บทที่4 บุหงาปูดะ
ฟองจันทร์กับฐานิตกำลังช่วยกันเรียงกล่องพัสดุบรรจุขนมที่ช่วยกันแพ็กเมื่อเย็นวานลงลังใหญ่ เตรียมเอาไปส่งไปรษณีย์ พอดีมีเสียงรถวิ่งเข้ามาในเขตบ้านสาวร่างท้วมเลยโผล่หน้าไปดูตรงหน้าต่าง แล้วก็ร้องลั่น
“ไอ้ฟอง คุณพอลมาโว้ย”
“หา!”
“มาทำไมไม่รู้ แกออกไปดิ๊” ฐานิตสั่ง
“อ้าว แล้วแกไม่ออกไปล่ะ ไหนบอกว่าแกพร้อมเต๊าะเอง” ฟองจันทร์วางมือจากกล่องพัสดุเตรียมออกไปต้อนรับแขกโดยดี แต่ก็อดหยอกเพื่อนไม่ได้…เมื่อคืนเธอเพิ่งคิดเองว่าไม่รู้จะได้เจอเขาอีกไหม ใครจะไปนึกว่าแค่ฟ้าสว่างเขาก็มาปรากฏตัวให้เจอแล้ว
“ถ้าฉันเจอเขาบนเครื่องบินแถมเมื่อวานเกือบโดนเขาขับรถชน ฉันก็จะออกไปเองอ่ะนะ อันนี้มันดูเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของแกมากกว่าไง”
สาวร่างเล็กส่ายหน้าไปมาเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูออกจากบ้าน พอดีกับที่ชายหนุ่มเดินจากรถมาใกล้ถึงเฉลียงหน้าบ้าน เธอเลยส่งเสียงทักทายไป
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับคุณฟอง ขอโทษที่มารบกวนแต่เช้า” ปาลส่งยิ้มตอบกลับไป “ผมจะมารบกวนถามเรื่องขนมบุหงาปูดะ* หน่อย”
“ขนมบุหงาปูดะ” ฟองจันทร์เลิกคิ้ว “ที่เมื่อวานคุณซื้อไปกินใช่ไหม ทำไมเหรอคะ”
“คือผมสนใจวิธีทำขนมนี้ เลยอยากรู้ว่าเป็นไปได้ไหมที่จะหาคนสอน” เมื่อคืนนี้พอกลับไปที่รีสอร์ตชายหนุ่มก็นั่งตรวจเอกสารของร้านอาหารที่สิงคโปร์ พออยู่ดึกเขาเลยแกะขนมกินและรู้สึกว่าอาจจะนำขนมบุหงาปูดะนี้มาดัดแปลงเป็นเมนูในร้านของเขาได้
“หมายถึงอยากเรียนทำขนมนี้เลยเหรอคะ” หญิงสาวยิ่งแปลกใจ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเป็นเชฟ “อืม ต้องลองถามบังหมัดดูแล้วล่ะค่ะแบบนี้ คุณรอสักแป๊บนะคะ เดี๋ยวฉันเข้าไปตามเขาให้”
“ขอบคุณครับ งั้นผมขอรอตรงนี้แล้วกัน” ปาลยิ้มรับก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งตรงเฉลียงบ้าน
ฟองจันทร์เดินกลับเข้าไปในบ้าน ยังไม่ทันเล่าให้ฐานิตฟังก็พอดีพิทักษ์กับฐิตานันท์เดินอุ้มลูกออกมา เธอเลยเล่าถึงจุดประสงค์การมาของเชฟหนุ่มให้ทุกคนฟังพร้อมกัน ทุกคนแปลกใจมากทีเดียว แล้วไกด์หนุ่มก็ทำท่านึก
“มันก็มีที่ที่เขาน่าจะเต็มใจให้ไปเรียนนะ เป็นกลุ่มแม่บ้าน เดี๋ยวต้องลองโทรไปดูก่อน”
พิทักษ์หยิบมือถือขึ้นมากด ขณะที่สาวร่างท้วมก้าวยาวๆ ไปยกลังที่เต็มไปด้วยกล่องไปรษณีย์ขึ้นมายัดใส่มือเพื่อนสนิท
“เอ้า เอาไปใส่รถที”
ฟองจันทร์รับลังมาแบบงงๆ หนำซ้ำเพื่อนยังยัดกุญแจรีโมตใส่ตรงซอกระหว่างมือเธอกับขอบลังด้วย แต่ยังไม่ทันพูดอะไรอีกฝ่ายก็ส่งรอยยิ้มหวานจ๋อยมาให้
“ฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บ เดี๋ยวตามออกไป”
สาวร่างเล็กมองหน้าเพื่อน ทว่าเมื่อฐานิตพูดแบบนั้นเธอจะว่ากระไรได้นอกจากเดินอุ้มลังออกจากบ้าน ดีที่อีกฝ่ายยังใจดีช่วยเปิดประตูให้
“นั่นคุณจะเอาลังไปไหนเหรอ” ปาลทัก จำได้ว่าลังที่เธออุ้มอยู่เป็นลังเดียวกับที่เขาช่วยเธอขนเข้าบ้านเมื่อวาน
“เอาไปเก็บที่รถค่ะ เดี๋ยวจะเอาไปส่งไปรษณีย์”
“งั้นให้ผมช่วยดีกว่านะ” ชายหนุ่มเสนอตัวและลุกขึ้นไปรับลังจากเธอ
“ขอบคุณมากนะคะ” ฟองจันทร์พึมพำ “เอ้อ เมื่อกี้ฉันบอกบังหมัดแล้ว เขากำลังโทรหากลุ่มแม่บ้านที่รู้จักกันให้อยู่ แต่น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
คราวนี้ปาลหันมาส่งยิ้มให้โดยไม่พูดอะไร และหญิงสาวก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาช่างเป็นคนที่ยิ้มแล้วดูใจดี ส่งเสริมความใจดีจริงๆ ของเขาเข้าไปใหญ่…เธอเดินตามร่างสูงไป พอใกล้ถึงรถก็กดรีโมตปลดล็อกและเปิดท้ายรถให้เขาวางลัง
“ปกติขายดีแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” ปาลชวนคุยหลังจากจัดลังให้เข้าที่เรียบร้อยแล้ว
“เพิ่งไม่นานนี้แหละค่ะ พี่นันท์เปิดเพจทำตลาดอยู่พักนึงเหมือนกัน…เท่าที่ฉันรู้ก่อนหน้านี้มีพวกกลุ่มแม่บ้านหรือร้านขนมที่เปิดขายออนไลน์อยู่ก่อนแล้ว พี่นันท์เป็นคนต่างถิ่นแต่งงานมาก็ไม่รู้จะทำอะไร พอดีมีประสบการณ์เรื่องขายของออนไลน์มาบ้างเลยรับขนมมาขาย”
“บุหงาปูดะนี่เป็นขนมที่มีเฉพาะที่สตูลใช่ไหมครับ ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“น่าจะอย่างนั้นนะคะ แต่ฉันว่ามันคล้ายเกสรลำเจียก”
“ก็จริง” ปาลเห็นพ้อง “เมื่อคืนผมลองเสิร์ชดูในอินเตอร์เน็ต มันพอมีวิธีทำบอกเหมือนกัน แต่ไหนๆ ก็อยู่สตูลแล้วผมเลยอยากเรียนกับต้นตำรับโดยตรงมากกว่า”
ฟองจันทร์พยักหน้าเข้าใจ เธอมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“คุณตั้งใจจะเอาบุหงาปูดะไปทำขายในร้านอาหารของคุณเหรอคะ”
“ไม่เชิงครับ คือผมคิดว่าอาจจะเอาไปดัดแปลงทำอาหารหรือขนมใหม่ๆ ได้น่ะ”
“อ๋อ” หญิงสาวทำท่ารับรู้ ขณะเดียวกันก็ประเมินคนตรงหน้าใหม่ เพราะดูท่าทางเขาจะไม่ใช่เชฟจำพวกที่ทำอาหารตามสูตรไปวันๆ แต่เป็นเชฟแบบที่เธอมักเห็นคิดค้นดัดแปลงเมนูใหม่ๆ ในรายการแข่งทำอาหาร ต้องใช้ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์มากทีเดียว
คุณพอลเป็นคนที่น่าจับมานั่งสัมภาษณ์จริงๆ นั่นแหละ
“คุณพอล” พิทักษ์เดินออกมาร้องเรียก “ผมติดต่อกลุ่มแม่บ้านให้แล้ว เขาบอกวันนี้มีทำบุหงาปูดะพอดี ถ้าคุณสะดวกก็ไปได้เลย”
“เดี๋ยวผมไปเลยครับ” ปาลพูดทันที
“งั้นเดี๋ยวผมเอาที่อยู่กับเบอร์โทรของกลุ่มแม่บ้านให้คุณ” หนุ่มใต้ก้มลงกดโทรศัพท์มือถือ
“แกไปกับคุณพอลดิ” ฐานิตที่เดินตามพี่เขยมาติดๆ พยักพเยิด พอเห็นสาวร่างเล็กหันขวับมาเธอก็ขยายความ “คุณพอลเขาไม่คุ้นกับที่ทางแถวนี้ อย่างน้อยฉันก็เคยพาแกตระเวนไปนู่นมานี่เยอะอยู่ อีกอย่างที่กลุ่มแม่บ้านก็มีแต่ผู้หญิง อย่างน้อยถ้ามีแกไปด้วยทางนั้นก็น่าจะสะดวกใจกว่า แล้วเผื่อแกจะได้ข้อมูลดีๆ มาเขียนบทความด้วย เมื่อคืนแกก็บ่นๆ อยู่นี่ว่าต้องหาข้อมูลเพิ่ม”
ฟองจันทร์ทราบถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเพื่อนดี ทว่าจะปฏิเสธก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเหตุผลของอีกฝ่ายก็พอจะมีน้ำหนักอยู่เหมือนกัน ถึงแม้เมื่อคืนเธอจะไม่ได้พูดว่าอยากหาข้อมูลเรื่องอะไรก็เถอะ
“อ้อ เมื่อวานคุณบอกว่าเป็นนักเขียนกับบล็อกเกอร์นี่” ปาลนึกขึ้นได้ “ถ้าคุณจะหาข้อมูลทำงานก็ไปด้วยกันได้นะคุณฟอง”
“งั้นก็ตกลงตามนี้” ฐานิตสรุปโดยไม่รอช้า “เดี๋ยวฉันไปส่งของเองคนเดียวสบายมาก…ฝากฟองด้วยนะคะคุณพอล”
“โอเคครับ ผมพาคุณฟองมาส่งบ้านอย่างปลอดภัยแน่นอน” ชายหนุ่มรับคำทั้งรอยยิ้ม
นี่เราตกลงไปตอนไหนเนี่ย ฟองจันทร์เกือบยกมือขึ้นเกาหัวแต่ก็ยั้งไว้ทันและเปลี่ยนเป็นลอบกลอกตาใส่เพื่อนสนิทแทน…แถมปาลก็ดันเข้ากับฐานิตเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างนึกไม่ถึงเสียอีก แต่เอาเถอะ ว่าไงก็ว่าตามกันแล้วกัน
สมาชิกกลุ่มแม่บ้านที่พิทักษ์ติดต่อให้ใจดีมาก พวกเธอบอกสูตรและสอนวิธีทำบุหงาปูดะแบบไม่มีกั๊ก รวมถึงให้ปาลได้ทดลองทำด้วย ตอนที่ไปถึงพวกกลุ่มแม่บ้านกำลังเริ่มทำไส้ขนมพอดี ฟองจันทร์เลยรับหน้าที่ขับรถไปหาซื้อวัตถุดิบจำเป็นมาให้ชายหนุ่มเพื่อจะได้ไม่เป็นการรบกวนกลุ่มแม่บ้าน
การทำขนมบุหงาปูดะต้องใช้ความอดทนไม่น้อย ทำให้เป็นนั้นไม่ยาก แต่ทำให้สวยสมบูรณ์นั้นไม่ง่าย สมกับที่สมาชิกคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนขนมชนิดนี้ถูกใช้เป็นบททดสอบในการคัดเลือกสะใภ้เนื่องจากการจะทำบุหงาปูดะได้ต้องเป็นคนที่ใจเย็นและมีสติ
สมาชิกกลุ่มแม่บ้านให้สองหนุ่มสาวยืมสถานที่เพื่อหัดทำขนมต่อ ฟองจันทร์ลองหัดทำขนมด้วยบ้าง แต่หลังๆ เธอนั่งมองเขาทำมากกว่า ปัญหาในการทำบุหงาปูดะก็คือพับแป้งห่อไส้ให้เป็นรูปหมอนสี่เหลี่ยมแล้วแป้งหนาไปบ้าง รูปทรงไม่สวยบ้าง ต้องอาศัยการฝึกฝนจนชำนาญ…หญิงสาวรู้สึกนับถือความมุ่งมั่นอดทนของปาลมากทีเดียว เนื่องจากพอคิดว่าเป็นตัวเองแล้วเธอก็คงถอดใจไปตั้งแต่เที่ยง ทว่านี่เขาก้มหน้าก้มตาทำอย่างตั้งใจตั้งแต่เช้าจนฟ้าเกือบมืดแล้ว และสำหรับเธอคนที่มีความมุ่งมั่นนั้นดูมีเสน่ห์เสมอ
ฟองจันทร์นั่งดูชายหนุ่มเพลิน จนกระทั่งสังเกตว่าสมาชิกกลุ่มแม่บ้านซึ่งช่วยกันแพ็กขนมเริ่มทยอยกลับ แดดก็ราแสง เธอเลยกระซิบบอกเขา
“คุณ วันนี้เราพอแค่นี้ก่อนดีกว่าไหม”
ปาลเงยหน้าขึ้นมองรอบตัว เพิ่งตระหนักว่าเวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงเย็นแล้ว เขาเลยหันกลับไปพยักหน้าให้เธอ
“อืม ขอบคุณที่เตือน”
“งั้นเดี๋ยวฉันช่วยเก็บทำความสะอาดนะ” หญิงสาวฉีกยิ้มให้เขาแล้วเริ่มต้นเก็บข้าวของและทำความสะอาดในส่วนที่ทำได้ทันที
ชายหนุ่มมองคนตัวเล็กที่ขยับเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เธอยังคงดูสดใสและมีพลังงานล้นเหลือแม้จะวุ่นวายกับเขามาทั้งวันแล้ว วันนี้เขาได้เธอช่วยเอาไว้เยอะจริงๆ เนื่องจากเธอเป็นธุระจัดการเรื่องจิปาถะให้เขาทุกอย่างประหนึ่งเลขานุการ ซึ่งอันที่จริงฟองจันทร์ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาก็ได้ แต่นอกจากเธอจะทำให้แล้วยังทำได้ดีด้วย
ช่วงเช้าปาลเห็นหญิงสาวชวนใครต่อใครคุยไปเรื่อย เข้าใจว่าน่าจะเก็บข้อมูลเอาไปเขียนงาน วิธีการชวนคุยของเธอสนุกและเป็นมิตร ไม่แปลกเลยที่ใครต่อใครจะเอ็นดูเธอกันจนเผื่อแผ่มาถึงเขาด้วย ปกติเวลาเขาตั้งใจทำอะไรสักอย่างจะไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบตัว แต่วันนี้เขารับรู้ถึงบรรยากาศสดใสในห้องได้ตลอด ตอนออกไปซื้อของให้เขาเธอยังซื้อเครื่องดื่มกับขนมเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกลุ่มแม่บ้านเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจอีกต่างหาก แล้วเธอก็มาวนเวียนดูเขาทำขนมเป็นระยะ คอยให้กำลังใจเมื่อเห็นว่าเขาทำได้ดีกว่าเดิม และพอเขาทำขนมได้สวยเข้าที่เข้าทางเธอก็ตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก
นี่อาจเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่มีคนมาให้กำลังใจเขาตอนพยายามทำอาหารสักจานในทุกขั้นตอนแบบนี้เขารักการทำอาหารก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ออกจากบ้านมาการทำอาหารสำหรับเขาคือการต่อสู้ การแข่งขัน และการดิ้นรนด้วย การให้กำลังใจกันระหว่างเพื่อนฝูงนั้นมีทว่าก็ไม่ใช่ในลักษณะที่ฟองจันทร์ทำในวันนี้ กระทั่งแฟนเก่าของเขาปกติก็มีแค่มาชื่นชมตอนเขาทำสำเร็จเท่านั้น
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ปาลรู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวหญิงสาวที่น่าสนใจ นอกจากความสดใสแล้วเขายังรู้สึกว่าเธอจริงใจ มันแทบจะเป็นรังสีที่แผ่ออกมาจากร่างเล็กเลยทีเดียว ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอใส่ใจ คุณสมบัตินี้ไม่โจ่งแจ้งทว่าเด่นชัดอยู่ในการกระทำเล็กๆ น้อยๆ และมันก็น่าประทับใจ
“คุณพอล เดี๋ยวขากลับฉันขับรถให้ไหม วันนี้คุณเหนื่อยทั้งวันแล้ว” ฟองจันทร์เสนอขณะที่ก้มหน้าก้มตารวบรวมภาชนะที่ต้องล้างทำความสะอาด
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มส่งยิ้มไปให้เธอ…มันเป็นอะไรแบบนี้แหละที่ทำให้เขารู้สึกว่าเธอแตกต่างและคิดว่าเธอน่าทำความรู้จักด้วย “เย็นนี้ให้ผมเลี้ยงข้าวคุณได้ไหม”
“เลี้ยงข้าว?” เธอเลิกคิ้วตอบกลับมา
“วันนี้คุณช่วยผมทั้งวันเลย ผมอยากตอบแทนคุณบ้าง” ปาลบอกแล้วฉวยโอกาสถามต่อเป็นการสรุปเองโดยไม่รอคำตอบของเธอ “คุณมีร้านแนะนำบ้างไหม เอาร้านที่คุณยังไม่เคยกินแต่อยากลองก็ได้นะ”
“อืม…คุณได้ลองพวกโรตีชาชักแถวนี้บ้างหรือยังคะ นิตบอกว่าแต่ละร้านก็เด่นต่างกัน เห็นว่าค่ำๆ คนแถวนี้เขาก็ไปนั่งกินโรตีกันนะ ร้านที่ฉันเคยไปลองกินมีพวกส้มตำขายด้วย แต่ไม่รู้ว่าร้านอื่นจะมีอาหารให้กินเป็นเรื่องเป็นราวหรือเปล่า”
“ลองไปดูก่อนก็ได้…แต่ผมเดาว่าคุณกินโรตีแทนข้าวได้ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“ก็ประมาณนั้น” หญิงสาวหัวเราะแหะๆ “ยังไงมันก็เป็นแป้งนี่คะ ก็เหมือนขนมปังหรือข้าวน่ะแหละ”
“นั่นสิ” ปาลทำท่าเห็นด้วย “ผมก็กินโรตีแทนข้าวได้นะ ไม่มีปัญหา”
ฟองจันทร์ทำหน้าเหมือนแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะเสียงใส ดวงตายิบหยี
“งั้นฉันว่าเราก็น่าจะพออยู่ด้วยกันได้นะ”
ปาลมองรอยยิ้มของเธอแล้วมุมปากก็ยกตัวตามอัตโนมัติ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะยิ้มตามเมื่อได้เห็นรอยยิ้มสดใสนี้…ตัวเขาอยู่ที่สิงคโปร์ แต่ก็เคยได้ยินวลี ‘แจกความสดใส’ มาบ้าง และถ้าจะมีใครที่เหมาะกับวลีนี้ก็เห็นจะเป็นเธอนี่แหละ
“ดูจากแผ่นนี้แล้ว ถ้าจะลองกินให้ครบทุกเมนูคงต้องกินโรตีทุกวันอย่างน้อยวันละมื้อนะ”
ปาลนั่งอ่านเมนูบนกระดาษเอสี่เคลือบพลาสติก ครึ่งหนึ่งของหน้าเป็นเมนูโรตีล้วนๆ ส่วนอีกครึ่งเป็นเมนูของว่างและอาหารง่ายๆ จำพวกมาม่า ส่วนด้านหลังเป็นเมนูเครื่องดื่ม
ปกติชายหนุ่มถนัดอาหารคาวมากกว่าของหวาน ก่อนหน้านี้เขาจึงพุ่งเป้าไปที่การลองกินอาหารคาวเป็นหลัก แต่ก็ตั้งใจว่าจะลองโรตีชาชักสักครั้ง เขาไม่นึกว่าโรตีจะถูกดัดแปลงจนมีเมนูหลากหลายขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหาเวลาลองโรตีให้เร็วกว่านี้ เผื่อจะได้มีโอกาสกินเมนูแปลกๆ ที่น่าสนใจให้ครบ
ฟองจันทร์เสนอว่าให้ลองสั่งโรตีธรรมดามาจานหนึ่ง เพราะโรตีแต่ละร้านมีลักษณะเฉพาะต่างกัน โรตีธรรมดาน่าจะแสดงเอกลักษณ์ได้ดีที่สุด นอกนั้นเธออยากกินโรตีมะตะบะปลาสมุนไพรกับโรตีภูเขาไฟลาวา เขาก็ตามใจเธอและสั่งของกินเล่นมากินเพิ่มสองสามอย่าง
“ฉันว่าเผลอๆ ต่อให้กินวันละมื้อก็อาจจะยังลองได้ไม่ครบเลย แต่ดีอย่างตรงถ้าไม่ได้มากินคนเดียวก็สั่งหลายเมนูแล้วเอามาแบ่งๆ กันได้” ฟองจันทร์หันไปมองหนุ่มใหญ่ที่หลังเคาน์เตอร์ชักชาอย่างคล่องแคล่ว “ฉันเห็นคนทำชาชักทีไรก็นึกถึงพวกการแสดงน้ำพุทุกทีเลย ที่มันเป็นเส้นน้ำสะบัดไปมาน่ะค่ะ สวยดี”
“อืม ก็จริงนะ ผมไม่เคยคิดเลยจนคุณพูดนี่แหละ”
“วันนี้เหนื่อยไหมคะ” จู่ๆ ฟองจันทร์ก็หันกลับไปหาเขาแล้วถาม “หรือว่าเป็นวันธรรมดาๆ ของเชฟ…คือตอนทำไส้ขนมนี่หนักมากนะ วางมือไม่ได้เลย ขนาดฉันช่วยพักเดียวยังล้า แล้วไหนจะตอนห่อแป้งเป็นหมอนอีก คุณฝึกทำต่อเนื่องตั้งหลายชั่วโมง”
“แล้วแต่ว่าเทียบกับช่วงไหนครับ ถ้าพูดถึงตอนผมเด็กกว่านี้ ยังต้องดิ้นรน อันนี้ถือว่าเบา เพราะผมเคยตื่นมาเข้างานตั้งแต่ตีสี่เลิกงานเที่ยงคืน แทบไม่มีวันหยุดเลยด้วย” ชายหนุ่มเล่าเสียงเรียบเรื่อย “เดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นคนคุมงานมากกว่าแล้ว แต่วันนี้ก็ไม่ถือว่าหนักหนานะ”
“สุดยอดเลย” ดวงตาของสาวร่างเล็กเปล่งประกายชื่นชม “ฉันว่าคุณเท่มากเลยอ่ะ นี่ถ้าเป็นฉันคงท้อแล้วก็ถอดใจ แต่ถึงไม่ถอดใจก็คงเลิกไปก่อนแล้วค่อยมาทำใหม่ ฉันจะจำคุณไว้เป็นไอดอล”
ปาลฟังแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ปกติก็มีคนชมเขาบ่อยด้วยเรื่องต่างๆ กัน แต่ไม่ค่อยมีใครชมเรื่องนี้เท่าไหร่ และพอเป็นเธอชมแล้วเขาก็รู้สึกว่าเธอชื่นชมเขาจริงๆ ไม่ได้แค่พูดตามมารยาทด้วย
“ผมต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะที่วันนี้อุตส่าห์อดทนอยู่กับผมทั้งวัน ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องที่คุณสนใจเลย”
“ฉันก็ได้เรื่องเอาไปเขียนไงคะ” ฟองจันทร์ส่ายหน้าน้อยๆ “วันนี้ฉันได้รับเกียรติให้ได้กินบุหงาปูดะฝีมือคุณเป็นคนแรก อีกอย่างถ้าคุณเอาบุหงาปูดะไปดัดแปลงเป็นเมนูใหม่ได้จริง ฉันก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเล็กๆ นี้ของคุณด้วยไง ดีจะตาย”
“ผมตั้งใจว่าจะลองทำเมนูที่คิดไว้ในสองสามวันนี้แหละ และผมจะให้คุณชิมคนแรกเลย” ดวงตาคมราแสง รู้สึกเอ็นดูเธออย่างช่วยไม่ได้
“คุณจะไปลองทำที่ไหนคะ” หญิงสาวเลิกคิ้ว
“ที่ผมมาสตูลเพราะจะมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ แถวนี้ พรุ่งนี้เครื่องครัวจะมาลง” ปาลให้ข้อมูลเพิ่มเติม
“เปิดร้านอาหาร?” ฟองจันทร์ตาโต “หมายถึงคุณจะย้ายจากสิงคโปร์มาอยู่สตูลเหรอคะ คุณไม่ใช่คนที่นี่ไม่ใช่เหรอ”
“ผมมาเปิดร้านตามคำชวนของเพื่อนน่ะ แต่มันเป็นร้านแปลกๆ หน่อยนะ ผมไม่ได้จะมาอยู่ที่นี่ตลอด แค่บางช่วงของปีเท่านั้น หลักๆ ผมก็ยังอยู่ที่สิงคโปร์นั่นแหละ” ชายหนุ่มอธิบาย “ร้านอาหารของผมอยู่ในโรงแรมที่กำลังจะเปิดใหม่ คุณขับรถผ่านน่าจะเคยเห็น”
“โรงแรมห้าดาวนั่นเหรอคะ”
“อืม…คุณอยากไปดูไหมล่ะ ตอนนี้โรงแรมยังไม่เปิดแต่ผมพาเข้าไปได้นะ” ปาลลองถามดู ถึงจะเพิ่งรู้จักกันไม่นานแต่ก็สังเกตได้ไม่ยากว่าคนตรงหน้าค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น แถมเธอยังมีอาชีพเป็นนักเขียนด้วย การได้เห็นอะไรที่ยังไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าถึงน่าจะดึงดูดความสนใจเธอไม่น้อย
“ได้เหรอคะ”
“ได้สิ ถ้าคุณสัญญากับผมว่าจะไม่ไปวุ่นวายกับการก่อสร้างและไม่เอารูปในส่วนของโรงแรมไปลงอวดใครก่อน แต่ถ้าเป็นส่วนของร้านอาหารผมก็ไม่มีปัญหาอะไร” ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเองที่เดาถูก “งั้นพรุ่งนี้เช้าผมไปรับดีไหม”
ทีแรกฟองจันทร์ยังลังเลอยู่บ้าง แต่เธอก็อยากจะเห็นข้างในโรงแรมที่ว่าอยู่เหมือนกัน เนื่องจากมันคงจะสร้างเสร็จหลังเธอกลับไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเธอสนใจร้านอาหาร ‘แปลกๆ’ ของเขาด้วย เพราะยิ่งฟังเธอก็ยิ่งคิดว่าเขาไม่น่าจะไม่ใช่เชฟธรรมดาทั่วไปจริงๆ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้ารับในที่สุด
“ก็ได้ค่ะ”
“ผมยังไม่มีเบอร์คุณเลย…อืม เอาเป็นว่าผมขอไอดีแชตคุณไว้แทนแล้วกัน เพราะเบอร์ในไทยผมใช้แค่ชั่วคราว” ปาลดึงมือถือขึ้นมาปลดล็อกและกดเข้าแอพพลิเคชั่นแชตก่อนจะยื่นมันให้เธอ
หญิงสาวพิมพ์ไอดีแชตของตัวเองแล้วส่งโทรศัพท์คืนเขา พอเขากดเพิ่มเพื่อนโทรศัพท์ในกระเป๋าใบเล็กที่วางอยู่บนตักของเธอก็ส่งเสียงร้องเตือนพอให้ได้ยินแว่วๆ แต่เธอก็ไม่ได้หยิบมันออกมาดูในทันทีเพียงนั่งมองคนที่ก้มหน้าก้มตากับมือถือของตัวเองเงียบๆ…เมื่อคืนก่อนเธอยังคิดว่าอาจไม่ได้พบเขาอีกก็ได้ ทว่าวันนี้จู่ๆ เขาก็โผล่ไปที่บ้านพักแต่เช้า พอตกเย็นก็เหมือนจะเป็นเพื่อนกันไปแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่า” เขาเงยหน้าขึ้นมาเจอสายตาของเธอเลยออกปากถาม
“เราเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหมคะ…คือฉันถามเพื่อความแน่ใจน่ะ เพราะฉันชอบเหมาว่าใครต่อใครเป็นเพื่อนไปทั่ว แล้วบางทีอีกฝ่ายก็ไม่ได้คิดเหมือนกัน” หญิงสาวขยายความ “ถ้าคุณเห็นฉันเป็นแค่คนรู้จักก็บอกได้เลยนะคะฉันจะได้ทำตัวถูก ไม่เข้าไปวุ่นวายกับคุณมากเกินไป”
“เราเป็นเพื่อนกันแล้วครับ” ปาลอดขันกับคำถามของเธอไม่ได้ มันไม่ใช่คำถามที่จะพบเจอได้บ่อยๆ
“ขอบคุณนะคะ” ฟองจันทร์ฉีกยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ เพราะตอนเจอกันครั้งแรกถึงเขาจะใจดีกับเธอแต่ก็ไม่ได้มีทีท่าจะผูกมิตรจริงจังเหมือนกัน เธอเลยไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพวกนับคนเป็นเพื่อนง่ายแบบเธอไหม
“ขอบคุณผมทำไม ผมสิน่าจะต้องขอบคุณคุณมากกว่า เกือบจะขับรถชนคุณแท้ๆ คุณยังอุตส่าห์รับผมเป็นเพื่อน”
“อุตส่าห์ที่ไหน คุณน่าเป็นเพื่อนด้วยออก” หญิงสาวทำตาโต “อีกอย่างเรื่องรถชนคุณก็ไม่ได้ตั้งใจด้วย คุณยังคิดมากอยู่อีกเหรอ ห้ามคิดมากแล้วนะ”
“ครับ” ปาลรับคำทั้งรอยยิ้ม สีหน้าท่าทางจริงจังตอนสั่งห้ามไม่ให้เขาคิดมากฉุดให้เขานึกเอ็นดูเธอขึ้นมาอีกแล้ว
ชาชักและโรตีถูกยกมาเสิร์ฟ ฟองจันทร์ขอถ่ายรูปเพื่อเอาไปประกอบบทความก่อน ซึ่งเขาก็ช่วยจัดจานให้ด้วย แต่ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ค้นพบว่าเขาถ่ายรูปอาหารเก่งกว่าเธอเสียอีก สุดท้ายเธอเลยขอให้เขาช่วยถ่ายให้เสียเลย
“ผมเรียนรู้มาจากพวกมืออาชีพตอนถ่ายรูปทำเมนูอาหารน่ะ ทำหลายๆ รอบเข้าก็ซึมซับไปเอง” เชฟหนุ่มอธิบายขณะบิดตัวเพื่อหามุมถ่ายภาพโรตีให้เธอ
“ฉันก็ไปสอดส่องพวกช่างภาพถ่ายรูปบ่อยๆ นะ ทำไมไม่ซึมซับมาบ้างก็ไม่รู้” เจ้าของร่างเล็กบ่นพึมพำ
“เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา และผมทำงานมานานกว่าคุณ” ปาลชี้ให้เห็นความจริง “ผมเชื่อว่าคุณจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ นะ”
“สาธุ” หญิงสาวพนมมือท่าทางจริงจังจนเขาหัวเราะเบาๆ
ฟองจันทร์ก้มลงชะเง้อมองภาพจากเลนส์กล้องผ่านหน้าจอโทรศัพท์ในมือใหญ่ พอเริ่มเมื่อยเธอเลยเปลี่ยนท่าจากเป็นยืดตัวยืนตรง ขาของเธอดันเก้าอี้แบบไม่มีพนักเลื่อนไปด้านหลังจนเกิดเสียงดังครืด โชคร้ายมันเป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กเสิร์ฟคนหนึ่งถือถาดที่มีชามมาม่าสองถ้วยเดินมาพอดี และขาของอีกฝ่ายก็ชนเข้ากับขอบเก้าอี้ ถาดในมือเอียงวูบ มาม่าชามหนึ่งไหลมาชนขอบถาดแล้วพลิกคว่ำตกลงมา ของเหลวร้อนๆ ส่วนหนึ่งราดลงตรงศอกของหญิงสาวที่ยื่นมาด้านหลัง เธอร้องลั่นแล้วชักศอกหนีทันที แต่จะหลบฉากก็ไปไหนไม่ได้ไกลเพราะติดเก้าอี้ที่วางเรียงชิดกันตามประสาร้านซึ่งไม่ได้มีพื้นที่มากนัก พอชามคว่ำตกลงบนเก้าอี้ทั้งมาม่าและของเหลวในชามจึงไหลมาหาท่อนขาเรียวอีกต่อ
ปาลหันขวับไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง เขาปล่อยมือถือลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็วและแทบจะปีนข้ามโต๊ะไปหาเธอ มือฉวยขวดน้ำเปล่า ขณะที่ปากรีบร้องห้ามเมื่อเห็นเธอยกมือขึ้นทำท่าจะแตะต้องบริเวณที่โดนของร้อน
“อย่าถู!”
ฟองจันทร์สะดุ้ง เธอหันไปมองเขา แค่กะพริบตาทีเดียวร่างสูงก็มาถึงตัวแล้วและจัดการใช้น้ำจากขวดราดบริเวณศอกของเธอ จากนั้นก็คุกเข่าลงไปดูท่อนขาที่โผล่พ้นกระโปรงที่ยาวคลุมเข่าแล้วใช้น้ำราดอีกจุดอย่างรวดเร็ว
“โดนตรงไหนอีกไหม”
“ไม่มีแล้วค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า
“เป็นไรมากไหม” เจ้าของร้านเดินอ้อมเคาน์เตอร์ออกมาถาม สีหน้ากังวล
“ไม่มีแผล แต่ยังไงขอน้ำแข็งสักก้อนสองก้อนแล้วกันครับ” ปาลหันไปตอบแทน อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วเดินกลับไปที่หลังเคาน์เตอร์ ขณะที่ฟองจันทร์หันไปหาเด็กเสิร์ฟที่ดูลนลาน
“ขอโทษครับพี่”
“ขอโทษเหมือนกันนะ เมื่อกี้พี่ไม่ทันระวัง” เธอส่งยิ้มไปปลอบ “เอาอาหารไปเสิร์ฟก่อนแล้วเดี๋ยวช่วยทำความสะอาดให้ทีนะ”
เด็กหนุ่มพยักหน้า ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีอาหารต้องเสิร์ฟ พออีกฝ่ายถือถาดอาหารไปทางหน้าร้านแล้วปาลก็พยักพเยิด
“คุณไปนั่งฝั่งนู้นกับผมก่อนแล้วกัน”
ฟองจันทร์พยักหน้ารับแล้วตามไปโดยดี พอนั่งปุ๊บเจ้าของร้านก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำแข็งเปล่า ชายหนุ่มเป็นคนเอื้อมไปรับมาและเอ่ยขอบคุณ จากนั้นเขาก็เอาแก้ววางตรงหน้าเธอ
“เอาน้ำแข็งประคบสักหน่อยครับ จะได้หายปวดแสบปวดร้อน”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวทำตามโดยดีเช่นเคย “จริงๆ ฉันก็เคยโดนน้ำร้อนมาก่อนนะ แต่เมื่อกี้ตกใจจนลืมไปเลยว่าควรเอาน้ำเย็นล้าง”
“ผมทำงานในครัว เจออะไรแบบนี้จนชิน” ปาลหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้ง “ผมถ่ายภาพให้คุณครบทุกจานแล้วล่ะ เดี๋ยวคุณลองเช็กดูก่อนแล้วกัน”
“เท่าที่เห็นฉันว่าโอเคแหละค่ะ คุณกินเลยเถอะ” ฟองจันทร์บอกเพราะเห็นว่าเขาเสียเวลาวุ่นวายกับเธอมามากแล้ว จากนั้นเธอก็ส่งยิ้มให้เด็กเสิร์ฟคนเดิมที่มาทำความสะอาดตรงอีกฝั่งของโต๊ะ
ชายหนุ่มสังเกตท่าทีของเธอเงียบๆ พร้อมกับจิ้มเอ็นข้อไก่ทอดเข้าปาก จนกระทั่งเด็กเสิร์ฟผละไปแล้วเธอจึงถอนหายใจ
“ชามเมลามีนไม่แตก แต่ไม่รู้ว่าน้องเขาต้องรับผิดชอบค่ามาม่าชามนั้นหรือเปล่า…ฉันเคยทำงานพิเศษเป็นเด็กเสิร์ฟ งานก็เหนื่อยอยู่แล้ว บางวันซุ่มซ่ามทำนู่นนี่เสียหายก็ต้องเอาเงินค่าแรงมาจ่ายชดใช้ แทบจะเหมือนทำงานฟรี มันแย่มากเลยนะ”
“เราให้ทิปเขาก็ได้นี่” ปาลเปรย พอเธอหันมาเขาก็ส่งยิ้มให้ “ผมเองก็ทำงานในครัวมาจากระดับล่างสุด เข้าใจที่คุณพูดดีเลยล่ะ”
ฟองจันทร์ฉีกยิ้มตอบกลับไป สบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอ
ว่าแต่…คนเราจะซวยได้ถึงขนาดไหนเนี่ย เมื่อวานเกือบโดนรถชน วันนี้โดนน้ำมาม่าร้อนๆ ลวก พรุ่งนี้ไปเที่ยวโรงแรมที่ยังสร้างไม่เสร็จหวังว่าคงไม่โดนอะไรตกใส่หัวนะ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.