ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 9 – 10
มีมารเข้าเมืองเหิงหยางไปขโมยช่วงชิงยาวิเศษ หลังจากประสบผลสำเร็จก็ถอนกำลัง โจวอิ้งเสวี่ยพาคนไล่ตามมา ฝ่ายตรงข้ามรำคาญไม่อยากพิรี้พิไรกับนาง จึงปล่อยมารอสูรชั้นต่ำที่ยังไม่เปิดปัญญาเหล่านี้ให้รับมือพวกนาง ถ้าฝ่ายตรงข้ามจากไปแล้วก็แล้วไป แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังไม่จากไป ยังอยู่บริเวณใกล้เคียงล่ะก็…
จะอย่างไรก็เป็นมารที่สามารถเข้าเมืองเหิงหยางได้ราวกับเป็นสถานที่ไร้ผู้คน อาคมย่อมต้องสูงส่งยิ่งกระมัง อีกทั้งก็ไม่รู้ฝ่ายตรงข้ามที่แท้แล้วมากันจำนวนมากน้อยเท่าใด
“ศิษย์พี่” เมิ่งถังหันมามองมู่หวาฮุย
แม้นางจะยังไม่ได้พูดสิ่งที่คาดเดาอยู่ในใจออกมา แต่มู่หวาฮุยกลับเข้าใจคำพูดที่นางยังพูดไม่จบ
เขาตอบรับอืมเบาๆ คำหนึ่ง แสดงท่าทีว่าเขาเข้าใจความหมายของนาง จากนั้นมู่หวาฮุยพลันยื่นมือมา ดึงเมิ่งถังไปอยู่ข้างหลังตน นี่เป็นท่าทางในการปกป้องคุ้มครองอย่างหนึ่ง
ในใจเมิ่งถังรู้สึกชื่นมื่น รีบยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเชื่อฟัง หางตาเหลือบไปเห็นหลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ย
เห็นชัดว่าหลิงซิงเหยาก็ฟังเข้าใจความหมายในคำพูดเมื่อครู่ของนาง เวลานี้ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมเยียบเย็น กระทั่งเรียกกระบี่ที่ตนใช้อยู่ทุกวันมากุมกระชับไว้ในมือ
ความจริงแล้วศิษย์ในสำนักผู้นี้ที่เข้ามาเป็นศิษย์สำนักหมิงหวาชุดเดียวกันกับเจ้าของร่างเดิม แม้จะบอกว่าเขามีสติปัญญาเหนือผู้อื่น พลังวัตรเพิ่มพูนรวดเร็ว เวลานี้กำลังพุ่งเข้าสู่ขั้นจินตันแล้ว แต่น่าเสียดายยิ่ง สุสานหมื่นกระบี่สิบปีจึงจะเปิดหนึ่งครั้ง ดังนั้นจนถึงตอนนี้หลิงซิงเหยาจึงยังไม่มีกระบี่คู่กายของตน ปกติที่ใช้อยู่ยังคงเป็นกระบี่ธรรมดาทั่วไป
ส่วนอวิ๋นชูเยวี่ยนางเอกผู้อ่อนแอบอบบางมีแฟนคลับคอยทะนุถนอม โอกาสทุกอย่างจะทยอยร่วงมาใส่ศีรษะเอง ไม่ต้องให้นางสิ้นเปลืองสมองแม้แต่น้อย ดังนั้นทำตัวอ่อนหวานใสซื่อโง่งมไปก็พอแล้ว
นางไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเมิ่งถัง ยังคงมีท่าทีตกใจจนหวาดหวั่นขวัญผวา เห็นแล้วน่าสงสาร ทำให้คนรู้สึกเห็นอกเห็นใจ หลิงซิงเหยาเห็นแล้วสงสารนางยิ่ง เบี่ยงตัวให้นางอยู่ข้างหลังตนก็เป็นท่าทางในการปกป้องคุ้มครอง
ดีมาก เมิ่งถังแอบคิด ประเดี๋ยวหากมีภัยอะไรจริง ต่างปกป้องคนที่ตนใส่ใจให้ดีก็พอ จากนั้นจึงเรียกกระบี่ของตนมากุมไว้ในมือเงียบๆ เตรียมพร้อมระแวดระวังไปทั้งร่าง
หิมะยังไม่หยุดตก ไม่รู้เป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือไม่ เมิ่งถังรู้สึกว่าหิมะตกครานี้ดูจะแรงขึ้น ลมที่พัดมาจากที่ไกลก็ทำให้นางรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาในใจโดยไม่มีสาเหตุ
ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย นางเหลียวมองไปรอบด้าน สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในสายตายังคงมีเพียงเงาไม้ดำทะมึนไปทั้งแถบ
กลับกันมู่หวาฮุยสองตาหลุบลงเล็กน้อย ปล่อยจิตออกไป สัมผัสรับรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบด้าน
ในพริบตาเดียวอากาศคล้ายเกาะตัวแข็งขึ้นมา ทุกคนในที่นั้นนอกจากหลิงซิงเหยา ล้วนมองมาที่มู่หวาฮุย พลังวัตรของเขาสูงที่สุด คืนนี้ทุกคนจะมีชีวิตเดินออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับเขาแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เห็นมือขวาที่กุมกระบี่อู๋จี๋ของมู่หวาฮุยจู่ๆ ก็ยกขึ้น วาดขวางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
แล้วทุกคนในที่นั้นก็เห็นประกายกระบี่สว่างวาบดุจประกายหิมะสายหนึ่งพุ่งไปทางด้านหน้า พอไปถึงครึ่งทางประกายกระบี่ถึงกับแยกออกเป็นแสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับตาข่ายฟ้าดิน แผ่คลุมพื้นที่ด้านหน้าไว้ทั้งหมด
หลังจากนิ่งเงียบงงงันด้วยความตื่นตระหนกไปชั่วขณะ ทุกคนในที่นั้นก็เกิดความคิดขึ้นมาในใจ
เมิ่งถังลิงโลดด้วยความดีใจ ศิษย์พี่ร้ายกาจยิ่ง ไม่เสียทีที่เป็นคนที่ข้าตัดสินใจจะเฝ้าปกป้องจริงๆ
หลิงซิงเหยามีความรู้สึกหลากหลายคละเคล้ากัน มู่หวาฮุยฝึกฝนถึงขั้นนี้แล้วหรือ หลังจากกลับไปเขาจะต้องมุมานะเพียรพยายามเป็นเท่าทวีคูณ จะได้อยู่เหนือมู่หวาฮุยในเร็ววัน
โจวอิ้งเสวี่ยดั่งกวางน้อยวิ่งพุ่งชนไปทั่ว ศิษย์พี่มู่ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์คนโตของสำนักหมิงหวา ไม่เพียงรูปโฉมหล่อเหลางดงามดุจเทพเซียนในแดนมนุษย์แล้ว กำลังความสามารถยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
อวิ๋นชูเยวี่ยยังคงตะลึงงัน แต่ก่อนเหตุใดนางจึงไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ถึงกับร้ายกาจเพียงนี้…
ท่ามกลางความคิดที่แตกต่างกัน ประกายกระบี่สีขาวได้ตกลงสู่พื้นแล้ว นกจำนวนนับไม่ถ้วนในป่าแตกตื่น รวมถึงคนของเผ่ามารที่ลอบซ่อนตัวอยู่ข้างใน
เมื่อเปรียบกับมารอสูรชั้นต่ำเมื่อครู่แล้ว คนของเผ่ามารเหล่านี้ในเวลานี้ จึงจะเรียกได้ว่ามีกำลังความสามารถที่ทำให้คนตื่นตะลึง
ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะเหตุใดพวกเขาจึงสามารถเข้าเมืองเหิงหยางได้ราวกับเป็นสถานที่ไร้ผู้คน ไม่เพียงขโมยยาวิเศษมาได้ ยังล่าถอยออกมาได้โดยปลอดภัย
แต่เสียดายคนที่พวกเขาพบเจอเข้าในตอนนี้คือมู่หวาฮุย
มู่หวาฮุยเห็นชัดว่าเกิดมาเพื่อเป็นผู้ฝึกวิชากระบี่ ถึงแม้ตอนนี้ลำดับขั้นของเขาจะยังไม่ทะลวงผ่านขั้นหยวนอิงไปได้ แต่ก็มีระดับการต่อสู้ที่ผู้บำเพ็ญเซียนในขั้นหยวนอิงพึงมี
ตอนเมิ่งถังถือกระบี่เข้าต่อกรกับมารหน้าดำของเผ่ามารได้หันหน้ามามองก็เห็นมู่หวาฮุยกำลังรับมือศัตรูหนึ่งต่อห้ากลับยังคงมีท่าทางดุจเดินเล่นในลานเรือน กระทั่งยังมีเวลากวัดแกว่งกระบี่มาสังหารมารตนหนึ่งที่กำลังจะลอบจู่โจมเมิ่งถังจากทางด้านหลัง
ทั้งยังสั่งกำชับนาง “ตั้งใจรับมือศัตรู”
เมิ่งถังร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง กระชับกระบี่ยาวในมือ กลับเข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้ง
ก็นับว่ากำลังความสามารถที่แท้จริงปะทุออกมา หลังจากผ่านการประมือไปสิบกว่าเพลงกระบี่ นางถึงกับสังหารมารหน้าดำผู้นี้ได้แล้ว
เห็นโจวอิ้งเสวี่ยกำลังรับมือซ้ายขวาใกล้จะต้านไม่ไหว เมิ่งถังไม่มัวมาคำนึงถึงคราบโลหิตบนร่าง รีบวิ่งเข้าไปช่วย ระหว่างทางเอียงหน้าไปเล็กน้อย
พลันเห็นหลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ยที่อยู่ด้านข้าง
* หลี่ เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เท่ากับความยาว 15 อิ่น เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
** ช่ายจี (菜鸡) แปลว่าไก่ผัก แผลงมาจากคำว่าช่ายเหนี่ยว (菜鸟) ที่แปลว่านกผัก เป็นคำสแลงในการเล่นเกม หมายถึงมือใหม่ที่ยังขาดทักษะ ขาดประสบการณ์ ไก่ผักคงต้องการจะบอกว่าแย่ยิ่งกว่านกผัก
* คอขวด หมายถึงอุปสรรคที่ทำให้ไปต่อไม่ได้
** ความเสื่อมห้าอย่างของเทพเซียน หมายถึงผู้เป็นเทพเซียนจะหมดอายุขัยจะมีความเสื่อมเกิดขึ้นห้าอย่าง ได้แก่ 1. เสื้อผ้าจากที่เคยสะอาดตลอดเวลาก็จะเริ่มสกปรก 2. ดอกไม้บนศีรษะจะเหี่ยวแห้ง หมายถึงเครื่องประดับบนศีรษะจะหมองมัว 3. จากที่เคยไม่มีเหงื่อก็เริ่มมีเหงื่อออกใต้วงแขน 4. ร่างกายเริ่มสกปรกมีกลิ่นเหม็น 5. รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่มีความสุข
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.