ศิษย์น้องผู้นี้ของเขา แม้จะเข้าสำนักหมิงหวามาได้หลายปีแล้ว ปกติแล้วอาจารย์จะกักตนอยู่บ่อยๆ วรยุทธ์ของศิษย์น้องส่วนใหญ่เขาจึงเป็นผู้ถ่ายทอด แต่ศิษย์น้องก็หาได้สนิทสนมกับเขา
ทุกครั้งยามพบเจอกันนางก็มักจะก้มหน้าก้มตา ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็เพียงขานรับอย่างเอื่อยเฉื่อยออกมาคำหนึ่ง ไม่มีคำพูดมากกว่านั้น เรื่องนี้ทำให้จนถึงตอนนี้มู่หวาฮุยก็ยังไม่สามารถจดจำรูปลักษณ์ของนางได้ชัดเจน แต่เวลานี้เมิ่งถังกลับจับชายแขนเสื้อเขาไว้อย่างสนิทสนม ยังแหงนหน้าขึ้นส่งยิ้มสดใสให้เขา
แต่จะอย่างไรมู่หวาฮุยก็ไม่ชอบคลุกคลีใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ใด จึงออกแรงเล็กน้อย ดึงแขนเสื้อของตนออกมาจากมือของเมิ่งถังอย่างไม่เผยร่องรอย ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นปกติที่เคยพบเห็น “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว”
ภายใต้ความตื่นเต้น เมิ่งถังไหนเลยจะยังสังเกตเห็นว่ามู่หวาฮุยได้ดึงแขนเสื้อออกจากมือนางไปแล้ว ทว่าต่อให้สังเกตเห็นก็ไม่เป็นไร ฟิลเตอร์มากมายที่นางใส่ให้กับมู่หวาฮุยทำให้รู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรย่อมถูกต้องแน่นอน
เวลานี้เมิ่งถังอยู่ในสภาพแฟนคลับได้พบเทพบุตรที่ตนเฝ้าคิดถึงทุกวันคืนอย่างสมบูรณ์ ฝีปากแหลมคมที่มีต่อหลิ่วหลิงอวิ๋น ถือว่าตนมีเหตุผลก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เมื่อครู่ก่อน ไม่เหลือร่องรอยให้เห็นอยู่เลย ได้แต่มองมู่หวาฮุยแล้วยิ้มอย่างโง่งม
มู่หวาฮุยกลับสังเกตเห็นหลิ่วหลิงอวิ๋น
อันที่จริงถึงไม่อยากเห็นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะในมือของหลิ่วหลิงอวิ๋นถือกระบี่ยาวอยู่เล่มหนึ่ง แสงตะวันจากนอกห้องส่องกระทบคมกระบี่สาดประกายแวววับ
นางกับเมิ่งถังเป็นศิษย์ร่วมสำนัก อยู่ด้วยกันในที่ส่วนตัวเหตุใดต้องถือกระบี่
มู่หวาฮุยเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ใบหน้ากลับยังคงนุ่มนวลเช่นปกติ
“ที่แท้ศิษย์น้องหลิ่วก็อยู่ที่นี่ด้วย”
เขาผงกศีรษะน้อยๆ ให้หลิ่วหลิงอวิ๋น นับเป็นการทักทาย จากนั้นก็แสร้งทำเป็นถามอย่างไม่เข้าใจ “ศิษย์น้องหลิ่วถือกระบี่อยู่ในมือทำอันใดหรือ”
หลิ่วหลิงอวิ๋นไหนเลยจะคาดคิดได้ถึงว่าจู่ๆ มู่หวาฮุยจะมาที่นี่
นางไม่กลัวเมิ่งถัง ประการแรกพลังวัตรของเมิ่งถังสู้นางไม่ได้ พวกนางสองคนถ้าต่อสู้กันขึ้นมาจริง เมิ่งถังมีแต่ต้องถูกนางกดลงถูไถกับพื้นสถานเดียว ประการที่สองนางก็คาดการณ์ไว้แล้ว ทุกครั้งที่เมิ่งถังได้รับความไม่เป็นธรรมก็ได้แต่อดทนอยู่เงียบๆ ไม่มีทางบอกให้เจ้าสำนักหรือมู่หวาฮุยรู้
แต่กับมู่หวาฮุย หลิ่วหลิงอวิ๋นยังคงหวาดกลัวมาก
