X
    Categories: LOVEจิรพัชรทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน จิรพัชร บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 3 พี่สาวใจดี

ความคึกคักและเสียงโหวกเหวกที่โอบล้อมรอบตัวทำให้จิระประไพอดยิ้มออกมาไม่ได้ วันนี้เธอกลับมาที่มหาวิทยาลัยเก่าเพื่อมาช่วยงานโอเพนเฮ้าส์ของคณะ ตั้งแต่เรียนจบเธอก็กลับมาร่วมงานนี้ทุกปี ทั้งนี้เพราะสมัยเรียนเธอเห็นตัวอย่างจากรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้วสลับสับเปลี่ยนเวียนกันมาช่วยงานของคณะจนเหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ พอมีโอกาสเธอจึงทำตาม

หญิงสาวนั่งเท้าคางกับโต๊ะหินอ่อน มองนู่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งมีเสียงเรียก

“จี”

จิระประไพหันไปมอง ดวงตากลมโตฉายแววแปลกใจนิดหนึ่งเมื่อเห็นหน้าคนเรียก ก่อนที่ริมฝีปากจะคลายตัวเป็นรอยยิ้มเล็กๆ

“แซม ไม่ได้เจอกันนานเลย”

“อืม ตั้งแต่รับปริญญาเลยล่ะมั้ง” ศิวนาถพยักหน้ารับ จากนั้นก็นั่งลงบนม้าหินตรงข้ามเธอ “จีมาช่วยงานน้องๆ เหรอ”

“ฮื่อ เรามาทุกปีแหละ”

“จีนี่เป็นคนมีน้ำใจเหมือนเดิมเลย ตั้งแต่เรียนจบเราก็ไม่ได้กลับมาเลย พอดีน้องกำลังจะเข้ามหา’ลัยเลยพามาดู เผื่อจะเห็นภาพว่าควรเลือกคณะอะไร”

จิระประไพเพียงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเป็นเชิงรับรู้โดยไม่มีทีท่าจะพูดอะไร จนเขาต้องพูดต่อเอง

“จีสบายดีใช่ไหม แล้วตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ที่ไหน”

“ก็สบายดีอย่างที่เห็นนี่แหละ ตอนนี้ทำอินทีเรียอยู่ที่บริษัท Archwin แต่แซมไม่ได้อยู่ในวงการคงไม่รู้จักหรอกมั้ง…แล้วแซมล่ะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่”

“เราช่วยงานที่บ้านตั้งแต่เรียนจบ”

เมื่อไม่มีคำถามต่อท้าย หญิงสาวจึงเพียงยิ้มเฉยโดยไม่พูดอะไรอีก ขณะที่ศิวนาถมองเธอ ทำท่าอึกอักอยากพูดอะไรบางอย่างอยู่นานกว่าจะส่งเสียงออกมาในที่สุด

“จียังใช้เบอร์เดิมใช่ไหม เราโทรไปคุยบ้างได้หรือเปล่า”

“ใช้เบอร์เดิม โทรมาได้ แต่ไม่รับปากว่าจะว่างคุยตลอด” เธอยังยิ้มเช่นเดิม

ชายหนุ่มมองสบดวงตาหลังแว่นทรงกลมอีกครู่ก่อนจะเผยอริมฝีปาก ทว่าเขายังไม่ทันพูดอะไรเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาก็ปราดเข้ามา

“พี่จี ข้างหน้าพร้อมแล้วครับ”

“โอเคจ้ะ” มัณฑนากรสาวพยักหน้าแล้วลุกยืน “ไปก่อนนะแซม”

หญิงสาวเดินตามรุ่นน้องไปยังซุ้มของคณะ ตอนนี้มีเด็กมัธยมทั้งที่อยู่ในชุดนักเรียนและชุดไปรเวตยืนออกันอยู่พอสมควร เธอรับไมโครโฟนมาจากรุ่นน้อง จากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวบอกชื่อและงานที่ทำอยู่ แล้วเธอก็เริ่มเล่าถึงประสบการณ์การเรียน ไล่เรียงไปจนถึงตอนหางานและตอนทำงานในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะเล่าถึงงานมัณฑนากรแล้วเธอก็เล่าถึงงานเสริมเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทางด้วยเพื่อให้เด็กๆ เห็นภาพว่าเรียนจบคณะนี้แล้วสามารถไปทำมาหากินอะไรได้บ้าง

ระหว่างที่จิระประไพกำลังถือไมโครโฟน เธอก็สังเกตเห็นศิวนาถมายืนกอดอกฟังเธอพูดอยู่ห่างๆ และไม่ใช่การยืนฟังเพียงครู่เดียวเสียด้วย

อย่าบอกนะว่าจะกลับมาจีบเราอีก หญิงสาวนึกขันๆ

ศิวนาถเป็นหนุ่มเศรษฐศาสตร์ เขารู้จักเธอเพราะมีเพื่อนสมัยเรียนมัธยมเรียนอยู่คณะนี้ พอเขาแวะมาหาเพื่อนก็เลยได้เจอเธอ หลังจากผ่านไปพักหนึ่งเขาก็เริ่มแสดงท่าทีจีบเธอ…จิระประไพคิดว่าเขาก็น่ารักดี แต่เธอไม่ได้คิดรีบร้อนอยากมีแฟนและคิดว่าดูไปเรื่อยๆ ก็ไม่เสียหาย จนกระทั่งนีรัมพรก้าวเข้ามา แล้วเขาก็ไปเป็นแฟนกับอีกฝ่าย

ใช่ นีรัมพรคนเดียวกับที่เป็นดาราดังนั่นแหละ

อีกฝ่ายอายุมากกว่าเธอสามสี่ปี แต่ที่ยังทันเจอกันในมหาวิทยาลัยเพราะดาราสาวเรียนไปทำงานไปจนจบช้ากว่าที่ควรจะเป็น และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือดูเหมือนอีกฝ่ายจะเกลียดเธอ นีรัมพรแสดงออกมาทางสายตาจนแม้กระทั่งเพื่อนของจิระประไพยังจับสังเกตได้

จิระประไพงุนงง ตอนแรกเธอนึกว่าโดนอีกฝ่ายเขม่นเพราะศิวนาถเคยจีบเธอเฉยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเห็นนีรัมพรบนหน้าจอโทรทัศน์เลยบ่นให้พ่อแม่ฟัง แล้วก็เห็นพวกท่านทำท่าทางแปลกๆ สุดท้ายพิทยาก็ออกปากเล่าให้ฟังว่าดูเหมือนครั้งหนึ่งญาติสินธุนานนท์ของเธอเคยใช้เล่ห์กระเท่ห์ในลักษณะที่อาจเรียกว่าจงใจโกงพ่อของนีรัมพร นั่นทำให้ครอบครัวของนางเอกสาวลำบากมาก โชคดีที่นีรัมพรได้เป็นดารา ที่สำคัญคือดัง ทำให้ช่วยกอบกู้สถานการณ์ของที่บ้านได้ ขณะที่ครอบครัวสินธุนานนท์กลับตกต่ำลง และที่พิทยาทราบเรื่องความแค้นนี้ก็เพราะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับการที่พ่อของนีรัมพรย้อนมาเยาะเย้ยญาติผู้เป็นคู่กรณี กระนั้นพิทยาก็ไม่แน่ใจว่ารู้รายละเอียดของเรื่องนี้มาอย่างถูกต้องหรือเปล่า ท่านเลยขอไม่บอกว่าญาติคนนี้คือใคร

มัณฑนากรสาวพอเข้าใจในความเจ็บแค้นของคนที่โดนโกง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมนีรัมพรถึงเอาความแค้นมาลงกับเธอที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย ต่อให้ใช้นามสกุลเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรับผิดแทนกัน ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากรู้เรื่องนี้ไม่นานจิระประไพก็บังเอิญได้พบกับดาราสาว เธอไม่ได้อยากยุ่งกับอีกฝ่าย แต่กลายเป็นว่านีรัมพรเข้ามาใกล้เธอเอง

‘ขอโทษด้วยนะเรื่องแซม เอาไว้เบื่อแล้วฉันจะคืนให้’

นั่นเป็นประโยคที่เกินความคาดหมายอย่างแท้จริง และมันก็ทำให้จิระประไพตระหนักว่าที่แท้แล้วนีรัมพรไม่ได้รักศิวนาถเลย อีกฝ่ายก็แค่มายุ่งกับเขาเพราะเกลียดเธอ แล้วหลังจากนั้นไม่นานดาราสาวก็เรียนจบและทิ้งชายหนุ่มไปมีคนใหม่ โดยเพื่อนของเธอก็ตั้งข้อสังเกตว่าคนใหม่นั้นร่ำรวยไฮโซกว่าศิวนาถซึ่งถึงจะมีธุรกิจของตัวเองแต่ก็ไม่ได้ใหญ่โต

อันที่จริงจิระประไพไม่ได้เกลียดชังชายหนุ่ม ทว่าก็ไม่ได้เห็นใจเช่นกัน เพราะอย่างไรเสียเขาก็เลือกจะคบกับนีรัมพรเอง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาทักทายเธอในลักษณะนี้ เนื่องจากตอนคบกับนางเอกสาวเขาก็พยายามเลี่ยงเธออย่างเห็นได้ชัด และตอนที่ทั้งสองเลิกกันถึงเขาจะดูเจ็บหนักแต่ก็ยังคงหลีกเลี่ยงเธอเหมือนเดิม

ผ่านไปหลายปี พอบังเอิญเจอกันอีกทีเขากลับย้อนมาทักเธอเสียอย่างนั้น…เอาเถอะ ไม่ว่าศิวนาถจะขอกลับมาติดต่อเธอด้วยจุดประสงค์ใด ก็ให้เขาเรียนรู้เองแล้วกันว่าเธอไม่มีทางให้เขาได้มากกว่าความเป็นเพื่อนอีกแล้ว

จิระประไพใช้เวลาพูดเล่าประสบการณ์ของตนเองกับตอบคำถามจากเด็กๆ ราวครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็ยังมีเด็กบางคนที่ยืนคุยกับเธอต่อเพื่อถามถึงประเด็นที่สนใจอย่างเป็นส่วนตัว ซึ่งในช่วงหลังนี้เองที่เธอสังเกตเห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนเมียงมองมาจากวงนอก กระทั่งเด็กคนอื่นๆ ไปกันหมดแล้วและเธอหันไปคุยกับรุ่นน้องที่เป็นคนดูแลบูธของคณะจนเสร็จแล้ว เด็กสาวคนนั้นก็ยังยืนมองมาเช่นเดิม แต่ไม่ยักเดินเข้ามาหา หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ตัดสินใจก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายเสียเอง

“สวัสดีจ้ะ สนใจอยากเรียนคณะของพี่เหรอ” มัณฑนากรสาวถามทั้งรอยยิ้ม ทำเป็นไม่เห็นอาการผงะของเด็กสาวซึ่งดูตกใจตั้งแต่เห็นเธอเดินมาแล้ว

“เอ่อ คะ…ค่ะ” เด็กสาวตอบกลับอย่างเงอะงะ

“พี่ชื่อจีค่ะ” จิระประไพยังคงยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรเช่นเดิม “น้องชื่ออะไรเหรอ”

“ปุ้มค่ะ”

“เมื่อกี้คนเยอะเนาะ ตอนนี้คนน้อยลงแล้ว น้องปุ้มอยากเข้าไปดูในบูธไหมคะ พี่เดินเป็นเพื่อนได้นะ” หญิงสาวเสนอเสียงอ่อน เธอสังเกตว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นพวกขี้อายหรือไม่ก็ขาดความมั่นใจ “หรือถ้าเพิ่งนึกได้ว่าอยากถามอะไรพี่ก็ยินดีตอบนะ”

ปรีชยามองมัณฑนากรสาวอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าจะได้รับมิตรไมตรีแบบนี้ ครั้นผ่านไปครู่หนึ่งจึงตระหนักว่ายังไม่ได้ตอบคำถาม ซึ่งมันเสียมารยาทมาก ดังนั้นเธอจึงพูดละล่ำละลัก

“ขอบคุณ…ขอบคุณนะคะพี่ คือหนู…ชอบวาดรูป แต่ก็วาดไม่เก่ง”

“งั้นเราก็เหมือนกันน่ะสิ พี่ก็ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กเลย ไม่เก่งหรอกแต่พี่ก็เรียนจบจนได้นะ” จิระประไพส่งยิ้มให้เด็กสาวอีกรอบ “น้องปุ้มพอมีเวลาไหมล่ะ พี่แนะนำเรื่องการเตรียมสอบเข้าเรียนได้นะ ไม่ใช่แค่คณะนี้แต่หมายถึงทั่วๆ ไปเลย”

“พี่ใจดีจังค่ะ”

หญิงสาวยิ้มรับคำชม ก่อนจะออกปากชวนอีกรอบ “ตอนนี้บูธกำลังว่าง เดินสบาย ไหนๆ ก็มาแล้วน้องปุ้มแวะเข้าไปดูหน่อยไหม เผื่อจะได้ไอเดียอะไรดีๆ”

 

จิระประไพสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าปรีชยามีความสนใจด้านศิลปะและการออกแบบ แต่ขณะเดียวกันเด็กสาวก็ขลาดเขินและขาดความมั่นใจอย่างยิ่ง โชคดีที่หลังจากผ่านไปพักหนึ่งอีกฝ่ายก็ดูสบายใจขึ้นที่จะใช้เวลากับเธอ ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าเด็กสาวจะกล้าไปคุยกับใครอีกไหม ดังนั้นเธอจึงพยายามบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยและการเรียนเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะในเอกที่เธอเรียนหรือเอกอื่นที่เธอพอมีข้อมูล โดยหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่ายเนื่องจากเรื่องการเรียนในชั้นอุดมศึกษานั้นเกี่ยวพันกับอนาคต และสำหรับบางคนก็ต้องติดแหง็กกับการเลือกครั้งนี้ของตัวเองไปตลอดชีวิตทีเดียว

หลังออกจากบูธมัณฑนากรสาวก็พาปรีชยาไปนั่งคุยกันที่โต๊ะม้าหินตัวเดิม เธอให้คำแนะนำว่าถ้าอยากเรียนในคณะนี้จะต้องเตรียมตัวอย่างไร ติววิชาไหนเป็นพิเศษ รวมถึงลองสเก็ตช์รูปเป็นตัวอย่างให้อีกฝ่ายดูด้วย

“พี่จีเก่งจังค่ะ”

“ตอนพี่เข้าเรียนก็ไม่ได้แบบนี้หรอก แต่พอเราฝึกซ้ำๆ มันก็พัฒนาขึ้นค่ะ” จิระประไพบอก “น้องปุ้มยังมีเวลาเตรียมตัว พี่แนะนำว่าลองหาครูติวก่อนก็ได้ค่ะ น่าจะพอช่วยให้รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็จะได้เบนเข็มไปทางอื่น”

ปรีชยามองสาวรุ่นพี่ เธออยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล สุดท้ายแล้วก็เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น

หญิงสาวยิ้มรับ ไม่ถามแม้จะสงสัย จากนั้นเธอก้มหน้าลงจรดปากกาลงบนกระดาษสมุดโน้ตอีกครั้ง ขีดเขียนลากเส้นอย่างรวดเร็ว แล้วอึดใจถัดมาก็หันสมุดให้อีกฝ่ายดู

“พี่จีวาดการ์ตูนได้ด้วย น่ารักจัง” เด็กสาวพึมพำชื่นชม แม้จะงุนงงอยู่บ้างก็ตาม

“ต้องน่ารักสิ พี่เอาน้องปุ้มเป็นแบบ” จิระประไพยิ้ม

“เอ๊ะ”

“พี่ชอบวาดการ์ตูนแบบเอสดีก็จับเอาคนใกล้ตัวมาเป็นแบบนี่แหละ”

ปรีชยาหลุบตามองตัวการ์ตูนบนกระดาษ มันมีจุดเด่นของเธอครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นผมหางม้า แก้มยุ้ยๆ ทรงแว่นที่ใส่ หรือกระทั่งเนื้อตัวที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ ที่ต่างออกไปคือตัวการ์ตูนนั้นน่ารัก ขณะที่เธอไม่ใช่

“หนูไม่ได้น่ารักแบบนี้หรอกค่ะ”

“ถ้าต้นแบบไม่น่ารัก พี่ก็วาดให้มันออกมาน่ารักไม่ได้หรอก พี่วาดตามที่ตาตัวเองเห็น” มัณฑนากรสาวบอกเสียงอ่อน ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเธอก็ส่งยิ้มไปให้ ค่อนข้างแน่ใจว่าเด็กสาวตรงหน้าน่าจะมีปัญหาบางอย่าง ไม่แน่ว่าอาจถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนก็ได้ เลยทำให้ขาดความมั่นใจแบบนี้

“พี่จีใจดีจริงๆ ด้วย” ปรีชยาพึมพำ แต่ไม่ทันได้พูดอะไรมากกว่านั้นโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายใบเล็กก็ส่งเสียงร้อง เธอรีบร้อนรูดซิปหยิบมันออกมารับสาย มีเสียงแว่วออกมาจากลำโพง จิระประไพจับใจความไม่ได้ ขณะที่เด็กสาวรับคำเพียงค่ะๆ สองสามครั้งก่อนจะวางสาย “หนูต้องไปแล้วค่ะ”

“จ้ะ” สาวรุ่นพี่พยักหน้า “แล้วนี่กลับยังไง”

“คุณน้ามารับค่ะ”

“แล้วนัดกันที่ไหน ให้พี่เดินไปเป็นเพื่อนไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ” ปรีชยาส่ายหน้าพร้อมกับเก็บข้าวของของตนเอง จากนั้นเธอก็ยกมือไหว้สาวรุ่นพี่ “วันนี้ขอบคุณพี่จีมากเลยนะคะ”

“จ้ะ” จิระประไพยิ้มรับแล้วนั่งมองเงียบๆ ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเหลือบมองเธอ ทำท่าคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดเสียที จนเธอตัดสินใจถามเสียเอง “มีอะไรหรือเปล่า”

“หนู…ขอเบอร์พี่จีได้ไหมคะ” เมื่อได้รับการกระตุ้นเด็กสาวก็โพล่งออกไป “หรือไอดีแชตก็ได้ค่ะ”

“เอาไปทั้งสองอย่างเลยแล้วกัน” มัณฑนากรสาวจรดปากกาลงบนกระดาษอีกครั้ง เธอเขียนทั้งเบอร์โทรศัพท์และไอดีแชต จากนั้นก็ดึงกระดาษออกจากสมุดโน้ตแล้วยื่นให้อีกฝ่าย

“กระดาษแผ่นนี้…” ปรีชยามองอีกด้านของกระดาษโน้ต มันคือตัวการ์ตูนที่สาวรุ่นพี่วาดโดยมีต้นแบบคือเธอ

“ก็พี่วาดให้น้องปุ้มไง ถือว่าเป็นที่ระลึกสำหรับการเจอกันของเราแล้วกันนะ”

“ขอบคุณมากนะคะ” เด็กสาวพูดอย่างซาบซึ้ง เธอมองสาวรุ่นพี่ครู่หนึ่งก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้และยกสองมือประนม “งั้นหนูไปก่อนนะคะ แล้วหนูจะติดต่อไป”

“จ้ะ กลับดีๆ นะ ถ้ามีอะไรก็ติดต่อมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”

ปรีชยาพยักหน้าเร็วๆ แล้วหมุนกายจากไป จิระประไพมองตามจนร่างท้วมของเด็กสาวลับไปจากสายตา จากนั้นก็ก้มลงเก็บเครื่องเขียนของตัวเองกลับเข้ากระเป๋า…พูดตามจริงเธอก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายโดนกลั่นแกล้งหรือเปล่า แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอเอนเอียงเชื่อข้อสันนิษฐานของตัวเอง ในฐานะที่เคยพบเจออะไรหลายอย่างในช่วงที่ครอบครัวตกต่ำ หญิงสาวโชคดีที่ผ่านมันมาได้ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่เก็บเรื่องพวกนั้นมาเป็นสาระ แต่ก็ตระหนักดีว่าไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแบบเธอ

ไม่ว่าอย่างไร…ถ้าเธอสามารถช่วยเด็กสาวคนหนึ่งค้นหาเส้นทางชีวิตของตัวเองเจอได้ก็คงดี

 

พัชรหันไปมองหลานสาวที่เพิ่งขึ้นมาบนรถ พอเห็นว่าปรีชยาดึงประตูรถปิดสนิทเรียบร้อยแล้วเขาจึงออกรถ ขณะที่เธอยกมือไหว้เขา

“สวัสดีค่ะคุณน้าพัชร”

“คาดเข็มขัดด้วย” ชายหนุ่มเตือน พอเห็นเธอทำท่านึกขึ้นได้แล้วเอี้ยวไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดเขาก็ถาม “หอบเชียว วิ่งมาเหรอ”

“นิดนึงค่ะ”

“แล้วในมือถืออะไรอยู่นั่น” ตอนแรกพัชรจะถามเธอว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่พอดีสังเกตเห็นว่าหลานสาวทำทุกอย่างด้วยมือเดียวในลักษณะแปลกๆ คล้ายเจ็บมือ แต่สิ่งที่แลบมาจากมือที่ไม่ได้ใช้ดูไม่น่าใช่ผ้าพันแผลหรือกระทั่งพลาสเตอร์ปิดแผล

“เอ้อ กระดาษค่ะ…มีพี่ใจดีคนนึงเขาช่วยแนะนำเรื่องการเข้าเรียน แล้วก็วาดการ์ตูนให้ปุ้มด้วย” ปรีชยายกกระดาษแผ่นเล็กขึ้นอวดผู้เป็นน้า ดวงตาคมตวัดไปมองแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปสนใจถนน

“วาดเหมือนปุ้มดีนะ”

“คุณน้ารู้เลยเหรอคะ” เด็กสาวทำตาโต

“ก็เหมือนออก”

“พี่เขาก็บอกว่าวาดตามปุ้มเหมือนกัน แต่ปุ้มว่าการ์ตูนนี่มันน่ารักกว่าปุ้มเยอะเลย” ปรีชยาก้มลงมองตัวการ์ตูน

“มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ ทำไมปุ้มจะไม่น่ารัก” พัชรเอื้อมไปโยกศีรษะหลานสาวเบาๆ

เด็กสาวหันไปส่งยิ้มให้หนุ่มหล่อ ก่อนที่เธอจะหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อกดบันทึกเบอร์โทรและแอดไอดีแชตของจิระประไพ

“พี่คนนี้เป็นผู้หญิงใช่ไหม เขาเรียนอยู่ในคณะที่ปุ้มอยากเข้าเหรอ” ผู้เป็นน้าเปรยถามหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีความสุข ซึ่งก็ไม่บ่อยนักที่จะเห็นเธอมีความสุขขนาดนี้

“พี่เขาเรียนจบแล้วค่ะ ตอนนี้ทำงานเป็นอินทีเรีย เขาแนะนำอะไรๆ ปุ้มเยอะเลย”

“ดูใจดีนะ”

“ค่ะ พี่เขาใจดีมาก”

ปรีชยาพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นก็เปิดกระเป๋าสตางค์แล้วเอากระดาษโน้ตแผ่นเล็กสอดเข้าไปเก็บอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้มันยับไปกว่าที่เป็นอยู่…ความจริงเธออยากเก็บมันให้ดีตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าเพราะต้องรีบมาขึ้นรถของพัชรเลยถือมา นั่นทำให้มันมีรอยยับอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเธอคิดถูกเนื่องจากการไม่เสียเวลาหยุดเก็บมันทำให้มาทันรถของน้าชายฉิวเฉียด

พัชรเหลือบมองหลานสาวเป็นระยะ เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนไม่มาก อีกทั้งไม่ใช่คนที่จะเข้าไปทักทายทำความรู้จักใครด้วย แค่คุยกับคนที่ไม่รู้จักยังเป็นเรื่องยาก กระทั่งการพูดคุยกับพวกพนักงานที่ให้บริการทั่วไปบางทีเธอยังกังวล ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเธอมีเพื่อนใหม่แบบนี้เขาก็อดดีใจไม่ได้

เผื่อบางทีปรีชยาจะก้าวผ่านเรื่องที่ฝังใจและกลับมามั่นใจเหมือนที่ควรจะเป็นเสียที

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: