ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 3 – 4
หลิ่วหลิงอวิ๋นรู้สึกว่ายามนี้เมิ่งถังเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ* เป็นคนต่ำต้อยที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่มีมู่หวาฮุยอยู่ที่นี่ ต่อให้นางโมโหเดือดดาลเพียงใดก็ไม่กล้าลงมือกับเมิ่งถังตรงๆ เช่นเมื่อครู่ก่อน ได้แต่ลอบกัดฟัน ถลึงตาใส่เมิ่งถังอย่างดุดันทีหนึ่ง จากนั้นก็ยกเท้าจะเดินออกไปนอกห้อง
แต่เมิ่งถังกลับเอ่ยปากเรียกนางไว้
“ศิษย์พี่หลิ่ว ท่านปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่เกรงใจก็แล้วไปเถิด แต่ศิษย์พี่ของข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของทั้งสำนัก เวลานี้เขายืนอยู่ที่นี่ ท่านจะจากไป ไม่สมควรต้องบอกกล่าวเขาสักคำหรือ”
หลิ่วหลิงอวิ๋นถูกทำให้โมโหจนมือไม้สั่น แต่คำพูดของเมิ่งถังก็มีเหตุผลยิ่ง นางเป็นศิษย์น้องสมควรนอบน้อมต่อศิษย์พี่ใหญ่ จำต้องหมุนตัวไป สองมือแนบลำตัวก้มลงคำนับมู่หวาฮุย จากนั้นก็กลั้นหายใจเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ากลับก่อนล่ะ”
มู่หวาฮุยผงกศีรษะน้อยๆ ตอบกลับไปว่าได้
มองเงาด้านหลังของหลิ่วหลิงอวิ๋นที่กำหมัดแน่นค่อยๆ เดินจากไปไกล เมิ่งถังก็อดเบิกบานใจไม่ได้ เห็นแก่ที่มู่หวาฮุยอยู่ที่นี่ หนี้ที่ฟันถ้วยชาตัดแขนเสื้อของนาง วันหน้าค่อยทวงคืนกลับมา หันหน้ากลับมาอย่างยิ้มแย้มเบิกบาน สบเข้ากับสายตาที่มองมาอย่างค้นหาของมู่หวาฮุยพอดี
เมิ่งถังเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าไปเล็กน้อย เรียกศิษย์พี่ออกมาคำหนึ่ง
มู่หวาฮุยอืมคำหนึ่ง สายตากวาดมองใบหน้านางอีกครู่หนึ่ง เขาหันหน้าไป พูดเหมือนไม่ใส่ใจ “วันนี้ศิษย์น้องดูร่าเริงยิ่ง”
ในใจเมิ่งถังกระตุกวาบ
แย่แล้ว! จู่ๆ ได้เจอเทพบุตรตื่นเต้นเกินไป ลืมไปเลยว่าเจ้าของร่างเดิมเป็นคนนิ่งเงียบพูดน้อย ครั้นพอเปลี่ยนความคิดก็หาข้ออ้างได้แล้ว
“ตอบศิษย์พี่ ความจริงแต่ก่อนเป็นเพราะข้าชื่นชอบศิษย์พี่หลิง กลัวว่าตนเองจะห้ามใจไม่อยู่อยากจะใกล้ชิดเขา ถูกคนมองออกว่าข้าพึงพอใจเขา จึงได้ตั้งใจไปไหนมาไหนตามลำพัง และพูดจากับคนอื่นน้อยมาก แต่เมื่อวานข้ารวบรวมความกล้าไปสารภาพความในใจกับศิษย์พี่หลิงกลับถูกเขาปฏิเสธมาอย่างน่าสังเวชใจ เมื่อคืนข้าเสียใจตลอดทั้งคืน ในที่สุดก็โน้มน้าวตนเองให้ปล่อยวางศิษย์พี่หลิงลงได้แล้ว
ในเมื่อข้าตัดใจจะวางศิษย์พี่หลิงลงแล้ว ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมตนเองเพื่อเขาอีก คงเพราะเช่นนี้ถึงได้ทำให้ศิษย์พี่รู้สึกว่าวันนี้ข้าดูร่าเริงกว่าที่ผ่านมากระมัง” พูดจบก็เผยรอยยิ้มที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งให้มู่หวาฮุย
จะอย่างไรนิสัยของนางกับเจ้าของร่างเดิมก็ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย ทั้งนางก็ไม่คิดว่าต่อไปจะใช้ชีวิตเฉกเช่นเจ้าของร่างเดิม ไม่สู้หาข้ออ้างพูดออกมาเสียแต่ตอนนี้ ต่อไปก็เป็นตัวเองได้อย่างสบายใจ
นางก็ไม่ห่วงว่ามู่หวาฮุยจะสงสัยในตัวนาง อย่างไรเสียร่างนี้ก็เป็นร่างกายของเจ้าของร่างเดิมจริง อีกทั้งความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนางก็รู้ทั้งหมด ไม่กลัวมู่หวาฮุยจะสุ่มตรวจเรื่องใดๆ ในอดีต
มู่หวาฮุยฟังแล้วกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย นิสัยก่อนหลังของเมิ่งถังต่างกันมากจริง
แต่เขาพลันนึกได้ว่าเมื่อก่อนเคยได้ยินคนพูดว่าหญิงสาวที่ผิดหวังเรื่องความรัก นิสัยจะเปลี่ยนแปลงง่าย ศิษย์น้องคงแสร้งทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าเขากระมัง เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก และหยิบของขวัญที่เขาเอามาฝากเมิ่งถังจากการเดินทางครั้งนี้ออกมาจากแหวนเก็บทรัพย์
ก่อนหน้านี้หลังจากที่อาจารย์พาเมิ่งถังขึ้นเขามาแล้วก็เริ่มกักตน โยนเมิ่งถังมาให้เขา เขามองเมิ่งถังที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบแล้วกลัดกลุ้มยิ่งไม่รู้ควรอบรมสั่งสอนนางเช่นไร
ทั้งเด็กคนนี้ก็มีนิสัยนิ่งเงียบไม่ค่อยพูด ถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม นางก็ยืนเฉยทั้งวันไม่พูดอะไรสักคำ เพราะเรื่องนี้มู่หวาฮุยจึงตั้งใจไปขอคำชี้แนะจากผู้อื่นว่าควรดูแลเด็กเช่นไร และเพราะเหตุนี้เองจึงกลายเป็นความเคยชินที่ว่าทุกครั้งที่ลงจากเขากลับมาจะต้องมีของขวัญของฝากมาให้นาง
เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่ว่าเขาจะเอาของขวัญอะไรมาให้เมิ่งถัง นางก็ล้วนมีสีหน้าเฉื่อยเนือย ไม่มีท่าทางดีใจแม้แต่น้อย อย่างมากก็บอกขอบคุณศิษย์พี่อย่างเย็นชาคำหนึ่งเท่านั้น
ทว่าเวลานี้เขามองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจของแม่นางน้อย เดี๋ยวก็ยื่นมือมาลูบคลำสิ่งนี้ เดี๋ยวก็ยื่นมือไปลูบคลำสิ่งนั้น จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นยิ้มพลางถามเขา “ศิษย์พี่ ของเหล่านี้ล้วนมอบให้ข้าหรือ”
เมื่อก่อนเหตุใดไม่เคยสังเกตเห็นบนแก้มของนางมีลักยิ้ม หัวคิ้วดวงตาก็ชวนมองยิ่ง ยามแย้มยิ้มในดวงตาราวกับมีดวงดาวระยิบระยับนับพัน อารมณ์ที่เดิมออกจะมัวหม่นดูเหมือนจะดีขึ้นมาในทันใด
“อืม” เขาพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มอย่างอ่อนโยน
เมิ่งถังซาบซึ้งใจจนแทบร้องไห้ออกมา เทพบุตรไม่เพียงปกป้องนาง ยังเอาของขวัญมาให้นางมากเพียงนี้!
เจ้าของร่างเดิมช่างโง่เขลา นางจะชอบบุรุษทั้งที มีศิษย์พี่ดีๆ เช่นนี้ไม่ชอบกลับไปชอบหลิงซิงเหยา
เมิ่งถังอุ้มตุ๊กตาดินเหนียวตัวหนึ่งอยู่ในมือ คลี่ยิ้มให้มู่หวาฮุย
“ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าชอบของขวัญเหล่านี้มาก”
ตุ๊กตาดินเหนียวตัวนี้สูงราวๆ ชุ่น* กว่า อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ สวมเสื้อผ้าพื้นแดงลายดอกสีน้ำเงิน อุ้มปลาหลีอยู่ในอ้อมแขนตัวหนึ่ง บนใบหน้าอ้วนขาวยิ้มกริ่ม ดูแล้วมีความสุขยิ่ง
ของสิ่งนี้เขาเพียงซื้อติดมือมาเท่านั้น รวมถึงของขวัญที่วางกองอยู่บนโต๊ะเหล่านี้ เขาก็แค่ซื้อติดมือมา ไม่ได้ตั้งใจเลือกอย่างจริงจัง อย่างไรเสียไม่ว่าเขาจะซื้อของขวัญสิ่งใดกลับมา ศิษย์น้องก็ล้วนมีสีหน้าเช่นนั้น ไม่เคยมีท่าทีว่าชอบ
ส่วนสาเหตุที่เขายังคงรักษาความเคยชินนี้มาตลอดก็เพียงเพราะเห็นเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง อาจารย์จะได้รู้ว่าเขาที่เป็นศิษย์พี่ผู้นี้ รักและทะนุถนอมศิษย์น้องไม่น้อย
ทว่ายามนี้เห็นเมิ่งถังประคองตุ๊กตาดินเหนียวยิ้มแย้มเบิกบาน สีหน้าดีอกดีใจ เขาพลันรู้สึกว่าบางทีคราวหน้าเวลาซื้อของขวัญให้ศิษย์น้อง เขาควรจะตั้งใจเลือกสักหน่อย
เพราะท่าทางของศิษย์น้องยามแย้มยิ้มดูสดใสชวนมองยิ่ง ทำให้คนเห็นจิตใจเบิกบานตามไปด้วยอย่างแท้จริง