เพราะถึงอย่างไรมู่หวาฮุยก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักหมิงหวา แม้เขาจะดูเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แต่ในช่วงคับขันสำคัญ ความน่าเกรงขามที่พึงมีในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักก็ไม่ขาดหายแม้ครึ่งส่วน
และที่สำคัญที่สุดก็คือพลังวัตรของมู่หวาฮุยเป็นสิ่งที่นางเทียบไม่ติด ถ้านางกับเขาต่อสู้กัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลิ่วหลิงอวิ๋นต้องถูกมู่หวาฮุยจัดการในกระบวนท่าเดียว
นางลนลานรีบเก็บกระบี่ในมือ
“เอ้อ ข้า…ข้าไม่ได้ทำอันใด เมื่อครู่ศิษย์น้องเมิ่งบอกมีเพลงกระบี่เพลงหนึ่งนางยังใช้ไม่เป็น ขอให้ข้าแสดงให้นางดู ข้าถึงได้หยิบกระบี่ออกมา” พูดพลางถลึงตาใส่เมิ่งถัง
นางยังคงเข้าใจว่าเมิ่งถังยังเป็นเมิ่งถังคนเก่า ไม่ว่านางจะพูดอย่างไรก็ไม่โต้แย้ง กระทั่งยังให้ความร่วมมือคล้อยตามคำพูดของนาง
แต่เมิ่งถังในยามนี้เป็นคนเช่นนั้นหรือ นางเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อยต่างหาก
ชัดเจนว่าหลิ่วหลิงอวิ๋นกลัวมู่หวาฮุย จึงโกหกหน้าตาเฉย
ครั้นแล้วเมิ่งถังก็ฉกฉวยจังหวะนี้ดำเนินการอย่างฉับพลัน ยื่นมือไปยุดชายแขนเสื้อของมู่หวาฮุยแล้วฟ้องเขา
“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หลิ่วนางพูดโกหก” เมิ่งถังสบสายตาที่มองมาของมู่หวาฮุย ยังคงฟ้องต่อไปไม่หยุด
“เมื่อครู่ข้ากำลังดื่มน้ำชาอยู่ จู่ๆ ศิษย์พี่หลิ่วก็ชักกระบี่มาฟันถ้วยชาของข้า ยังตัดแขนเสื้อข้าขาดไปชิ้นใหญ่ ถ้าไม่ใช่ข้าหลบได้ทัน เกรงว่าแขนขวาของข้าคงถูกนางฟันขาดไปแล้ว”
ทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็ชี้มือไปยังถ้วยชาที่ขาดเป็นสองซีกบนพื้นให้มู่หวาฮุยดู แล้วยกมือข้างขวาของตนขึ้นให้มู่หวาฮุยดูแขนเสื้อที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งของนาง
มู่หวาฮุยยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาดใจ แต่กลับไม่ใช่เพราะเรื่องที่หลิ่วหลิงอวิ๋นทำเหล่านี้ทั้งหมด หากแต่เป็นเรื่องที่เมิ่งถังถึงกับฟ้องเขาด้วย
หลิ่วหลิงอวิ๋นยามนี้กลับตกใจจนขวัญแทบกระเจิง รีบร้องขึ้น “ข้าไม่ได้ทำ ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอย่าฟังนางพูดเหลวไหล!”
เมิ่งถังหรือจะยอมให้นางเล่นลิ้นเอาตัวรอด รีบแย้งขึ้นทันที
“ท่านจะไม่ได้ทำได้อย่างไร ถ้าท่านไม่ได้ทำแล้วถ้วยชาของข้า ยังมีแขนเสื้อของข้าอีก หรือว่าข้าเป็นคนฟันขาดเองเพื่อจะใส่ร้ายท่านเช่นนั้นหรือ”
มู่หวาฮุยยิ่งประหลาดใจแล้ว
ที่ผ่านมาเขาเพียงเข้าใจว่าศิษย์น้องผู้นี้ของเขาพูดจาไม่คล่อง คิดไม่ถึงว่านางถึงกับมีช่วงที่พูดจาคล่องแคล่วเช่นนี้