บทที่ 3
เต็มเดือน
เอ็มมานูเอลไม่เคยได้นอนเล่นขี้เกียจอยู่บ้านแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เข้าวงการมาต่อให้มีเวลาไปปาร์ตี้บ่อยแค่ไหนแต่ตารางงานและตารางซ้อมคอนเสิร์ตก็แน่นเอี้ยดทุกปีจนไม่มีเวลาได้พักผ่อนจริงๆ จังๆ เลย
แต่ตอนนี้เขาถูกพักงานตั้งเจ็ดเดือน เขาอยู่ที่เมืองไทย ในรั้วบ้านกฤติกรที่ไม่มีใครจากโลกภายนอกเข้ามาวุ่นวายได้ เอ็มมานูเอลผู้เป็นเหมือนเจ้าชายของบ้านหลังนี้กำลังนอนแผ่ไปบนโซฟาหวายในห้องนั่งเล่นพลางหยิบขนมข้าวเกรียบกุ้งใส่ปากเคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน สายตาก็มองรายการเกมโชว์ตลกไร้สาระไปด้วยแววตาว่างเปล่าเพราะไม่ค่อยเข้าใจภาษาที่คนในโทรทัศน์พูดเท่าไหร่นัก
อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันที่เต็มเดือนกับครอบครัวจะมาทานมื้อเย็นที่บ้านกฤติกรด้วย เอ็มมานูเอลจึงรู้สึกเหมือนกำลังนับเวลาถอยหลังเข้าสู่วันสิ้นโลกอย่างไรก็ไม่รู้
ต่อให้ตอนนี้หัวสมองจะเริ่มรำลึกความหลังระหว่างกันเมื่อสิบสี่ปีก่อนได้แล้ว แต่เอ็มมานูเอลก็ยังทำใจเรื่องที่กันต์และนภาอยากจับเขาเข้าวิวาห์กับเด็กนั่นไม่ได้อยู่ดี แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าเต็มเดือนน่าเกลียดหรือน่าขยะแขยงอะไร ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตเอ็มมานูเอลก็โตมาแบบลูกคนเดียว เป็นเด็กที่โดนตามใจมามากและวัฒนธรรมอเมริกันก็หล่อหลอมให้เขามีความเป็นตัวของตัวเองเต็มเปี่ยม อยากจะทำอะไรก็ทำและใครก็อย่าหวังว่าจะมาบังคับกะเกณฑ์อะไรเขาได้ด้วย ยิ่งกับเรื่องแต่งงานที่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตลูกผู้ชายคนหนึ่งก็ยิ่งแล้วใหญ่
เอ็มมานูเอลตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ เย็นนี้เขาจะแสดงจุดยืนของตัวเองอย่างถึงที่สุด เขาจะปฏิเสธการจับคู่นี่อย่างหัวชนฝา อีกอย่างด้วยข่าวคาวๆ ที่ผ่านมา ชายหนุ่มก็มั่นใจเต็มเปี่ยมเลยว่าไม่มีพ่อแม่ที่ไหนจะอยากให้ลูกสาวมาแต่งงานฝากชีวิตไว้กับผู้ชายอย่างเขาแน่ ถ้าเต็มเดือนฉลาดพอและไม่ได้ปัญญาอ่อนล่ะก็ เธอต้องคิดเองได้ว่าผู้ชายอย่างเขานั้นไม่มีตรงไหนน่าแต่งงานด้วยเลยสักนิด
ใช่! คนปกติมันต้องคิดแบบนี้ มีแต่ตากับยายของเอ็มมานูเอลเท่านั้นแหละที่ผิดปกติกันอยู่สองคน
ชายหนุ่มเดาว่าเหตุผลที่ผู้เป็นตานึกคึกอยากจับเขากับเต็มเดือนแต่งงานกันก็คงหนีไม่พ้นความเหงาของคนแก่แน่ๆ คิดดูสิ…คนแก่สองคนอยู่บ้านหลังใหญ่โต ไม่มีลูกไม่มีหลานคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ก็คงอยากจะมีเหลนเอาไว้เลี้ยง หรือไม่ตาของเขาก็คงอยากจะหาทางรั้งหลานชายคนเดียวเอาไว้ที่เมืองไทยด้วยการหาเมียคนไทยสักคนมามัดตัวมัดใจเขาเอาไว้ แต่ขอโทษเถอะ ถ้าจะมาใช้แผนเด็กๆ แบบนี้กับเอ็มมานูเอลล่ะก็ คุณคิดผิดแล้ว!
“ตาเอ็ม จะห้าโมงอยู่แล้วนะ รีบไปอาบน้ำเลย อีกเดี๋ยวยายเต็มกับพ่อแม่เขาจะมาแล้วนะ” นภาที่เดินเข้ามาเห็นสภาพนอนเอกเขนกสบายเกินเหตุแบบนี้ของหลานชายตัวโตแล้วถึงกับรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที
แล้วดูสภาพพ่อตัวดีเสียก่อน! ผมก็ยาวรุงรัง หน้าตาก็โทรมดูไม่ได้ ใต้ตาดำเป็นหมีแพนด้า หนวดเคราขึ้นรกครึ้มไปทั้งหน้า ถ้าใครมาใส่ความว่าเอ็มมานูเอลติดยาล่ะก็ นภาคงหวั่นใจเพราะว่าสภาพของหลานชายนั้นดูน่าเชื่อเสียเหลือเกิน!
“ครับๆ” ชายหนุ่มรับคำอย่างจำใจก่อนจะปัดไม้ปัดมือที่เลอะเศษเครื่องปรุงจากข้าวเกรียบกุ้งไปมา แล้วลุกขึ้นเดินอาดๆ กลับไปยังห้องของตัวเองทางเรือนปีกขวา
“ทำไมไม่โกนหนวดโกนเคราเสียบ้างไอ้เอ็ม! ไว้หนวดอย่างกับโจร!” กันต์เอ็ดหลานชายที่ต่อให้อาบน้ำจนหอมฟุ้งแค่ไหนหรือสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านเพียงใด แต่ทรงผมและหนวดเครารกครึ้มนั่นก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์เถื่อนๆ โทรมๆ ของเอ็มมานูเอลเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
ร่างสูงโปร่งของ ‘โจร’ ที่เดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารซึ่งเป็นห้องติดกระจกรอบด้านที่ใต้ถุนเรือนหลังใหญ่มองดูผู้เป็นตาซึ่งดูอยากจะให้เขาดูสมบูรณ์แบบต่อหน้าว่าที่หลานสะใภ้เหลือเกินอย่างระอาใจ ดวงตาคมสีน้ำตาลช็อกโกแลตกลอกไปมาเพราะต่อให้กันต์จะพูดอะไรเอ็มมานูเอลก็หาได้แคร์ไม่ อีกอย่างชายหนุ่มไม่ได้พกมีดโกนหนวดติดมาด้วย จะออกปากขอให้แม่เนื่องหามาให้ก็ขี้เกียจ เอ็มมานูเอลไม่อยากให้ดูเหมือนว่าตัวเองตั้งตารอให้เด็กนั่นมาหามากเกินไปด้วย ก็เลยไม่โกนมันเสียเลย
“อย่าลืมไหว้พ่อแม่ของเต็มเดือนเขาด้วยล่ะตาเอ็ม เดี๋ยวเขาจะหาว่าลืมวัฒนธรรมไทยหมดแล้ว” นภาย้ำเรื่องมารยาทการไหว้เพราะท่านจำได้ว่าวันแรกที่มาถึงนั้นหลานชายก็เกือบจะลืมไหว้ตายายของตัวเองเหมือนกัน
เอ็มมานูเอลพยักหน้ารับคำพลางปัดมือเหี่ยวย่นของคนเป็นยายที่คอยแต่จะจัดผมยาวหยักศกเป็นลอนของเขาให้เข้าที่เข้าทางอย่างไร้ประโยชน์
“แม่เนื่อง มีหนังยางรัดผมไหมจ๊ะ เอามาให้ฉันหน่อยสิ ผมตาเอ็มมันรุงรังเหลือเกิน”
“ยาย พอเถอะน่า อย่ายุ่งกับผมนักเลย” ชายหนุ่มว่าอย่างทนไม่ได้ที่หญิงสูงวัยทำราวกับเขาเป็นเด็กๆ
“งั้นก็ตัดผมเสียสิจ๊ะแล้วยายจะไม่ยุ่งด้วยเลย!” นภาไม่สนใจ หญิงชราแบมือรับหนังยางสีดำเส้นเล็กมาจากมือของ ’ปุยฝ้าย’ เด็กหญิงวัยสิบสามที่เป็นหลานของ ‘แม่แจ๋ว’ แม่ครัวมือเอกเพียงหนึ่งเดียวของกฤติกรที่มาขออาศัยอยู่บ้านหลังนี้กับป้าของเธอ และช่วยงานในบ้านเพื่อแลกกับค่าเทอมร่ำเรียนในกรุงเทพฯ ที่กันต์ยินดีออกให้อย่างมีน้ำใจเพราะเห็นว่าปุยฝ้ายเป็นเด็กรักเรียน
“ขอบใจนะแม่ปุยฝ้าย สวัสดีคุณเอ็มเขาซะสิ” นภายิ้มอารีให้กับเด็กหญิงที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมต้นของตัวเองอยู่ เพราะพอกลับจากโรงเรียนก็ต้องมาช่วยป้าแจ๋วของแกเตรียมกับข้าวมื้อใหญ่ทันที
“สวัสดีค่ะคุณเอ็ม หนูชอบเพลงของวงคุณเอ็มมากเลยค่ะ พวกเพื่อนต้องอิจฉาหนูแน่เลยที่ได้เจอคุณเอ็มตัวเป็นๆ แบบนี้” เด็กหญิงยิ้มแฉ่งคุยเจื้อยแจ้วตามประสาเด็กช่างพูดและร่าเริง
“อย่าเพิ่งเอาเรื่องหลานชายฉันไปพูดกับคนนอกบ้านนะแม่ปุยฝ้าย” กันต์รีบห้าม เพราะรู้ดีว่าเด็กคนนี้เก็บความลับไม่ค่อยจะอยู่เท่าไหร่นัก
“อ้าว! ทำไมล่ะคะคุณท่าน”
“หลานชายฉันอยากพักผ่อนเงียบๆ น่ะ ขืนเธอไปบอกเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เผลอๆ จะแห่กันมาดูหลานฉันให้วุ่นวายเสียเปล่าๆ”
“ก็ได้ค่ะคุณท่าน หนูจะไม่บอกใครค่ะ” ปุยฝ้ายรับคำอย่างเข้าใจแม้จะมีสีหน้าเสียดายอยู่ไม่น้อย
นภายิ้มอ่อนกับท่าทางหงอยๆ ของเด็กหญิงในปกครองพลางลุกขึ้นไปรวบผมยาวประบ่าของหลานชายไว้เป็นหางม้าต่ำๆ เปิดใบหน้าเก๋ๆ และแนวสันกรามคมกริบให้เห็นได้ชัดมากขึ้น พอมัดผมแล้วสภาพชายหนุ่มก็ดูพอรับได้ขึ้นมานิดหน่อย แต่จะดีที่สุดถ้าตัดผมและโกนหนวดให้เกลี้ยงเสีย พรุ่งนี้ท่านคงต้องให้ ‘นายปอม’ คนขับรถและพ่วงตำแหน่งคนสวนของบ้านไปหาซื้อที่โกนหนวดให้เสียแล้ว
“คุณท่านครับ คุณศร คุณบี แล้วก็คุณเต็มมาแล้วครับ” นายปอมที่นภากำลังนึกถึงอยู่เมื่อครู่โผล่ใบหน้าคล้ำแดดทะเล้นๆ เข้ามารายงานเจ้าของบ้าน
เอ็มมานูเอลหันขวับไปทางประตูกระจก มีร่างสามร่างเดินตามหลังชายหนุ่มที่ชื่อปอมเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร คนแรกเป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบปลายๆ รูปร่างสูงผอม ผิวซีด ผมสีดำค่อนข้างบาง ดวงตาเรียวรีลึกโหลดูเหนื่อยล้าตลอดเวลา เขาอยู่ในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็กส์สีดำ ที่เดินตามหลังชายคนนั้นมาคือผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกัน ตัวสูงแต่อวบอิ่ม ผิวสีงาช้าง ผมสีดำยาวประบ่า และมีดวงตาโตคมดุจนดูน่าเกรงขาม สองคนนี้คงเป็นพ่อแม่ของแม่นางเอกในคืนนี้ เพราะหลักฐานทางพันธุกรรมของทั้งคู่มารวมกันอยู่บนใบหน้าแฉล้มของเต็มเดือนแล้วนั่นเอง
เด็กสาวอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวและกระโปรงพลีตสีดำยาวคลุมเข่าเหมือนครั้งล่าสุดที่เจอกัน เธอเดินตามพ่อแม่เข้ามาข้างในห้องรับประทานอาหารติดแอร์ ก่อนจะยกมือไหว้เจ้าของบ้านทั้งสองอย่างนอบน้อม แล้วยังเผื่อแผ่มารยาทนั้นมาทางเอ็มมานูเอลด้วย
“สวัสดีค่ะพี่เอ็ม” เสียงเล็กๆ เบาๆ ของเธอกล่าวกับเขาเป็นภาษาไทย
ชายหนุ่มรู้สึกเก้อกระดากแปลกๆ และพูดไม่ออก นั่งเป็นเบื้อใบ้อยู่แบบนั้นจนถูกคนเป็นยายสะกิดให้รีบยกมือไหว้พ่อแม่ของฝ่ายหญิงบ้าง เขาทำตามคำสั่งไปเหมือนหุ่นยนต์ รู้สึกปอดแหกอย่างไรไม่รู้เมื่อเจอหน้าคู่กรณีอย่างเต็มเดือนซึ่งหน้าแบบนี้
เอ็มมานูเอลได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมเขาต้องรู้สึกปอดแหกด้วย คนตรงหน้านี้ก็แค่เด็กอายุสิบเก้า ตัวเล็กผอมบาง หน้าตาจืดชืด ไม่มีพิษมีภัยอะไรไม่ใช่เหรอ ดูจากภายนอกและท่าทีที่เต็มเดือนแสดงออกมานั้น เธอก็ยังดูเรียบร้อยเป็นตุ๊กตาเหมือนในวันวาน
ตุ๊กตาที่นั่งนิ่งๆ ยอมให้เขาแกล้งได้ทั้งวันไงล่ะ!
“ไงยายเต็ม ไปเรียนมารึวันนี้” กันต์ทักทายหลานสาวคนโปรดอย่างอารมณ์ดี เป็นอันรู้กันว่าเจ้าของบ้านกฤติกรจะอารมณ์ดีและเข้าถึงง่ายเป็นพิเศษถ้าหากว่ามีเต็มเดือนอยู่ด้วย
“ค่ะ เลิกตอนหนึ่งทุ่ม เลยมาสายหน่อย” เต็มเดือนคุยตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
“อากันต์ สบายดีนะครับ” ชายวัยกลางคนที่ชื่อ ‘ศร’ ชวนตาของเอ็มมานูเอลคุยด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม
“สบายดี เราล่ะศร เป็นยังไงบ้าง หน้าตาดูเหนื่อยๆ นะ”
“ครับ…งานหนักนิดหน่อย”
“เอาน่า ผู้ชายอย่างเรา ทำงานหนักก็เพื่อครอบครัว” กันต์ว่าพลางเชิญให้สามคนพ่อแม่ลูกนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับหลานชายและภรรยาของตน
เต็มเดือนนั่งลงในตำแหน่งที่อยู่เกือบท้ายสุดของโต๊ะอาหารตัวยาว ไม่มีใครนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ ทำให้เอ็มมานูเอลแอบลอบมองเด็กสาวได้จากทางหางตาเท่านั้น ใบหน้ารูปไข่สีนวลสว่างเนียนใสอ่อนเยาว์จนน่าเหลือเชื่อ เต็มเดือนไม่มีอะไรแตกต่างจากเด็กน้อยกำสีเทียนคนนั้นในความทรงจำเลย เธอหน้าตาเหมือนเดิมแค่ตัวสูงขึ้นและผอมลงเท่านั้นเอง ริมฝีปากอิ่มสีชมพูคู่นั้นเหมือนอมยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอดเวลาแต่ก็บอกไม่ได้ว่าที่ยิ้มนั้นเจ้าตัวอารมณ์ดีจริงหรือเปล่า เพราะตาเรียวรีสีน้ำตาลดำไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของเลยสักนิด
“อากันต์คะ ที่เรายอมมาตามคำเชิญของอากันต์ก็เพราะอยากมาคุยเรื่องลูกของบีกับตาเอ็มให้ชัดๆ น่ะค่ะ” ‘บราลี’ ผู้เป็นแม่ของเต็มเดือนไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ หล่อนไม่รอให้แม่เนื่องและปุยฝ้ายตักข้าวจนครบทุกจานด้วยซ้ำ เป็นเหตุให้เอ็มมานูเอลเขยิบตัวออกจากพนักเก้าอี้อย่างกระตือรือร้น ชายหนุ่มอ่านสีหน้าของผู้หญิงคนนี้ออก ดูจากดวงตาดุคมที่ปรายมาทางเขาก็บอกได้เลยว่าหล่อนคิดอะไรอยู่
ดี! ดูเหมือนว่าเขาและแม่ของฝ่ายหญิงจะลงเรือลำเดียวกัน!
“กินข้าวก่อนไหมบี อย่าเพิ่งคุยตอนนี้เลย” ชายผู้เป็นพ่อของเด็กสาวโน้มตัวห้ามภรรยาเสียงแผ่วเบาอย่างเกรงใจเจ้าของบ้านทั้งสอง
“พูดตอนไหนก็เหมือนกันนั่นแหละศร เพราะยังไงเราก็ไม่อนุญาตให้ลูกสาวของเราแต่งงานกับตาเอ็มเด็ดขาด” คนเป็นแม่ตวัดสายตามาทางชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องที่นั่งเงียบอยู่ในขณะนี้
“ยายบี ใจเย็นๆ ก่อน พวกอายังไม่ให้หลานๆ แต่งกันตอนนี้เดี๋ยวนี้หรอกนะ ก็แค่อยากให้เด็กสองคนได้คุยได้รู้จักกันไปก่อนเท่านั้นเอง” นภาพยายามประนีประนอม
“อาฟ้าคะ อาฟ้าเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่แบบบีใช่ไหมคะ บีดีใจนะคะที่อากันต์กับอาฟ้าเอ็นดูยายเต็ม อยากให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่บีขอพูดตรงๆ จากที่บีตามอ่านประวัติและตามข่าวต่างๆ ของตาเอ็มมาหนึ่งอาทิตย์เนี่ย บีว่าไม่มีพ่อแม่ที่ไหนเขาอยากฝากลูกสาวไว้กับคนแบบนี้หรอกนะคะ! ขอโทษด้วยที่อาต้องพูดแบบนี้นะเอ็ม” บราลีหันมาพูดกับเขาอย่างลำบากใจในตอนสุดท้าย
“ไม่หรอกครับ” เอ็มมานูเอลเค้นสมองของตัวเองแล้วตอบกลับไปเป็นภาษาไทยช้าๆ “ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับตายาย…”
“แต่หนูอยากลองดูนะคะแม่” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบ เต็มเดือนก็พูดขัดขึ้นมากลางปล้อง ทำให้เกิดความเงียบแผ่กระจายไปทั้งห้องรับประทานอาหาร
ทั้งคนเป็นพ่อแม่ ทั้งคนแก่สองคน และชายหนุ่มอีกหนึ่งคนต่างหันไปมองเด็กสาวอายุสิบเก้าในชุดนักศึกษาเป็นตาเดียว เต็มเดือนมองตาผู้ใหญ่ในห้องทีละคนๆ เธอไม่มีคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมนอกจากยืนยันความตั้งใจของตัวเองอีกครั้ง
“เต็มโอเคค่ะถ้าต้องแต่งงานกับพี่เอ็ม”
“เต็ม! พูดอะไรออกมาน่ะลูก!!!” คนเป็นแม่ร้องลั่นอย่างตกใจ เอ็มมานูเอลสังเกตเห็นว่าเต็มเดือนตัวแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อยอย่างหวาดกลัวที่ถูกขึ้นเสียงใส่ แต่เธอก็ยังรักษาท่าทีให้กลับมาสงบเสงี่ยมได้อย่างดีเยี่ยมอีกครั้ง
“หนูพูดชัดแล้ว หนูไม่รังเกียจถ้าต้องแต่งกับพี่เอ็ม”
“เต็มเดือน! อย่าพูดจาเหลวไหล พ่อกับแม่ไม่ให้ลูกแต่งงานตอนอายุสิบเก้าหรอกนะ!” ศรเริ่มขึ้นเสียงไปกับภรรยาเมื่อลูกสาวคนเดียวเกิดจะคิดเหลวไหลขึ้นมาเสียแล้ว
“หนูไม่ได้จะแต่งตอนนี้เสียหน่อย ปู่กันต์กับย่าฟ้าก็พูดเองว่าไม่รีบ” เต็มเดือนเถียง มือเล็กกระจ้อยร่อยกำเข้าหากันแน่นเพื่อระงับอาการสั่นเทาของร่างกาย
“นี่พอก่อน ทั้งสามคนเลย!” กันต์ห้ามสามพ่อแม่ลูกเสียงเข้มทำให้ทุกคนยอมสงบลง
“ขอผมคุยกับเธอสองคนสักครู่ได้ไหมครับ” เอ็มมานูเอลเอ่ยขึ้นมาเมื่อมีจังหวะให้ตัวเองได้แทรก
“ไม่ต้องคุยหรอกเอ็ม ยังไงฉันก็ไม่ให้เธอแต่งกับลูกสาวฉัน” ศรปฏิเสธเสียงแข็ง
“ผมก็ไม่ได้พูดว่าผมอยากแต่งนี่!” ชายหนุ่มสวนกลับด้วยน้ำเสียงกระด้างไม่ต่างกันนัก ทำเอาคนอายุมากกว่าอึ้งและร่ำร่ำจะโมโหมากขึ้นไปอีกกับท่าทีไม่มีสัมมาคารวะของอีกฝ่าย
“ดีจ้ะ…เธอไม่อยากแต่ง ทางเราก็ไม่อยากให้แต่ง ก็เป็นอันว่าเราเห็นพ้องต้องกันนะเอ็ม” บราลีเอ่ยตัดปัญหาที่เริ่มจะร้อนระอุขึ้นไปทุกที แต่ก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่ชายหนุ่มตรงหน้ามีความเห็นที่ตรงกันกับแม่อย่างหล่อน
“คุยกันก็ดีค่ะพี่เอ็ม ขอเวลาเราสักครู่นะคะ” แต่ลูกสาวตัวดีดันเลือกที่จะดื้อด้านต่อไป ร่างบางลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วเดินนำเอ็มมานูเอลออกไปด้านนอก เห็นแบบนั้นชายหนุ่มก็ผลุนผลันลุกขึ้นเดินตามร่างน้อยที่เดินจ้ำๆ ไปบนทางเดินโรยด้วยกรวดหินสีขาว ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนศาลาแปดเหลี่ยมซึ่งหันหน้าสู่บ่อปลาขนาดใหญ่ของบ้านกฤติกรที่เปิดไฟสีส้มสลัวๆ เอาไว้
เมื่อมายืนอยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้ เอ็มมานูเอลพบว่าความสูงเกือบแตะร้อยเก้าสิบของตัวเองช่างข่มร่างตรงหน้าให้ดูเล็กกระจ้อยร่อยมากเหลือเกิน ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าไหล่ของเต็มเดือนกำลังสั่นอยู่ ทำให้จากทีแรกที่ตั้งใจจะวีนเด็กคนนี้ให้เต็มที่ตอนนี้กลับต้องมาใจอ่อนยวบยาบ ขึ้นเสียงใส่ไม่ลงเสียอย่างนั้น
“โอเคไหมเนี่ย” เอ็มมานูเอลเอื้อมมือไปแตะไหล่เด็กสาวเบาๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย เต็มไม่ชอบเสียงดังๆ น่ะ” เต็มเดือนปัดมือเขาออกอย่างสุภาพ เธอหันมาเผชิญหน้ากับคนตัวสูงตรงๆ แต่ไม่มีใครเปิดประเด็นพูดเรื่องในคืนนี้ออกมาเสียที พวกเขาได้แต่ยืนนิ่งๆ มองหน้ากันอย่างนั้นอยู่นาน
“เอ่อ…” สุดท้ายก็เป็นเอ็มมานูเอลที่เปิดบทสนทนาก่อน “เราเคยเจอกันตอนเป็นเด็กใช่ไหม”
“ค่ะ เราเคยเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ” เด็กสาวตอบเสียงแผ่วเบา
“แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าเราสองคนจะโดนจับแต่งงาน” เสียงเข้มของเอ็มมานูเอลถามต่อเป็นภาษาไทยอย่างช้าๆ แม้จะไม่คล่องเท่าเจ้าของภาษา แต่ก็ถือว่าชายหนุ่มไม่ได้ลืมภาษาบ้านเกิดของแม่และใช้มันได้อย่างดีทีเดียว
“เพิ่งรู้หลังจากเปิดพินัยกรรมของปู่เต็มเมื่ออาทิตย์ก่อน”
“แล้วพินัยกรรมของบ้านเธอเกี่ยวอะไรกับการที่เราต้องมาแต่งงานกันด้วย” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“ไม่เกี่ยวโดยตรงค่ะ แต่ว่า…คือเต็ม…” จู่ๆ เด็กสาวก็เริ่มอึกอัก ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องที่จะเล่านั้นซับซ้อนจนเล่าลำบาก เพราะเธอกลัวว่าเอ็มมานูเอลจะฟังภาษาไทยยาวๆ ไม่เข้าใจ เพราะตัวเธอเองก็พูดอังกฤษไม่คล่องพอที่จะอธิบายอะไรยาวๆ ได้
หรือบางทีเด็กคนนี้อาจจะไม่ได้มีความคิดที่ซับซ้อนอะไรเลยนอกจากว่าการแต่งงานกับดารานักร้องอย่างเขาเป็นเรื่องสนุกที่จะเติมเต็มจินตนาการเพ้อฝันปัญญาอ่อนได้เท่านั้นเอง
“หึ…ร้ายจริงๆ” ลิ้นของชายหนุ่มพลิกกลับไปพูดภาษาอังกฤษเบาๆ เพราะคิดดูถูกไปแล้วว่าเต็มเดือนคงฟังภาษาอังกฤษไม่ออกแน่ “ทำเป็นใสซื่อ จะได้ฉันเป็นผัวอยู่แล้วยังทำเป็นไม่รู้เรื่อง”
หรือไม่เธอก็รู้แก่ใจอยู่แล้ว แต่ก็ทำเป็นไม่รู้เสียมากกว่า
“เฮ้ย! ฉันเข้าใจที่คุณพูด ‘ทุกคำ’ นะ” จากทีแรกวางท่าเรียบร้อย พอได้ยินคำพูดคำจาลับหลัง (กึ่งๆ จะต่อหน้า) ของหนุ่มลูกเสี้ยวเข้าไป เต็มเดือนก็ชักจะเรียบร้อยไม่ลงเสียแล้ว เด็กสาวแว้ดกลับไปเป็นภาษาเดียวกันกับอีกฝ่าย ไม่ให้เสียเกียรติเด็กเอกภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยรัฐมีชื่อ
กลายเป็นชายหนุ่มต้องหน้าชาเมื่อถูกจับโป๊ะแตกได้ว่าตัวเองพูดจาไม่ดีใส่อีกฝ่าย หนำซ้ำยังดูถูกสติปัญญาด้านภาษาของเจ้าตัวอีก ถึงเด็กคนนี้จะไม่ได้สำเนียงอเมริกันเป๊ะเหมือนเจ้าของภาษา แต่ก็พูดคล่องและชัดถ้อยชัดคำดีทีเดียว
“ก็…ก็แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ พูดอึกๆ อักๆ อยู่ได้” เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ชายหนุ่มจึงไม่ลังเลที่จะใช้ภาษาที่เขาคุ้นชินมากกว่ามาพูดกับเธอ
“มันยาว จะฟังไหมล่ะคะ” เต็มเดือนตอบกลับอย่างฉะฉาน น้ำเสียง บุคลิกเริ่มไม่ได้เรียบร้อยเหมือนตอนอยู่ในห้องรับประทานอาหารเมื่อกี้แล้ว จนเอ็มมานูเอลชักตงิดในใจว่าตกลงเด็กนี่เสแสร้งสร้างภาพว่าเรียบร้อยมาตลอดเลยหรือเปล่า
“ฟังสิ เล่ามา เอาให้รู้เรื่องล่ะ” เอ็มมานูเอลถามอย่างต้องการจะลองภูมิเด็กที่บอกว่าฟังเขาพูดรู้เรื่องทุกคำอย่างกวนประสาท
“บ้านของเต็มมีปัญหาเรื่องเงินมาตลอด พวกหนี้บัตรเครดิตอะไรเทือกนั้นแหละค่ะ อาของเต็มช่วยใช้หนี้ให้บางส่วน เราเลยต้องใช้หนี้อามาหลายปีแล้ว พอดีกับที่ปู่เต็มเพิ่งเสีย แล้วโชคดีที่ปู่ทิ้งพินัยกรรมเอาไว้ให้ มรดกที่พ่อได้มาก็ตีค่าเป็นเงินพอที่จะเคลียร์หนี้ได้หมดแล้ว เต็มก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ว่าปู่ยังมีมรดกอีกอย่างเหลือเอาไว้ มันเป็นที่ดินผืนหนึ่งในเมือง ตอนนี้ราคาก็คงยิ่งเพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน ปู่ไม่ได้ยกที่ดินนี้ให้ลูกคนไหน แต่ปู่ระบุเอาไว้ชัดเจนว่ายกที่ดินผืนนี้ให้เต็มคนเดียว”
“หนี้ก็เคลียร์แล้ว แล้วยังต้องใช้จ่ายอะไรอีก หรือถ้าต้องใช้เงินจริงๆ ก็ขายที่ที่ว่านั่นสิ” ชายหนุ่มพอใจที่เด็กตรงหน้าสื่อสารกับเขาใช้ได้ทีเดียว แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าแม่คนนี้เอาความอยากแต่งงานไปปนกับเรื่องที่ดินได้อย่างไร
“เต็มไม่ได้โง่นะ แน่นอนสิว่าต้องขาย เต็มอยากขายใจจะขาดอยู่แล้ว แต่คนที่ต้องซื้อเขาไม่ยอมซื้อเสียที แล้วยังยื่นข้อเสนอพิเรนทร์ๆ มาให้เต็มทำอีก!” เด็กสาวเถียงอย่างมีน้ำโหที่โดนดูถูกอีกแล้วว่าโง่คิดอะไรง่ายๆ ไม่ได้
“ใคร?” ที่จริงเอ็มมานูเอลก็ไม่น่าถาม คนซื้อที่ว่าก็คงมีแค่คนเดียวที่เด็กคนนี้จะพูดถึงได้
“ตาของพี่เอ็มไงคะ!”
“นี่หนูน้อย บนโลกนี้มีคนเยอะแยะที่มีกำลังมากพอจะซื้อที่ดินสักผืนอยู่นะ ตาฉันไม่ซื้อก็ขายให้คนอื่นไปสิ!” ต้องให้เขาสอนอีกยายเด็กนี่!
“ไม่ได้ค่ะ เต็มต้องขายให้ปู่กันต์เท่านั้น ปู่ของเต็มสั่งเสียเอาไว้!”
“โอ้ พระเจ้า! อะไรนักหนาวะเนี่ย!” เอ็มมานูเอลเริ่มทนไม่ไหว จำต้องสบถออกมาอย่างแน่นอก!
“เรื่องของเรื่องก็คือ ที่ดินผืนนี้มันเคยเป็นของปู่กันต์มาก่อน ปู่กันต์ขายที่ดินผืนนี้ให้ปู่ของเต็มตอนที่ปู่ของเต็มจะไปขอย่าแต่งงาน เพราะครอบครัวของย่าดูถูกปู่เรื่องที่ปู่เป็นแค่ทหารจนๆ เลยเรียกร้องสินสอดเยอะๆ ปู่กันต์รู้ว่าปู่รักย่าของเต็มมากก็เลยช่วยขายที่ดินนี้ให้แบบถูกมากๆ ถูกอย่างน่าเกลียดเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนกัน แต่ปู่กับย่าก็เกรงใจ เก็บที่ดินเอาไว้ไม่เคยเอามาใช้หรือคิดขายต่อจนกระทั่งตัวเอง…จากไป ปู่ของเต็มตั้งใจว่าอย่างไรเสีย ก็ต้องเอาที่ดินผืนนั้นขายคืนให้ปู่กันต์ให้ได้ แต่พอเต็มจะขายคืนให้กลับกลายเป็นว่าปู่กันต์ไม่ยอมซื้อ แล้วก็บอกว่าเต็มต้องแต่งงานกับพี่เอ็มก่อนแกถึงจะยอมคิดเรื่องซื้อที่คืน เต็มจะทำอะไรได้นอกจากยอมๆ ตามใจปู่กันต์ไปก่อนล่ะคะ!”
“เหลวไหล! คนตายไปแล้ว เขาไม่มารับรู้อะไรแล้ว เธอจะขายให้ใครก็ขายไปเถอะน่า ปู่เธอไม่ลุกขึ้นจากหลุมมาหักคอเธอหรอก!”
“อย่าพูดถึงปู่เต็มแบบนั้นนะ! สัญญาก็คือสัญญา! ปู่อุตส่าห์ให้สมบัตินี้กับเต็มไว้เพราะปู่มั่นใจว่าเต็มจะรักษาคำพูด เต็มจะไม่ทรยศปู่ ต่อให้ปู่ไม่อยู่แล้วก็เถอะ!”
“อ้าว! แล้วเธอจะร้องไห้ทำไม!” ชายหนุ่มตกใจที่คนตรงหน้าดวงตาเริ่มวาวขึ้นมาเพราะหยาดน้ำ
“เต็มขอร้องล่ะพี่เอ็ม ช่วยทำตามแผนของเต็มได้ไหม มันไม่นานหรอก เต็มไม่ได้อยากรั้งพี่เอาไว้กับเต็มด้วยซ้ำ เต็มแค่ต้องการเงินเท่านั้นเอง”
“แผนอะไรของเธอ”
“แผนที่ว่าเราตกลงจะยอมตามน้ำไปกับปู่กันต์ ลองคบกันแล้วหมั้นกันไปก่อนไงคะ”
“ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ แล้วชีวิตฉันล่ะ!”
“พี่จะมองเต็มยังไงก็ได้ แต่เต็มต้องการขายที่จริงๆ เต็มอยากมีเงิน เต็มอยาก…ให้มันจบๆ เสียที”
“เธอไปติดพนันอะไรมาหรือไงถึงได้ร้อนเงินนัก อายุเท่าไหร่เอง ทำไมใช้เงินเกินตัวแบบนี้!”
“เต็มไม่ได้เป็นหนี้ แต่บางเรื่องมันก็จำเป็นต้องใช้เงิน!”
“ไม่เข้าใจ! เธอฟังภาษาคนรู้เรื่องไหมว่าฉันไม่เข้าใจว่าเธอจะอยากได้เงินอะไรนักหนา ไหนลองบอกเหตุผลมาสักข้อซิ เผื่อฉันจะคล้อยตามเธอบ้าง!”
“เต็มไม่สะดวกจะพูดค่ะ”
“งั้นฉันก็ไม่สะดวกจะแต่งงานกับเธอเหมือนกัน อีกอย่างนะสาวน้อย” เอ็มมานูเอลกวนกลับพลางย่อตัวลงมาให้สายตาของเขาและเต็มเดือนอยู่ในระดับเดียวกันโดยที่ชายหนุ่มเท้ามือทั้งสองข้างเอาไว้บนหัวเข่าของตัวเอง ปากบางสีแดงก่ำออกคล้ำนิดๆ คลี่ยิ้มร้ายกวนประสาทใส่น้องน้อยในวันวานที่เริ่มหาความน่ารักไม่เจอเสียแล้ว “เธออายุไม่ถึงยี่สิบ ถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาต เธอจะแต่งงานได้ไง หรือจะฉุดฉัน? อืม…แต่ว่าตัวแค่นี้น่ะ จะฉุดผู้ชายคงยากหน่อยนะ”
“เรื่องพ่อแม่น่ะไม่มีปัญหาหรอกค่ะ” ‘สาวน้อย’ กล่าวเสียงลอดไรฟัน ดูก็รู้ว่ากำลังพยายามข่มใจไม่ให้ตัวเองตบะแตกเผลอพลั้งมือไปฟาดปากชายหนุ่มเข้า ซึ่งคนจะโดนฟาดปากก็เลิกคิ้วดกหนาขึ้นอย่างไม่เข้าใจที่เต็มเดือนพูดนัก
“เต็มไม่ได้บอกว่าจะต้องแต่งเดี๋ยวนี้นี่ เอาไว้เต็มอายุยี่สิบแล้วเราค่อยมาว่ากันก็ได้ อีกอย่างแค่หมั้นกันไว้ก่อนเต็มก็พอใจแล้วล่ะค่ะ”
“ทำไม?” เอ็มมานูเอลถามเสียงเย็น
“พี่เอ็มไม่ได้จะอยู่ที่ไทยตลอดใช่ไหมล่ะ เต็มว่าเผลอๆ เราอาจจะไม่ต้องแต่งงานกันเลยก็ได้ แต่ถ้าเราทำเป็นยอมตามใจปู่กันต์ไปก่อน ปู่กันต์ก็จะรักษาสัญญาซื้อที่คืนไปแน่นอน ปู่กันต์รับปากแล้ว ที่ดินราคาแพงขนาดนั้นเต็มมีแต่ได้กับได้ ทำไมเต็มจะไม่ทำล่ะ”
เอ็มมานูเอลสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มถี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น ยิ่งคุยกันชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกว่าเขารับไม่ได้ ไม่ว่าจะพูดยังไงเด็กนี่ก็ไม่มีเหตุผลที่น่าคล้อยตามสักนิด ในหัวตอนนี้ก็มีแต่คำว่า ‘หิวเงิน’ ลอยละล่องไปหมด
ทำไมตาถึงอยากให้เขาแต่งงานกับเด็กที่หายใจเข้าหายใจออกก็เป็นเงินแบบนี้นะ ผู้หญิงหิวเงินแบบนี้น่ะเหรอที่ตาบอกว่าเป็นผู้หญิงดีๆ ที่อยากให้เขาได้รู้จัก
บ้าบอน่ะสิ!
ขืนบ้าจี้แต่งกันไป ยายเด็กนี่ก็ปอกลอกตาเขาหมดตัวพอดี!
ติดตามตอนต่อไปได้วันที่ 05 มิ.ย. 62
Comments
comments