บทที่ 4
เช้าวันรุ่งขึ้น เมิ่งถังไปเข้าเรียนที่กระโจมห้องเรียน
ตามเนื้อหาในหนังสือนิยายกำหนดไว้ว่าทุกวันศิษย์ในสำนักหมิงหวาที่พลังวัตรต่ำกว่าขั้นสร้างฐานลงไป ต้องตื่นเช้าไปที่กระโจมห้องเรียน ซึ่งมีคนสอนหนังสือให้โดยเฉพาะ
แม้เมิ่งถังจะเข้าสำนักหมิงหวามาหลายปีแล้ว ทั้งยังมีมู่หวาฮุยคอยดูแลเป็นพิเศษอยู่เสมอ แต่น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่ผ่านขั้นสร้างฐาน เจ้าของร่างเดิมสติปัญญาธรรมดาๆ ก็เรื่องหนึ่ง อีกด้านหนึ่งคือเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ค่อยเอาใจใส่ในการฝึกฝน
แต่เมิ่งถังไม่เป็นเช่นนั้น
ในเมื่อนางกำหนดเป้าหมายให้ตนเองแล้วว่าจะปกป้องมู่หวาฮุย ถ้ากำลังความสามารถของตนไม่แข็งแกร่งพอจะปกป้องเขาได้อย่างไร คงทำได้เพียงพูดอย่างเดียวเท่านั้น
อีกทั้งไม่เพียงเพื่อมู่หวาฮุย ถ้านางแข็งแกร่งมากพอ เมื่อวานนางยังจะถูกหลิ่วหลิงอวิ๋นใช้ไอกระบี่ฟันถ้วยชา ตัดแขนเสื้อขาดหรือ ย่อมสามารถข่มหลิ่วหลิงอวิ๋นลงกับพื้นถูไถแรงๆ ได้โดยตรง
ด้วยเหตุนี้อยู่ในชั้นเรียนเมิ่งถังจึงฟังคำสอนอย่างตั้งอกตั้งใจ
กระทั่งยังตั้งใจเอากระดาษพู่กันมาเป็นพิเศษ ตรงใดฟังไม่เข้าใจก็ลงมือจดไว้ หลังเลิกเรียนไม่รอให้อาจารย์สาวเท้าเดินออกจากห้องก็รีบวิ่งเข้าไปถาม ท่าทางตั้งอกตั้งใจใฝ่รู้ยิ่ง
อาจารย์ท่านใดบ้างไม่ชอบลูกศิษย์ที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ด้วยความดีใจไม่เพียงอธิบายให้เมิ่งถังฟังในจุดที่นางไม่เข้าใจอย่างละเอียด ยังถือโอกาสบอกอาคมบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกันให้นาง จากนั้นจึงเดินจากไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เมิ่งถังพลันเข้าใจขึ้นมา เดินไปคิดไป ค่อยๆ เดินกลับมาถึงที่นั่งของตนแล้วนั่งลงไป เอาข้อคิดที่ตนได้รับมาเขียนลงบนกระดาษ นางเขียนอย่างเพลิดเพลินไม่ได้สังเกตเห็นสายตาที่คนอื่นๆ มองตน
แต่ก่อนเมิ่งถังผู้นี้ไม่ใช่นั่งอยู่ในที่นั่งที่ไกลที่สุดคนเดียว ดูไร้ตัวตนดุจตะไคร่น้ำในเงามืดหรอกหรือ เหตุใดวันนี้กลับมานั่งแถวหน้าสุด เลิกเรียนยังกล้าเป็นฝ่ายไปหาอาจารย์ซักถามปัญหาอีกด้วย
เวลานี้ทั้งสำนักหมิงหวาต่างรู้เรื่องที่นางไปสารภาพความในใจกับหลิงซิงเหยาและถูกปฏิเสธแล้ว มีคนหัวเราะพลางเหน็บแนมนาง “ศิษย์พี่เมิ่ง นี่ท่านผิดหวังในความรักจึงมุมานะฝึกฝนเช่นนั้นหรือ ไอ้หยา หรือท่านไม่รู้ว่าศิษย์พี่หลิงชอบหญิงสาวที่บอบบางอ่อนหวานนุ่มนวล ลักษณะท่าทางเช่นนี้ของท่าน ศิษย์พี่หลิงยิ่งไม่มีทางชมชอบ” พอพูดจบรอบข้างก็มีเสียงหัวเราะครืน
เมิ่งถังกลอกนัยน์ตาขึ้นบน โต้กลับไปทันที “เรื่องของข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้า เห็นคนกินหัวไช้เท้าเค็มแล้วคนกินจืดเป็นทุกข์แทน* หรือ ยุ่งกับเรื่องของตนเองก็พอแล้ว”
ต้องรีบเปลี่ยนแปลงตนเองให้แข็งแกร่งให้จงได้ หาไม่ก็จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ หากนางแข็งแกร่งมากพอ ไม่ต้องลงมือ เพียงปล่อยอานุภาพคุกคามกดข่มก็สามารถบีบบังคับคนให้คุกเข่าลงกับพื้นเรียกท่านพ่อได้แล้ว
คนผู้นั้นได้ยินแล้วชะงักอึ้งไปชั่วขณะ เพราะในความทรงจำของเขา ไม่ว่าพวกเขาจะหัวเราะเยาะเมิ่งถังอย่างไร เมิ่งถังก็จะนิ่งเงียบ จากนั้นก็จะยิ่งก้มหน้าลงต่ำ แต่เวลานี้นางไม่เพียงกล้าย้อนคำ คำพูดที่พูดออกมายังทำให้เขาไม่อาจโต้แย้งได้…
“เวลานี้ศิษย์พี่เมิ่งมีสง่าน่ายำเกรงแล้ว” มีเสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ศิษย์น้องซุนเพียงเจตนาดีเตือนท่านคำหนึ่ง ท่านกลับต่อว่าเขาเช่นนี้”
คนผู้นี้หูหนวกหรือโง่เขลากันแน่ คำพูดเหล่านั้นของศิษย์น้องซุนคือการเตือนด้วยเจตนาดี? การเตือนด้วยเจตนาดีเช่นนี้ให้เจ้า เจ้าจะเอาหรือไม่
เมิ่งถังหันหน้าไป จำได้ว่าคนพูดเป็นศิษย์หญิงคนหนึ่งของยอดเขาชิงหง มีชื่อว่าติงเล่อเซวียน
ข้างกายนางยังมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ นางสวมชุดกระโปรงสีชมพู ผิวพรรณนวลเนียนเกลี้ยงเกลายิ่งกว่าหิมะ รูปโฉมงดงามละมุนละไม กำลังดึงชายแขนเสื้อของติงเล่อเซวียน ห้ามปรามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ศิษย์พี่ติง ท่านอย่าว่าศิษย์พี่เมิ่งเช่นนี้”
ในใจของเมิ่งถังพลันกระจ่างแจ้ง คนผู้นี้คงจะเป็นนางเอกอวิ๋นชูเยวี่ยแน่ๆ
อวิ๋นชูเยวี่ยผู้นี้ถือป้ายนางเอกคนโปรด เกิดมาก็เป็นดั่งไข่มุกในมือของเจ้าเมืองชื่อเซียว คนทั้งจวนเห็นนางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เฝ้าปกป้องคุ้มครองอย่างระมัดระวัง บ่มเพาะให้นางเป็นคนบอบบางไร้เดียงสา ไม่รู้ถึงความทุกข์ยากของโลก อาจเพราะในจวนพะเน้าพะนอเกินไป จึงรู้สึกว่าชีวิตจืดชืดน่าเบื่อ เลยเล่นสนุกด้วยการหนีออกจากจวน
ในเมื่อเป็นนางเอกย่อมต้องมีอะไรแตกต่าง เช่นนั้นนักเขียนก็กำหนดให้นางมีร่างหยกไขกระดูกหงส์ พูดง่ายๆ ก็คือสำหรับบุรุษผู้ฝึกวรยุทธ์แล้ว ร่างกายนี้เป็นสิ่งช่วยเสริมพลังวัตรอันยอดเยี่ยม