ้าวเตรียมการอย่างพิถีพิถัน ตลอดทางนอกจากจะได้รับการดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดี ยังมีม้าเร็วคอยเปลี่ยนให้เป็นระยะ พอใกล้จะถึงเมืองหานตัน นางก็ได้นั่งรถม้าแทน

อี้เจียงรู้ข่าวว่าแคว้นฉินถอนทัพไปแล้ว การเดินทางจึงเป็นไปอย่างผ่อนคลาย ทำเหมือนชมนกชมไม้ไปตลอดทางจนเข้าเมืองหานตันอีกครั้ง

ผู้คนในเมืองเหมือนฟื้นชีวิตขึ้นมาใหม่ ถนนหนทางจอแจคับคั่ง รถม้าแล่นสวนกันไม่ขาดจนเห็นฝุ่นดินฟุ้งตลบโดยรอบ ข่าวการตายของเว่ยฉีถูกชาวบ้านนำมาพูดคุยอย่างตื่นเต้นดีใจ

การตายของคนผู้หนึ่งกลายเป็นเรื่องน่ายินดีของคนทั้งแคว้น คิดแล้วก็น่าหดหู่ยิ่งนัก

เวลานี้ขุนนางแคว้นจ้าวรู้ดีว่าเด็กสาวนามหวนเจ๋อกำลังเป็นที่โปรดปราน พระพันปีจ้าวถึงกับยกจวนฉางอันจวินให้นางอยู่

อี้เจียงกลับไปอยู่ในเรือนเดิมของตนอีกครั้ง ก่อนนอนตอนกลางคืน นางชดเชยด้วยการจุดตะเกียงสว่างไสวไปทั้งเรือนจนเข้าขั้นฟุ้งเฟ้อ จากนั้นก็เอนตัวลงบนเตียง แต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ

อาการเช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับอี้เจียงเฉพาะช่วงไม่กี่เดือนแรกที่อยู่ในคุก ต่อมาเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นไม่หยุด ประสาทจึงถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวเต็มที่อยู่ทุกวัน กลายเป็นพอหัวถึงหมอนก็หลับสนิท แต่วันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร นางนอนตาค้างทั้งคืนจนฟ้าสาง…

สาวใช้เข้ามาช่วยอี้เจียงแต่งตัว นางที่นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอยู่แล้วโบกมือปฏิเสธ ก่อนหยิบหวีมาสางผมเอง

สาวใช้นึกว่าตนเองทำงานบกพร่อง รีบทิ้งตัวลงหมอบเอ่ยขอขมาตัวสั่นงันงก

ไม่นึกเลยว่าการกระทำที่ไม่ตั้งใจของตนเองจะทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวถึงเพียงนี้ อี้เจียงรีบอธิบาย “ข้าแค่อยากทำให้ชินเท่านั้น”

ต้องชินเข้าสักวันหนึ่ง เท่าที่นับคร่าวๆ นางมาอยู่ที่นี่กว่าครึ่งปีแล้ว อาหารการกินและที่อยู่อาศัยนั้น ไม่ชินก็ต้องชิน ตอนนี้ในแง่ความรู้สึกก็พอจะทำใจยอมรับได้แล้ว

เรือนผมในคันฉ่องยาวเหยียด หวีแล้วขาดหลุดร่วงไม่น้อย ใบหน้าพอจะมีน้ำมีนวลให้เห็นบ้าง แต่ก็ยังซีดขาวเหมือนเดิม ร่างกายของหวนเจ๋ออ่อนแอบอบบาง ดูแล้วไม่ใช่ปัญหาด้านอาหารการกิน เพราะมีกงซีอู๋เป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่ชัดเจน ทั้งคู่มาจากเขาอวิ๋นเมิ่งเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่เจ้าสำนักกุ่ยกู่จะเลือกของดีๆ ให้เขากินคนเดียวโดยไม่ให้หวนเจ๋อ

นางวางหวีลงแล้วหยิกแก้มตนเอง คิดในใจว่าร่างกายนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่

ความคิดนี้ออกจะน่ากลัวนิดๆ นางควรใส่ใจสุขภาพไว้หน่อยดีกว่า

แต่มวยผมใช่จะเกล้าได้ง่ายๆ สุดท้ายก็ต้องพึ่งมือสาวใช้ถึงจะสำเร็จ นางรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลยกับการมีคนปรนนิบัติ ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าสะดวกดี

เพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ พระพันปีจ้าวก็ให้ข้ารับใช้คนสนิทนำของรางวัลมามอบให้ มีทองคำห้าร้อยตำลึง แพรพรรณชั้นดี และเสื้อผ้าหรูหราอีกมากมาย

อี้เจียงรับไว้อย่างนอบน้อม จากนั้นก็หาที่เก็บทองเป็นอันดับแรก

นี่เป็นเงินก้อนแรกที่นางหาได้เชียวนะ!

พอเก็บทองเรียบร้อย อี้เจียงก็เดินกลับมาที่ห้องโถงด้านหน้า ข้าราชบริพารคนนั้นยังอยู่รอเชิญนางเข้าวังไปเข้าเฝ้าพระพันปี

อี้เจียงกินอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตามอีกฝ่ายออกไป

ข้าราชบริพารเดินเป็นเพื่อนอี้เจียงตลอดทาง คราวนี้นางไม่ได้ถูกนำตัวไปเข้าเฝ้าพระพันปีจ้าวที่ตำหนักบรรทมเหมือนปกติ แต่เดินผ่านประตูวังหลวงสองชั้นเข้าไปยังลานกว้างของตำหนักหน้า

แสงแดดร้อนระอุราวกับเปลวไฟ ลมฤดูร้อนพัดแรง ธงบนยอดหอสูงโบกสะบัด ประกายแดดส่องกระทบชายคางอนเชิดเป็นสีทองอร่ามจับตา ทหารยามทั้งสองฝั่งยืนตากแดดโดยไม่ปริปาก

อี้เจียงรู้ว่าสิ่งที่กำลังรอตนเองอยู่คืออะไร นางเดินตามข้าราชบริพารขึ้นบันไดจนมาถึงประตูตำหนักสูงตระหง่าน

“เชิญผู้ทรงภูมิเข้าไปข้างใน” ข้าราชบริพารค้อมกายพลางผายมือเชิญ

นางเตรียมตัวเตรียมใจเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวเข้าไป

ขุนนางใหญ่นั่งเรียงแถวอยู่ทั้งสองฝั่งของตำหนัก ที่ยังหนุ่มมีอยู่น้อย โดยมากจะอยู่ในวัยกลางคนหรือวัยชรา ที่เหมือนกันคือทุกคนพากันจ้องนางเขม็ง

ด้านบนมีโต๊ะหลักและโต๊ะข้าง คนที่นั่งหลังโต๊ะประธานคือจ้าวหวังตันที่สวมหมวกม่านลูกปัดเก้าเส้น พระพันปีจ้าวนั่งที่โต๊ะข้าง มีนางกำนัลสองคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างหลังอย่างระมัดระวัง วันนี้นางประทินโฉมเพียงบางๆ อย่างหาได้ยากยิ่ง สีหน้าดูดีขึ้นไม่น้อย

อี้เจียงประสานมือพลางค้อมตัวไปข้างหน้า เพิ่งจะคารวะจ้าวหวังตันกับพระพันปีเสร็จ เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “พอเข้ามาก็สอดส่ายสายตามองไปทั่วตำหนัก ไม่สำรวมเอาเสียเลย ศิษย์เอกของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่เป็นเช่นนี้เองหรือ”

อี้เจียงหันไปมอง พบว่าชายชราผมหงอกขาวผิวเหี่ยวย่นคนหนึ่งกำลังจ้องมาทางตน หางตาตก ริมฝีปากปิดสนิท ดูเป็นคนดื้อรั้นไม่ฟังใครง่ายๆ

พระพันปีจ้าวบอกยิ้มๆ “เด็กสาวก็เป็นเช่นนี้ ท่านชายหมิงอย่าได้ถือสา”

น่าเสียดายที่ท่านชายหมิงไม่ยอมไว้หน้า กลับชูแผ่นฮู่ป่าน* ในมือขึ้นสูงพร้อมคํานับ พูดอย่างตรงไปตรงมา “ในเมื่อเป็นเด็กสาว จะเป็นขุนนางได้อย่างไร”

คนที่ถูกเรียกว่าท่านชายอะไรสักอย่างนี่จะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นจ้าวอย่างแน่นอน ดูจากวัยน่าจะเป็นรุ่นเดียวกับอดีตจ้าวหวังที่ล่วงลับไปแล้ว มิน่า แม้แต่พระพันปีจ้าวยังต้องยิ้มแย้มแจ่มใสด้วย

รอยยิ้มบนใบหน้าพระพันปีจ้าวลดเลือนไปบางส่วน “หวนเจ๋อมีความดีความชอบที่ช่วยจ้าว ข้าจึงอวยยศให้ตามสัญญา เหตุใดจะไม่ได้เล่า”

ท่านชายหมิงแค่นเสียงหึ ยกมือชี้อี้เจียง “พระพันปีโปรดทรงทอดพระเนตร เด็กสาวอ่อนแอผอมบางเช่นนี้น่ะหรือที่จะทรงแต่งตั้งเป็นเสนาบดี! ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงแคว้นอื่น แคว้นจ้าวเราคงถูกหัวเราะเยาะว่าไม่เหลือคนมีความสามารถแล้ว!”

ชู่หลงนั่งอยู่ทางขวามือของท่านชายหมิง มือหนึ่งจับไม้เท้า อีกมือวางบนโต๊ะ คงเพราะรู้สึกว่าอี้เจียงดูคุ้นตา จึงได้ชะโงกหน้าเพ่งมอง หุบปากสนิท

“ท่านชายหมิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว พระพันปีและฝ่าบาทโปรดทรงทบทวนด้วย” ขุนนางมากมายส่งเสียงสนับสนุน มีแค่ไม่กี่คนที่นิ่งเฉย

อยู่ๆ เสียงรอบตัวก็เงียบลงพร้อมกัน อี้เจียงยืนอยู่ในตำหนัก เหลือบตามองหัวดำๆ ที่เห็นเป็นพืดทั้งสองฝั่ง รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจนิดๆ

จ้าวหวังตันที่นั่งอยู่ด้านบนโพล่งถามขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่าแคว้นฉีก็ตั้งใจจะแต่งตั้งผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อเป็นขุนนางเช่นกัน ทุกท่านทราบเรื่องนี้หรือไม่”

ทุกคนชะงัก พูดตามตรง แม้แต่อี้เจียงยังผงะอึ้ง

จ้าวหวังตันผู้หนุ่มแน่นคนนี้เป็นคนเงียบขรึมผิดกับน้องชาย นั่งเงียบอยู่นานถึงค่อยโพล่งประโยคนี้ออกมา นางจึงเพิ่งรับรู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ด้วย นางแอบพิจารณาเขา แต่เพราะมีสายมุกบังเลยเห็นหน้าไม่ชัด รู้แต่ว่าผิวของเขาค่อนข้างเข้ม มองเผินๆ ดูบึกบึนห้าวหาญกว่าหนุ่มน้อยหน้ามนอย่างจ้าวจ้งเจียว

“ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไร” ท่านชายหมิงถามอย่างโมโห รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสั่นระริก “แคว้นฉีหลงคารมสตรีผู้นี้ แคว้นจ้าวเราก็ต้องหน้ามืดตามัวตามด้วยหรือ”

พระพันปีจ้าวพูดขึ้นอย่างเย็นชา “คารมของสตรีผู้นี้ทำให้ทัพฉินถอยร่นไปได้ ส่วนเชื้อพระวงศ์อย่างพวกท่านกลับใช้คารมอยู่แต่ที่นี่”

ท่านชายหมิงลุกขึ้นด้วยความโมโห แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลง “พระพันปีทรงมีหน้าที่สำเร็จราชการ แต่กลับทรงทำผิดจารีตโบราณ จะทรงเลียนอย่างอู่หลิงหวังกระนั้นหรือ”

พระพันปีจ้าวเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายเย็นชา ส่วนจ้าวหวังตันมีอาการตอบสนองที่รุนแรงยิ่งกว่า ตบโต๊ะลุกพรวดแล้วหันหลังเดินออกไป

ท่านชายหมิงเห็นเช่นนั้นก็ค่อยสำรวมกิริยา ประสานมือคำนับทีหนึ่ง แต่ก็ไม่มีท่าทีลนลานแต่อย่างใด

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้อี้เจียงยืนตะลึงอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับตัวส่งเดช

นางเคยฟังเรื่องราวของอู่หลิงหวังมาแล้ว พระพันปีจ้าวชื่นชมนักปกครองคนนี้อย่างมาก ตอนปรึกษากลยุทธ์กันคราวก่อนยังบอกนางว่า ‘หากอู่หลิงหวังยังมีพระชนม์อยู่ พวกฉินไม่กล้ากำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้หรอก’ ตอนที่ยังอยู่ในแคว้นฉี นางก็เคยได้ฟังเรื่องราวของอู่หลิงหวังอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างกันพอควร

อู่หลิงหวังคือปู่ของจ้าวหวังคนปัจจุบัน เป็นผู้ริเริ่มการสวมชุดรัดกุมแบบชาวหู ใช้ธนูรบบนหลังม้า เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำศึกครั้งใหญ่จนสามารถกลืนแคว้นจงซาน สยบแคว้นซานหู สร้างแนวกำแพงแคว้นจ้าว มีคุณูปการอันใหญ่หลวง ทว่าการให้แต่งกายแบบชาวหูขี่ม้าและยิงธนูออกรบ ก็ได้สร้างความไม่พอใจให้ชนชั้นสูงรุ่นเก่า จึงถูกจับไปขังไว้ที่วังซาชิวจนหิวตาย สิ่งที่อู่หลิงหวังทำนั้น บางคนมองว่าผิดจารีต ขณะที่บางคนก็มองว่าเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่

ท่านชายหมิงกล้าพูดจาเช่นนี้กับพระพันปีจ้าว เห็นได้ชัดว่าต้องการข่มขู่ ควรอยู่หรอกที่พระพันปีจ้าวกับจ้าวหวังตันจะโมโหเพียงนั้น

พระพันปีจ้าวเม้มปากแน่น มือขวาที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นน้อยๆ นานทีเดียวถึงจะคุมอารมณ์ได้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน หาทางช่วยผิงหยวนจวินกลับมาให้ได้ก่อนดีกว่า”

เมื่อมีประเด็นมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ ขุนนางทั้งหลายต่างพากันเห็นพ้อง

“แม้แคว้นฉินจะถอยทัพไปแล้ว แต่ก็ยังส่งราชสาส์นมาว่าจะยอมปล่อยตัวผิงหยวนจวินก็ต่อเมื่อได้หัวของเว่ยฉี แคว้นเว่ยไม่อยากให้หัวกับตัวของเว่ยฉีแยกกันอยู่คนละที่ เรื่องนี้จึงเป็นไปได้ยาก ใต้เท้าท่านใดยินดีเป็นทูตไปแคว้นเว่ยเพื่อขอหัวเว่ยฉีบ้าง”

ขุนนางทุกคนเอาแต่เงียบ

ชู่หลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า “ท่านอำมาตย์ลิ่นเซียงหรูมีทั้งสติปัญญาและความองอาจกล้าหาญ สามารถรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

พระพันปีจ้าวปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “ท่านอำมาตย์เพิ่งลาป่วยไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ให้เขาพักรักษาตัวอย่างสบายใจเถอะ” นางเหลือบตามองอี้เจียงคล้ายไม่ได้ตั้งใจ “ถ้าอย่างไรให้หวนเจ๋อเป็นทูตไปแคว้นเว่ยแล้วกัน แคว้นอื่นจะได้เห็นว่าแคว้นจ้าวเรายังมีคนเก่งอยู่”

เสื้อผ้าของท่านชายหมิงที่หมอบอยู่บนพื้นเสียดสีกันเบาๆ คาดว่าคงกำลังโมโหจนตัวสั่น

อี้เจียงรู้สึกพูดไม่ออก พระพันปีจ้าวดูใจเย็นเหมือนกำลังพูดว่าอาหารเย็นวันนี้มีกับข้าวอะไรกิน คิดบ้างสิว่าให้เด็กสาวเช่นนางไปทำเรื่องสยดสยองน่ากลัวพรรค์นี้จะเป็นการสร้างรอยแผลในใจนางเพียงใด!

พระพันปีสุขภาพอ่อนแอ นั่งนานๆ ไม่ได้ จึงสั่งให้นางกำนัลเข้ามาช่วยประคองซ้ายขวา ลุกขึ้นช้าๆ พลางเอ่ยว่า “ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว ผู้ทรงภูมิออกเดินทางให้เร็วที่สุดแล้วกัน”

อี้เจียงรับคำเสียงอ่อน อีกฝ่ายคงอยากให้นางได้สร้างผลงาน ขุนนางคนอื่นจะได้ไม่กล้าพูดอะไรอีก เช่นนี้เหมือนเอาเปรียบกันชัดๆ ทองที่ได้มายังจับไม่ทันอุ่นเลย!

 

พออี้เจียงกลับถึงที่พัก เล่าเรื่องนี้ให้ตันคุยฟัง ชายหนุ่มก็ประหลาดใจอย่างมาก

“ไม่เหมาะกระมังแม่นาง คนเขากำลังจัดงานศพอยู่ ท่านจะไปเอาหัวของศพมา เกรงว่าแม้แต่ภูตผีวิญญาณคงพากันสาปแช่งท่าน”

อี้เจียงรู้สึกว่าคราวนี้ตันคุยจับประเด็นสำคัญได้ตรงใจนางยิ่ง

อืม…เรื่องไร้มโนธรรมร้ายแรงเช่นนี้ ข้าแบกรับคนเดียวไม่ไหวหรอก ต้องหาใครสักคนมารับบาปแทน

 

อี้เจียงใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหาคนมาเป็นตัวแทน นางหมายตาเอาไว้หลายคน ทว่ายังไม่รู้จักขุนนางในราชสำนักแคว้นจ้าวดีพอ คิดไปคิดมาก็เหลือแค่ลิ่นเซียงหรู ในเมื่อเขาเอาหยกเหอซื่อกลับมาได้* แค่หัวศพก็ไม่น่าเป็นปัญหา

นางหยิบม้วนหนังสือไม้ไผ่ออกมา เกาะโต๊ะเค้นความคิดอยู่สักพักก็จรดปลายพู่กันเขียนความเห็นลงไป เตรียมนำขึ้นถวายพระพันปีจ้าว แต่เขียนเสร็จแล้วลองอ่านดูก็รู้สึกว่าการใช้คำยังไม่ดีเท่าไร จึงโยนม้วนหนังสือทิ้ง แล้วเข้าวังหลวงไปรบกวนเวลานอนของพระพันปีทันทีในคืนนั้นแทน

พระพันปีจ้าวเข้านอนแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่ได้โมโห กลับนั่งฟังนางอย่างใจเย็น ไม่มีทีท่าว่าจะสัปหงก

เนื่องจากมีเรื่องจะขอร้อง อี้เจียงจึงประจบประแจงอย่างเต็มที่ เข้าไปนั่งตรงหน้าตั่ง บีบนวดน่องให้พระพันปีพลางเอ่ยว่า “พระพันปีเพคะ รับตัวผิงหยวนจวินกลับมาสำคัญก็จริง แต่ฉางอันจวินที่เป็นโอรสรักของพระองค์ก็สำคัญเช่นกัน ตอนนี้เขาอยู่ตัวคนเดียวในแคว้นฉี ไร้ที่พึ่งพิง ถ้าอย่างไรหม่อมฉันไปรับฉางอันจวินกลับมา แล้วพระพันปีทรงแต่งตั้งคนอื่นเป็นทูตไปแคว้นเว่ยดีหรือไม่เพคะ ลิ่นเซียงหรูไหวพริบเลิศล้ำ ต้องรับหน้าที่นี้ได้แน่ พอหม่อมฉันรับฉางอันจวินมาจากแคว้นฉีแล้ว จะรีบตามไปช่วยเขาที่แคว้นเว่ย ไม่ทราบว่าทรงเห็นเป็นเช่นไร”

ความจริงไปแคว้นฉีแล้วเจอกงซีอู๋ก็น่ากลัวมากเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดีกว่าต้องไปสัมผัสหัวศพด้วยมือตนเอง อีกอย่างกว่านางจะรับฉางอันจวินกลับมา ทางลิ่นเซียงหรูก็คงส่งหัวของเว่ยฉีไปถึงมือแคว้นฉินเรียบร้อยแล้ว

พระพันปีลูบหัวอี้เจียงอย่างอ่อนโยนแล้วปฏิเสธ “ในเมื่อสานสัมพันธ์กันแล้ว จ้งเจียวก็ไม่เป็นอะไรหรอก เรื่องของเขาเอาไว้ทีหลังก็ได้ อีกอย่างผิงหยวนจวินเป็นถึงมหาอำมาตย์ ไม่ควรอยู่ห่างแคว้นนาน”

อี้เจียงอับจนด้วยคำพูด ได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วขอตัวกลับ พอใกล้จะเดินออกจากตำหนัก ปลายเท้าก็พลันเปลี่ยนทิศทาง วิ่งไปหาจ้าวหวังตันแทน

จ้าวหวังตันผู้ขยันขันแข็งกำลังอ่านศาสตร์การปกครองอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ยังไม่เข้านอน พอได้ยินว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อขอพบก็รู้สึกประหลาดใจ รีบเชิญนางเข้ามาในตำหนักทันที

อี้เจียงรู้ว่าจ้าวหวังตันไม่ชอบผิงหยวนจวิน มิเช่นนั้นผิงหยวนจวินคงไม่ส่งนางเข้าไปแฝงตัวอยู่ข้างกายจ้าวจ้งเจียวหรอก

นางคุกเข่าคำนับเขาแบบหน้าผากจรดพื้นภายใต้แสงเทียนวับแวม เตือนความจำเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกันดูคล้ายไม่มีเจตนา จากนั้นก็บอกอย่างจริงใจ “ต้าหวังกับฉางอันจวินเป็นพี่น้องที่รักกันมาก หวนเจ๋อยินดีไปรับฉางอันจวินที่แคว้นฉี”

จ้าวหวังตันเงียบอยู่นาน นานจนอี้เจียงนึกว่าเขาจะตอบตกลง ปรากฏว่าเขากลับส่ายหน้า “เรื่องนี้เสด็จแม่ทรงตัดสินพระทัยแล้ว หากเปลี่ยนแปลงคงไม่ดี”

อี้เจียงลืมไปว่าเขายังไม่ได้ครองราชย์อย่างเป็นทางการ อำนาจทางการปกครองอยู่ในมือพระพันปี ตัวเขาไม่มีสิทธิ์มีเสียง

เห็นทีครั้งนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว…

 

แคว้นเว่ยใกล้นิดเดียว ออกจากหานตันไม่ไกลคือเมืองเยี่ย ถึงเมืองเยี่ยก็เท่ากับเข้าเขตแคว้นเว่ย ทั้งสองเมืองนี้อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งวัน จากเมืองเยี่ยเดินทางต่อร่วมครึ่งเดือนก็จะถึงต้าเหลียง

โชคดีที่อากาศเย็นสบาย ดวงอาทิตย์ไม่โผล่หน้า ทั้งยังมีลมเย็นพัดโชย แต่ที่แย่คืออารมณ์ของอี้เจียง ตั้งแต่ออกเดินทาง นางได้แต่สัปหงกอยู่ในรถทั้งวันจนมีสภาพเหมือนมะเขือเหี่ยวๆ ตันคุยมองแล้วอ่อนใจอย่างยิ่ง

อากาศดีอยู่ได้ไม่นาน ไม่ทันไรดวงอาทิตย์ก็โผล่ออกมาส่องแสงร้อนแรง

แคว้นเว่ยอยู่ทางใต้ รวงธัญพืชจึงสุกเร็วกว่าที่อื่น ตลอดทางที่ผ่านมาเห็นราษฎรจำนวนไม่น้อยออกมาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินทำงานอยู่ในที่นา เก็บเกี่ยวพืชผลกัน อี้เจียงเกาะประตูรถพลางถอนหายใจเฮือกๆ ราวกับตนเองเป็นรวงข้าวที่ถูกเกี่ยวเสียเอง

ระหว่างยุ่งมือเป็นระวิง ชาวไร่ชาวนาแคว้นเว่ยก็เห็นขบวนรถม้าหรูหราสวยงามผ่านไป ด้วยไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง จึงนึกว่าแคว้นจ้าวจับเด็กสาวส่งไปเป็นของขวัญแก่เว่ยหวัง

ข่าวแคว้นจ้าวต่ำช้าเล่าลือไปทั่วชนบท ชาวบ้านพากันซ่อนบุตรสาวของตนเองยกใหญ่

หลังจากผ่านที่นาและป่าผืนแล้วผืนเล่า ในที่สุดก็ได้เห็นเมืองอีกครั้งเสียที

จนถึงตอนนี้ อี้เจียงก็ยังรู้สึกต่อต้านงานรับหัวศพไม่หาย พอเข้าไปในจุดพักม้าก็เก็บตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมไม่ยอมออกมา ราวกับต้องการจะตัดขาดจากโลกภายนอกจนถึงที่สุด

ความเป็นแม่ในตัวตันคุยพลุ่งพล่านอีกแล้ว เขาคอยปกป้องดูแลนางตลอดเวลา คอยสั่งสอนชี้นำนางอย่างใจเย็น ขณะเปิดหน้าต่างออก เขาก็ชี้ให้นางดูความคึกคักภายนอกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

อี้เจียงนั่งขัดสมาธิที่โต๊ะ เอามือเท้าคางหมุนพู่กันเล่นโดยไม่หือไม่อือ

ตันคุยบรรยายภาพนอกหน้าต่างให้อี้เจียงฟัง ทั้งเรือนที่อยู่ไกลออกไป แผงขายของที่อยู่ใกล้ๆ เด็กทโมนที่ตีกันวุ่นวาย อยู่ๆ เขาก็ชะโงกตัวออกไปข้างนอกแล้วหันมาอุทานด้วยความประหลาดใจ “หือ? แม่นาง มีทูตของแคว้นฉีมาที่นี่ด้วยขอรับ!”

อี้เจียงเพิ่งจะยอมเงยหน้าขึ้นมา “อะไรนะ!”

ทูตแคว้นฉีมาแคว้นเว่ยด้วยเหตุใดกัน นางฟังแล้วไม่เชื่อนักจึงเดินไปดูตรงหน้าต่าง หน้าประตูโรงเตี๊ยมมีฝุ่นฟุุ้ง คนกลุ่มหนึ่งเข้าออกกันเอะอะ มีองครักษ์หนึ่งกอง รถม้าหนึ่งคัน และม้าเร็วอีกหลายตัว องครักษ์แต่งชุดทหารฉีจริงๆ คนที่เป็นหัวหน้ายังถือธงที่มีตัวอักษรฉีอีกด้วย

อี้เจียงเดินออกไปดูข้างนอกด้วยความแปลกใจ ประจวบเหมาะกับที่เจ้าหน้าที่ของจุดพักม้านำทหารฉีนายหนึ่งเดินเข้ามา

“ทูตแคว้นจ้าวมาได้จังหวะ” เจ้าหน้าที่หันมาแนะนำกับอี้เจียงยิ้มๆ “ท่านผู้นี้เป็นองครักษ์ของทูตแคว้นฉี กำลังอยากพบท่านอยู่พอดี”

ทหารฉีนายนั้นประสานมือคำนับอี้เจียง “คารวะทูตแคว้นจ้าว ได้ยินว่าแคว้นจ้าวส่งทูตมาแคว้นเว่ย พระมเหสีจึงทรงส่งทูตมาช่วยเหลือโดยเฉพาะ เพื่อแสดงสายสัมพันธ์อันดีระหว่างสองแคว้น”

อี้เจียงยิ้มรับ แต่ในใจรู้สึกแปลกพิกล พระมเหสีจวินใจดีเพียงนี้เชียว?

“ไม่ทราบว่าทูตทางฝ่ายพวกท่านคือ…” ใจนางเต้นเร็วราวกับรัวกลอง ขออย่าให้เป็นกงซีอู๋…ขออย่าให้เป็นกงซีอู๋…ขออย่าให้เป็นกงซีอู๋…

“ศิษย์น้อง”

ให้ตายเถอะ! อี้เจียงปวดกระเพาะนิดๆ

เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นข้างหลังแผ่วเบาและมั่นคง นางพยายามปั้นหน้ายิ้มแล้วหันกลับไป “ศิษย์พี่”

กงซีอู๋สวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าสีขาวราวกับหิมะ รัดเกล้าประดับหยกเขียว ทั้งๆ ที่แดดร้อนจ้า ใบหน้าของเขากลับนิ่งขรึมเป็นปกติ “ดูท่าจะมาทันเวลาพอดี”

อี้เจียงคำนวณเวลา จากเมืองหานตันมาถึงที่นี่ นางใช้เวลาสิบกว่าวัน เขาสามารถเดินทางจากเมืองหลินจือมาสมทบกับนางที่นี่ได้อย่างพอดีเช่นนี้ คงไม่ใช่ยังจับตามองนางอยู่หรอกนะ

กงซีอู๋มีสีหน้าท่าทางเหมือนเดิม ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เขาผายมือเชิญ เดินเข้าไปในจุดพักม้าพลางเอ่ย “พระพันปีจ้าวให้ศิษย์น้องเป็นทูตมาที่แคว้นเว่ยเพื่อผิงหยวนจวินสินะ”

อี้เจียงปั้นยิ้ม “หากผิงหยวนจวินรู้ว่าแคว้นฉีส่งศิษย์พี่มาช่วยเขาโดยเฉพาะ ไม่รู้ว่าจะซาบซึ้งใจเพียงใด”

ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับมาอย่างเป็นทางการ “ฉีและจ้าวเป็นพันธมิตรกันแล้ว มีอะไรต้องช่วยเหลือกันสิ”

อี้เจียงไม่เชื่อคำพูดดูดีนี้หรอก ประสาททุกส่วนของนางตื่นตัวเต็มที่ หมายจะอ่านเขาให้ทะลุปรุโปร่ง

วันรุ่งขึ้นออกเดินทางกันอีกครั้งด้วยขบวนที่ใหญ่กว่าเดิมมาก

กงซีอู๋ไม่ได้นั่งรถ เขาเปลี่ยนมาใช้ม้า ทั้งยังสั่งให้ทหารจูงม้ามาให้อี้เจียงด้วยหนึ่งตัว

อี้เจียงปฏิเสธ บอกว่าตนชอบนั่งรถมากกว่า

ชายหนุ่มขี่ม้าเข้ามาใกล้ “เห็นศิษย์น้องขี่ม้าเก่ง ข้านึกว่าเจ้าชอบขี่ม้าเสียอีก”

อี้เจียงรู้สึกว่าตนเองโดนเหน็บแนมเรื่องที่หนีออกจากแคว้นฉีเลยรับบังเหียนมาจากทหาร แล้วปีนขึ้นหลังม้า

กงซีอู๋ขี่ม้าเข้ามาตีคู่ อี้เจียงเหลือบมองเขาเป็นระยะ แต่เห็นเขาทอดตามองตรงไปข้างหน้า ไม่มีเจตนาเป็นอื่นและไม่มีทีท่าว่าจะชวนนางคุย นางเองก็ไม่อยากคุยกับเขาอยู่พอดี จึงหนีบเข่าเข้ากับสีข้างม้าเร่งความเร็วเงียบๆ เพื่อแซงเขา

แต่ไม่ทันไรเสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นข้างตัว พอหันไปมองก็พบว่าม้าของกงซีอู๋วิ่งขึ้นมาตีคู่อีกครั้ง

นางหางตากระตุกแล้วเร่งความเร็วต่อ

เพิ่งจะทิ้งห่างมาได้นิดเดียว เสียงม้าวิ่งกุบกับก็ดังเข้าหูอีก นางหันไปมอง กงซีอู๋ทอดสายตาตรงไปข้างหน้าขณะขี่ม้าคู่กับนางอย่างมั่นคง

จงใจสินะ? จะต้องจงใจแน่ๆ! อี้เจียงกำบังเหียนในมือแน่น

 

 

(ติดตามอ่านฉบับเต็มได้ในรูปเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: