X
    Categories: LOVEขอชิมสักคำ... ได้ไหมคนดี ชุด ขอได้ไหมทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ขอชิมสักคำ… ได้ไหมคนดี ชุด ขอได้ไหม บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 3 กรรมลิขิตหรือพรหมลิขิต

ปาลบังคับรถเอสยูวีที่เช่ามาไปตามถนนที่ค่อนข้างว่างแบบเรื่อยๆ วันนี้เขาขับรถไปเที่ยวในอำเภอเมือง ตระเวนดูนู่นดูนี่และแวะกินอาหารตามร้านต่างๆ แบบไม่รีบร้อน จนบ่ายแก่เขาจึงบ่ายหน้ากลับรีสอร์ต…ช่วงที่ไปอยู่สิงคโปร์เขาไม่ได้ขับรถเลย ด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่นั่นสะดวกสบาย แถมการมีรถหนึ่งคันก็สิ้นเปลืองมากด้วย พอกลับมาขับรถอีกหนจึงรู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน ทว่าพอได้ลองขับสักพักก็เข้าที่เข้าทาง แต่ถ้าให้ไปขับในกรุงเทพฯ ที่รถเยอะๆ เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะรอดไหม

ชายหนุ่มชะลอรถเพื่อรอเลี้ยวเข้ารีสอร์ต หลังจากรอจนรถกระบะวิ่งพ้นไปแล้วเขาก็พารถเลี้ยวตัดข้ามถนนไป แต่จู่ๆ ก็มีจักรยานคันหนึ่งโผล่มาจากด้านหลังต้นไม้ที่ปลูกประดับอยู่ข้างทางเข้าออกรีสอร์ต เขายังทันเห็นผู้หญิงบนจักรยานหันขวับมาหน้าตาตื่นด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะเบรกอย่างแรง รถหยุดกึก แต่จักรยานก็ยังล้มไปต่อหน้าต่อตา เขากะพริบตา สมองส่งข้อความมาให้คลายใจว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีการชนเกิดขึ้น แล้ววินาทีถัดมาเขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยและเปิดประตูลงจากรถ

“คุณเป็นยังไงบ้าง เมื่อกี้ไม่ได้โดนชนใช่ไหม”

“ไม่ชนค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ใบหน้าก็ยังบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ ขณะเดียวกันเธอก็ก้มสำรวจเนื้อตัวไปด้วย

“อ้าว คุณ…ที่เราเจอกันบนเครื่องบิน” เปียเดี่ยวยาวสีน้ำตาลคาราเมลทำให้ปาลจดจำอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว

ฟองจันทร์เงยหน้าขึ้นทันที แล้วดวงตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อได้เห็นหน้าคนที่เกือบจะขับรถชนเธอเต็มตา

“คุณมีแผล…” ปาลสังเกตเห็นเลือดที่ซึมออกมาจากท่อนขาส่วนที่พ้นกางเกงยีนห้าส่วนของเธอ รวมถึงรอยแดงเป็นปื้นบนท่อนแขนด้วย “ไปโรงพยาบาลไหม”

“หา” เธอมองคนถามงงๆ ก่อนจะส่ายหน้าดิก “แค่นี้เอง ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันกลับไปทำแผลที่บ้านก็ได้”

“บ้านคุณอยู่แถวนี้เหรอ”

“ก็…ย้อนไปประมาณสองสามร้อยเมตร”

ปาลอ้าปาก แต่เขาก็เหลือบเห็นรถยนต์คันหนึ่งมาจอดชะลอเพราะติดรถของเขาที่จอดขวางอยู่กลางถนนเสียก่อน เขาเลยเปลี่ยนประโยคที่จะพูด

“เดี๋ยวผมขอขยับรถแป๊บนึงนะ มันขวางคนอื่น คุณพอลุกไหวไหม”

ฟองจันทร์พยักหน้าหงึกๆ แล้วหันไปมองด้านหลัง พอเห็นมีรถจอดรออยู่เธอก็รีบออกแรงยันตัวลุกขึ้น…ปาลก้าวเข้าไปช่วยยกจักรยานหลบเข้าข้างทาง ก่อนที่เขาจะย้อนกลับไปขึ้นรถเพื่อบังคับรถเคลื่อนเข้าไปในอาณาเขตรีสอร์ตพอไม่ให้ขวางถนนสาธารณะด้านนอก จากนั้นเขาก็รีบลงจากรถย้อนกลับไปหาหญิงสาวอีกครั้งและพบว่าเธอยังยืนปัดเศษดินเศษฝุ่นออกจากตัวอยู่ตรงจุดเดิม

“ก่อนกลับบ้านคุณแวะเข้ามาในรีสอร์ตหน่อยดีไหม อย่างน้อยก็ใช้น้ำล้างแผล”

ฟองจันทร์มองใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะพยักหน้ารับข้อเสนอ แผลของเธอมีเลือดออก ถ้ารีบล้างไม่ให้มันสกปรกได้ก็น่าจะดี

“งั้นหาที่จอดจักรยานหลบไว้ในรั้วรีสอร์ตเถอะ แล้วเดี๋ยวคุณขึ้นรถผมไปแล้วกันจะได้ไม่ต้องเดิน”

อันที่จริงหญิงสาวคิดว่าเธอเดินไหว อาคารของรีสอร์ตก็ไม่ได้อยู่ลึก เดินสักไม่เกินห้าสิบเมตรก็น่าจะถึง แต่เพราะความแสบบริเวณแผลที่ได้เลือดทำให้เธอพยักหน้าอีกหน

“ขึ้นรถเลยครับ เดี๋ยวผมจัดการจักรยานให้”

ฟองจันทร์ขยับเดินไปที่รถโดยดี แต่เธอก็ยังรีๆ รอๆ ยืนมองจนแน่ใจว่าเขาหามุมจอดจักรยานที่พอเหมาะได้แล้วจึงค่อยเปิดประตูขึ้นรถ จากนั้นเธอก็มองการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มผ่านกระจกมองหลัง

ได้เจอกันอีกแบบงงๆ ซะงั้นเลย ใครจะไปนึกว่าเขาจะมาสตูลเหมือนกัน…แต่ที่แน่ๆ ใจดีเหมือนเดิมเลยแฮะ

 

“อ้าว คุณ…ที่เป็นน้องสาวของเมียบังหมัดนี่”

เสียงทักลอยมาขณะที่ฟองจันทร์กำลังก้มหน้าก้มตาล้างท่อนแขนและท่อนขาโดยใช้น้ำจากก๊อกน้ำตรงสนามหญ้าหน้าอาคารล็อบบี้ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วพบผู้หญิงหน้าตาคุ้นๆ คิดว่าน่าจะเป็นคนที่เคยไปเยี่ยมแม่ของพิทักษ์ที่บ้าน เธอเลยยกมือไหว้

“ใช่ค่ะ”

“แล้วเป็นอะไรนั่น” อีกฝ่ายถาม

“เมื่อกี้ผมเลี้ยวรถเกือบชนกับจักรยานของเขาตรงหน้าโรงแรมครับ ได้แผลนิดหน่อยเลยพามาล้างแผล” ปาลอธิบายเสียเอง

“ไอ้ต้นไม้ตรงนั้นบังแน่ๆ เลย ก่อนหน้านี้ก็เคยเกือบจะมีรถกับมอเตอร์ไซค์ชนกันมาทีนึงแล้ว สงสัยจะต้องตัดจริงๆ” อีกฝ่ายพึมพำ ทำเอาสองหนุ่มสาวหันมองหน้ากัน ก่อนที่ปาลจะหันกลับไปถาม

“แล้วพี่พอมีชุดทำแผลไหมครับ”

“มีจ้ะมี เดี๋ยวหาให้นะ” หญิงวัยกลางคนบอกแล้วกระวีกระวาดไปหาชุดทำแผล

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทำแผลไปเลยแล้วกัน” ปาลหันไปบอกหญิงสาว

แน่สิ เขาขอชุดทำแผลไปแล้วจะให้เราพูดอะไรได้อีกล่ะ ฟองจันทร์นึกขณะปิดก๊อกน้ำ

“คนเมื่อกี้เขาทำงานอยู่ในรีสอร์ตนี้เหรอคะ”

“อ้าว คุณไม่รู้จักเขาเหรอ” ปาลถามกลับงงๆ แต่ก็ยอมตอบโดยดี “เหมือนจะเป็นเมียเจ้าของนะ”

“ฉันแค่เคยเจอหน้าเขา ไม่รู้ว่าทำงานอะไร”

“อ้อ…อืม คุณไปนั่งรอตรงนั้นเถอะ” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปที่ชุดเก้าอี้หวายตรงหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับในล็อบบี้ แล้วตัวเขาก็ผละไป

หญิงสาวสอดเท้าใส่รองเท้าผ้าใบคู่เก่งแค่ครึ่งเดียวแล้วเดินเตาะแตะไปยังเก้าอี้ตามที่เขาแนะ ไม่ทันไรเขาก็กลับมาพร้อมกับกล่องกระดาษทิชชูจากโต๊ะอาหารซึ่งอยู่อีกฟากของอาคาร เขายื่นมันให้เธอ แม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่เธอก็เข้าใจว่าเขาให้ใช้มันซับน้ำออกจากแขนขา

“ผมต้องขอโทษคุณด้วย ตอนจะเลี้ยวรถผมไม่เห็นคุณจริงๆ” ร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้หวายอีกตัวซึ่งมีโต๊ะกาแฟเล็กๆ คั่น

“ไม่เป็นไรค่ะ เท่าที่ฟังพี่คนเมื่อกี้พูดคงเป็นเพราะต้นไม้นั่นบังแหละ” ฟองจันทร์ส่งยิ้มให้เขาอย่างไม่คิดมาก “อีกอย่างฉันก็ไม่ได้โดนชนจริงๆ ด้วย แค่ตกใจจนล้มเองเฉยๆ”

“ดีแล้วที่คุณไม่เป็นอะไรมาก” ปาลถอนหายใจเบาๆ

“ฉันชื่อฟองค่ะ…ฟองจันทร์” หญิงสาวแนะนำตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาเลยชะงักก่อนจะนึกขึ้นได้

“จริงด้วย เรายังไม่รู้จักกันเลย ผมพอลครับ”

“สองครั้งที่เราเจอกันนี่คุยเหมือนคนรู้จักกันแล้วเลยเนาะ” เจ้าของผมเปียยาวหัวเราะเสียงใส “นึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะนั่งเครื่องมาลงหาดใหญ่เพื่อมาสตูลเหมือนฉัน…มาเที่ยวเหรอคะ”

“ไม่เชิงครับ คือผมมาดูงานแล้วก็เลยถือโอกาสเที่ยวแถวนี้ด้วย” ปาลบอก “แล้วคุณล่ะ คุณไม่เหมือนคนแถวนี้เลย”

“ฉันก็ไม่ใช่คนแถวนี้จริงๆ น่ะแหละค่ะ คือพี่สาวเพื่อนสนิทฉันแต่งงานมาอยู่ที่นี่ ฉันเลยมาเยี่ยมแล้วก็คงจะอยู่แถวนี้สักพัก”

หญิงวัยกลางคนกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล ฟองจันทร์เอ่ยขอบคุณและรับมันมาวางบนโต๊ะกาแฟ

“ผมช่วยไหม” ชายหนุ่มถาม

“ไม่เป็นไรค่ะฉันมีประสบการณ์เรื่องทำแผลเยอะพอตัว” เธอฉีกยิ้มกว้างให้เขาแล้วเริ่มต้นลำเลียงอุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้นออกมาวางเรียง

ปาลมองคนที่ดูเหมือนจะมีประสบการณ์จริงอย่างปากพูด ในหัวย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งเจอกันครั้งแรกบนเครื่องบิน วันนั้นเขาคิดว่าเธอตลกดีจากการที่เธอนั่งท่องรายชื่ออาหาร แต่พอมานึกดูนอกจากตลกแล้วเธอก็ยิ้มสดใสเหมือนกับวันนี้ด้วย ยิ้มสดใสได้ทั้งที่กลัวและเจ็บ

เป็นคนที่แปลกดีเหมือนกัน…

ชายหนุ่มนั่งมองเธอทำแผล ขณะเดียวกันก็คอยสังเกตลักษณะแผลเธอไปด้วย จนกระทั่งเธอหันมาแล้วได้สบตากันเขาเลยถาม

“เจ็บไหมครับ”

“นิดหน่อยค่ะ แต่สบายมาก”

“ดูจากแผลของคุณ…หวังว่ามันจะไม่เป็นรอยแผลเป็น” เขาพึมพำ พอเห็นเธอมองมาเหมือนแปลกใจเขาก็ขยายความ “ผมรู้สึกไม่ดีถ้าต้องเป็นต้นเหตุให้ผู้หญิงมีรอยแผลเป็นน่ะ”

“คงไม่เป็นหรอกค่ะ” ฟองจันทร์ยิ้มเป็นเชิงปลอบ…เขาคิดห่วงไปไกลมากกว่าเธอเสียอีก เธอไม่อยากมีแผลเป็นก็จริง แต่ถ้ามันจะกลายเป็นแผลเป็นจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ มันคือเรื่องเหนือการควบคุม คงได้แต่ทายาพยายามให้รอยจางไปตามเรื่อง “คุณไม่ต้องคิดมากนะคะ นี่ฉันโทษเบญจเพสมากกว่าโทษคุณอีก พักนี้ฉันเกิดเรื่องบ่อยอยู่แล้ว”

เบญจเพส? ปาลอึ้งไปนิดหนึ่ง เพราะมันเป็นเหตุผลที่เหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง แต่ก็เหมือนเธอจะรู้ตัวเลยหัวเราะแหะๆ

“คือฉันแค่จะบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องคิดมากอ่ะค่ะ เพราะคุณไม่ได้ตั้งใจ จะว่าเราประมาทร่วมก็คงได้เพราะฉันเองก็ไม่ได้ระวังให้ดีเหมือนกัน ดังนั้นถึงมันเป็นรอยแผลเป็นฉันก็จะไม่โทษคุณ” เธออธิบายแล้วฉีกยิ้มกว้างส่งให้ชายหนุ่ม “ตกลงตามนี้นะคะ”

เจอแบบนี้ปาลก็ได้แต่พยักหน้ารับ ฟองจันทร์เลยหันกลับไปทำแผลต่อ และเขาก็ยังคงนั่งมองเธอต่อไป ทว่าภาพรอยยิ้มเมื่อครู่ของเธอยังติดตา

เป็นคนที่ยิ้มแล้วโลกสว่างไสวดีจริงๆ…

 

ฟองจันทร์ใช้เวลาทำแผลไม่นาน ระหว่างนั้นปาลก็ไถ่ถามเธอว่ากำลังจะขี่จักรยานไปที่ไหน ปรากฏว่าเธอแค่ขี่จักรยานออกกำลังกายยามว่างเฉยๆ พอทำแผลเสร็จเธอก็จะกลับบ้านเลย ทีแรกเขาเดินไปส่งเธอตรงทางเข้าออกรีสอร์ตซึ่งจอดจักรยานแอบเอาไว้ด้านในรั้ว แต่พอเธอจะขี่จักรยานกลับพบว่าอานที่นั่งไม่มั่นคงนัก ซึ่งเธอบอกว่าก่อนหน้านี้มันก็มีอาการนี้อยู่แล้ว แต่สามีของพี่สาวเพื่อนซ่อมเอาไว้ ไม่แน่ตอนล้มอาจจะทำให้มันกลับสู่สภาพเดิมอีก

พออานจักรยานไม่มั่นคงก็ขี่ลำบาก หญิงสาวเลยตัดสินใจจะเข็นจักรยานกลับ เขาจึงอาสาจะช่วยเข็นจักรยานไปส่งเธอถึงที่พักเพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนแรกเธอปฏิเสธเพราะเกรงใจ แต่พอเขายืนกรานหนักแน่นเธอเลยยอมตาม

“นี่แหละค่ะบ้านที่ฉันพักอยู่” ฟองจันทร์บอกหลังจากเล่าเรื่อยเจื้อยว่าแถวนี้มีสถานที่อะไรน่าสนใจบ้างให้เขาฟังมาตลอดทาง เนื่องจากเขาบอกว่าก่อนหน้านี้ทั้งทำธุระและไปเที่ยวอำเภอเมือง ยังไม่ได้สำรวจละแวกนี้อย่างจริงจัง

ปาลจับจ้องเรือนไทยโบราณอย่างสนใจ ก่อนหน้านี้เขาเคยขับรถผ่านเรือนลักษณะนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นใกล้ๆ

“หลังนี้บ้านมะ…คุณแม่ของพี่เขยเพื่อนฉันน่ะค่ะ” หญิงสาวพูดแล้วชี้ไปอีกทาง “จริงๆ ฉันพักอยู่หลังนู้น”

ชายหนุ่มหันมองตามและพบบ้านแบบสมัยใหม่ชั้นเดียวตั้งอยู่ห่างออกไปไม่มาก วินาทีถัดมาประตูของบ้านหลังนั้นก็เปิดผัวะพร้อมกับที่หญิงสาวร่างท้วมคนหนึ่งก้าวพรวดออกมา

“ไอ้ฟอง…” เสียงของฐานิตขาดหายเพียงเท่านั้นเพราะสังเกตเห็นว่าเพื่อนไม่ได้กลับมาเพียงลำพังแต่มีคนมาด้วย ที่สำคัญคนคนนั้นเป็นผู้ชาย และยิ่งไปกว่านั้น…

เฮ้ย นั่นมันคุณคนใจดีของไอ้ฟองไม่ใช่เรอะ!

“นั่นนิตเพื่อนสนิทฉันเองค่ะ คนที่ฉันเล่าว่ามาช่วยพี่สาวเลี้ยงลูกแล้วก็ชวนฉันมาเที่ยวนี่แหละ” ฟองจันทร์หันไปบอกกับปาล จากนั้นก็หันไปพยักหน้าเป็นเชิงเรียกเพื่อน พออีกฝ่ายมาเธอก็แนะนำ “นิต นี่คุณพอล”

“สวัสดีค่ะ” ฐานิตยกมือไหว้

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะรับไหว้ ก่อนจะก้มลงมองจักรยานที่ตนประคองอยู่ “ให้ผมจอดจักรยานไว้ตรงไหนดี”

“หืม เอ้อ ส่งมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” สาวร่างท้วมพูดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็รับจักรยานจากเขาแล้วเข็นไปจอดข้างเฉลียงหน้าบ้าน “แกเดินมาเพราะอานจักรยานไปพังกลางทางหรือเป็นอะไรอย่างอื่น”

“คือรถคุณพอลเขาเลี้ยวมาเจอฉันพอดี ฉันตกใจเลยรถล้ม”

“เลี้ยวมาเจอ…” ฐานิตทวนคำ จากนั้นก็ทำตาโตร้องลั่น “มาเจอแบบว่าชนงี้เรอะ!?”

“เปล่า แค่เจอ…เกือบชน แต่ไม่ชน” คนตัวเล็กขยายความให้ชัดเจนขึ้น “ไอ้ต้นไม้ตรงหน้ารีสอร์ตใกล้ๆ นี้อ่ะ ที่มันล้ำถนนออกมา คุณพอลเขาเลี้ยวรถจะเข้ารีสอร์ตแล้วไม่ทันเห็นฉัน”

“อ๋อ ตรงนั้น ฉันเพิ่งพูดกับแกตอนขับรถผ่านเมื่อวานเองว่ามันรกจนกินพื้นที่ถนนด้านหน้า เจ้าของน่าจะตัด” เพื่อนสาวนิ่วหน้า “เออ แล้วนี่แกรถล้มแล้วเจ็บตรงไหนไหม”

“ก็ได้แผลนิดหน่อย แต่คุณพอลพาไปทำแผลในรีสอร์ตแล้ว” ฟองจันทร์ยกแขนโชว์เพื่อน

“พักนี้แกนี่เรื่องเยอะจริงๆ หรือจะเพราะเบญจเพสจริงๆ” ฐานิตบ่นก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้ “ว่าแต่นี่คุณพอลมาเที่ยวแล้วพักที่รีสอร์ตข้างๆ นี้เหรอคะ”

“ประมาณนั้นครับ” เขาพยักหน้ารับ

“แล้วนี่มีแผนจะไปกินอะไรที่ไหนหรือยังคะ ถ้าไม่มีแผนก็อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันไหม กับข้าวแบบชาวใต้แท้ๆ เลย”

อย่าว่าแต่ปาลที่มองหน้าคนชวนอย่างคาดไม่ถึง กระทั่งฟองจันทร์เองก็พลอยตาโตไปด้วยเช่นกัน

“มะ…คุณแม่ที่เป็นเจ้าของบ้านนี้ท่านทำอาหารเก่งมากค่ะ ถามฟองดูได้ แล้ววันนี้ท่านทำผัดฉ่าปลากะพงกับแกงส้มกุ้งชะอมไข่เอาไว้ด้วย เป็นเมนูเด็ดสุดๆ ของท่านเลย รับรองว่าอร่อยกว่าอาหารที่รีสอร์ตแน่นอน” ฐานิตโฆษณา

ชายหนุ่มยังไม่ทันอ้าปากตอบ ประตูบ้านก็เปิดออกมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นฐิตานันท์ซึ่งอุ้มลูกมาด้วย

“นิต พี่บอกให้ช่วยยกลังขนมจากท้ายรถเข้าบ้านเป็นชั่วโมงแล้ว ลืมหรือไง”

“เออ ลืมจริงๆ” คนเป็นน้องสาวยิ้มแห้ง ก่อนจะผละเดินไปเปิดท้ายรถคันเล็กที่จอดอยู่ในโรงรถข้างบ้าน

“สวัสดีค่ะ เพื่อนฟองเหรอคะ” ฐิตานันท์หันมาสนใจชายหนุ่มแปลกหน้า

“ครับ เราเพิ่งรู้จักกัน ผมพอลครับ”

“ฉันนันท์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

ปาลส่งยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะสังเกตเห็นว่าท้ายรถมีลังใบใหญ่ถึงสองใบ ฐานิตกำลังก้มลงอุ้มหนึ่งในสองลังขึ้นมา เขาเลยเสนอความช่วยเหลือ

“จะเอาออกมาทั้งสองลังเลยหรือเปล่า ผมช่วยดีไหม”

“ได้เหรอคะ ดีเลย” สาวร่างท้วมตะครุบข้อเสนอทันที

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปอุ้มลังกระดาษจากหลังรถตามที่พูดไว้ เขาพบว่ามันไม่หนักมากเพียงแต่ขนาดมันค่อนข้างใหญ่เท่านั้นเอง ขณะที่ฟองจันทร์ตามไปช่วยปิดท้ายรถแล้วเดินตามคนอื่นๆ เข้าบ้าน

“ขอบคุณมากนะคะ” ฐานิตหันไปส่งยิ้มให้คนที่กำลังวางลังลงข้างกับจุดที่เธอวางลังไว้ก่อน

“เอ้อ แล้วนี่ชวนคุณพอลกินข้าวเย็นด้วยกันหรือยัง” ฐิตานันท์ส่งเสียง จากนั้นก็ออกปากชวนเอง “กินข้าวเย็นด้วยกันไหมคะ วันนี้กับข้าวอร่อยๆ เต็มเลย”

ฟองจันทร์ไม่แปลกใจสักนิด สำหรับสองพี่น้อง ฐ ฐาน นี่ถือเป็นเรื่องปกติ ครอบครัวของทั้งสองเป็นพวกเปี่ยมน้ำจิตน้ำใจ ใครไปเยี่ยมบ้านต้องได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี แถมเท่าที่ได้สัมผัสมาสองสามวันเธอก็ค่อนข้างแน่ใจว่าบ้านใหม่ที่สตูลของฐิตานันท์เองก็มีธรรมเนียมปฏิบัติคล้ายกัน…เพียงแต่ปาลคงกำลังมึนงงแน่ๆ ที่จู่ๆ สองพี่น้องก็ชวนคนที่เพิ่งรู้จักมากินข้าวเย็นด้วยกันแบบประสานเสียงแบบนี้

“เราเพิ่งรู้จักกัน ไม่เป็นไรเหรอครับ” ปาลถามไปตรงๆ หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งกับการถูกชวนซ้ำโดยคนพี่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีการนัดหมายกันเอาไว้ก่อนด้วย

สองพี่น้องหันมองหน้ากันเหมือนต่างไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน แล้วก็เป็นคนพี่ที่หัวเราะออกมา

“ฟองพาคุณมานี่คะ ถ้าคุณไม่น่าไว้ใจฟองก็คงไม่พาคุณมาหรอกมั้ง”

สมกับเป็นสองพี่น้อง ฐ ฐาน จริงๆ ฟองจันทร์ชินเสียแล้ว

“ถ้างั้นเย็นนี้ผมขอรบกวนหน่อยแล้วกันครับ อันที่จริงเวลาไปเที่ยวที่ไหนผมก็ชอบไปหากินอาหารแบบที่ไม่ใช่ร้านอาหารเหมือนกัน”

เออนะคนเรา จากเจอกันบนเครื่องบิน เกือบขับรถชน แล้วจู่ๆ ก็ได้กินข้าวด้วยกันซะงั้น สาวร่างเล็กเหลือบมองปาล ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นเพื่อนสนิทแอบยักคิ้วหลิ่วตาส่งมาให้ เธอเลยชะงักแล้วชักไม่แน่ใจ

ฐิตานันท์น่ะชวนเพราะมีน้ำใจล้วนๆ แน่นอน แต่คำชวนของฐานิตจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“คุณพอลก็น่ารักดีนะแก”

เสียงเพื่อนสนิทลอยมา ฟองจันทร์ซึ่งกำลังนั่งเคาะปากกามองหัวข้อที่มีเข้าข่ายน่าเอาไปเขียนบทความเลยหันไปมอง เธอพบว่าเพื่อนกำลังนั่งเล่นมือถืออยู่บนเตียง

“อะไรอีกล่ะ” สาวร่างเล็กกลอกตา

“ก็ไม่อะไร แสดงความเห็น แล้วก็อยากรู้ว่าแกเห็นด้วยไหม”

“อย่ามา…ฉันรู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ถึงชวนเขากินข้าวเย็นด้วยวันนี้”

“แล้วดีไหมล่ะ” ฐานิตลอยหน้าลอยตาถาม “ที่แกเจอเขาอีกหนนี่พรหมลิขิตชัดๆ เลยนะ”

“พรหมลิขิตหรือกรรมลิขิตเอาดีๆ ฉันเกือบโดนเขาขับรถชนแถมได้แผลเนี่ย” ฟองจันทร์พ่นลมหายใจเบาๆ

“แกก็ไม่ได้โดนชนจริงๆ เสียหน่อย แล้วแผลก็แค่เล็กน้อย พักนี้แกก็ได้แผลเบญจเพสเป็นปกติอยู่แล้วนี่”

“ถ้าที่ฉันซวยเป็นเพราะเบญจเพสจริง ฉันก็ไม่คิดว่าการได้เจอคุณพอลจะเป็นเรื่องดีหรอก” สาวร่างเล็กบอก

“แหม ใครจะไปรู้ แกอาจเจ็บตัวแล้วได้ผู้เป็นการชดเชยก็ได้” ฐานิตหัวเราะคิกคัก “แล้วนี่แกว่าเขาเป็นไงบ้างอ่ะ นอกจากหน้าตาดี ใจดี ฉันว่าโพรไฟล์เขาก็ดีด้วยนะ เป็นเชฟอยู่ที่สิงคโปร์ ไม่ธรรมดา”

เมื่อเย็นหลังจากชายหนุ่มตกปากรับคำว่าจะอยู่กินมื้อเย็นด้วย ระหว่างรอให้พิทักษ์กลับบ้าน ฐานิตก็จัดแจงช่วยพี่สาวแพ็กขนมใส่กล่องไปรษณีย์ตามออเดอร์ที่ได้รับทางออนไลน์ ฟองจันทร์ก็มาช่วยด้วย พอปาลเห็นก็มาเมียงๆ มองๆ อย่างสนใจ เพราะทั้งหมดล้วนเป็นขนมพื้นบ้านของสตูลที่เขาไม่เคยเห็น พอฐิตานันท์เห็นว่าเขาสนใจก็เลยจะให้ไปลองกิน แต่เขาปฏิเสธแล้วขอซื้อไปอย่างละกล่องแทน

ระหว่างกินข้าวเขาก็ชมอาหารไม่ขาดปากว่าอร่อยสมกับคำโฆษณา แล้วเขาเลยเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังว่าไปทำงานเชฟที่สิงคโปร์มาหลายปีแล้ว นอกไปจากนั้นส่วนใหญ่เขาก็คุยกับพิทักษ์เป็นหลักเพราะอีกฝ่ายทำงานเป็นไกด์นำเที่ยว ทำให้รู้จักแถวนี้ดี ท่าทางเขาสนใจเรื่องการไปจับหอยจับปลาตามฤดูกาลที่พิทักษ์เล่าให้ฟังมากด้วย

“ก็ดี” ฟองจันทร์ตอบสั้นๆ

“แค่นั้น?”

“แล้วแกจะให้มีแค่ไหน” นักเขียนสาวย้อนถามกลับ

“ฉันก็ไม่ได้จะให้แกจีบเขานะ แต่ฉันคิดว่าทำความรู้จักเขาดูก็ไม่เสียหาย แกยิ่งเบื่อๆ พี่อู๋อยู่ ถ้าเกิดไปได้ดีกับคุณพอล แกก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพี่อู๋อีกจริงป่ะ” ฐานิตทำหน้าเมื่อย

ฟองจันทร์ชะงักไปนิดหนึ่ง เพราะคำพูดของเพื่อนเตือนให้เธอย้อนคิดถึงคำอธิษฐานของตนเองที่บ่อเจ็ดลูก…แต่อย่างไรเธอก็เจอปาลก่อนจะไปอธิษฐาน ดังนั้นมันก็คงไม่เกี่ยวกันหรอกมั้ง

“ฉันก็ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเอง แต่ฉันแค่ไม่ได้คิดจะจีบเขาเท่านั้นแหละ” สาวร่างเล็กหันกลับมามองกระดาษบนโต๊ะเขียนหนังสือ “ส่วนตอนนี้ฉันห่วงเรื่องส่งงานมากกว่า เหมือนมีเรื่องให้เขียนเยอะแยะแต่ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรซะงั้น”

งานเขียนของฟองจันทร์มีหลายแบบ มีทั้งคิดหัวข้อขึ้นมาเองแล้วเสนอไปให้ลูกค้าพิจารณา กับแบบที่มีเนื้อหามาให้เธอเรียบเรียงเป็นบทความ แบบหลังไม่ค่อยมีปัญหา แต่ที่ทำเธอปวดหัวคือแบบแรก หลายวันมานี้เธอไปนู่นมานี่และเก็บข้อมูลได้หลายเรื่อง ทว่าพอเอามาไล่เรียงดูกลับไม่สามารถรวบรวมกลั่นกรองมันให้เป็นบทความได้

“แกไม่ลองไปสัมภาษณ์คุณพอลเรื่องการทำงานเชฟในสิงคโปร์ดูล่ะ” ฐานิตแนะ

“ฉันอยากเขียนเรื่องสตูลนี่นา อุตส่าห์มาถึงที่ทั้งที เผื่อขาดข้อมูลอะไรจะได้หาข้อมูลเพิ่มได้ง่ายๆ ด้วย” คนเป็นนักเขียนบอก แม้ในใจจะคิดว่าไอเดียนี้น่าสนใจอยู่เหมือนกัน แต่พูดไปเดี๋ยวเพื่อนก็จะรีบลากเธอไปหาปาลอีก

“เออ งั้นแกก็อยู่กับตัวหนังสือของแกและพี่อู๋ต่อไปละกัน” สาวร่างท้วมกลอกตาแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแบบหน่ายๆ

ฟองจันทร์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ปาลก็น่าสนใจอยู่หรอก ทว่าเธอเพิ่งรู้จักเขาเท่านั้น และหลังจากนี้จะได้เจอกันอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะดูเหมือนเขาจะมีแพลนไปเที่ยวต่อที่จังหวัดอื่น แถมเธอกับเขาก็ไม่ได้แลกคอนแทกต์ติดต่อกันไว้ เขาแค่ขอนามบัตรของพิทักษ์ไปเท่านั้น…แต่ถ้าจะได้เจอกันอีกจริงๆ ก็ขออย่าให้เป็นแบบที่เธอเกือบโดนรถของเขาชนเหมือนวันนี้แล้วกัน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: