X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 127

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ด

วันนี้ซูเสวี่ยจื้อยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้นตั้งแต่เช้าตรู่

ติงชุนซานส่งลูกน้องมาพาด็อกเตอร์อวี๋ไปส่งที่บ้านเดิมของเพื่อนเก่าเพื่อนำอัฐิไปฝัง ในห้องปฏิบัติการเหลือเธออยู่คนเดียว

ช่วงเช้าเธอง่วนอยู่กับการแยกเชื้อบริสุทธิ์จากจานเพาะเชื้อราที่ได้จากเศษเนื้อคราวก่อน เตรียมทดลองจำแนกเชื้อในขั้นต่อไปเพื่อหาเชื้อราเพนิซิลเลียมที่มีรูปทรงคล้ายแปรง

มันเป็นงานซ้ำซากจำเจและละเอียดจุกจิกที่ทดสอบความอดทนแล้วก็ต้องอาศัยโชคดวงด้วย ตามประสบการณ์ของด็อกเตอร์อวี๋ อาจต้องทดลองทำเป็นร้อยๆ ครั้งกว่าจะได้เชื้อราเพนิซิลเลียมหลายสิบตัวตามที่ต้องการในที่สุด ค่อยคัดเลือกสายพันธุ์ที่นำมาสร้างสารปฏิชีวนะได้ออกมาเพาะเลี้ยงต่ออีกที ปกติมักมีเปอร์เซ็นต์สำเร็จไม่สูงนัก ทำได้สักหนึ่งในสี่ก็ไม่เลวแล้ว

หนทางสู่ความสำเร็จยังอีกยาวไกลนัก ตอนนี้เป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้น

ช่วงบ่ายเธอไปที่โรงพยาบาล

เธอเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยของนักเรียนแพทย์ฝึกหัด ทีแรกกลุ่มนี้จะหมดหน้าที่เข้าเวรตอนสองทุ่ม แต่โชคไม่ดีที่ตอนใกล้จะออกเวรคนของหมู่บ้านห่างไปสิบกว่ากิโลเมตรกินของที่ไม่สะอาดในงานเลี้ยงแต่งงานของคนหมู่บ้านเดียวกันเข้าไปจนเกิดอาการอาหารเป็นพิษ อาเจียนท้องร่วงกันระนาว ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลรวดเดียวยี่สิบกว่าคน

พอเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่ซูเสวี่ยจื้อจะนิ่งเฉยดูดายอยู่แล้ว เธอพร้อมด้วยพวกเพื่อนนักเรียนอยู่ช่วยชีวิตผู้ป่วยกับแพทย์เวร ยุ่งวุ่นวายจนขาขวิดไปตามๆ กัน

ดีที่เมื่อให้การปฐมพยาบาลฉุกเฉินแล้ว รายที่เป็นน้อยหลังกระตุ้นให้อาเจียนกับล้างท้องและกินยาก็ค่อยๆ อาการดีขึ้น มีญาติทยอยมารับตัวกลับ ส่วนสองสามคนที่อาการหนักที่สุดก็อาการคงที่แล้ว ไม่เป็นอะไรมากเช่นกัน

กว่าจะดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งหมดจนเรียบร้อย ภายในโรงพยาบาลค่อยๆ กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

ซูเสวี่ยจื้อบอกให้เพื่อนนักเรียนที่ทำงานจนดึกดื่นกลับวิทยาลัยไปพักผ่อน ส่วนตนเองยังกลับไม่ได้ ต้องไปที่ห้องพักแพทย์เวรทำบันทึกการปฏิบัติหน้าที่เวรในวันนี้ก่อน

เธอทำบันทึกนี้เสร็จแล้วถึงจะกลับไปได้

ครั้นจิตใจที่ตึงเครียดมาตลอดคืนผ่อนคลายลง หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน

เธอเรียกแรงฮึดให้ตนเอง ตั้งใจจะสะสางงานให้เสร็จไวๆ แต่พอนั่งลงเขียนไปได้ไม่กี่คำก็เริ่มใจลอย

วันนั้นติงชุนซานบอกเธอว่าหวังเซี่ยวคุนลาออกจากตำแหน่งแล้ว ดังนั้นเฮ่อฮั่นจู่จึงยังกลับมาไม่ได้ รอเสร็จงานแล้วเขาก็จะมาหาเธอ

นับจากวันนั้นก็ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว

เมื่อวานเธอเห็นข่าวหวังเซี่ยวคุนลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการในหนังสือพิมพ์

ส่วนวันนี้เธอยุ่งมาก ทำงานไม่ได้หยุดตั้งแต่เช้า ยังไม่มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ของวันนี้

แต่เธอคาดเดาเอาเองว่าอย่างน้อยน่าจะต้องอีกสองสามวันเขาถึงจะกลับมากระมัง

ขณะที่ซูเสวี่ยจื้ออยู่ในภวังค์ความคิด ประตูห้องพักแพทย์เวรที่เปิดแง้มไว้ถูกคนผลักเปิดออก เธอเงยหน้าขึ้นเห็นพยาบาลสาวน้อยในโรงพยาบาลนี้ที่ดูเหมือนจะมีความรู้สึกดีๆ กับเธอตั้งแต่ปีที่แล้วเยี่ยมหน้าเข้ามาถามอย่างเอาอกเอาใจว่าเธอเหนื่อยหรือเปล่า อยากดื่มน้ำไหม และบอกว่าจะไปรินมาให้

เธอส่งยิ้มให้พยาบาลสาวน้อยพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ ตอบว่าไม่ต้องแล้วบอกให้อีกฝ่ายรีบไปพักผ่อน

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังไม่เหนื่อย คืนนี้แค่คอยเป็นลูกมือของคุณเท่านั้น หมอซูต่างหากที่เหนื่อยแล้ว เอ๊ะ หน้าต่างปิดไม่สนิท สองวันนี้มีลมหนาวหลงฤดู อากาศเย็นลงอีกแล้ว ฉันช่วยปิดหน้าต่างให้นะคะ”

พยาบาลสาวน้อยเข้าห้องมาแล้วเดินไปตรงข้างหน้าต่างยื่นมือจะปิดหน้าต่าง แต่จู่ๆ ก็นิ่งไปคล้ายเห็นอะไร เธอหันหน้ามาบอกอย่างแปลกใจ “หมอซู มาดูนี่สิคะ! ทำไมถึงมีคนมาอยู่ตรงถนนด้านนอกประตูเล็ก เขามาหาหมอหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่เข้ามา ดึกป่านนี้แล้ว ด้านนอกหนาวแบบนี้ยังยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไร”

ซูเสวี่ยจื้อชะงักกึก ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดคำบอกของพยาบาลสาวน้อยทำให้เธอหวนนึกถึงคืนหนึ่งของปีที่แล้วโดยพลัน

คืนวันนั้นหลังจากผ่าตัดไส้ติ่งให้ลูกชายคุณนายหม่าเสร็จ เธอก็มองเห็นเฮ่อฮั่นจู่คอยเธออยู่ข้างนอกตรงถนนสายนี้จากทางหน้าต่างบานนี้เหมือนกัน

เวลานี้พอคิดไปถึงจุดประสงค์ที่เขามาหาเธอตอนนั้นก็ยังน่าขำอยู่สักนิดจริงๆ

เขาอยากให้เธอแต่งงานกับน้องสาวเขา

หรือว่า…

ซูเสวี่ยจื้อวางปากกาลงทันควัน ลุกจากเก้าอี้เดินฉับๆ ไปที่ข้างหน้าต่าง

“นั่นๆ ทางนั้นค่ะ เห็นไหมคะ ตอนเห็นแวบแรกฉันตกใจหมดเลย…” พยาบาลสาวน้อยชี้ให้เธอดู

นอกประตูเล็กของโรงพยาบาลมีเพียงแสงไฟสลัวๆ ซ้ำยังอยู่ห่างไปหลายสิบเมตร เห็นคนคนนั้นเป็นเงาตะคุ่มๆ ดูเหมือนจะคลุมเสื้อโค้ตไว้บนไหล่ เป็นผู้ชายคนหนึ่งยืนนิ่งๆ อยู่ในความมืด

ถึงเห็นเพียงเท่านี้ แต่ซูเสวี่ยจื้อยังคงจำได้ตั้งแต่แวบแรก

ตายจริง! เป็นเขาจริงๆ หรือนี่!

เฮ่อฮั่นจู่กลับมาเมืองเทียนเร็วขนาดนี้ เมื่อวานหวังเซี่ยวคุนเพิ่งลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ วันนี้เขาก็กลับมาหาเธอที่นี่แล้ว

ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยของเธออันตรธานไปหมดสิ้น

บันทึกการปฏิบัติหน้าที่เวร…เยอะขนาดนี้คงทำไม่ไหวหรอก

ซูเสวี่ยจื้อหันหลังพุ่งตัวออกนอกห้อง แต่ไปถึงหน้าประตูก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ เธอรีบถอดเสื้อกาวน์ออก คว้าเสื้อโค้ตของตนเองมาสวมอย่างฉับไว ค่อยวิ่งเร็วรี่ออกจากทางประตูเล็กไปยืนอยู่ตรงหน้าเขา

ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึงสามนาที

เธอรู้ว่าพยาบาลสาวน้อยยังแอบดูอยู่หลังหน้าต่างเป็นแน่ จึงพยายามสะกดอารมณ์ตื่นเต้นในใจไว้สุดกำลัง กระซิบถามว่า “คุณกลับมาแล้วหรือคะ”

ถึงเป็นคำทักทายสั้นๆ ง่ายๆ ประโยคเดียว เธอกลับรู้สึกว่าใบหูของตนเองเริ่มร้อนวูบวาบแล้ว

เขาจากไปตอนวันที่เจ็ดเดือนหนึ่ง วันนี้เป็นปลายเดือนสองแล้ว

หลังจากแยกจากเขาเกือบสองเดือนนี้เธอถึงรู้ว่าตนเองคิดถึงเขามากเพียงใด

เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ได้พบหน้าเขาประเดี๋ยวเดียว จริงๆ แล้วสู้ไม่เจอกันยังดีกว่า มีแต่ทำให้เธอยิ่งห่วงหาอาวรณ์เขาจับจิตจับใจ

หญิงสาวเห็นเขาเพ่งมองเธอพลางตอบ “ใช่ ผมกลับมาแล้ว”

“คุณรอนานขนาดไหนแล้วคะ ทำไมถึงไม่เข้าไป” เธอถามต่อเสียงเบาๆ

“ผมเห็นคุณยุ่งอยู่ตลอด กลัวจะรบกวนคุณ…”

“คุณก็เลยอยู่ตรงนี้ รอจนถึงตอนนี้เลยหรือ” ซูเสวี่ยจื้อแปลกใจ เธอขึ้นเสียงใส่เขาอย่างสุดระงับ

เขายิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร คืนนี้ผมว่าง”

แต่ตอนกลางคืนมันหนาวนะ! อีกอย่างอากาศเย็นอาจส่งผลให้หายใจไม่สะดวกได้…

ทำไมโลกนี้ถึงมีคนทึ่มๆ แบบนี้นะ!

ซูเสวี่ยจื้อปวดใจสุดจะกล่าว เธอบอกทันที “ฉันไปได้แล้วค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า แขนซ้ายในเสื้อโค้ตห้อยอยู่ข้างลำตัวนิ่งๆ เขายกแขนขวาชี้ไปข้างหน้า “รถอยู่ทางนั้น ผมจะส่งคุณกลับไปที่วิทยาลัยก่อน”

ซูเสวี่ยจื้อพลันรู้สึกคลับคล้ายว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกในชั่วขณะว่าเป็นตรงไหน

เธอยังฉงนใจอยู่ตงิดๆ เห็นเขาหมุนตัวเดินไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วคงสังเกตว่าเธอไม่ได้ตามไป เขาหยุดฝีเท้าเหลียวหน้ามามอง

เธอดึงความคิดคืนมาแล้วเร่งรีบสาวเท้าตามไป

ตอนเดินไปถึงข้างรถที่จอดไกลออกไปหลายสิบเมตรของเขาคันนั้นแล้วเห็นติงชุนซานลงจากรถเปิดประตูให้คนทั้งคู่ ความรู้สึกชอบกลในใจเธอเมื่อครู่นี้ก็ทวีความรุนแรงขึ้น

“ขึ้นมาสิ” เขายังคงใช้มือขวาจับประตูรถให้ เบือนหน้ามาเห็นเธอยืนอยู่ที่เดิมไม่ขึ้นรถก็เปล่งเสียงบอก

ความจริงด้วยตำแหน่งของเขาแล้ว ตามธรรมดาเวลาออกมาข้างนอกมีนายทหารติดตามหรือผู้คุ้มกันมาด้วยต่างหากถึงเป็นเรื่องปกติ

เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนดูเหมือนเขาชอบไปไหนมาไหนตามลำพัง ด้วยเหตุนี้จึงมักมาพบเธอเองคนเดียวบ่อยๆ

เขาเคยถูกลอบฆ่าไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หนำซ้ำทางเมืองหลวงในเวลานี้ก็เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น หวังเซี่ยวคุนลงจากอำนาจ เพื่อรอบคอบไว้ก่อน เวลาเขาออกมาข้างนอกจะให้ติงชุนซานตามมาด้วยก็สมเหตุสมผลดี

ซูเสวี่ยจื้อครุ่นคิดในใจพลางก้มตัวเข้าไปนั่ง

เขาขึ้นรถตามมา

ติงชุนซานปิดประตูรถเรียบร้อยก็ขับรถไปตามถนนเส้นเดิมที่ตัดผ่านสุสานร้างไปทางวิทยาลัย

บนรถนอกจากเธอกับเขาแล้วยังมีติงชุนซานอีกคน ย่อมพูดจากันไม่สะดวก

เธอลอบชำเลืองมองเฮ่อฮั่นจู่ที่นั่งอยู่ข้างตัวเป็นระยะ เห็นเขามองดูสุสานร้างมืดมิดทางนอกหน้าต่างด้วยแววตานิ่งสนิทอยู่ตลอดราวกับคิดความในใจอะไรอยู่

ผ่านไปชั่วครู่เขาเบือนหน้ากลับมาส่งยิ้มให้เหมือนรับรู้ได้ว่าเธอมองเขาอยู่ในที่สุด

“เธอนั่งเอนหลังนอนพักสักครู่สิ พอถึงแล้วฉันจะเรียกเธอเอง”

ภายในรถมืดสลัวเลือนราง แต่หญิงสาวเห็นได้ชัดถนัดตาว่าบนใบหน้าของเขาฉายแววอ่อนโยนมาก

ความรู้สึกหวานล้ำละมุนละไมแกมอบอุ่นกำซาบไปทั้งหัวใจ เธอทำเสียงตอบในลำคอแล้วหลับตา เอนหัวพิงพนักเบาะนั่ง

วิทยาลัยอยู่ห่างจากโรงพยาบาลไม่ไกล ชั่วครู่เดียวก็ถึงแล้ว

ติงชุนซานเปิดประตูรถให้ทั้งคู่ดังเก่า

ซูเสวี่ยจื้อลงจากรถ

เขาก็ลงรถเดินไปส่งเธอถึงหน้าประตูวิทยาลัยแล้วหยุดฝีเท้า

เธอรออยู่ว่าเขาจะพูดอะไรกับเธออีกสักหน่อย

เขากลับจากเมืองหลวงและมาหาเธอแล้วในคืนนี้ หรือว่าจะจบลงเท่านี้กัน

เธอมองเฮ่อฮั่นจู่และเห็นว่าเขาก็มองเธอเงียบๆ ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่อย่างนี้ประเดี๋ยวหนึ่ง

ความรู้สึกแปลกๆ ชอบกลนั่นกลับเข้ามาเกาะกุมจิตใจเธออีกครั้ง…

ในตอนที่ซูเสวี่ยจื้อเกือบอดใจไม่อยู่นั้นเอง จู่ๆ เขาก็ยกแขนขวาขึ้น…

ซูเสวี่ยจื้อใจเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่ง อึดใจต่อมากลับเห็นเขาล้วงนาฬิกาพกจากอกเสื้อ เปิดฝาออกก้มหน้าดูเวลาแล้วอ้าปากพูด

“ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว คืนนี้คุณคงเหนื่อยมากแล้ว คุณเข้าไปเถอะ นอนพักผ่อนให้เต็มที่ก่อน” เขากระซิบบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างยิ่งยวด

เธอชั่งใจนิดหนึ่งก่อนถามคำถามที่ตนเองอยากถามเมื่อครู่นี้ออกมาในที่สุด “คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า มีเรื่องอะไรใช่ไหม”

เขาหันไปมองผืนรัตติกาลมืดมิดไกลๆ ปราดหนึ่งแล้วหันหน้ากลับมา “ไม่มีอะไร …คืนนี้ดึกเกินไปแล้ว คุณจำเป็นต้องพักผ่อนมากที่สุด พรุ่งนี้เถอะ…ไว้พรุ่งนี้คุณมีเวลาว่าง ผมค่อยมาหาคุณใหม่”

สุ้มเสียงของเขาอ่อนโยนดุจเดิม และยังคงคำนึงถึงเธออย่างถี่ถ้วนเช่นนี้

เมื่อครู่นี้ก่อนจะเห็นเขาปรากฏตัวที่โรงพยาบาล เธอรู้สึกเหนื่อยมากจนอยากพักผ่อนแล้วจริงๆ

ทว่าพอตอนนี้ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากเขา ในใจเธอกลับรู้สึกเคว้งคว้างระคนด้วยความหดหู่

แล้วความรู้สึกเคว้งคว้างหดหู่ที่เกิดขึ้นในชั่วอึดใจนี้ เสมือนกระแสน้ำขึ้นใต้แสงจันทร์จากที่ไกลค่อยๆ ไหลเอ่อมาใกล้แล้วท่วมทับตัวเธอไว้จนมิดศีรษะในที่สุด

ถ้าจะพูดกันจริงๆ เวลาที่เธอกับเขาได้อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดเริ่มจากวันสุดท้ายของปีก่อนเป็นแค่ช่วงสั้นๆ สามสี่วันนั้นเอง แม้ว่าก่อนแยกกันจะมีปากเสียงกันนิดหน่อย แต่ซูเสวี่ยจื้อรู้ว่าเธอไม่ได้โมโหจริงๆ

เธอรู้สึกว่าเขาก็เป็นเหมือนเธอ

ในเวลานี้เขากับเธอน่าจะยังถือเป็นคู่รักที่อยู่ในช่วงหวานชื่นอยู่

ตอนนี้ได้พบกันอีกครั้งหลังไม่เจอหน้ากันมานาน ตามธรรมดาไม่ควรเป็นแบบนี้

แล้ว…ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ

ซูเสวี่ยจื้อรำพึงในใจ เธอรู้สึกได้ชัดเจนว่าคืนนี้เขามีเรื่องอยากพูดกับเธอ

เธอยังรอคำอธิบายจากเขาอยู่ว่าวันนั้นเขาวิ่งขึ้นรถไฟเอาแหวนที่สลักตัวอักษรมามอบให้เธอหมายความอะไร แต่ว่าตอนนี้…

หญิงสาวตวัดตามองติงชุนซานที่ยืนตัวตรงอยู่ข้างรถยนต์ไม่ไกลนัก เธอพยักหน้าพูดเสียงเบา “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ได้ ฉันเข้าไปก่อนนะคะ”

หลังจากซูเสวี่ยจื้อเข้าประตูวิทยาลัยไปแล้วยังเหลียวหลังซ้ำๆ หลายครั้ง เห็นเขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอด

เขายืนมองส่งเธอ

สุดท้ายเธอกลับถึงห้องพักเดี่ยวของตนเองพร้อมด้วยอารมณ์หม่นหมองวังเวงใจแซมแทรกด้วยความหวานล้ำจางๆ เช่นนี้

เธอยังพักอยู่ห้องเดิมที่ทางวิทยาลัยจัดให้ตอนมาถึงใหม่ๆ เมื่อปีก่อน ส่วนคนที่อยู่ห้องติดกันปีนี้ก็เป็นเพื่อนข้างห้องคนเก่าลู่ติ้งกั๋วรวมถึงเกาผิงเซิงซึ่งอยู่ห้องถัดไป

ในห้องของเกาผิงเซิงไม่เห็นแสงไฟลอดออกมา ดึกป่านนี้เขาคงเข้านอนไปนานแล้ว

ห้องติดกันก็ไม่มีคน ลู่ติ้งกั๋วมาเรียนต่อเฉพาะทาง ภาคการศึกษานี้ไม่จำเป็นต้องมาทุกวันเหมือนคนอื่น พักนี้เขาเลยไม่อยู่ห้อง

ซูเสวี่ยจื้อเข้าห้องแล้วลงกลอนจากด้านใน ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้าล้มตัวลงนอน

ขณะนี้หนึ่งนาฬิกากว่าเป็นเวลาดึกมากแล้วจริงๆ ตอนหัวค่ำยังทำงานหนักอย่างนั้น เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดเลยทีเดียว เธอต้องการการพักผ่อนอย่างที่เขาบอกไว้จริงๆ แต่เธอกลับนอนไม่หลับ

หญิงสาวหลับตาพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่ในความมืด เธอนอนไม่หลับจริงๆ

แทนที่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ อย่างนี้ เธอไปดูของรักของหวงของเธอในห้องปฏิบัติการยังดีเสียกว่า

เธอลุกจากเตียงแต่งตัวอีกครั้ง จากนั้นออกจากห้องพักไปที่อาคารปฏิบัติการ เดินไปตามทางเดินยาวเหยียดที่ดูวังเวงอยู่บ้างในตอนกลางคืนตามลำพัง มีเพียงเสียงฝีเท้าเป็นจังหวะของตนเองเป็นเพื่อนจนมาถึงห้องปฏิบัติการประจำของเธอ เธอเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่ข้างประตู

นับแต่เฮ่อฮั่นจู่ไปกวนซีตอนต้นปี ชีวิตของเธอก็ขาดหนังสือพิมพ์ไม่ได้เลย เธอต้องอ่านทุกวัน กระทั่งผู้ช่วยในห้องทำงานของผู้อำนวยการเหอที่สนิทกับเธอพอสมควรยังรู้ว่าเธออ่านเป็นประจำ บางครั้งจะช่วยเอาหนังสือพิมพ์รายวันแวะมาวางไว้หน้าห้องปฏิบัติการให้เธอได้หยิบอ่านอย่างสะดวก

เธอหยิบหนังสือพิมพ์มาด้วย ค่อยเปิดประตูเข้าไปในห้องปฏิบัติการ

ห้องปฏิบัติการที่ใช้เพาะเชื้อห้องนี้ตั้งอยู่ริมด้านในเพื่อกันแสงและมีจุดประสงค์ในการเก็บเป็นความลับ จึงแอบมองสภาพด้านในจากนอกห้องไม่ได้ ประตูก็ติดตั้งกุญแจนำเข้าจากต่างประเทศที่แข็งแรงแน่นหนา ถ้าไม่มีลูกกุญแจ นอกจากใช้ของแข็งทุบกุญแจให้พังก็ไม่มีทางงัดเข้าไปได้

ส่วนงานที่เธอกับด็อกเตอร์อวี๋ทำด้วยกันอยู่ในขณะนี้ พวกเธอบอกกับคนภายนอกว่าเป็นการค้นคว้าวัคซีนป้องกันโรคไข้รากสาดน้อย…ซึ่งใครๆ ก็รู้กันทั่วว่าเมื่อก่อนด็อกเตอร์อวี๋ทำงานด้านการค้นคว้าวิจัยวัคซีนมาก่อน คำอธิบายนี้จึงตอบคำถามของคนที่อยากรู้อยากเห็นให้หมดข้อสงสัยได้

ซูเสวี่ยจื้อตรวจวัดอุณหภูมิกับความชื้น และสังเกตสภาพการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในจานเพาะเชื้อหมายเลขต่างๆ แล้วเขียนบันทึกเสร็จเรียบร้อย ถึงนั่งลงหยิบหนังสือพิมพ์ที่เอาติดมือมาเมื่อครู่นี้

เฮ่อฮั่นจู่กลับมาแล้ว อันที่จริงหนังสือพิมพ์ของวันนี้จะอ่านหรือไม่อ่านก็มีค่าเท่ากัน

แต่เพราะสนใจความเป็นไปของคนรู้จักอย่างสกุลหวัง เธอยังคงอยากดูว่ามีข่าวต่อเนื่องเกี่ยวกับพ่อของหวังถิงจือหรือไม่

ทว่าชั่วขณะที่กางหนังสือพิมพ์ออก ดวงตาของซูเสวี่ยจื้อนิ่งขึงไปทันใด

พาดหัวข่าวตัวใหญ่สีดำบรรทัดหนึ่งดึงดูดสายตาเธอไว้ คืนวานเกิดเหตุจ้างวานฆ่าสะท้านเมือง

ในเนื้อหาข่าวรายงานเหตุการณ์ว่าเมื่อคืนนี้เฮ่อฮั่นจู่ซึ่งเพิ่งสร้างผลงานความชอบโดดเด่นเป็นที่จับตาด้วยการปราบจลาจลในกวนซีเมื่อเร็วๆ นี้ไปร่วมงานเลี้ยงที่คฤหาสน์ของท่านประธานาธิบดี ตอนขากลับโดนนักฆ่าลอบสังหารกลางทาง โชคดีรอดชีวิตมาได้ แต่ถูกยิงที่แขนข้างหนึ่ง ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเอากระสุนออกอย่างเร่งด่วน นักข่าวไปสอบถามที่โรงพยาบาล ได้รับคำตอบว่าอาการบาดเจ็บที่แขนของเฮ่อฮั่นจู่สาหัสมาก กระดูกหักแบบละเอียด

ยังเปิดเผยอีกว่าผู้บงการเบื้องหลังคือเฉินกงสือซึ่งเป็นรองประธานวุฒิสภาและที่ปรึกษาคนสนิทของลู่หงต๋า หลังจากแผนการล้มเหลว ลู่หงต๋าได้ลอบหนีออกจากเมืองหลวงในคืนเดียวกัน เมืองหลวงตกอยู่ในความระส่ำระสาย ทหารประจำการของฝ่ายที่เกี่ยวข้องยิงปะทะกันจนนำไปสู่การใช้กฎอัยการศึก

ย่อหน้าสุดท้ายสรุปว่าผู้คนจากทุกแวดวงสังคมให้ความสนใจกับเรื่องที่เฮ่อฮั่นจู่โดนลอบสังหารอย่างมาก รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นและพากันติเตียนการกระทำที่ผิดกฎหมายของลู่หงต๋าและเฉินกงสืออย่างรุนแรง เรียกร้องให้ท่านประธานาธิบดีสืบคดีนี้ให้ถึงที่สุดเพื่อทวงคืนความเป็นธรรม

ซูเสวี่ยจื้อจ้องเขม็งไปที่ข่าวกรอบนี้อย่างอกสั่นขวัญผวา เธอแจ่มแจ้งในบัดดลว่าเพราะอะไรตอนเห็นเขาคืนนี้ถึงได้รู้สึกแปลกๆ

เขาไม่ได้ขยับแขนซ้ายที่ถูกเสื้อโค้ตบังไว้เลย!

เธอยังเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรติงชุนซานถึงตามเขามาหาเธอในคืนนี้ด้วย

เพราะรถยนต์ในยุคนี้ยังบังคับพวงมาลัยด้วยมือเดียวไม่ได้

ซูเสวี่ยจื้ออดทนไม่ไหวอีกต่อไป

หลายวันนี้ผู้ช่วยของผู้อำนวยการเหอคนนั้นพักอยู่ในโรงเรียนห่างจากห้องพักของเธอไม่ไกล

เธอออกจากห้องปฏิบัติการวิ่งไปที่หอพัก ปลุกอีกฝ่ายที่อยู่ในห้วงนิทราให้ตื่นขึ้นแล้วขอกุญแจห้องทำงาน จากนั้นเข้าไปโทรศัพท์

เธอไม่ได้โทรศัพท์ไปที่คฤหาสน์สกุลเฮ่อ แต่ต่อสายไปหาติงชุนซาน

เขาดูท่าทางเหมือนเพิ่งจะเข้านอนไปไม่นานก็ถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่นขึ้น พอได้ยินเสียงซูเสวี่ยจื้อ เขางุนงงไปในทีแรก “คุณ…คุณชายซูหรือ คุณโทรมาได้อย่างไร ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว มีเรื่องอะไรหรือครับ”

“ผมเพิ่งเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าผู้บัญชาการเฮ่อถูกลอบฆ่า เป็นความจริงใช่ไหมครับ” เธอโพล่งถามทันที

ติงชุนซานนิ่งเงียบไป

ไม่ตอบ แสดงว่าเป็นความจริง!

ในใจหญิงสาวสับสนยุ่งเหยิงไปหมด เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ตอนที่ปริปากพูดอีกครั้งเธอพยายามทอดน้ำเสียงให้ช้าลงและราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ “คุณน้ากลับบ้านไปแล้วใช่ไหมครับ”

“ยังเลย” หนนี้เขาตอบเร็วมาก “แค่กลับเข้าเมือง ท่านผู้บัญชาการให้ผมไปส่งท่านที่กองบัญชาการ พอถึงที่นั่นก็บอกให้ผมกลับบ้านพักผ่อน ท่านบอกว่าไม่ได้เข้ากองบัญชาการนานแล้ว อยากสะสางงานราชการที่ค้างไว้ แล้วคืนนี้ก็จะนอนค้างที่นั่นด้วย ในห้องทำงานของท่านมีห้องพักผ่อนอยู่ เมื่อก่อนท่านก็เคยนอนในนั้นเป็นบางครั้งครับ”

เขาอธิบายอย่างใจเย็น “คุณชายซู คุณวางใจได้…” เขานิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วพูดกับเธอเป็นเชิงปลอบ

แต่เขายังพูดไม่ทันจบซูเสวี่ยจื้อก็วางหูโทรศัพท์แล้วไปที่หอพักนักเรียนชายที่เคยอยู่ตอนภาคเรียนแรก เธอเคาะประตูเรียก

ไม่นานนักเสียงด่าทอเอ็ดอึงของอดีตเพื่อนร่วมห้องก็ดังออกมาจากข้างใน

“ไอ้บ้าที่ไหนวะ ดึกๆ ดื่นๆ ไม่นอน มาทำเสียงหนวกหูชาวบ้าน! ไปไกลๆ…” เจี่ยงจ้งไหวด่าเสียงฮึดฮัดฉุนเฉียว

“ผมเอง!” ซูเสวี่ยจื้อส่งเสียงตอบ

“นางฟ้าเก้า?”

เสียงด่าเงียบหายไปทันใด จากนั้นเจี่ยงจ้งไหวมาเปิดประตูอย่างว่องไว ส่วนพวกเพื่อนร่วมห้องที่เหลือก็มุดออกมาจากผ้าห่ม จุดตะเกียงเจ้าพายุที่ทางวิทยาลัยห้ามใช้แต่พวกเขาแอบซ่อนเอาไว้เองเพื่อให้ความสว่าง มองเห็นซูเสวี่ยจื้อพรวดพราดเข้ามา

“มีเรื่องอะไรหรือ”

“ขอยืมจักรยานหน่อย” พอประตูเปิดออกเธอก็มองหารถจักรยาน

ในภาคเรียนนี้เจี่ยงจ้งไหวซื้อจักรยานไว้คันหนึ่งเหมือนกัน ปกติเขาหวงมาก ไม่ให้ใครยืมทั้งนั้น เวลาที่ตนเองไม่ขี่ก็จะเก็บไว้ในห้องพัก

เธอเดินเข้าห้องไปเห็นจักรยานคันนั้นจอดอยู่ริมผนังก็เข็นออกมา

“นี่ คุณขี่เป็นหรือเปล่า ดึกมากแล้วคุณจะไปที่ไหน หรือไม่ผมไปส่งคุณไหม” เจี่ยงจ้งไหวอ้าปากหาวไปพลางถามไปพลาง

“ไม่ต้อง ผมขี่เองได้…” ซูเสวี่ยจื้อเข็นจักรยานออกไปเลย ทิ้งอดีตเพื่อนร่วมห้องทั้งหลายที่งุนงงไปตามๆ กันไว้ที่เดิม

เธอบอกยามเฝ้าประตูก่อนออกจากวิทยาลัย ก้าวขานั่งคร่อมจักรยานขี่เข้าเมืองไปคนเดียวโดยอาศัยแสงจันทร์นำทาง

หญิงสาวปั่นจักรยานเร็วฉิวจนได้ยินเสียงล้อหมุนดังฟ้าวๆ เธอใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็ขี่ผ่านถนนสายนั้นมาถึงนอกประตูเมืองทิศเหนือเพื่อเข้าเมือง

สมัยนี้ประตูเมืองยังมีการใช้กฎระเบียบแบบเดิมอยู่ ตอนกลางคืนจะปิดไว้ ห้ามไม่ให้คนทั่วไปเข้าออก

ซูเสวี่ยจื้อเรียกให้เปิดประตู ตอนแรกทหารยามผลัดดึกไม่เปิดให้และไล่เธอไป แต่พอได้ยินเธอบอกว่าเป็นหลานชายของเฮ่อฮั่นจู่ก็เปลี่ยนท่าทีทันควัน เปิดประตูเล็กให้เธอเข้ามา

เธอควบจักรยานพุ่งทะยานไปบนถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนในยามค่ำคืน เลี้ยวผ่านถนนหลายสายจนมาถึงกองบัญชาการหน่วยทหารรักษาการณ์ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง

ประตูรั้วเหล็กของกองบัญชาการปิดอยู่ เมื่อมองลอดซี่เหล็กจะเห็นตึกที่ทำการซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในลานกว้างหลังนั้นได้

ในเวลานี้ทั่วทั้งบริเวณของกองบัญชาการซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทอดสายตามองไปมีเพียงแสงริบหรี่ลอดจากหน้าต่างของตึกหลังนั้นกลางผืนราตรีสลัวเลือนราง

ดูท่าทางจะมีคนอยู่จริงๆ

หน้าประตูมีทหารยามเข้าเวรผลัดดึกอยู่

ซูเสวี่ยจื้อถามหาเฮ่อฮั่นจู่

ทหารยามคุ้นหน้าคุ้นตาเธอเป็นอย่างดี พักก่อนยังเคยได้รับคำสั่งว่าถ้าเธอมาที่นี่ ไม่ต้องซักถามและไม่ต้องรายงาน อนุญาตให้เข้ามาได้เลย เขาบอกเธอทันทีว่าท่านผู้บัญชาการอยู่ข้างใน

หญิงสาวเดินตัดลานกว้างที่มืดตื้อมาถึงชั้นล่างของตึกที่ทำการ เธอผลักประตูหน้าเปิดออก สาวเท้าผ่านโถงใหญ่ขึ้นบันไดตรงไปที่หน้าห้องทำงานของเขา

เธอยื่นมือไปจับลูกบิดประตูแล้วหมุนเปิดออก

สายตาของเธอปะทะเข้ากับโต๊ะทำงานของเขา โคมไฟดวงหนึ่งบนนั้นส่องแสงสว่างอย่างเงียบงัน

แสงไฟที่เห็นตรงหน้าประตูรั้วส่องออกมาจากในนี้นั่นเอง

โคมไฟสาดแสงกระทบพื้นโต๊ะ ซูเสวี่ยจื้อเห็นเอกสารแผ่กระจายอยู่บนนั้นดูรกมาก ตรงพนักเก้าอี้ก็มีเสื้อโค้ตตัวหนึ่งวางพาดไว้ตามใจชอบ

นี่เป็นเสื้อของเฮ่อฮั่นจู่ แต่เจ้าตัวกลับไม่อยู่

ซูเสวี่ยจื้อมองไปที่มุมซ้ายทางทิศใต้ของห้องทำงาน

ตรงนั้นมีประตูอีกบานหนึ่ง ขณะนี้มันเปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่ง

เธอเดินไปหยุดยืนหน้าประตู

หลังประตูเป็นห้องขนาดเล็กกว่า จัดพื้นที่แบบห้องนอนทว่าตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียงโต๊ะเก้าอี้กับตู้เตียงเท่านั้น ข้างในไม่ได้เปิดไฟไว้ แต่อาศัยแสงสว่างรำไรจากโคมไฟในห้องทำงานดวงนั้น เธอมองเห็นเฮ่อฮั่นจู่แล้ว

เขานอนหงายนิ่งๆ อยู่บนเตียงในเสื้อผ้าชุดเดิม ดูท่าทางเหมือนหลับสนิท

แต่กระนั้นเธอกลับรู้สึกได้ว่าจริงๆ แล้วเขาตื่นอยู่และรู้ว่าเธอมาแล้ว

เขาหันหน้ามาช้าๆ ตามคาด ลืมตาขึ้นมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู

“ดึกป่านนี้คุณมาได้อย่างไร” เขาถามคำหนึ่งด้วยเสียงแหบแห้ง จากนั้นพลิกตัวใช้มือขวายันเตียงจะลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางเก้งก้างอย่างเห็นได้ชัด

ซูเสวี่ยจื้อเดินเร็วรี่เข้าไป โน้มตัวยื่นสองมือไปกุมหัวไหล่เขา “คุณไม่ต้องลุก”

เขาชะงักไป เงยหน้าขึ้นนิดหนึ่งมองดูเธอ

เธอกดตัวเขาลงอย่างเบามือ

เขาไม่แข็งขืนอีก หลุบตาเอนกายลงตามความต้องการของเธอ พิงหลังกับหัวเตียงในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน

เธอเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียง

แสงโคมสีเหลืองอ่อนสาดส่องไปทั่วห้อง ทำให้มองเห็นสีหน้าท่าทางของผู้ชายตรงหน้าในที่สุด

บนหน้าของเขาไม่ได้ประดับรอยยิ้มน้อยๆ ไว้อีก ตรงกันข้ามกับตอนที่ปรากฏตัวตรงหน้าเธอก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ภายใต้แสงไฟในตอนนี้เขาอยู่ในอาการเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน ดวงตาทั้งคู่มีเส้นเลือดฝอยแผ่เต็มตา ใบหน้าหมองคล้ำฉายแววอิดโรยอ่อนเพลียละม้ายเพิ่งโดนถ่ายเลือดไปจนหมดตัว เสื้อเชิ้ตตัวในของชุดเครื่องแบบทหารที่ปกติเหมือนผ่านการรีดจนเรียบกริบเสมอที่สวมอยู่บนตัวก็ยับยู่ยี่ แลดูซูบซีดทรุดโทรมไปทั้งเนื้อทั้งตัว

ซูเสวี่ยจื้อเลื่อนสายตาจากใบหน้าที่ดูอ่อนล้าไปหยุดที่แขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บของเขาอึดใจหนึ่ง ถึงค่อยๆ นั่งลงตรงข้างเตียง

“หลังจากกลับไปฉันเห็นในหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเมื่อคืนคุณถูกลอบฆ่าหลังออกจากบ้านสกุลเฉา โดนยิงที่แขน การผ่าตัดเป็นอย่างไรบ้าง ใครเป็นคนผ่าให้คุณ” เธอถามด้วยสุ้มเสียงสงบนิ่งมากที่สุดเท่าที่ทำได้

เฮ่อฮั่นจู่ยกแขนขวาขึ้นลูบแขนที่บาดเจ็บของตนเองพลางบอกชื่อหมอคนหนึ่ง “ขั้นตอนผ่ากระสุนออกราบรื่นดี ไม่มีปัญหาอะไรมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

ซูเสวี่ยจื้อเคยพบกับหมอคนนี้ในงานสัมมนาคราวก่อน เขาเป็นแพทย์ออร์โธปิดิกส์* ที่เก่งที่สุดในเมืองหลวงจริงๆ เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุด

“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เพราะอะไรคุณถึงไม่บอกไม่กล่าวเลยสักคำ” เธอจ้องตาเขาพร้อมกับเอ่ยถาม

หนนี้เธอควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ค่อยอยู่จริงๆ พาให้น้ำเสียงแฝงรอยไม่พอใจจางๆ

เขาใช้ความเงียบเป็นคำตอบ

ซูเสวี่ยจื้อทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอพูดขึ้นว่า “คืนนี้ตอนคุณไปหาฉัน อยากจะพูดอะไรกับฉันกันแน่ ฉันรู้นะว่าคุณมีเรื่องอยากพูด”

เฮ่อฮั่นจู่ยังคงนิ่งเงียบดุจเก่า

แสงโคมหัวเตียงอาบไล้เสี้ยวหน้าด้านข้างคมเข้มของชายหนุ่ม เขาหลุบเปลือกตาลง แพขนตาทอดเงาโค้งสีดำอยู่ใต้ขอบตาล่าง ทำให้ดวงหน้าของเขาถูกฉาบทาด้วยแสงเงาหม่นมัวชั้นหนึ่ง

ซูเสวี่ยจื้อมองชายหนุ่มที่อ่อนล้าเงียบขรึมคนนี้อย่างพินิจ ในใจเธอเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นฉับพลัน

เธอพยักหน้าเอ่ย “คุณไม่พูดก็ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นฉันพูดก่อนแล้วกัน เรื่องแรกฉันต้องขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่คุณทำให้คุณอู๋ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามฉันรู้ว่าคุณพยายามเต็มที่แล้ว คุณทำทุกอย่างเท่าที่คุณทำได้ ไม่ว่าฉันหรือด็อกเตอร์อวี๋ต่างก็ซาบซึ้งใจคุณมาก”

สีหน้าของเขาในตอนนี้ไม่ได้ดีกว่าเมื่อครู่สักเท่าไร ยังคงขาวซีดเต็มไปด้วยร่องรอยเหนื่อยล้าดังเก่า และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ สักนิดกับคำชมและคำขอบคุณของเธอ

“เรื่องที่สอง…” เธอหยุดเว้นจังหวะ “ถ้าคุณเคยได้รับคำบอกที่ฉันฝากผู้การติงไปถึงคุณตอนต้นปีล่ะก็ ฉันคิดว่าคุณไม่น่าจะถึงกับลืมมันไปแล้ว เฮ่อฮั่นจู่ ฉันรอคุณกลับมาอยู่ตลอด ฉันอยากได้ยินคุณบอกความหมายของแหวนที่วันนั้นคุณวิ่งไล่ตามรถไฟขึ้นมาให้ฉันวงนั้นจากปากของคุณเอง คุณหมายความว่าอะไร”

เธอทวนคำพูดของตนเองแล้วถามเขา

เฮ่อฮั่นจู่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดๆ หน้าผาก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาพูดขึ้นกะทันหัน “ขอโทษที ผมขอสูบบุหรี่สักมวนได้ไหม”

ซูเสวี่ยจื้อมองเขานิ่งๆ

เขาหลบสายตาเพ่งพิศของเธอ ถามจบแล้วขยับลุกขึ้นนั่งเองอย่างกินแรงเล็กน้อย ค่อยเอี้ยวตัวไปริมเตียง เอื้อมมือข้างที่ยังใช้งานได้ดึงลิ้นชักตู้หัวเตียงเปิดออกรื้อหาของในนั้นเอาเอง อึดใจต่อมาเขาค้นเจอบุหรี่กล่องหนึ่งแล้วหยิบออกมา

เฮ่อฮั่นจู่ใช้มือข้างเดียวเปิดฝา แต่คงเพราะใช้แรงมากไป ตอนฝากล่องเด้งเปิดมือเขาจึงกระตุกทีหนึ่ง บุหรี่ที่วางเรียงอยู่ในนั้นก็หล่นออกมาตกกระจายเต็มพื้นหน้าเตียง

เขาไม่มองสักแวบก็หยิบบุหรี่ที่เหลืออยู่ในกล่องตัวสุดท้ายมาคาบในปาก จากนั้นก้มหน้ารื้อของในลิ้นชักอีก แต่จนแล้วจนรอดกลับหาไฟแช็กไม่เจอ

“ในห้องประชุมคงมี…ผมไปประเดี๋ยวเดียวก็มา…”

คิ้วเข้มดกดำของชายหนุ่มย่นเข้าหากันแน่น ปากของเขาคาบบุหรี่ไว้ สีหน้าหงุดหงิดแกมหดหู่ เขาทำเสียงงึมงำในลำคอคำหนึ่งก่อนจะประคองแขนข้างที่บาดเจ็บไว้ พลิกตัวจะลงจากเตียง

ซูเสวี่ยจื้อลุกพรวดขึ้นเดินออกไปหาไฟแช็กที่เขาอยากได้จากในห้องประชุม หยิบมันกลับมาแล้วนั่งลงข้างเตียง กดล้อหมุนทีเดียวก็จุดติด เปลวไฟสีน้ำเงินเต้นระริกอย่างเงียบเชียบอยู่เหนือมือเธอ

เธอยื่นไฟแช็กไปตรงหน้าเขาโดยไม่พูดไม่จาสักคำ

เฮ่อฮั่นจู่มองเธอแวบหนึ่งก่อนค่อยๆ ยื่นหน้ามาจุดบุหรี่แล้วดูดเข้าปอดลึกๆ คำหนึ่ง จากนั้นลุกลงจากเตียงเดินไปเปิดหน้าต่างออก เขายืนหันหลังให้เธอแล้วเริ่มสูบบุหรี่ตามลำพังอยู่ตรงข้างหน้าต่าง พ่นควันออกไปในอากาศยามดึกนอกห้อง

ชั่วครู่ต่อมาบุหรี่หมดไปครึ่งมวนแล้ว เขายังยืนอยู่ตรงนั้นสูบไปเรื่อยๆ

ซูเสวี่ยจื้อมองดูแผ่นหลังของชายหนุ่ม เธอเดินไปหาเขาในที่สุด ยื่นสองแขนออกไปโอบเอวเขาไว้จากทางข้างหลังอย่างช้าๆ เอียงแก้มซบลงบนแผ่นหลังกว้างบึกบึน

“คุณเป็นอะไรไปกันแน่ เมื่อคืนคุณไปทำอะไรที่บ้านสกุลเฉามาคะ คนสกุลเฉาพูดถึงเรื่องแต่งงานอีกแล้วและคุณปฏิเสธก็ไม่ได้ใช่ไหม”

หญิงสาวข่มอารมณ์เศร้าหมองที่พลุ่งขึ้นในใจระลอกหนึ่งไว้ ถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่งเพื่อสงบจิตใจลง ถึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

“อันที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องลำบากใจแบบนี้เลย ฉันเข้าใจได้ ฉันไม่โทษคุณหรอก ตอนที่พวกเรามีอะไรกันคืนนั้นฉันเคยบอกแล้วว่าคุณไม่ต้องรับผิดชอบอนาคตของฉัน ที่ฉันพูดเป็นความจริงทุกคำ ฉะนั้นคุณมีเรื่องอะไร แค่บอกกับฉันให้ชัดเจนก็พอ”

เฮ่อฮั่นจู่หลับตาลงอย่างตัดสินใจได้เด็ดขาดฉับพลันในเสี้ยววินาทีนี้

ทุกถ้อยทุกคำที่จ้าวมังกรเจิ้งพูดบนเรือตรงปากอ่าวแม่น้ำในค่ำคืนนั้นเปรียบเหมือนมีดคมกริบปักลงตรงกลางใจ

จริงๆ แล้วเขาก็รู้มาโดยตลอดว่าทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง…ก็เหมือนกับที่เขาเคยบอกกับหวังถิงจือ เพียงแต่ว่าเธอมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไรที่เธอประทับอยู่ในหัวใจเขา เมื่อในใจมีเธอแล้ว เขาก็ไม่อาจต้านทานเวลาที่เธอเข้ามาใกล้ เขาสูญเสียการควบคุมตนเองไปทีละน้อยทีละนิดจนขาดสติและหมดความยับยั้งชั่งใจไปโดยสิ้นเชิง ถึงได้ทำเรื่องที่เดิมทีเขาทำไม่ได้ไปแล้วในที่สุด

เขาเป็นพวกบาปหนาเกินอภัย ต่ำช้าไร้ยางอายยิ่ง

ความโชคดีเพียงอย่างเดียวคือตอนนี้ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้นขึ้นไม่นาน

เธอมาดมั่นเป็นตัวของตัวเองมากกว่าผู้ชายสวะๆ ที่มีอยู่ดาษดื่นในสังคมอย่างเขา และด้วยหัวสมองที่เฉียบแหลมของเธอก็น่าจะยังไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่ผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งเกินไป

เขาดื่มด่ำกับสัมผัสจากอ้อมกอดของหญิงสาวจากทางแผ่นหลังกับรอบเอวของเขาในขณะนี้อย่างหิวกระหาย ทรวงอกนุ่มนิ่มและการโอบรัดของท่อนแขน นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะกอดเขาในชาตินี้ ชายหนุ่มคิดไปไกลอยู่ในใจพลางมองมือของตนเองที่กดหัวบุหรี่ดับไฟบนขอบหน้าต่างข้างนั้นจนกระทั่งกระดาษกับยาเส้นที่ห่อไว้ข้างในที่เหลืออยู่ครึ่งมวนถูกบดบี้จนแหลกละเอียดหมด

สุดท้ายเฮ่อฮั่นจู่ก็จับสองมือที่ประสานกันอยู่ตรงหน้าท้องของเขาไว้ ก่อนจะดึงพวกมันออกจากกันเบาๆ ทว่าแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

เธอดึงแขนที่โอบกอดเขาไว้คืนไปช้าๆ เห็นเขาหมุนตัวมายืนประจันหน้ากัน เธอกลั้นหายใจรอคอยอย่างจดจ่อ

สีหน้าของเขาในเวลานี้ดูสงบนิ่งกว่าเมื่อครู่นี้มาก ราวกับว่าเรี่ยวแรงก็ฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง

“ทางสกุลเฉาไม่ได้คิดจะพูดเรื่องแต่งงานกับผมอีก คืนนี้ผมไปที่นั่นในฐานะแขกธรรมดาๆ เท่านั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด” เขาบอกเธอ

หญิงสาวใจเต้นโลดขึ้น เธอรู้สึกขบขันที่ตนเองคิดมากเกินไปเมื่อครู่นี้…ทว่าอารมณ์ตื่นเต้นคึกคักเพิ่งผุดขึ้นมาไม่ทันไรก็หายวับไปในชั่วพริบตา

“แต่พักนี้ผมคิดอะไรๆ มากมาย”

ซูเสวี่ยจื้อเบิ่งตามองเขาอย่างตั้งใจ

“เสวี่ยจื้อ ได้เจอคุณเป็นความโชคดีมหาศาลในชีวิตของผม คุณช่างแสนดีเหลือเกิน ผมก็ไม่รู้ว่าตนเองทำบุญมาแต่ชาติปางไหนถึงได้รับความรักจากคุณ ตอนผมยังเด็กสุขภาพของผมไม่ดีนัก” เขาพูดต่อ “คุณแม่รักผม แต่ท่านมักห้ามไม่ให้ผมทำโน่นทำนี่ โดยเฉพาะหลังจากคุณพ่อผมด่วนจากไปท่านก็ยิ่งเป็นห่วงผมทุกฝีก้าว ผมจะไปไหนก็ไม่วางใจ ด้วยเหตุนี้ต่อมาภายหลังมีครั้งหนึ่งผมเกือบมีอันเป็นไปจนทำให้ท่านเสียขวัญ ตอนนั้นผมก็กลายเป็นเด็กดีแล้ว เพื่อให้ท่านสบายใจ ผมไม่ออกไปข้างนอกอีกเลย ภาพความทรงจำที่ฝังลึกในใจมากที่สุดก่อนผมอายุสิบสองปีก็คือกำแพงสูงสี่ด้านรอบบ้านกับหน้าต่างห้องหนังสือ ส่วนผมใช้ชีวิตอยู่ภายในกำแพงกับหน้าต่างทุกวัน จวบจนวันที่สกุลเฮ่อของผมล่มจม

คุณปู่ของผมท่านเป็นคนที่น่าเคารพยกย่องอย่างแท้จริง ท่านก็รักผมมาก และคำนึงถึงผมทุกเรื่อง ท่านจ้างอาจารย์กังฟูที่เก่งที่สุดให้ผม อยากให้ผมฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง ยามท่านว่างจากงาน อยู่บ้านก็จะสอนหนังสือผมเอง แต่ท่านเป็นคนดุและเข้มงวดเคร่งขรึมมากด้วย ความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณปู่จึงมีทั้งเคารพทั้งยำเกรง ที่ผมขยันเรียนตอนเด็ก เพราะอยากชดเชยความผิดหวังของคุณปู่ที่มาจากข้อบกพร่องของผม”

เขาจ้องมองเธอนิ่งๆ “เสวี่ยจื้อ ในอดีตของผม ผมนึกถึงความทรงจำสนุกสนานอะไรที่น่าพูดถึงไม่ออก จนเมื่อได้พบกับคุณ สองสามวันที่ได้อยู่ร่วมกับคุณนั่น เป็นเวลาที่ดีที่สุดในช่วงยี่สิบกว่าปีนี้ของผมเลยก็ว่าได้ ผม…”

เขาหยุดพูดกลางคัน เบือนหน้าไปทางอื่นคล้ายกำลังสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างที่พลุ่งขึ้นในใจฉับพลันไว้ ผ่านไปชั่วครู่เขาสูดหายใจเข้าช้าๆ เฮือกหนึ่งถึงหันมามองเธออีกครั้ง

“ผมรู้สึกโชคดีมาก จริงๆ นะ นอกจากโชคดีแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกที่ได้พบคุณอย่างไรดี…”

* แพทย์ออร์โธปิดิกส์ (Orthopedist) คือแพทย์รักษาโรคกระดูก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: