บทที่ 4 ลูกค้าผู้น่าเลิฟ
ทันทีที่รู้ว่าหนึ่งในทีมงานที่มาร่วมประชุมโปรเจ็กต์คอนเสิร์ตของค่ายเพลงแห่งหนึ่งในวันนี้มีนัดคุยธุระกับแพรภัทรในช่วงเย็น รัญชน์รวิชญ์ซึ่งมีโอกาสเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกรับเชิญรายหนึ่งของคอนเสิร์ตดังกล่าวด้วยจึงหาทางพาตัวเองแทรกเข้าไปในตารางนัดหมายของแพรภัทรทันที โดยใช้ข้ออ้างที่ว่าเขาเองก็กำลังมองหาสตูดิโอทำฟิกเกอร์โมเดลสุนัขตัวโปรดของครอบครัวอยู่พอดี เพื่อจะมอบให้เป็นของขวัญสำหรับคุณป้า…
“ดูเหมือนคุณรันเพิ่งไปทำงานกับพี่อรมาไม่ใช่หรือครับ พี่อรไม่ได้แนะนำสตูฯ ของแพรให้เหรอ เพราะโปรเจ็กต์นี้ของลัคกี้-เซย์ชีสพี่อรก็เป็นคนแนะนำแพรให้กับทางค่ายเรา” ชัชวาลถามขึ้นมาระหว่างเดินทางไปพบแพรภัทรด้วยกัน อยู่ๆ รัญชน์รวิชญ์ก็ขอติดรถเขามาด้วย โดยทิ้งให้ผู้จัดการส่วนตัวโมโหตามหลังกับการตัดสินใจอย่างกะทันหันโดยไม่สนใจเสียงคัดค้าน
“ตอนเจอพี่อรไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ให้ฟังเลยครับ”
“จริงๆ งานของลัคกี้เราบรีฟกันเสร็จหมดแล้ว แพรเองก็บอกว่าไม่ต้องเข้าไปเจอเขาอีกก็ได้ เพราะคุยกันผ่านโทรศัพท์กับแชตสะดวกกว่า แต่โปรเจ็กต์นี้ทางค่ายจุกจิกมาก ผมเลยกลัวพลาด เวลาก็ค่อนข้างน้อย แล้วจริงๆ แพรเองก็ยังไม่เคยรับงานใหญ่ๆ แต่ที่ทางเราเลือกเขาเป็นเพราะเห็นฝีมือแล้ว และราคาก็ค่อนข้างถูกกว่าที่อื่น อะไรที่ช่วยลดต้นทุนได้ค่ายเขาก็โอเคหมดแหละครับ ยิ่งบริษัทใหญ่ที่เคี่ยวเค็มขนาดนี้ ได้ลดแค่บาทสองบาทเขาก็เอา”
โฮมออฟฟิศของแพรภัทรเป็นสำนักงานกึ่งที่พักภายในหมู่บ้านจัดสรรย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่นและเงียบสงบ ชัชวาลจอดรถไว้ริมรั้วแล้วลงไปกดกริ่ง แม้ประตูรั้วจะถูกเปิดทิ้งไว้แต่ประตูบ้านกรุกระจกด้านในถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด
เสียงปลดล็อกด้วยระบบดิจิตอลดังขึ้นก่อนที่ประตูบ้านจะถูกผลักออกมา แพรภัทรที่มาเปิดประตูมีอาการชะงักกึกด้วยความตกใจอย่างชัดเจนเมื่อเห็นว่ามีใครมากับชัชวาลด้วย
“คุณรันเขาสนใจอยากให้แพรช่วยทำงานชิ้นหนึ่ง เลยขอมากับพี่ด้วย” ชัชวาลบอก
แพรภัทรยิ้มแกนๆ พลางพยักหน้ารับอย่างไม่ยินดียินร้าย ระหว่างที่เธอพูดคุยกับชัชวาลนั้น รัญชน์รวิชญ์ก็นั่งฟังอยู่ด้วยเงียบๆ เขาไม่ได้พยายามแทรกหรือขัดจังหวะการสนทนาแต่อย่างใด จนกระทั่งชัชวาลเสร็จธุระและขอตัวกลับ เขาถึงได้พูดออกมาในที่สุด
“พี่ชัชกลับไปก่อนเลยนะครับ ผมจะคุยธุระตัวเองให้เรียบร้อยวันนี้เลย เสร็จแล้วเดี๋ยวผมเรียกรถกลับเอง”
“จะดีเหรอ อาทิตย์ก่อนเพิ่งมีแฟนคลับตามทำร้าย เมื่อกี้พี่เจนก็กำชับว่าพี่ต้องพาคุณรันไปส่งให้เรียบร้อยหลังเสร็จธุระ เพราะเขาเป็นห่วงความปลอดภัย”
คำพูดของชัชวาลทำให้รัญชน์รวิชญ์ต้องเหลือบมองไปทางแพรภัทรทันที หน้าตาเธอดูมึนตึงอย่างเห็นได้ชัด คงโมโหเพราะนึกถึงเรื่องที่เขาเคยเข้าใจผิดเธอขึ้นมาอีกเป็นแน่
“พี่เจนเขากังวลเกินไป ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะครับ”
“คุณรันกลับเองได้แน่นะ ไม่ใช่ว่าพี่เจนรู้แล้วมาโวยวายกับพี่ทีหลังว่าพาคุณรันมาทิ้งไว้แล้วไม่พากลับด้วย”
“ไม่หรอกครับ พูดเหมือนผมเป็นเด็กไปได้” รัญชน์รวิชญ์ว่าพลางหัวเราะขำ
“งั้นพี่กลับก่อนเลยละกันนะ พอดีมีงานต่อด้วย”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเมื่อครู่นี้ แพรภัทรวางท่าทีอย่างเป็นปกติ พูดคุยยิ้มหวานกับชัชวาลอย่างมีมารยาท แต่ว่าทันทีที่คล้อยหลังอีกฝ่ายแล้ว เธอก็หันมามองรัญชน์รวิชญ์ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างเปิดเผย
“คุณต้องการอะไร”
รัญชน์รวิชญ์สะอึกเบาๆ เพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าถามตรงๆ อย่างไม่รักษาน้ำใจเขาได้ขนาดนี้ ถึงจะโกรธเขาแค่ไหน แต่แพรภัทรก็ไม่ได้มีบุคลิกก้าวร้าวรุนแรง และดูไม่ใช่คนใจร้ายเลยสักนิด ที่สำคัญก่อนที่จะมีเรื่องจนเกลียดขี้หน้าเขา เธอดูยิ้มง่าย ใจดี และเป็นมิตรจนน่ารำคาญเสียด้วยซ้ำ…
“ถ้าจะมาขอโทษ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันลืมไปหมดแล้วล่ะ”
“ผมก็ไม่ได้จะมาขอโทษซะหน่อย”
ได้ยินดังนั้นคนฟังก็ชักสีหน้าหนักขึ้นทันควัน
“รู้ไหม ตอนคุณเห็นผมมากับพี่ชัชเมื่อกี้ คุณทำหน้าแบบ…ผมนึกว่าตัวเองจะโดนเอาเกลือสาดซะแล้ว”
“ตกลงคุณมาทำไม” เธอถามอย่างไม่คิดจะเสียเวลาคุยไร้สาระกับเขา
“ก็อย่างที่พี่ชัชบอกเมื่อกี้นั่นแหละ คือผมมีงานอยากให้คุณช่วยทำให้ชิ้นหนึ่ง”
“ฉันไม่ว่างทำให้หรอกค่ะ ตอนนี้รับงานไว้จนคิวเต็มไปถึงปีหน้า”
“แค่ปีหน้าเอง…ผมรอไหว หรือถ้าคุณสามารถลัดคิวให้ก่อนได้ผมก็ยินดีจ่ายเพิ่มให้เป็นพิเศษ”
“ฉันไม่เคยมีนโยบายลัดคิวในการทำงาน ไม่ว่ากรณีใด”
คนฟังทำสีหน้ารับรู้เหมือนเข้าใจดี ทั้งที่ลึกๆ แล้วเขาไม่เชื่อเลยสักนิดว่าคนขี้งกอย่างเธอจะไม่ยอมเห็นแก่เงินไม่ว่ากรณีใด… จริงๆ แล้วเขาเองก็อยากมาขอโทษเธอนั่นแหละ แต่ในเมื่อเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายปิดโอกาสเสียสนิททุกทางขนาดนี้ เขาจึงไม่คิดจะรีบร้อนทู่ซี้พูดถึงเรื่องนั้น ไว้ค่อยบอกทีหลังตอนเธอยอมเปิดใจให้โอกาสแล้วก็ยังไม่สาย ที่แน่ๆ เขาจะไม่ยอมค้างคาใจไปตลอดชีวิตกับการที่ต้องถูกใครสักคนเกลียดจนไม่ยอมรับคำขอโทษ โดยที่ตัวเขาเองเป็นฝ่ายผิดเต็มประตูอย่างเด็ดขาด
“งั้นผมก็รอคิวได้ แต่อยากคุยแล้วทำสัญญาทิ้งไว้ก่อนได้ไหม”
แพรภัทรนิ่วหน้ามองเขาเหมือนอึดอัดใจที่จะให้คำตอบ
“ผมทำให้คุณลำบากใจรึเปล่า”
“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ถ้าคุณพยายามทำแบบนี้เพราะรู้สึกไม่ดีที่เคยเข้าใจฉันผิด ก็เลิกคิดมากแล้วกลับไปเถอะค่ะ ไม่ต้องมาหาข้ออ้างด้วยการจ้างงานเพื่อไถ่โทษหรืออะไรแบบนั้นหรอก เอาเป็นว่าฉันอโหสิให้”
แทนที่ฟังแล้วจะสบายใจ รัญชน์รวิชญ์กลับมีอาการสะอึกซ้ำสองเพราะการพูดตรงๆ ของเธอ แต่ก็ยังกลั้นใจเก็บความรู้สึกได้เป็นอย่างดี แม้จะเริ่มคิดในใจว่า… ทำไมแพรภัทรถึงได้ใจแคบและนิสัยไม่ดีแบบนี้นะ!
“ครับ… ถ้าคุณยกโทษให้แล้ว เราก็มาคุยธุระกันเลยดีกว่า”
“คุณรันไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย…จริงๆ นะคะ” แพรภัทรย้ำอีกครั้งอย่างไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ “การที่คุณเพิ่งมารู้ความจริงว่าตัวเองเข้าใจผิด มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรระหว่างเราเปลี่ยนแปลง คุณก็อยู่ส่วนคุณ ฉันก็อยู่ส่วนฉัน คุณจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยนอกจากขอโทษ”
“ผมขอโทษสำหรับเรื่องทั้งหมด” เขากล่าวอย่างจริงใจทันทีที่มีโอกาส “แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากให้เราอยู่ในส่วนของใครของมัน เพราะผมต้องการให้คุณช่วยทำงานให้ชิ้นหนึ่งจริงๆ”
“คุณไปจ้างคนอื่นไม่ดีกว่าเหรอ ในเมื่อฉันไม่เต็มใจทำให้ ถ้าหากฝืนใจทำไปมันอาจจะออกมาห่วยแตกมากก็ได้”
“รู้แล้วเหรอว่าผมจะจ้างให้ทำอะไร”
“ก็พอเดาได้ ฉันรับจ้างทำงานได้ไม่กี่อย่างหรอก”
“คืออย่างงี้นะ พอดีผมเพิ่งทราบว่าหลานสาวอายุสิบสามปีที่บ้าน ชอบคาแร็กเตอร์แกะชุบแป้งทอดของคุณมาก แกติดตามภาพวาดกับคอนเทนต์ของคุณในแฟนเพจตลอด ก็เลยคิดว่าถ้าให้คุณเป็นคนทำฟิกเกอร์โมเดลไซบีเรียน ฮัสกี้คู่หนึ่งให้ แกน่าจะดีใจสุดๆ เพราะพวกมันเป็นหมาตัวโปรดของแก”
คาแร็กเตอร์ ‘แกะชุบแป้งทอด’ ที่รัญชน์รวิชญ์บอก คือตัวการ์ตูนที่มีชื่อว่า ‘Sheep Ebi’ หรือ ‘แกะกุ้ง’ ที่แพรภัทรเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากงานหลังจากที่ขายลิขสิทธิ์รูปภาพให้กับร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งไปใช้ผลิตแพ็กเกจ รวมถึงภาชนะบรรจุเครื่องดื่มและอาหารประจำร้าน แล้วหลังจากนั้นแกะกุ้งก็เริ่มฮิตติดตลาด ทั้งยังมีชื่อเสียงพอสมควรจนสามารถขายลิขสิทธิ์ให้กับสินค้าอื่นๆ ได้อีกหลายเจ้า
หลังจากรู้ความจริงว่าตัวเองเข้าใจผิดแพรภัทรอย่างแรง เพราะเธอไม่ใช่แฟนคลับโรคจิตที่คอยตามระรานอย่างที่เขาคิด รัญชน์รวิชญ์ก็เริ่มค้นประวัติและหาข้อมูลเกี่ยวกับแพรภัทรไปเรื่อยๆ จนรู้ว่าเธอเป็นใคร ทำงานที่ไหน และชอบทำอะไรบ้าง ภาพลักษณ์เท่าที่เขาได้สัมผัสเธอผ่านทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ การทำงาน การใช้ชีวิต และสังคมรอบตัวเธอ มันช่างธรรมดาสามัญ สดใสสวยงามตามอัตภาพ เรียบง่ายสบายๆ และมีความสะอาดบริสุทธิ์ไร้ซึ่งมลทินใดๆ จนทำให้เขารู้สึกละอายแก่ใจอย่างลึกซึ้งที่เคยเข้าใจเธอผิดในตอนนั้น…
“ตกลงว่าคุณจะทำของขวัญให้หลานสาวหรือคะ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่แค่หลานสาว ผมจะให้คุณป้าด้วย”
คนฟังทำหน้างงงวย แต่ดวงตาใสแจ๋วที่เต็มไปด้วยความพิศวงของเธอมีความน่าเอ็นดูและน่าขันอย่างประหลาดในสายตาเขา เขาพบว่าเธอเป็นคนที่ชอบแสดงออกอย่างชัดเจนทางสีหน้าท่าที ซึ่งเขาคิดว่าเธออาจจะติดลักษณะนิสัยพวกนี้มาจากการดูการ์ตูนมากเกินไป
“คิตตี้กับมิกกี้เป็นหมาตัวโปรดของคุณป้าผมเหมือนกัน”
“…”
“ขอโทษนะ นี่ผมทำให้คุณสับสนรึเปล่า”
“ถ้าคุณอยากจ้างให้ฉันทำฟิกเกอร์หมาชุบแป้งทอดตัวหนึ่ง แมวชุบแป้งทอดตัวหนึ่ง กับหนูชุบแป้งทอดอีกตัวหนึ่ง เพื่อมอบเป็นของขวัญให้คุณป้ากับหลานสาวคุณ ก็แปลว่าคุณไม่ได้ทำให้ฉันสับสนเลยสักนิด”
พอโดนเธอแกล้งย้อนมาแบบนั้น รัญชน์รวิชญ์เลยเผลอหลุดหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง “ขอโทษครับที่ทำให้สับสน แต่ก็ตามที่บอกนั่นแหละ คือผมอยากได้ฟิกเกอร์โมเดลไซบีเรียน ฮัสกี้สองตัว ตัวหนึ่งชื่อคิตตี้ อีกตัวหนึ่งชื่อมิกกี้ ซึ่งมันเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของทุกคนในบ้านผม เพื่อไปมอบให้เป็นของขวัญสำหรับคุณป้ากับหลานสาวของผม ซึ่งพวกเขาชอบสะสมฟิกเกอร์โมเดลพวกตุ๊กตาตัวการ์ตูนอะไรพวกนี้มานานแล้ว ตกลงว่าคุณรับงานนี้นะ?”
“แล้วถ้าฉันปฏิเสธล่ะ”
สีหน้ารัญชน์รวิชญ์สลดลงทันที
“คุณไม่ต้องรีบทำหน้าเศร้า ไม่ได้กำลังเล่นละครอยู่นะคะ ฉันไม่อินหรอก”
“คุณนี่ใจร้ายชะมัดเลย” เขาว่าเธออย่างขัดเคืองที่โดนดักคออย่างแรง แต่ก็หลุดหัวเราะขำๆ ออกมาด้วย “ผมไม่ใช่คนที่ชอบง้อใคร และไม่เคยตื๊อใครเลยด้วย แต่งานนี้ผมอยากให้คุณเป็นคนทำจริงๆ ดังนั้นถึงคุณจะปฏิเสธหรือรำคาญผมแค่ไหน ผมก็จะพยายามขอร้องจนคุณตอบตกลง”
จังหวะนั้นเองโทรศัพท์มือถือของรัญชน์รวิชญ์ดังขึ้น เป็นสายจากผู้จัดการส่วนตัวของเขา อีกฝ่ายถามว่าอยู่ที่ไหน แล้วจึงบอกให้เขาส่งโลเกชั่นไปให้ เพื่อจะเดินทางมารับด้วยตัวเอง ซึ่งรัญชน์รวิชญ์ก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย
“คุณจะรอผู้จัดการมารับหรือคะ”
“อื้อ อีกไม่เกินสองชั่วโมงน่าจะมาถึง”
“ทำไมไม่กลับเอง จะมาเสียเวลารอทำไม ฉันเรียกรถให้ก็ได้”
“พี่เจนจะไม่ยอมน่ะสิ เพราะเขาบอกว่าคุณป้าไม่ยอมแน่”
“ที่เขาเป็นห่วงกันแบบนี้คงเป็นเพราะเหตุการณ์ที่สนามบินอาทิตย์ก่อนใช่ไหมคะ”
“เปล่า ปกติก็เป็นแบบนี้แหละ”
“อ้าว เหรอคะ แล้วคุณก็ยอมว่านอนสอนง่ายตลอดเลยเหรอ”
“เปล่า อยากว่าง่ายแค่วันนี้วันเดียว”
คนฟังนิ่วหน้าเล็กน้อย
“แล้วคุณจะมาถามอะไรเยอะแยะเนี่ย แค่ผมขออยู่ต่อสองชั่วโมงเอง เดี๋ยวก็กลับแล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ คุณจะทำงานหรือไปทำอะไรก็ตามสบายเลย” เขาบอกด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะผละจากเธอไปเดินชมตู้โชว์ฟิกเกอร์โมเดลตรงผนังห้องด้านหนึ่งเงียบๆ โดยไม่สนใจเธออีก
ตามความเป็นจริงแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้แพรภัทรก็ยังไม่หายโมโหรัญชน์รวิชญ์เรื่องที่เขาเคยหาว่าเธอเป็นแฟนคลับโรคจิต เพราะเรื่องมันเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน แต่เธอก็ไม่ได้โกรธเคืองจนถึงขั้นเกลียดขี้หน้าเขาอย่างลึกซึ้ง เพียงแต่เวลาเห็นหน้าเขาแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้ เนื่องจากมันทำให้นึกถึงความรู้สึกตอนที่รู้ว่าเขารังเกียจเดียดฉันท์เธอในเวลานั้นขึ้นมา เธออาจจะไม่ได้มีความคิดอยากแก้แค้นเอาคืนอะไรเขา ก็แค่ยังรู้สึกไม่ดีจนไม่อยากจะวุ่นวายด้วยเฉยๆ
รัญชน์รวิชญ์นับเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง จริงๆ แล้วแทบจะไม่มีอะไรเลยในตัวเขาที่เธอขัดใจ เธอก็ชื่นชอบเขาแบบเดียวกับผู้หญิงหลายๆ คนนั่นแหละ ยิ่งถ้าหากไม่เคยเกิดกรณีการเข้าใจผิดกันในตอนนั้นมาก่อน คงจะถือว่าเขาเป็นเจ้าชายในฝันสำหรับเธอเลยทีเดียว แต่ในเมื่อเหตุการณ์แย่ๆ ดังกล่าวมันได้ทำลายความรู้สึกดีๆ บางส่วนของเธอไปแล้ว ตอนนี้เขาจึงกลายเป็นผู้ชายลำดับท้ายๆ ในโลกที่เธอรู้สึกพิศวาสไปโดยปริยาย การสำนึกผิดและความพยายามในการไถ่โทษของเขาอาจจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็จริง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นที่จะทำให้หันกลับมาหลงใหลได้ปลื้มในตัวเขาได้ง่ายๆ
เสียงพูดคุยจากบริเวณประตูรั้วหน้าบ้าน ทำให้แพรภัทรต้องเพ่งมองออกไปอย่างสงสัย จนกระทั่งแน่ใจว่าเธอเห็นรัญชน์รวิชญ์กำลังยืนคุยอยู่กับศจีกับชุติมา…คุณน้าใจดีที่อาศัยอยู่บ้านหลังข้างๆ เธอทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวา แพรภัทรจึงลุกพรวดขึ้นไปเปิดประตูบ้านเดินออกไปที่ริมรั้วอย่างไม่รีรอ สงสัยอย่างหนักว่าวันนี้รัญชน์รวิชญ์มาอีกทำไม หลังจากที่เขาเพิ่งมาบ้านเธอเมื่อวานนี้เป็นครั้งแรก
หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าให้รอยยิ้มดูเป็นปกติที่สุด แต่ยังไม่กล้าพูดอะไรออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าโดยที่ยังไม่รู้ว่ารัญชน์รวิชญ์คุยอะไรกับคุณน้าทั้งสองไปแล้วบ้าง
“ทำไมแพรไม่เห็นเคยบอกบ้างเลยว่ามีเพื่อนเป็นดารา ดูสิเนี่ย คุณรันน่ารักกก…น่ารัก น่าเอ็นดูจริงเชียวพ่อคุณ อุตส่าห์เอาขนมมาฝากเพื่อนบ้านของเพื่อน”
“จริงๆ หนูกับคุณรันไม่ใช่เพื่อนที่รู้จักกันมานาน เพราะเขาเพิ่งมาจ้างหนูทำงานให้เมื่อวานนี้เอง คือเขาเป็นลูกค้าน่ะค่ะ หนูเป็นลูกจ้าง”
“อ้าว ไหนคุณรันบอกเป็นเพื่อน นึกว่าสนิทกันมากเสียอีก”
“แพรเป็นเพื่อนกับเพื่อนผมครับ แล้วเพื่อนผมเขาก็แนะนำให้ผมมาจ้างแพรทำงานให้” รัญชน์รวิชญ์ชี้แจงอย่างใจเย็น
“อ้อ งั้นหรอกเหรอ ปกติน้าก็ไม่ค่อยจะเห็นใครมาหาแพรที่บ้านเลยนอกจากไปรษณีย์กับพนักงานส่งอาหารที่มากันได้ทั้งวัน แต่ก็เห็นแพรเขาต้องทำงานอยู่กับบ้านตลอด เขาบอกว่าติดต่อกับลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์กับทางอินเตอร์เน็ตได้”
“แต่พอดีงานผมค่อนข้างละเอียดน่ะครับ เลยต้องมาบ้านเขาบ่อยหน่อย” ชายหนุ่มออกตัวยิ้มๆ
“เราไปคุยกันในบ้านไหมคะ ตรงนี้ร้อน” แพรภัทรถือโอกาสเชื้อเชิญลูกค้ากับเพื่อนบ้านคนสนิทของเธอทั้งคู่เข้าบ้านด้วย แต่เพื่อนบ้านทั้งสองคนปฏิเสธ บอกว่าไม่อยากรบกวนการคุยธุระเรื่องงานของเธอกับรัญชน์รวิชญ์
“เพื่อนบ้านคุณน่ารักเนอะ คุยเก่งกันทั้งคู่”
“แล้วทำไมไปบอกเขาว่าเป็นเพื่อน เดี๋ยวก็เข้าใจผิดกันทั้งหมู่บ้านว่าฉันมีเพื่อนเป็นดารา”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ มีเพื่อนเป็นดาราคูลดีออก คุณไม่ชอบเหรอ”
“คูลตรงไหน ขี้เกียจเป็นคนดีช่วยรักษาภาพลักษณ์ให้เพื่อน คิดดูนะว่าถ้าฉันทำตัวเป็นลูกบ้านที่ไม่ดีของหมู่บ้าน ไม่จ่ายค่าส่วนกลาง จอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น ไม่ไปประชุมหมู่บ้าน หรือไม่ให้ความร่วมมือต่างๆ นานา คุณก็จะพลอยซวยไปด้วย เพราะเขาจะพูดกันว่าเพื่อนดาราไฮโซที่ชื่อรัญชน์รวิชญ์น่ะ…นิสัยไม่ดีเลย เห็นแก่ตัว บลาๆๆๆ”
“โห… คิดเยอะน่าดูนะคุณนี่”
“ก็คิดเยอะคนละแบบกับคุณละกัน”
“ผมยอมรับว่าตัวเองก็เป็นคนคิดเยอะ แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าต้องกังวลอะไรแบบนี้เวลาจะคบกับใครสักคน แค่มีเพื่อนเป็นดาราคุณยังคิดมากขนาดนี้ แล้วถ้ามีแฟนเป็นดาราจะหนักขนาดไหน”
แพรภัทรเกือบผงะเบาๆ กับคำพูดชนิดนั้นของเขา แต่ก็เก๊กสีหน้าไว้ได้ทัน “สรุปว่าคุณห้ามไปบอกใครๆ ว่าเป็นเพื่อนฉันอีกนะ”
“ซีเรียสไปได้ จะบอกว่าเป็นอะไรก็เหมือนๆ กันนั่นแหละน่า”
คนขี้เกียจเถียงต่อฟังแล้วก็ถอนหายใจเฮือก “งั้นเอาเป็นว่า…วันนี้คุณมาทำไม”
“ขอโทษทีที่ไม่ได้นัดล่วงหน้า แต่พอดีผมเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อวานเรายังไม่ได้คุยรายละเอียดกันชัดเจน เรื่องสัญญาเราต้องทำอะไรยังไง”
“ปกติงานเล็กๆ ที่ไม่ได้มีมูลค่าทางธุรกิจมากมาย ฉันไม่เคยทำสัญญาหรอก แต่ถ้าคุณซีเรียส ทางคุณก็ทำแล้วส่งมาให้ฉันเซ็นก็ได้ ไม่เห็นต้องดั้นด้นมาถึงนี่ เหมือนว่างมากเลยเนาะ”
“ก็ว่างน่ะสิ พอดีวันนี้ว่างมาก” เขายอมรับแล้วหยิบมือถือออกมาเปิดรูปสุนัขของที่บ้านเขาทั้งสองตัวขึ้นมาส่งให้เธอดู แล้วบอก “ขอไลน์หน่อยสิ ผมจะส่งรูปให้”
หญิงสาวหยิบมือถือมาแอดไลน์เขาอย่างไม่อิดออด พอเขาส่งรูปให้เสร็จเธอก็ไล่ดูแต่ละรูปพร้อมกับอุทานออกมาเบาๆ ด้วยรอยยิ้มกว้างขวางและดวงตาเป็นประกายระยับขึ้นมาทันที เมื่อเห็นไซบีเรียน ฮัสกี้ทั้งสองตัวชัดเจนเต็มตา เธอมองมันด้วยความเอ็นดูอย่างหนัก ท่าทางดูมันเขี้ยวจนเหมือนอยากจะเอาโทรศัพท์มือถือยัดปากแล้วกลืนลงท้องไปเลย
รัญชน์รวิชญ์ได้แต่มองตามปฏิกิริยาของเธอเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร เขาพบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ชอบแสดงความรู้สึกออกมาทางกิริยาอาการและสีหน้าแววตาอย่างชัดเจนมากจริงๆ จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าเวลาที่จะวาดรูปการ์ตูนอะไรสักตัว เธอคงใช้ตัวเองเป็นต้นแบบด้วยการไปยืนแอ็กท่าอยู่หน้ากระจกเป็นประจำ แพรภัทรไม่ใช่คนสวยโดดเด่น และไม่ใช่ผู้หญิงที่ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่เธอรู้สึกดีหรือมีความสุข เขาจะเห็นความน่ารักสดใสเปล่งประกายออกมาจนเจิดจ้า หรือแม้แต่บางทีที่เธอรู้สึกไม่ดี การแสดงออกทางสีหน้าแววตาท่าทางของเธอก็ยังดูน่าสนใจอย่างประหลาดอยู่นั่นเอง
“น่ารักจังเลยยย ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าสองตัวนี้เป็นหมาคุณฉันคงนึกว่าหมู อ้วนมากลูกกก งือออ น่ายักกก”
คนมองแทบจะกะพริบตาปริบๆ ด้วยความอึ้ง เธอเกลียดเขาแต่ดูเหมือนจะตกหลุมรักหมาเขาเข้าอย่างจังตั้งแต่แรกเห็น จนควบคุมอาการตัวเองไม่อยู่
“ฉันคิดว่าฉันไม่ใช่คนรักสัตว์เลยนะ แต่เห็นแล้วอยากฟัด อยากดม อยากหอมมม… น้องกลมปุ๊กปิ๊กมากเลยลูกกก” พอพูดได้แค่นั้นแล้วเงยหน้าขึ้นก็ต้องตกใจที่เห็นอีกฝ่ายมองเธออยู่ด้วยสีหน้าตกตะลึง “เอ่อ… ขอโทษทีนะคะ ลืมตัวไปหน่อย น้องน่ารักจริงๆ” หญิงสาวพึมพำออกมาอย่างเก้อกระดากเล็กน้อย
“รูปพวกนั้นนานแล้วล่ะ แต่เพราะอ้วนเกินไปหมอเลยสั่งให้ลด ตอนนี้อายุสามขวบ เป็นหนุ่มหล่อมาดเข้ม คูลๆ แมนๆ ด้วยกันทั้งคู่”
“หล่อมากๆ ด้วยค่ะ ท่าทางขนแน่นน่ากอดสุดๆ ทั้งสองตัวเลย”
“ไว้ผมจะพาไปดูตัวจริงที่บ้านก่อนคุณเริ่มงาน อาจจะช่วยให้คุณทำงานง่ายขึ้น รอคุณเคลียร์งานที่ค้างให้หมดก่อนละกัน”
คำพูดของรัญชน์รวิชญ์ทำให้คนที่กำลังจะเริ่มเคลิ้มกับความน่ารักของหมาจนลืมตัวอีกรอบถึงกับปรับสีหน้าท่าทีให้กลับมาเป็นปกติแทบไม่ทัน เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังโกรธเขาอยู่ เลยรีบปั้นหน้าตึงใส่เขาตามเดิมแล้วบอกว่า “ไปบ้านคุณเนี่ยนะ ไม่ไปอ่ะ”
“ทำไม” ชายหนุ่มนิ่วหน้าถามคิ้วขมวด
“ก็ไม่ทำไมหรอก แต่ไม่อยากไป”
“งั้นผมจะพาคิตตี้กับมิกกี้มาหาคุณที่บ้านนี้เอง”
“นี่คุณจริงจังกับฟิกเกอร์หมาขนาดนี้เลยเหรอ”
“อื้อ”
“ฉันขอพูดตรงๆ เลยนะ จริงๆ แล้วตุ๊กตาหรือฟิกเกอร์โมเดลไซบีเรียน ฮัสกี้หาง่ายจะตายไป แล้วตัวไหนมันก็เหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ ไม่เห็นต้องลงทุนจ้างฉันทำขึ้นมาโดยเฉพาะเลยนี่นา แต่นี่คุณจริงจังยิ่งกว่าลูกค้าที่จ้างให้ฉันทำพิมพ์ไปหล่อของเล่นขายแล้วได้กำไรเป็นล้านๆ ซะอีก”
“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าตัดสินใจว่าจะทำแล้วผมก็จะจริงจังให้ถึงที่สุดนั่นแหละ ท่าทางชิลๆ เหมือนไม่เรื่องมากของผมเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น นานๆ ไปคุณก็จะรู้จักตัวตนของผมดีขึ้นเอง”
เธอเกือบเถียงกลับไปทันควันว่าทำไมเธอจะต้องไปรู้จักตัวตนของเขาดีขึ้นด้วย… แต่ว่ายั้งตัวเองไว้ได้ทัน แล้วจึงเลือกที่จะพยักหน้ารับรู้ด้วยรอยยิ้มครึ่งๆ กลางๆ ก่อนจะตัดบท “ฉันต้องทำงานต่อแล้ว คุณมีอะไรจะคุยอีกไหม เรื่องงานของคุณ”
“คุณรับออกแบบโลโก้ด้วยเหรอ” เขาถามพร้อมกับเดินไปที่บอร์ดติดรูปตรงผนังห้องด้านหนึ่งด้วยท่าทางสนอกสนใจ “ทั้งหมดนี่คือโลโก้ที่คุณเป็นคนทำใช่ไหม”
“อื้อ” แพรภัทรตอบแล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานตัวเอง แต่ยังคอยชำเลืองไปทางเขาตลอด
“ออกแบบโลโก้ให้ผมด้วยสิ ผมก็อยากมีโลโก้เป็นของตัวเองเหมือนกัน”
“เอาไว้ทำเสื้อแจกแฟนคลับเหรอ”
“ก็ทำนองนั้น คุณจะคิดราคายังไงก็ลองเสนอมาละกัน งั้นก็รับงานนี้ไว้ด้วยเลยนะ” เขาสรุปเอาเองดื้อๆ อย่างง่ายดาย
“แล้วมีอะไรอย่างอื่นอีกไหมคะ ฉันจะทำงานแล้ว” เธอถามย้ำอีกรอบ
“อย่าเพิ่งไล่ได้ไหม จริงๆ แล้ววันนี้ผมไม่รู้จะไปไหนดีก็เลยมานี่ แล้วบ้านคุณก็อยู่ตั้งไกล ไหนๆ มาแล้วก็ขออยู่นานๆ หน่อยไม่ได้เหรอ ถ้าจะสั่งอาหารกลางวันมากินก็เผื่อผมด้วย เพราะของที่ซื้อมากินผมยกให้เพื่อนบ้านคุณไปหมดแล้ว บางทีถ้าผมได้ดูนั่นดูนี่ในสตูฯ คุณไปเรื่อยๆ อาจจะได้ไอเดียเพิ่มหรือนึกอะไรออกอีก จะได้บอกสิ่งที่ต้องการให้คุณฟังจนเรียบร้อยหมดวันนี้เลย”
“งานที่ฉันจะทำให้คุณนี่มันไม่ได้มีรายละเอียดเยอะแยะมากมายอะไรขนาดนั้นซะหน่อย แล้วก็ยังไม่มีเวลาลงมือทำให้เร็วๆ นี้ด้วยนะคะ” เธอเตือนเหมือนคิดว่าเขาน่าจะลืมเรื่องพวกนี้ไป
“ผมทราบ แต่วันนี้ผมไม่มีเพื่อนให้ไปหาเลยจริงๆ เห็นแบบนี้ผมขี้เหงามากนะ จะขับรถไปทะเลคนเดียวตอนนี้ก็ไม่ไหว เพราะพรุ่งนี้มีงานเช้ามาก แล้วตอนนี้คุณก็เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งของผมแล้ว ขออยู่คุยด้วยสักวันไม่ได้เหรอ”
แพรภัทรฟังแล้วมีสีหน้าแปลกๆ จะว่าลำบากใจก็ไม่ใช่ รังเกียจก็ไม่เชิง แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีรับรู้ถึงปฏิกิริยาในแง่ลบของเธอเลย
“คุณเกิดปีเดียวกับผมใช่ไหม เกิดเดือนอะไร”
เธอทำหน้าปั้นยากกับคำถามในเชิงลึกที่เริ่มจะเป็นส่วนตัวมากเกินไปของเขา “ฉันเกิดก่อนคุณสองเดือน”
“นี่รู้วันเกิดผมด้วยเหรอ” ชายหนุ่มหันมามองเธอพร้อมกับเบิกตาโต
“ก่อนไปทำงานกับคุณที่สตูลฉันก็ต้องหาข้อมูลติดสมองไปนิดหนึ่งเพื่อความมั่นใจ ใครจะไปแบบโล่งร้างว่างเปล่า ไม่รู้อะไรเลย”
เขาฟังแล้วยิ้มนิดหนึ่ง “ว่าแต่คุณแก่กว่าผมเหรอเนี่ย นึกว่าเรารุ่นเดียวกัน”
“ก็น่าจะเรียกว่ารุ่นเดียวกันไม่ใช่เหรอ แก่กว่าแค่สองเดือนเนี่ย”
รัญชน์รวิชญ์หัวเราะ “เออ ก็จริง”
“ฉันทำงานนะ”
“อื้อ” เขาตอบเบาๆ ในลำคอขณะเดินไปชมตู้โชว์ที่เต็มไปด้วยฟิกเกอร์โมเดลที่มาจากคาแร็กเตอร์ในภาพยนตร์และการ์ตูนชื่อดังต่างๆ มากมาย “ปกติคุณทำงานอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ตลอดเหรอ ไม่เหงาเลยรึไง”
แพรภัทรไม่แน่ใจว่ารัญชน์รวิชญ์เป็นคนพูดมากแบบนี้ตามปกติอยู่แล้ว หรือว่าเขาตั้งใจกวนประสาทเธอเล่นกันแน่ เพราะเธอบอกเขาตั้งหลายครั้งแล้วว่าจะทำงาน แต่เขาก็ยังชวนคุยไม่หยุด ถ้าไม่ใช่ว่าขี้เหงาจริงๆ ก็ต้องแปลว่าตั้งใจแกล้งแน่นอน…
“ก็เหงาบ้างไม่เหงาบ้าง บางทีก็จ้างคนมาช่วยเป็นจ็อบๆ ไปถ้างานไหนทำไม่ทันจริงๆ แต่ก็ไม่เคยมีคนที่อยู่ด้วยประจำ” เธออธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น
“คุณมีชีวิตอยู่แบบนี้ได้ยังไงกัน วันๆ แทบไม่ได้สัมผัสกลิ่นอายของมนุษย์เลย ผมเป็นคนที่เชื่อว่าคนเราจำเป็นต้องมีใครสักคนคอยช่วยเติมพลังให้อย่างสม่ำเสมอ”
“ไปรษณีย์กับไลน์แมนได้ไหม ผลัดกันมาเติมพลังให้ฉันทั้งวันเลย มาแบบเป็นรูปธรรมด้วยนะ มาพร้อมข้าวของเครื่องใช้และอาหารมากมายหลายชนิด”
“หมายถึงคนรู้จักที่สนิทกันจริงๆ สิ เติมพลังใจ…ไม่ใช่เติมของกินใส่ท้อง”
“น้าศจีกับน้าชุไง เพื่อนบ้านสองคนที่คุณเจอเมื่อกี้นี้ เขาดีกับฉันมาก”
“ก็ไม่ใช่อยู่ดีนะ มันควรจะเป็นใครสักคนที่เป็นคนของเราจริงๆ”
“ในบ้านฉันมีจิ้งจกอยู่ด้วยสองสามตัว เวลาเหงาฉันก็คุยกับมันตลอดแหละ”
“ไม่ หมายถึงคนสิ”
เธอมองด้วยสายตาตำหนิและแสดงความผิดหวังสุดๆ “ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นคำพูดของคนที่เคยบอกว่าถ้าหมาพูดได้ก็คงไม่คุยกับคน ทำไมตอนนี้ถึงแบ่งแยกสายพันธุ์”
คนถูกย้อนสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดทน ปกติเขามักมีแต่คนตามใจและคอยเออออด้วยทุกกรณี พอมาถูกแพรภัทรต่อต้านและคอยแต่จะขัดใจอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้จึงหงุดหงิดเล็กน้อย
“เอาเป็นว่า…อย่างน้อยคุณก็ควรมีหมาแมว หรือสัตว์เลี้ยงอะไรสักอย่างที่เป็นสัตว์เลี้ยงจริงๆ ไม่ใช่ตัวอะไรก็ได้แบบจิ้งจกตุ๊กแก ที่ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปแบบตอนนั้น เป็นเพราะการเจอคนสารพัดรูปแบบในแต่ละวันของผมมันทำให้เหนื่อยแบบสิ้นเปลืองพลังงานมากจริงๆ แต่ในทุกๆ วันผมก็ยังต้องหาโอกาสกอดใครสักคนเพื่อเติมพลังให้ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ใครสักคนที่เรารู้สึกดีด้วย และเราก็เป็นคนสำคัญของเขาเหมือนกัน แต่ถ้าวันไหนไม่มีใครคนนั้นให้กอด สัมผัสจากคิตตี้กับมิกกี้ก็ทำให้ผมรู้สึกดีได้ไม่ต่างกัน หรือบางทีอาจจะดีกว่าคนบางคนด้วยซ้ำ ทำไมคุณไม่เลี้ยงสัตว์ล่ะ”
“ไม่รู้สิ เลี้ยงไม่เป็นมั้ง ฉันไม่เคยเลี้ยงอะไรมาก่อนเลย”
“หรือเพราะขี้เกียจ ท่าทางคุณดูไม่ชอบความยุ่งยาก น่าจะเป็นคนรักสบาย…”
“นี่! ฉันขยันทำงานมากเลยนะ แม้แต่งานบ้านงานครัวก็ทำคนเดียวทุกวันไม่เคยบ่น ไม่งั้นพ่อแม่ก็คงไม่ยอมให้มาใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายแบบนี้ อย่าบังอาจมาหาว่าฉันขี้เกียจเด็ดขาด”
“ผมขอโทษ” ชายหนุ่มรีบบอก
“แต่ถ้าจะขี้เกียจ ฉันก็แค่ขี้เกียจยุ่งยากวุ่นวายกับคนบางคนเท่านั้นแหละ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นเล็กน้อย “สรุปว่าวันนี้คุณมาเพื่อชวนคุยจริงๆ ใช่ไหม ฉันบอกจะทำงานคุณก็ชวนคุยไม่หยุดเลย แล้วมาหาก็ไม่นัดล่วงหน้า”
“มาหาคุณที่บ้านนี่ต้องนัดก่อนเสมอเลยเหรอ” เขาถามเสมือนตกใจมาก “ท่าทางคุณดูไม่ใช่คนซีเรียสเบอร์นั้น”
“ก็ถ้าฉันติดลูกค้าอยู่มันก็จะวุ่นวายมาก” เธอบอกเหตุผล
“งั้นถ้าเป็นแฟนก็ต้องนัดกันก่อนจะมาเจอด้วยรึไง”
“ไม่รู้สิ ยังไม่เคยคิดไว้ว่าถึงตอนนั้นจะต้องทำยังไง ฉันเคยมีแฟนอยู่คนเดียว แต่คบได้ไม่กี่วันก็เลิกกันทั้งที่ยังไม่ทันสนิทถึงขั้นมาหาที่บ้านได้แบบไม่ต้องนัดล่วงหน้าด้วย”
อีกฝ่ายฟังแล้วเงียบไป มองเธอด้วยสายตาแปลกๆ จนคนถูกมองสัมผัสได้
“นี่ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ที่รู้สึกว่า…กำลังถูกคุณมองด้วยสีหน้าแววตาเหมือนเวทนาสงสารยังไงชอบกล นี่แสดงว่าคงได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับแฟนเก่าที่แสนดีของฉันจากอิษมาบ้างแล้วล่ะสิ”
“อื้อ”
“ปากสว่างไม่มีใครเกินเลยเนอะ น้องชายคุณเนี่ย” เธอว่าอิษฎาแต่ค้อนเคืองใส่เขา
ระหว่างนั้นเองโทรศัพท์รัญชน์รวิชญ์ก็ส่งเสียงเตือนสายเข้า พอแพรภัทรแอบฟังหลังจากเขารับสายก็จับใจความได้ว่าปลายสายโทรมาชวนไปที่ไหนสักแห่ง แต่เขากลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเลโดยอ้างว่าติดธุระสำคัญอยู่ ดังนั้นทันทีที่เขาวางสายเธอจึงรีบถาม
“คุณไม่ได้ติดธุระอะไรเลยไม่ใช่เหรอ คุณบอกฉันว่าวันนี้ว่างทั้งวัน แล้วเขาโทรมาชวนไปไหนทำไมไม่ไป”
“เพื่อนชวนไปกินข้าว แต่ผมไม่อยากไป ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่”
“เพื่อนที่โทรมาชวนคุณไปกินข้าวเนี่ยนะ…ไม่สนิท”
“ก็วันนี้ไม่อยากสนิท”
เธอฟังคำตอบเอาแต่ใจอย่างหน้าตาเฉยของเขาแล้วถึงกับรับไม่ได้ “ท่าทางคุณไม่เห็นจะนิสัยดีอย่างที่ใครเขาว่ากันเลยสักนิด”
“แล้วผมนิสัยไม่ดีตรงไหน”
“ก็…ไม่รู้อ่ะ แต่คุณดูเอาแต่ใจสุดๆ”
“ผมแค่เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แต่ที่คนส่วนใหญ่คิดว่าผมนิสัยดี คงเป็นเพราะปกติแล้วผมจะเป็นคนมีมารยาทและรู้กาลเทศะ”
“แปลว่าเวลาจะทำอะไรสักอย่าง คุณไม่ได้ทำด้วยความจริงใจเสมอไป?”
“ก็แล้วแต่กรณี”
“นี่ถ้าไม่ใช่ดาราและไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง คุณก็คงทำตัวแย่ๆ แบบตามสบายโดยไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์เลยกระมัง”
“ผมไม่ได้มีมารยาทและรู้กาลเทศะเพราะห่วงภาพลักษณ์ แต่มันถือเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไปที่ทุกคนต้องทำ”
“แต่เวลาเห็นข่าวชื่นชมคุณงามความดีของคุณ ที่เขาบอกว่าคุณเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ นิสัยดีอย่างนั้น ชอบทำเรื่องดีๆ อย่างนี้…ฉันจะรู้สึกว่าตัวเองแย่ทุกทีเลย”
“ทำไมล่ะ เท่าที่เห็นอยู่คุณก็ดูเป็นคนดีกว่าผมเสียอีกนี่นา ดูเป็นคนดีอย่างเป็นธรรมชาติด้วย” เขาออกปากชมอย่างจริงใจเป็นครั้งแรก ทำเอาคนโดนชมทำตาโตอย่างคาดไม่ถึง แต่เธอก็ยอมรับด้วยการพยักหน้าเบาๆ โดยไม่คิดจะปฏิเสธคำพูดเขาให้ยุ่งยาก
บางทีรัญชน์รวิชญ์อาจจะรู้สึกเหงาจริงๆ ถึงได้มาวอแวเธอที่บ้าน นอกจากหวังจะไถ่โทษที่เคยกล่าวหาด้วยความเข้าใจผิดว่าเธอเป็นแฟนคลับโรคจิตแล้ว การมาที่นี่อาจจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยด้วยกระมัง เนื่องจากไม่รู้สึกถึงอารมณ์พิศวาสอันลึกซึ้งจากเธอ และคงเชื่อมั่นว่าเธอไม่ได้มีความคาดหวังใดๆ ในตัวเขาเลย
แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ใกล้ชิดเขา แพรภัทรจะคอยเตือนตัวเองให้มีสติยั้งคิดอยู่เสมอว่าเธอต้องไม่เผลอใจหวั่นไหวไปกับมิตรภาพที่เขาหยิบยื่นให้โดยเด็ดขาด เพราะเธอก็รู้ดีเท่ากับคนอื่นๆ ว่าปกติแล้วรัญชน์รวิชญ์มีไมตรีและแสนดีกับทุกคนเหมือนๆ กันหมด ยิ่งกับเธอซึ่งเป็นคนที่เขาเคยว่าร้ายเพราะความเข้าใจผิด ก็ยิ่งเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องทำดีด้วยเพื่อลบล้างความผิดที่ตัวเองเคยทำ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.