บทที่ 7
หัวใจเจินจยาฝูเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที ส่งเสียงเรียก “พี่ใหญ่เผย” น้ำเสียงอ่อนหวาน ไพเราะอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นนางอยู่ตรงนั้น เผยโย่วอันคล้ายจะไม่ประหลาดใจเท่าไรนัก ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” เขาถามออกมาประโยคหนึ่ง
เจินจยาฝูช้อนสายตาขึ้น มองสบสายตาที่เขาส่งมา
“พูดตามตรง เช้านี้ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาตามหาพี่ใหญ่เผย ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากได้คำแนะนำจากพี่ใหญ่เผยเจ้าค่ะ” เสียงของนางแผ่วเบามาก คล้ายไม่ค่อยมั่นใจนัก
สายตาของเผยโย่วอันรั้งอยู่บนใบหน้านาง เขาปิดตำราในมือ สอดกลับเข้าไปในชั้นวาง แล้วจึงเดินกลับมาหานาง
เขาหยุดเดิน ผู้หนึ่งอยู่นอกธรณีประตู ผู้หนึ่งอยู่ในธรณีประตู ตรงกลางอยู่ห่างกันราวเจ็ดแปดก้าว
“เรื่องใด” เขาถาม
“เมื่อวานอวี้จูมาเยือนที่บ้านข้า ก่อนกลับก็บอกคำพูดหนึ่งต่อข้า บอกว่าพี่ใหญ่เผยกำชับนางมา ให้นางกำชับข้าว่าวันหน้าไม่อาจใช้กลิ่นหอมที่ใช้อยู่ในตอนนี้อีก ฟังจากคำพูดของนาง คล้ายกลิ่นหอมที่ข้าใช้อยู่เป็นอันตรายต่อคน เมื่อข้าถามต่อ นางเองก็บอกเหตุผลออกมาไม่ได้ บอกว่าแค่ส่งต่อคำพูดของพี่ใหญ่เผยมาให้ข้า…”
เจินจยาฝูกัดริมฝีปาก
“คำกำชับของพี่ใหญ่เผยย่อมไม่ผิดแน่ ข้าเองก็จะทำตาม เพียงแต่ข้ารู้สึกไม่เข้าใจถึงที่มาที่ไปจริงๆ ซ้ำเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงการทำร้ายคน ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก เมื่อคืนนอนไม่หลับทั้งคืน เช้าวันนี้เองก็ไม่มีใจจะทำอะไร นึกได้ว่าอวี้จูบอกว่าวันนี้พี่ใหญ่เผยจะมาส่งฮูหยินผู้เฒ่าที่วัดฉือเอินก็เลยตามมาเสียเลย ข้าเสียมารยาทตามมาถึงที่นี่ รบกวนพี่ใหญ่เผย ข้า…”
เผยโย่วอันโบกมือ ยับยั้งคำพูดที่นางยังเอ่ยไม่จบ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าใช้กลิ่นหอมใดในงานวันเกิดท่านย่าข้า” เขาถาม สายตาตกอยู่บนใบหน้านาง
“หลงเสียนเจ้าค่ะ” เจินจยาฝูตอบกลับไปทันที ดวงตาไม่กะพริบแม้แต่น้อย
เขาไม่เอ่ยอะไร มองมาที่นางด้วยแววตาค้นหา
เจินจยาฝูเผยสีหน้าสับสน “เหตุใดพี่ใหญ่เผยจึงมองข้าเช่นนี้”
“หลงเสียนที่เจ้าใช้นำมาจากที่ใด”
“คลังเก็บของของตระกูล”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามขึ้นมากะทันหัน “เจ้ารู้จักต้งหลงเหน่าหรือไม่”
เจินจยาฝูผงกศีรษะ
“เมื่อก่อนตอนท่านพ่อยังอยู่ ข้าจำได้ว่าเคยได้ยินเขาพูดขึ้นมา บอกว่าต้งหลงเหน่าเป็นเครื่องหอมชนิดหนึ่งของเทียนจู๋ตอนใต้ ลักษณะคล้ายหลงเสียนอย่างมาก แต่ไม่ได้ดีเทียบเท่าหลงเสียน”
เจินจยาฝูกะพริบตามองเขา “มีอันใดหรือเจ้าคะ”
“ข้าบอกเจ้าได้อย่างมั่นใจเลยว่าหลงเสียนที่เจ้าใช้ แท้จริงแล้วเป็นต้งหลงเหน่า อาการป่วยของเฉวียนเกอเอ๋อร์ก็มีสาเหตุมาจากต้งหลงเหน่าที่เจ้าใช้ ต้งหลงเหน่าไม่ได้เป็นแค่เครื่องหอม ในดินแดนตะวันตกยังสามารถนำมาทำเป็นยาได้ด้วย แต่มีผู้คนส่วนน้อยที่แพ้กลิ่นนี้ เพียงแค่สัมผัสปริมาณเล็กน้อยก็ทำให้เกิดอาการไม่สู้ดีแล้ว หากพลาดกินเข้าไปอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เฉวียนเกอเอ๋อร์เองก็เป็นเช่นนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขากับเจ้าพบกันสองครั้งถึงได้เกิดอาการขึ้นมาทั้งสองครั้ง”
หัวใจเจินจยาฝูกระตุกอย่างแรง
นางรู้แค่ว่าหากเฉวียนเกอเอ๋อร์ได้กลิ่นต้งหลงเหน่าแล้วจะไม่สบาย ผ่านไปไม่กี่วันก็จะค่อยๆ หายดีเอง แต่กลับไม่รู้ว่าที่แท้ต้งหลงเหน่ายังเป็นยาสมุนไพรด้วย และอาจทำให้คนถึงตายได้
นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจริงๆ
แต่มาถึงตอนนี้ เจินจยาฝูไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว นางจำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาเชื่อนาง ถึงขั้นชักนำให้เขาช่วยตนเอง อย่างน้อยเขาจะทำแผนการของนางล้มเหลวไม่ได้
เจินจยาฝูแสดงสีหน้าร้อนใจออกมา ส่ายหน้าไม่หยุด “ข้าไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ คลังเก็บของในตระกูลข้า เครื่องหอมจะแบ่งแยกประเภทจัดวางไว้ ปกติข้าใช้หลงเสียนมาโดยตลอด หนนี้เป็นเพราะต้องเดินทางมาเมืองหลวง ก่อนออกเดินทางมาพบว่าตลับเครื่องหอมตลับเดิมใกล้จะหมดแล้ว จึงสั่งให้คนไปเอาตลับใหม่มา ยามนั้นเร่งรีบ บางทีบ่าวรับใช้ที่คลังเก็บของอาจจะหยิบผิด ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ!” นางเบิกตากว้างมองเขา “หรือว่า…พี่ใหญ่เผยคิดว่าข้าจงใจทำร้ายเฉวียนเกอเอ๋อร์หรือเจ้าคะ”
นางมองไปยังเผยโย่วอันที่คล้ายจะไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ น้ำเสียงค่อยๆ แฝงอาการสะอื้นด้วยความน้อยใจ
“ตอนเด็กๆ ข้าเคยมาเยือนจวนเว่ยกั๋วกงอยู่หลายครั้ง แต่ยามนั้นเฉวียนเกอเอ๋อร์ยังไม่เกิดมา หรือต่อให้มาแล้วก็ไม่ได้พบเพราะว่าเขายังเด็กมากๆ อีกอย่าง สามปีมานี้ข้าก็อยู่ไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อที่เฉวียนโจวมาโดยตลอด ต่อให้ข้ารู้ว่าต้งหลงเหน่าไม่ดี แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเฉวียนเกอเอ๋อร์ไม่อาจสัมผัสมัน”
นางก้มหน้าลง กัดริมฝีปากแน่น ไม่เอ่ยอะไรอีก กัดจนริมฝีปากที่น่าสงสารกลายเป็นสีซีดขาวขึ้นแล้ว คล้ายพยายามอดกลั้นต่อน้ำตาที่ต้องการทะลักออกมาอย่างมาก ทว่าสุดท้ายน้ำตาหยดหนึ่งก็ยังคงร่วงหยดลงมา ตกลงมาบนพื้นด้านหน้าเท้านางเสียงดังแหมะ
เจินจยาฝูเบี่ยงหน้าไปอีกทาง ยกมือขึ้นเช็ดปลายหางตาลวกๆ
เมื่อครู่ตอนที่นางพูดอยู่ เผยโย่วอันจับจ้องนางอยู่โดยตลอด สีหน้าเขาเฉยชา คล้ายกำลังประเมินระดับความจริงในคำพูดของนาง ก่อนเขาจะเลี่ยงสายตาไป ไม่มองท่าทีอยากร้องไห้ของนางอีก เพียงเอ่ยว่า “ข้าเองก็คิดว่าเจ้าไม่น่าจะตั้งใจ ไม่ต้องร้องแล้ว”
แม้น้ำเสียงเขาราบเรียบ แต่ฟังดูแล้วก็น่าจะเชื่อนางจริงๆ ยามนี้กำลังเอ่ยปลอบนางแทนด้วย
เจินจยาฝูแค่คิดจะร้องไห้ก็ร้องได้เลย ไม่นับว่ายากแต่อย่างใด ขอแค่คิดถึงบิดาที่จากไป คิดถึงช่วงเวลาสุดท้ายเมื่อชาติก่อน ดวงตานางก็จะร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
เดิมทีแค่ต้องการร้องไห้ให้เขาเห็นเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินเขาเอ่ยปลอบตนเอง จู่ๆ นางก็ไม่อาจคุมความรู้สึกของตนได้อีก ในใจมีแต่รู้สึกน้อยใจอย่างที่สุด ก้มหน้าลงเงียบๆ หยาดน้ำตาร่วงเปาะแปะลงมาไม่หยุด
ใบหน้าที่เดิมทีไม่แสดงสีหน้าอะไรมาโดยตลอดของเผยโย่วอันเริ่มเผยความไม่สบายใจขึ้นมา หันมองนางหลายครั้ง บีบมือและคลายออกซ้ำๆ ลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดก็เดินเข้าไปใกล้ หยุดอยู่หน้าธรณีประตู ก้มหน้าลงเล็กน้อยมองนาง เอ่ยเสียงเบา “เลิกร้องได้แล้ว ข้าเชื่อเจ้า มิฉะนั้นก็คงไม่ฝากอวี้จูไปเตือนเจ้า”
เอ่ยจบ เขาก็กล่าวเสริมขึ้นมาอีกประโยค “เจ้าลองคิดดูสิ”
เผยโย่วอันโน้มตัวเข้าไปใกล้เจินจยาฝูมากขึ้น ใกล้จนนางคล้ายสัมผัสได้ถึงความอุ่นที่มาจากร่างของเขา ราวกับเป็นไออุ่นของแสงแดดสีทองในฤดูหนาวที่ทอส่องลงมาจากหลังคาโค้ง
นางหันหลังกลับ ก้มหน้าลงเช็ดคราบน้ำตา รอจนอารมณ์มั่นคงแล้วถึงได้หันกลับมา เอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณพี่ใหญ่เผยที่ยอมเชื่อข้าเจ้าค่ะ”
เผยโย่วอันเดินถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าเองก็กลับมาเรียบเฉยเหมือนแต่ก่อน สายตากวาดมองใบหน้าที่ยังปรากฏรอยน้ำตาของนาง ครุ่นคิดสักพักก่อนเอ่ย “สองวันที่ผ่านมาข้าเองก็ได้ยินข่าวลือที่เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว บอกว่าเจ้ากับเฉวียนเกอเอ๋อร์มีดวงชะตาขัดกัน เกรงว่าจะส่งผลเสียต่อเรื่องแต่งงาน ข้าสามารถช่วยเจ้าอธิบายถึงสาเหตุที่เฉวียนเกอเอ๋อร์ไม่สบายได้ หากเจ้าไม่เต็มใจให้ผู้อื่นรู้ว่าเป็นเพราะเจ้าใช้เครื่องหอมผิด ข้าก็สามารถไม่พูดถึงเจ้าได้ ขจัดความกังวลของท่านแม่ เจ้ากับน้องรองข้าจะได้แต่งงานกันได้อย่างราบรื่น”
เจินจยาฝูนิ่งอึ้ง ส่ายหน้าทันควัน
เผยโย่วอันอึ้งงันไป “เพราะเหตุใดกัน เจ้าไม่อยากแก้ไขความเข้าใจผิดหรอกรึ”
เจินจยาฝูบีบมือที่กำแน่น ก่อนตอบกลับ “พี่ใหญ่เผย สกุลท่านเต็มใจรับข้าที่เกิดมามีศักดิ์ฐานะเช่นนี้ เดิมทีเป็นความโชคดีของข้า เพียงแต่ไม่ปิดบังท่าน การเดินทางเข้าเมืองหลวงมาคุยเรื่องแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้มาจากความตั้งใจของข้าเลย แต่เป็นเพราะท่านย่ามีคำสั่งมา ข้า…ข้ายากจะคัดค้านจริงๆ ถึงได้เชื่อฟังการจัดเตรียมอย่างจนใจ เดิมทีคิดจะยอมรับชะตาชีวิตที่เหลือเช่นนี้ ใช้ชีวิตชาตินี้ให้ผ่านไป กลับคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เป็นเพราะอาการป่วยของเฉวียนเกอเอ๋อร์ ซ่งฮูหยินกับซินฮูหยินถึงได้รู้สึกไม่พอใจในตัวข้า บางทีเรื่องงานแต่งอาจจะต้องล้มเลิกแล้ว”
นางชะงักไป แล้วช้อนสายตาขึ้น เผชิญหน้ากับดวงตาของเขา
“ข้าขออาจหาญ ขอร้องให้พี่ใหญ่เผยเข้าใจและสนับสนุนข้าด้วย ท่านแค่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้เรื่องนี้ได้หรือไม่”
เผยโย่วอันมองนางอยู่ครู่ใหญ่ ขมวดคิ้วน้อยๆ “เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ ยอมแบกรับชื่อเสียงไม่ดี แต่ไม่ยินยอมแต่งเข้าจวนเว่ยกั๋วกง?”
“เจ้าค่ะ” เจินจยาฝูผงกศีรษะ ก้มหน้าลงเล็กน้อยเอ่ย “ตระกูลกั๋วกงฐานะสูงส่ง เดิมข้าก็ปีนป่ายไม่ถึงอยู่แล้ว ในเมื่อหนนี้เฉวียนเกอเอ๋อร์ไม่สบายเพราะข้าใช้กลิ่นหอมผิด ส่งผลให้ซ่งฮูหยินกับซินฮูหยินไม่พอใจในตัวข้า ในสายตาข้านั้นนี่มิต่างจากลิขิตสวรรค์ ข้าไม่อาจขัดขืน หนนี้ขอให้พี่ใหญ่เผยช่วยให้ข้าได้สมปรารถนาด้วย สุดท้ายจะได้แต่งหรือไม่ก็ให้เป็นเรื่องของชะตา ข้าแค่ยอมรับก็พอ”
เผยโย่วอันมองนาง ในใจพลันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่อาจบอกได้ชัดว่าคือสิ่งใด เขาจึงกดข่มความรู้สึกประหลาดนั้นลงไป ในที่สุดก็ผงกศีรษะ “ในเมื่อเจ้าเอ่ยมาเช่นนี้แล้ว ข้าย่อมไม่มีปัญหา เพียงแต่…”
น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นเข้มงวดกะทันหัน
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่รู้ ข้าไม่โทษเจ้า แต่ในเมื่อรู้แล้วว่าต้งหลงเหน่ามีอันตรายต่อเฉวียนเกอเอ๋อร์ ต่อให้เจ้าไม่อยากแต่งเข้าจวนเว่ยกั๋วกงเพียงใด แต่ขอแค่เป็นสถานการณ์ที่มีเฉวียนเกอเอ๋อร์อยู่ด้วย ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าใช้กลิ่นหอมนี้ไปทำร้ายเขาอีก”
เจินจยาฝูช้อนสายตาขึ้น เห็นเขาจับจ้องมาที่นาง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สีหน้าเข้มงวด ก็ไม่กล้าไม่รับปาก หลุบตาลงเอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องให้พี่ใหญ่เผยบอก ตัวข้าเองก็รู้ตัวเจ้าค่ะ”
เผยโย่วอันไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงมองนางคราหนึ่ง จากนั้นก็ยกชายชุดขึ้น เดินก้าวออกมาจากประตูผ่านร่างนางไป
เจินจยาฝูยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงได้หันหน้ากลับไป เห็นเงาร่างของเขาจากไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนหายลับตาไปตรงสุดปลายทางเดินต้นอิ๋นซิ่งในที่สุด
ความกังวลที่ทำให้เจินจยาฝูกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน ในที่สุดก็หายไปแล้ว
เผยโย่วอันก็ดูเชื่อคำพูดของนางจริงๆ ทั้งยังรับปากจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้แล้วด้วย
เจินจยาฝูถอนหายใจออกมายาวๆ คาดว่าเขาไม่มีทางเป็นฝ่ายยกเรื่องที่ตนเคยมาวัดฉือเอินขึ้นมาพูดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าก่อนแน่ จากนั้นยังนึกไปถึงเรื่องที่เช้าวันนี้มารดาไปที่จวนเว่ยกั๋วกง ล่วงเลยมาถึงยามนี้ก็น่าจะกลับบ้านไปแล้ว นางร้อนใจอยากรู้ถึงผลลัพธ์จึงรีบหันตัวกลับ เร่งเดินไปยังอุโบสถด้านหน้าทันที
เจินเย่าถิงกำลังเดินเล่นฆ่าเวลา สายตาเขากวาดมองสำรวจไปทั่ว ยามเห็นเจินจยาฝูพาถานเซียงกลับมา ดวงตาเขาพลันสว่างวาบ รีบเดินเข้าไปหาทันใด “เป็นอย่างไร ได้เจอฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่”
เจินจยาฝูส่ายหน้า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลับอยู่ ไม่สะดวกให้รบกวน ข้าเองก็ไม่ได้เจอหน้านาง พวกเราออกมากันสักพักหนึ่งแล้ว ท่านแม่น่าจะกลับบ้านแล้ว พวกเรารีบกลับไปกันดีกว่าเจ้าค่ะ”
เจินเย่าถิงผิดหวังอย่างมาก เขาไม่อยากจากไปทั้งอย่างนี้จริงๆ จึงเอ่ย “น้องสาวหิวแล้วใช่หรือไม่ ข้าไปบอกให้ภิกษุท่านเตรียมอาหารมาให้ พวกเรากินเสร็จแล้วค่อยไปกันก็ได้…”
ตัวเจินจยาฝูเดินออกไปข้างนอกแล้ว “พี่ชายกินเองเถอะเจ้าค่ะ ข้าขอกลับก่อน”
เจินเย่าถิงมองแผ่นหลังของน้องสาวที่มุ่งไปทางซุ้มประตูแล้วหันกลับไปมองข้างหลังคราหนึ่ง ชะงักเท้าไปเล็กน้อย ก่อนติดตามไปอย่างจนใจ
สองพี่น้องกลับเข้ามาในเมือง มุ่งตรงกลับบ้าน เมื่อถามถึงก็ได้รู้ว่าเมิ่งซื่อกลับมานานแล้วจริงๆ ยามนี้มารดาอยู่ภายในห้อง เจินจยาฝูไม่มีเวลาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบร้อนเดินไปหาทันที ทว่ายังไม่ทันไปถึงก็เจอป้าหลิวบนทางเดินเสียก่อน สีหน้าดูไม่ค่อยจะดีนัก จึงหยุดฝีเท้าลง
ป้าหลิวเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นเป็นสองพี่น้องกลับมาแล้วก็รีบเดินเข้ามาหา
“ท่านป้า เรื่องงานแต่งเป็นอย่างไรบ้าง หมั้นหมายยามใด แต่งเข้ายามใด” วันนี้ตอนเช้าป้าหลิวออกไปพร้อมกับเมิ่งซื่อ ดังนั้นเจินเย่าถิงจึงเปิดปากถามนาง
ป้าหลิวมีท่าทีกระอักกระอ่วน ก่อนที่นางจะถอนหายใจ
เจินจยาฝูพอคาดเดาได้แล้ว นางกดข่มความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ รีบดึงอีกฝ่ายเข้าไปซักถามในห้องของตนเอง เพียงไม่นานก็ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น
ที่แท้วันนี้ตอนเช้า เมื่อเมิ่งซื่อไปถึงจวนเว่ยกั๋วกงก็พบว่าซ่งฮูหยินอยู่ที่นั่นด้วย ไม่ได้เปิดปากพูดเรื่องงานแต่ง แต่กลับยกเอาเรื่องที่เฉวียนเกอเอ๋อร์ป่วยหลังเจินจยาฝูมาถึงเมืองหลวงขึ้นพูด ความหมายโดยนัยก็คือเจินจยาฝูดวงแข็ง เกรงว่าวันหน้าจะมีชะตาข่มบุตร บุตรสาวของตนเองไม่อยู่แล้ว เหลือไว้แค่เลือดเนื้อเช่นนี้คนเดียว จะให้วางใจได้อย่างไร ต่อให้เมิ่งซื่อจะเป็นคนที่ใจเย็นและอดทนอดกลั้นมากกว่านี้ แต่พอได้ยินซ่งฮูหยินเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมาต่อหน้าตนเอง นางจะยังอดทนต่อไปอย่างไร จึงโต้เถียงกลับไป บอกว่าก่อนหน้านี้สกุลเผยได้เอาวันเดือนปีเกิดของบุตรสาวตนเองไปตรวจดูแล้ว เหมาะสมกันอย่างยิ่ง หยิบเอาเรื่องชะตาแข็งข่มบุตรมาจากที่ใดกัน ซ่งฮูหยินจึงเอ่ยเย้ยหยัน ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้มีบางตระกูล เพื่อที่จะอาศัยการแต่งงานปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูง จึงเอาวันเดือนปีเกิดของปลอมมาให้ เรื่องเช่นนี้ก็ใช่ว่าไม่เคยไม่มี
ในตอนที่ซ่งฮูหยินเอ่ยประโยคนี้ ซินฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับไม่พูดอะไรสักคำเดียว
เมิ่งซื่อจึงข่มกลั้นโทสะ ถามซินฮูหยินว่าคิดเห็นเช่นไรกันแน่ ให้นางตัดสินมา
ซินฮูหยินถึงได้เปิดปากด้วยสีหน้าลำบากใจ บอกว่าตนเองก็ไม่มีความเห็น แต่ว่าอาการป่วยของเฉวียนเกอเอ๋อร์มาอย่างไร้ที่มาที่ไปจริงๆ ก่อนหน้านี้ล้วนแข็งแรงดีมาโดยตลอด บอกเมิ่งซื่อว่าอย่าได้ร้อนใจ ให้กลับไปก่อน ส่วนตนเองจะไปเชิญนักพรตมาช่วยตรวจดูวันเดือนปีเกิดของเจินจยาฝูอีกที เรื่องอื่นรอผ่านไปสักพักค่อยว่ากัน
ในตอนนั้นเมิ่งซื่อลุกขึ้น ออกจากจวนเว่ยกั๋วกงทันที
ป้าหลิวเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจบแล้วก็เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ทำเช่นนี้ออกจะรังแกกันมากเกินไปแล้ว! เด็กบ้านใดไม่เคยเจ็บป่วยบ้าง มีแต่บ้านเขาที่ล้ำค่า ถึงกับโยนโทษลงมาที่ศีรษะคุณหนูแล้ว! บ่าวเห็นฮูหยินโมโหจนหน้าเปลี่ยนสี หลังกลับมาก็เข้าไปอยู่ในห้อง ยังไม่ได้กินอาหารกลางวันเลยเจ้าค่ะ”
เจินจยาฝูผลักประตูเข้าไป เห็นมารดากำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ยังคงเป็นชุดที่เมื่อเช้าตั้งใจสวมใส่ก่อนออกจากบ้านชุดนั้น มือหนึ่งกำผ้าเช็ดหน้า อีกมือยกขึ้นค้ำหน้าผาก แผ่นหลังไม่ขยับเขยื้อน เมื่อนึกถึงว่าตลอดมามารดามีนิสัยอ่อนโยน เดิมทีออกไปอย่างมีความหวัง แต่ตอนกลับมากลายเป็นมีสภาพเช่นนี้ ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายหลายหลากผสมปนเปกัน
เจินจยาฝูเดินเข้าไปหา กอดมารดาจากทางด้านหลัง “ท่านแม่ ล้วนเป็นเพราะลูกไม่ดีเอง ถึงกับทำให้ท่านต้องพบเจอเรื่องน่าโมโหเช่นนี้”
ตอนที่เมิ่งซื่อเพิ่งกลับมาจากจวนเว่ยกั๋วกง นางโมโหจนแม้แต่มือยังสั่นระริก ตอนนี้ถึงเพิ่งจะดีขึ้นมา เมื่อเห็นบุตรสาวมาแล้วก็รีบเช็ดปลายหางตา หันตัวกลับมา มองสบกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความละอายใจของนาง ในอกก็รู้สึกตีบตันขึ้นมาอีกครั้ง โอบร่างเจินจยาฝูเข้ามาแล้วเอ่ย “แม่รู้สึกโมโหไม่เป็นไร แต่แม่ได้ยินพวกนางทำลายชื่อเสียงลูกเช่นนี้โดยที่ทำอะไรไม่ได้ ในฐานะแม่แล้ว ในใจรู้สึก…”
ขอบตาเมิ่งซื่อแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
เจินจยาฝูยกมือขึ้น ช่วยเช็ดน้ำตาให้มารดาเบาๆ
“ท่านแม่ ลูกไม่เสียใจเลยสักนิด ท่านเองก็อย่าได้เสียใจไป ก่อนหน้านี้ลูกไม่รู้เรื่องอะไร แต่บัดนี้ยิ่งไปมาหาสู่กับทางด้านนั้นมากเท่าไร ลูกก็ยิ่งไม่อยากแต่งเข้าไปในตระกูลพวกเขา งานแต่งไม่สำเร็จก็ช่างเถิด ลูกไม่ใส่ใจเลยสักนิด เดิมทีก็ไม่คิดอยากแต่งอยู่แล้ว ท่านแม่เองก็อย่าได้โมโหจนเสียสุขภาพเป็นอันขาด”
เมิ่งซื่อรู้สึกว่ายิ่งบุตรสาวยอมเข้าใจและให้อภัยตนเองเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งโศกเศร้ากว่าเดิม นางเอ่ย “ช่างเถอะ ได้แต่โทษว่าพวกเราโชคไม่ดีเอง พอมาถึงก็ประจวบเหมาะเกิดเรื่องขึ้นกับเฉวียนเกอเอ๋อร์พอดี เรื่องงานแต่งไม่สำเร็จก็ช่างเถอะ นี่ยังจะสาดน้ำขุ่นใส่ตัวลูกโดยไร้เหตุผลอีก แม่เรียกคนไปส่งข่าวให้ท่านย่าลูกเลยแล้วกัน ผ่านไปอีกสองวันก็เก็บสัมภาระ พวกเราเตรียมตัวกลับเฉวียนโจวกันเถอะ”
“ฮูหยิน! ซื่อจื่อสกุลเผยมาหา บอกว่ามาขอเข้าพบฮูหยินเจ้าค่ะ”
ด้านนอกประตูมีเสียงป้าหลิวดังมา
เมิ่งซื่ออึ้งไป มองสบตากับบุตรสาว พึมพำเอ่ย “เขามาทำอะไรในเวลาเช่นนี้” เอ่ยจบก็บอกให้ป้าหลิวเชิญคนเข้ามาก่อน ส่วนตนเองเดินไปหน้าคันฉ่อง เติมแป้งลงไปบนใบหน้าเล็กน้อย ปิดบังคราบน้ำตาเมื่อครู่นี้ หลังเห็นว่ามองไม่เห็นความผิดปกติแล้ว ก่อนออกไปนางก็หันมาสั่งว่า “อาฝู ลูกกลับห้องไปก่อนเถอะ แม่จะไปดูว่าเขามาทำอะไร”
คลื่นลูกหนึ่งยังไม่ทันสงบ อีกลูกก็ก่อตัวขึ้นมาเสียแล้ว
เพิ่งจะจัดการเผยโย่วอันที่โผล่มาขัดขวางกลางทางไปได้ หลังกลับมาถึงบ้าน ปลอบโยนมารดาเรียบร้อย เผยซิวจื่อก็มาอีกคนหนึ่งแล้ว
หัวใจที่เพิ่งสงบลงไปของเจินจยาฝูเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง จะให้นางกลับห้องไปรออย่างสงบจริงๆ ได้อย่างไร คล้อยหลังมารดาเดินออกไปได้ไม่นาน นางก็ลอบมาที่ห้องรับแขกด้านหน้าเงียบๆ ซ่อนตัวอยู่ข้างนอกบานหน้าต่าง มองเข้าไปข้างใน
เผยซิวจื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่เยื้องกับเมิ่งซื่อ กำลังพูดจา
“ท่านน้า พอข้าได้ยินเรื่องนี้ก็เร่งรีบมาทันที ข้ารู้ว่าวันนี้ท่านน้าคงโมโหไม่น้อย ขอท่านน้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจเป็นอันขาด เรื่องของเฉวียนเกอเอ๋อร์จะเกี่ยวข้องกับน้องฝูได้อย่างไร เดิมทีท่านแม่ข้าก็ไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ ท่านเองก็รู้ว่านางชื่นชอบน้องฝูมากนัก หวังให้นางสามารถแต่งเข้ามาได้ในเร็ววันโดยตลอด ล้วนเป็นเพราะสตรีสกุลซ่ง นางไม่อยากให้ข้าแต่งภรรยาใหม่ถึงได้สร้างเรื่องขึ้นมา หากท่านน้าตัดใจด้วยเหตุนี้ มิใช่เป็นการตกหลุมพรางของนางหรอกหรือ”
เป็นเพราะเรื่องราวในวันนี้ เมิ่งซื่อจึงเริ่มรู้สึกไม่พอใจไปถึงตัวเผยซิวจื่อด้วยแล้ว นางฝืนเอ่ย “ซื่อจื่อ ไม่ใช่ว่าทางข้าตัดใจ แต่เป็นทางเจ้าที่มีเรื่องราวไม่หยุดหย่อนต่างหาก เรื่องงานแต่ง สิ่งสำคัญก็คือเรื่องความเหมาะสม ความเต็มใจทั้งสองฝ่าย พวกเราสองสกุลคุยเรื่องงานแต่ง เดิมทีก็ไม่นับว่าเหมาะสมกันอยู่แล้ว เป็นสกุลเจินของข้าที่คิดปีนป่ายเอง ในใจข้ากระจ่างชัด ทุกคนเกรงใจกันยังดี ทว่าบัดนี้แม้แต่คำพูดเช่นนั้นยังพูดออกมาได้ งานแต่งงานนี้จะยังมีต่อไปได้อย่างไร แม้สกุลเจินของพวกเราจะฐานะต้อยต่ำ แต่ข้ามีบุตรสาวเพียงคนเดียว เห็นเป็นสมบัติล้ำค่าดุจแก้วตาดวงใจมาตั้งแต่เด็ก ยามนี้ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรกับทางด้านข้าก็ล้วนเปล่าประโยชน์”
นับตั้งแต่วันนั้นที่เผยซิวจื่อได้เห็นเจินจยาฝู จิตใจก็คอยอาวรณ์หาอยู่ทุกวัน รู้สึกชมชอบถึงที่สุด ยามนี้เห็นทางสกุลซ่งด้านนั้นก่อเรื่อง มารดาตนเองก็หลงเชื่อ มองดูทางด้านเมิ่งซื่อแล้วก็เกิดความคิดจะล้มเลิก จึงรู้สึกร้อนใจ ถึงกับลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เดินก้าวพรวดไปตรงหน้าเมิ่งซื่อ คุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้นแล้วเอ่ย “ท่านน้า! ขอร้องท่านแล้ว ถือว่าเห็นแก่หน้าข้า ช่วยรออีกสักหน่อย ข้าจริงใจต่อน้องฝู ฟ้าดินสามารถเป็นพยาน ขอแค่ข้าได้แต่งกับนาง ข้าจะต้องทำดีต่อนางไปตลอดชีวิตแน่นอน! ท่านน้าได้โปรดเห็นใจข้า ให้เวลาข้าอีกสักพัก รอข้ากลับไปพูดคุยกับท่านแม่ ท่านแม่จะต้องฟังข้าอย่างแน่นอน หากท่านตัดใจจากไปทั้งอย่างนี้ จะให้ข้าทำอย่างไร”
เมิ่งซื่อคาดไม่ถึงว่าเผยซิวจื่อจะถึงกับคุกเข่าขอร้องตนเอง นางสะดุ้งตกใจ รีบร้อนประคองเขาขึ้นมา เผยซิวจื่อกลับไม่ยอมลุกขึ้น ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เอาแต่เอ่ยว่า “หากท่านน้าไม่เห็นใจข้า ข้าก็จะไม่ลุกขึ้น!”
เจินจยาฝูรู้สึกกังวลอย่างยิ่ง สองมือกำแน่นกลายเป็นหมัด เมื่อเห็นมารดาได้รับความลำบากใจ ท่าทางคล้ายหวั่นไหวไปกับคำพูดของเขาบ้างแล้ว นางก็แทบอยากพุ่งเข้าไปปฏิเสธต่อหน้าทันที ในตอนที่กำลังร้อนใจนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น “รังแกกันเกินไปแล้ว! เห็นคนสกุลเจินตายกันไปหมดแล้วหรือไร!”
คำพูดเพิ่งจะเอ่ยจบ เสียงโครมก็ดังขึ้น ประตูถูกคนถีบเข้ามา
เจินจยาฝูหันไปมอง เห็นพี่ชายเจินเย่าถิงบุกเข้ามา วิ่งมาตรงหน้าเผยซิวจื่อพร้อมตะโกนอย่างโมโห “น้องสาวข้าไม่แต่งแล้ว! ถ้าไม่มีผู้ใดต้องการจริงๆ ข้าจะเลี้ยงนางไปตลอดชีวิตเอง ไม่คิดจะให้นางไปทนรับเรื่องน่าโมโหเช่นนี้ที่สกุลพวกท่าน! ท่านรีบไปเสีย!”
เมิ่งซื่อเห็นบุตรชายถึงกับบุกเข้ามาเช่นนี้ ดวงตาพลันเบิกกว้าง เส้นเอ็นเขียวบนหน้าผากปูดโปน เอ่ยต่อว่าอย่างร้อนรน “เจ้ามาทำอะไรกัน ออกไป! ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้า!”
ในใจเผยซิวจื่อรู้สึกหงุดหงิดที่เจินเย่าถิงไร้มารยาทอยู่บ้าง แต่เพื่อเจินจยาฝู เขาจำต้องอดทนเอาไว้ ลุกขึ้นมาจากพื้น รักษาท่าทางตามเดิม ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “เป็นน้องรองนี่เอง น้องรองอย่าได้โมโหไป เป็นเพราะทางข้าไม่ดีจริงๆ ที่ข้ามาที่นี่เดิมทีก็ตั้งใจมาขอโทษท่านน้าอยู่แล้ว”
สกุลเจินเป็นตระกูลที่มีฐานะมั่งคั่งอันดับต้นๆ ที่เฉวียนโจว ความสัมพันธ์กับขุนนางท้องถิ่นเองก็ดี เวลาเจินเย่าถิงออกไปข้างนอกก็คือนายท่าน ไม่มีผู้ใดไม่ประจบสอพลอ เขาใช้ชีวิตเช่นนั้นมาจนคุ้นชินแล้ว เมื่อครู่ยามได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับมารดาตอนไปคุยเรื่องแต่งงานยังจวนเว่ยกั๋วกง เพลิงโทสะพลันลุกโหม ไม่ว่าอย่างไรก็ทนไม่ไหว ถึงกับบุกเข้ามาตรงๆ แม้เผยซิวจื่อจะยิ้มอยู่เขาก็ยังไม่ไว้หน้า เอ่ยด้วยสีหน้าดุดัน “คุณหนูในห้องหอดีๆ อย่างน้องสาวข้าถูกพวกท่านดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ สาดน้ำสกปรกใส่ร่างนาง แต่ท่านกลับแค่มาอธิบายให้นางฟังเพียงอย่างเดียว?”
สีหน้าของเผยซิวจื่อค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้แล้ว เขาไม่พูดอะไรอีก
เมิ่งซื่อตะโกนเรียกให้จางต้าพาคนเข้ามาบังคับลากตัวบุตรชายที่บันดาลโทสะออกไป หลังเสียงเอะอะโวยวายผ่านไประลอกหนึ่งจึงสงบลง นางกดข่มความว้าวุ่นในใจ หันไปเอ่ยกับเผยซิวจื่อ “วันนี้อารมณ์ข้าค่อนข้างสับสนอยู่บ้างจริงๆ ความตั้งใจของเจ้าข้ารับรู้แล้ว มิสู้เจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่ ให้ข้าได้คิดดูอีกทีก่อน”
เผยซิวจื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเมิ่งซื่อก็รู้ได้ว่าตนเองรั้งอยู่ต่อไปคงไม่มีประโยชน์อีก ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ก่อนจากไปยังหันกลับมาเอ่ยรับรองกับเมิ่งซื่ออีกรอบ บอกว่าตนเองจะต้องกลับไปเกลี้ยกล่อมมารดาให้ได้ หลังออกจากประตูใหญ่คฤหาสน์สกุลเจิน เขาก็หน้านิ่วคิ้วขมวดกลับจวนเว่ยกั๋วกงไป เมื่อกลับมาถึงได้รู้ว่าท่านย่ากลับมาจากวัดฉือเอินแล้ว หลังนิ่งคิดอยู่สักพักก็ตัดสินใจเดินไปยังเรือนหลักทางทิศเหนือ
เผยโย่วอันส่งท่านย่ากลับมาถึงเรือนเรียบร้อยก็กลับมายังเรือนเก่าของตนเองที่หนนี้กลับมาพักอยู่ชั่วคราว ไม่นานสาวใช้ผู้หนึ่งก็เดินมา บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเรียกหา เผยโย่วอันจึงกลับไปอีกครั้ง เห็นเผยซิวจื่อเองก็อยู่ที่นั่น หันมาเรียกตนเองว่า “พี่ใหญ่”
เขาผงกศีรษะตอบรับเรียก “น้องรอง” ออกไปคำหนึ่ง ก่อนหันมาทางฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่าเรียกข้ามามีเรื่องใดหรือขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยว่า “อาการป่วยสองครั้งที่ผ่านมาของหลานชายเจ้ามาอย่างไร้ที่มาที่ไป โชคดีที่ไม่ร้ายแรงอันใด วันนี้ก็กลับไปกระโดดวิ่งเล่นได้แล้ว แต่ทางสกุลซ่งกลับกล่าวโทษมาที่บุตรสาวสกุลเจิน บอกว่าดวงชะตาข่มกัน ตั้งแต่นางมาเฉวียนเกอเอ๋อร์ก็เกิดเรื่องขึ้นไม่หยุด มารดาเจ้าเองก็เลอะเลือนหลงเชื่อไปแล้วเช่นกัน ก่อเรื่องไร้สาระ แม้ข้าจะดูลักษณ์คนไม่เป็น แต่หญิงสาวผู้นั้นดูมีใบหน้าสดใส ใจคอกว้างขวาง ไม่เหมือนคนที่จะมีชะตาข่มผู้อื่น ทางสกุลซ่งเอ่ยวาจาเหลวไหลไร้สาระ น่าจะตั้งใจหาเรื่อง จะได้ยกเลิกงานแต่งระหว่างนางกับน้องรองเจ้าสำเร็จ ในเมื่อเจ้าเคยตรวจอาการให้เฉวียนเกอเอ๋อร์ รู้หรือไม่ว่าอาการป่วยเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ จะต้องรักษาอย่างไรให้หายขาด”
เผยโย่วอันมองสบกับสายตาคาดหวังที่เผยซิวจื่อมองมาแล้วลังเลไปเล็กน้อย
ตั้งแต่เด็กเขาได้รับความโปรดปรานจากเทียนสี่ฮ่องเต้ผู้เป็นลุงเขยจากความสามารถอันโดดเด่น ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอมาแต่เด็กจึงเริ่มศึกษาวิชาแพทย์ เคยบังเอิญได้รับตำราแพทย์ตะวันตกเล่มหนึ่ง ภายในตำราเล่มนั้นจดบันทึกตำรับยาโบราณเอาไว้ไม่น้อย รวมไปถึงฤทธิ์ สรรพคุณ และข้อห้ามของยาสมุนไพรต่างๆ หนึ่งในนั้นมีตัวยาชนิดหนึ่งก็คือต้งหลงเหน่าที่ถูกระบุว่าเป็นเครื่องหอม ตอนนั้นเขาเกิดความสนใจขึ้นมา จึงตั้งใจหาต้งหลงเหน่ามาพิสูจน์ ดังนั้นเขาไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญกลิ่นหอมและลักษณะเฉพาะของมันเป็นอย่างดี ยังรู้ถึงฤทธิ์ของตัวยาสมุนไพรชนิดนี้ว่ามีคนจำนวนน้อยมากที่ไม่เหมาะจะใช้ หากสัมผัสจะทำให้ปากบวมตาบวม เกิดผื่นขึ้นทั้งร่าง หากเผลอกินเข้าไปอย่างเบาก็จะใจสั่นเวียนศีรษะ ร้ายแรงก็อาจถึงขั้นหายใจไม่ออกตายได้
หากสวรรค์แย่งชิงบางอย่างไปก็จะประทานบางอย่างมาเป็นการชดเชย แม้เขาจะเกิดมาสภาพร่างกายอ่อนแอ ส่งผลให้เว่ยกั๋วกงผู้เป็นบิดาตัดใจจากอักษร ‘ซิว’ ของลำดับรุ่น และเลือกคำว่า ‘โย่วอัน’ ที่หมายถึง ‘คุ้มครองปลอดภัย’ ให้เขาเพียงผู้เดียวแทน ทว่าเขากลับมีพรสวรรค์เหนือผู้คน ทั้งยังมีความรู้กว้างขวาง ความทรงจำดี มิหนำซ้ำความสามารถในการดมกลิ่นยังเฉียบคมอย่างมาก ในคืนงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยคืนนั้น เขารีบร้อนกลับมากลางดึก หลังเข้าไปในเรือน เดินผ่านหน้าญาติผู้น้องสกุลเจินผู้นั้น ได้ยินนางเรียกชื่อตนเอง ในชั่วขณะที่หยุดชะงักเขาก็ได้กลิ่นหอมของต้งหลงเหน่าแผ่กำจายออกมาจากตัวนางแล้ว เพียงแต่ยามนั้นไม่ได้สนใจ จนกระทั่งเฉวียนเกอเอ๋อร์ป่วยขึ้นมา เห็นสภาพอาการของอีกฝ่ายแล้วดมได้กลิ่นหอมที่หลงเหลืออยู่บนเสื้อผ้าเฉวียนเกอเอ๋อร์อีกครั้ง จึงลอบคาดเดาถึงสาเหตุได้แล้ว
ส่วนเหตุผลที่ไม่ได้พูดออกมาตามตรงทันที เป็นเพราะในตอนที่เดินผ่านหน้าญาติผู้น้องสกุลเจินผู้นี้ เขาถูกคำเรียกขานว่า ‘พี่ใหญ่เผย’ ที่โพล่งออกมาของนางทำให้หยุดชะงัก ในชั่วขณะที่หันหน้ากลับมามองสบตากับนาง นางได้ทำให้เขาจดจำอย่างลึกซึ้ง
ตอนแรกเขาจดจำไม่ได้จริงๆ ว่านางเป็นผู้ใด รอจนเห็นใบหน้านางแดงระเรื่อด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนจากความเฉยชาของเขาถึงค่อยนึกขึ้นมาได้ หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก็คือหลานสาวของท่านอาสะใภ้บ้านรองที่เคยมาเยือนจวนเว่ยกั๋วกงหลายครั้งหลายหนเมื่อหลายปีก่อนหน้าผู้นั้น
ตอนนั้นเขาเป็นเด็กหนุ่มแล้ว ท่วงท่าเฉกเช่นนักปราชญ์ ชื่อเสียงโด่งดังทั่วเมืองหลวง และความทรงจำทั้งหมดที่นางมอบให้เขาคือหัวไช้เท้าลูกเล็กๆ ที่ยังไม่เลิกกินน้ำนม ผิวกายขาวนวล ดวงตาทั้งกลมทั้งใหญ่ นัยน์ตาฉ่ำวาวทั้งสองราวกับองุ่นใสที่หล่อเลี้ยงอยู่ในน้ำ ตัดผมหน้าม้าเป็นระเบียบ เรือนผมสีดำขลับสยายอยู่บนบ่าเล็กๆ ทั้งสองข้าง เวลาเห็นเขาก็จะหลบไปซ่อนอย่างขลาดกลัว มีเพียงแค่นี้เท่านั้น คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผ่านไปหลายปี เมื่อได้พบที่นี่อีกครั้งนางจะเติบโตมาเป็นโฉมงามอ่อนหวานแล้ว
ที่ทำให้เขาจดจำลึกซึ้งไม่ใช่ใบหน้ารูปไข่งดงามที่เงยขึ้นมองเขา แต่เป็นดวงตาของนาง
ยามนั้นนางเบิกตากว้าง มองมาที่เขาตาไม่กะพริบ ในแววตาเปิดเผยความปีติยินดีที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณและเชื่อใจ
ความรู้สึกเช่นนี้…เหมือนกับว่าแต่ก่อนเขากับนางเคยใกล้ชิดกัน และวันนี้ก็เป็นวันที่ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังไม่ได้พบกันมานาน
ความผิดปกติของเจินจยาฝูทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร หลังคาดเดาว่ากลิ่นหอมบนร่างของนางเกี่ยวข้องกับอาการป่วยของเฉวียนเกอเอ๋อร์ ด้วยความระมัดระวังจึงไม่ได้เปิดโปงออกไปในทันที แต่เลือกที่จะปิดบังเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าที่ครั้งนี้ท่านย่าเรียกเขามากะทันหัน ถามเรื่องอาการป่วยของเฉวียนเกอเอ๋อร์ขึ้นมา น่าจะเป็นเพราะเมื่อครู่นี้เผยซิวจื่อขอให้นางออกหน้าตัดสินใจแทน
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่วัดฉือเอิน เขาเงียบขรึมไปเล็กน้อย สุดท้ายยังคงตอบออกมาในที่สุด “สาเหตุของอาการป่วยเฉวียนเกอเอ๋อร์ หลานยังไม่ทราบขอรับ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)
Comments
comments
No tags for this post.