X
    Categories: ทดลองอ่านฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 27-1

หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่เขาก็ปฏิบัติหน้าที่องครักษ์ในวังหลวงนับได้ว่าเป็นปีแล้ว แต่ไรมาก็คาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้แม่นยำกว่าผู้อื่น ยามนี้เห็นอีกฝ่ายพาเมิ่งถิงฮุยควบม้าตรงออกจากสนามฝึกมุ่งหน้าไปทางวังซีหวา หวงปอก็กระโดดขึ้นหลังม้าทันที สะบัดแส้ควบม้าไปทางลัด ต้องการจะเร่งไปให้ถึงวังซีหวาก่อนฮ่องเต้เพื่อจะจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย

เหล่าขุนนางสำนักกลาโหมต่างมองหน้ากันไปมา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันกะทันหันทำให้ทุกคนทำอะไรไม่ถูกในทันที ดีที่ฟางข่ายมีท่าทีตอบสนองเร็ว หมุนตัวไปบอกให้ทหารองครักษ์ในสนาม รวมถึงเหล่าขุนนางที่อยู่ข้างสนามแยกย้ายกันไป ทว่าตนเองกลับมองตามเงาด้านหลังของม้าฝีเท้าดีสีดำที่ห้อตะบึงทรายเหลืองปลิวคละคลุ้ง ยืนนิ่งอยู่เป็นเวลานาน

เจียงผิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด กล่าวกับฟางข่ายว่า “ขุนพลฟางเห็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำเมื่อครู่ชัดเจนหรือไม่” แม้ทั้งสองจะเข้ามาอยู่สำนักกลาโหมนานแล้ว แต่ยังคงเคยชินกับการเรียกกันแบบเก่าสมัยที่อยู่ในกองทัพ

ครานี้ฟางข่ายจึงได้ถอนสายตากลับ ผงกศีรษะน้อยๆ เมื่อชายตามองไปเห็นสีหน้าเจียงผิงก็พูดอย่างรำคาญใจ “เรื่องนี้มีอะไรคู่ควรให้ต้องตื่นตระหนกตกใจ พูดถึงซั่งหวงกับผิงอ๋องในตอนนั้น ขุนพลเซี่ยกับอิ่งกั๋วฮูหยิน เสิ่นไท่ฟู่กับใต้เท้าเจิง เรื่องเหล่านั้นมีเรื่องใดบ้างไม่แปลกประหลาดกว่าวันนี้ ขุนพลเจียงไม่ได้แก่คร่ำครึเหมือนพวกขุนนางในที่ทำการสำนักการปกครองที่วันๆ เอาแต่คิดแผนการร้ายเต็มไปด้วยเงื่อนงำ จะแสดงสีหน้าเช่นนี้ไปด้วยเหตุใด”

เจียงผิงแค่นเสียงฮึเบาๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบเครา ในใจรู้ฟางข่ายแต่ไรมาก็พูดจาตรงไปตรงมา จึงไม่ถือสาเขา ปากก็บอก “ผู้แซ่เจียงเพียงอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย เพิ่งรู้ว่าข่าวลือก่อนหน้านี้มากน้อยก็มีความจริงอยู่บ้าง ฝ่าบาททรงเป็นพระโอรสองค์เดียวของผิงอ๋อง ทั้งการวางแผนปกครองแผ่นดินก็ไม่แพ้ให้กับผิงอ๋องในตอนนั้น ต้องการสตรีสักคนยังไม่ถึงกับต้องให้พวกที่อยู่ในที่ทำการสำนักการปกครองมาชี้มือชี้ไม้ ก็ได้แต่มองคนเหล่านี้แต่ละคนวันๆ นัยน์ตาจมูกแหงนขึ้นฟ้า หารู้ไม่ผืนแผ่นดินนี้ใครเป็นคนต่อสู้ทำศึกยึดครองมาได้! เปรียบกับผิงอ๋องแล้วฝ่าบาททรงมีอุปนิสัยสุขุมสำรวมกว่ามาก ถึงได้ปล่อยให้พวกเขาต่อสู้ปัดแข้งปัดขากันด้วยเจตนาที่ชั่วร้าย ถ้าฝ่าบาทตรัสออกมาคำเดียว ท่านข้าขุนพลเก่าในกองทัพเหล่านี้หาใช่พวกกินผัก*

ฟางข่ายเข้าใจอุปนิสัยเจียงผิงเป็นที่สุด นี่คือคนที่ในตอนนั้นแม้แต่กับซั่งหวงยังกล้าใช้ดาบใช้หอก ความจงรักภักดีที่มีต่อผิงอ๋องยิ่งไม่มีผู้ใดเทียบได้ ปกติยามพูดจาไม่เคยคิดอะไรมาก เวลานี้ได้ยินคำพูดของเขาแล้วฟางข่ายก็โบกมือติดๆ กันบอก “คำพูดนี้ไม่อาจพูดส่งเดช! การแก้ไขกฎระเบียบของราชสำนักไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ในชั่ววันหรือคืนเดียว ฝ่าบาทย่อมทรงใคร่ครวญและมีแผนการ เจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องห่วงพะวงเรื่องนี้ อีกทั้งสำนักกลาโหมแต่ไรมาก็ไม่ถามไถ่เรื่องการเมือง สำนักการปกครองก็ไม่ก้าวก่ายกิจการทหาร เจ้าไม่อาจทำให้เหล่าขุนนางอาวุโสต้องอึดอัดลำบากใจในราชสำนัก!” เขาหมุนตัวกวาดตามองแม่ทัพนายกองของกองทหารองครักษ์ที่อยู่ในสนาม แล้วกดเสียงลงต่ำบอก “รอสายอีกสักหน่อย เจ้าอย่าลืมถ่ายทอดคำสั่งลงไป เรื่องที่ฝ่าบาททรงทำในสนามฝึกวันนี้จะต้องไม่แพร่งพรายออกไปสู่ภายนอกเด็ดขาด ถ้าพวกขุนนางอาวุโสรู้แม้แต่น้อยนิด ทุกคนที่อยู่ในสนามฝึกตอนนี้จะถูกตัดสถานะทางทหารและถูกลดขั้นให้ไปอยู่ชายแดน!”

คำพูดนี้พูดได้เด็ดขาดดุดัน หากไม่ใช่คนที่ปกครองกองทัพมายาวนานไม่มีทางกล้าออกคำสั่งที่เข้มงวดเช่นนี้ แต่เจียงผิงฟังแล้วถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย บอกว่า “เรื่องนี้ยังต้องให้ขุนพลฟางสั่งกำชับ ถ้าฝ่าบาทกระทั่งอยู่ต่อหน้าเจ้ากับข้ายังไม่สามารถทำในสิ่งที่ทรงต้องการทำ เช่นนั้นผู้แซ่เจียงก็ต้องยอมรับผิดและขอให้ผิงอ๋องลงโทษแล้ว”

จากนั้นฟางข่ายก็ยกมือขึ้นกวักมือเรียกเขาให้ออกจากสนามพร้อมกัน พูดไปพลางเดินไปพลาง “ดีที่เมิ่งถิงฮุยยังสามารถขี่ม้าได้น้าวคันธนูเป็น ถ้าคนที่ฝ่าบาทโปรดปรานไว้วางพระทัยเป็นหญิงงามที่งามหยาดเยิ้มอ่อนแอบอบบาง ผู้แซ่ฟางก็จะไปเมืองหลวงตะวันตกพูดคุยถึงเหตุผลกับซั่งหวงจริงๆ แล้ว!”

เจียงผิงได้ยินแล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็หัวเราะจนแทบหายใจไม่ทัน หว่างคิ้วขมวดมุ่นจนคลายไม่ออก

แสงอาทิตย์ร้อนแรงเหนือศีรษะสาดส่องลงมาที่พื้น แผดเผาจนทั้งด้านนอกด้านในสนามฝึกแห่งนี้ร้อนระอุ ทรายละเอียดบนพื้นเคลื่อนตัวไปตามแรงลม รอยเกือกม้าเป็นแถวๆ ในช่วงก่อนหน้านี้จางหายไปนานแล้ว เหลือเพียงลูกธนูที่ด้านปลายมีขนนกสีขาวปักกระจายอยู่บนเป้าหลายสิบดอก ยังคงสั่นไหวอยู่

ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เดิมอยู่ที่วังซีหวา ทว่านับแต่ขึ้นครองราชย์มาเพราะยุ่งอยู่กับงานราชกิจแผ่นดินจึงมักค้างคืนที่ตำหนักรุ่ยซือ ดังนั้นวังซีหวาจึงกลายเป็นวังลึกตำหนักห่างไกลที่ลงกลอนไว้ทุกคืน แม้แต่ขันทีนางกำนัลที่อยู่รับใช้ในวังก็ถูกฮ่องเต้สั่งให้ถอนออกไปทั้งหมดเพื่อลดค่าใช้จ่ายปกติของวังหลวง

ตอนสองคนหนึ่งม้าควบขี่มาถึง หวงปอได้เร่งรุดมาถึงก่อนนานแล้ว ก่อนสั่งการให้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่อยู่ด้านนอกตำหนักล่าถอยออกไปจนหมด และเปิดประตูรออยู่

ม้าฝีเท้าดีสีดำหยุดอยู่ที่หน้าขั้นบันไดอย่างฉับพลัน มันแหงนหน้าส่งเสียงร้องยาว รอสองคนลงจากหลังม้า หวงปอก็เข้ามาจูงม้า แล้วก้มหน้าล่าถอยไปอย่างรู้จักดูทิศทางลม

ครั้นเข้าไปในตำหนักแล้วก็ปิดประตู เสียงดาลประตูหนักอึ้งดังกังวานขึ้น ฝุ่นละอองถูกแรงสะเทือนจนปลิวกระจาย เม็ดฝุ่นเล็กๆ ลอยตัวอยู่ในแสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาจากด้านนอก ทำให้มุมสว่างของตำหนักมุมนี้แผ่คลุมไปด้วยละอองฝุ่นหนาอีกครั้ง

นางยืนตัวตรง หัวใจยังคงเต้นเร็วยิ่ง ลมหายใจค่อนข้างหอบหนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเงาร่างของเขาที่ยืนอยู่ข้างหน้า พลันรู้สึกราวถูกน้ำพุใสเย็นสาดรดลงมาที่ศีรษะ สมองปลอดโปร่งขึ้นมาทันที

“ฝ่าบาท” นางรู้เพราะก่อนหน้านี้ตนเอาแต่ใจเกินไปจนทำให้เขาโกรธ จึงขออภัยแต่โดยดี “หม่อมฉันรู้ตัวว่าผิดแล้ว หวังว่าฝ่าบาทจะทรงยับยั้งโทสะ”

เขามีสีหน้าราบเรียบไม่คล้ายกำลังโกรธ แต่แววตากลับคมกริบ “เจ้าผิดที่ตรงใดหรือ”

นางยิ่งทำตัวว่าง่าย “หม่อมฉันไม่ควรพูดว่าจะไม่ฝึกขี่ม้ายิงธนู ยิ่งไม่ควรปฏิเสธความตั้งใจดีที่ฝ่าบาททรงมีต่อหม่อมฉัน” นางกล่าวทวนคำพูดของเขาอีกครั้ง จงใจเน้นย้ำคำว่า ‘ความตั้งใจดี’ เป็นพิเศษ เพียงรู้สึกว่าใบหน้าออกจะร้อนผ่าว ทั้งที่รู้ถึงความรักของเขา แต่กลับไม่กล้าเชื่อคำพูดที่เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาบนหลังม้าเมื่อครู่ และช้อนตาขึ้นมองเขาเงียบๆ

เขากล่าวอย่างไม่เผยอารมณ์ “รู้ตัวว่าผิดแล้วจริงหรือ”

นางรีบพยักหน้า “จริงเพคะ”

หัวคิ้วของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย เบี่ยงตัวไปเริ่มถอดเสื้อเกราะ ยกมือขึ้นถอดเกราะที่แขนออกก่อน แล้วดึงเกราะที่ไหล่ที่อก พอจะขยับอีกครั้งกลับคิดไม่ถึงว่านางจะแนบตัวเข้ามา มือเล็กคู่หนึ่งโอบไปรอบเอวเขา แล้วกอดเขาเอาไว้ “ฝ่าบาท”

แม้ความน่าเกรงขามในช่วงก่อนหน้านี้ของเขาจะมีอยู่มาก แต่นางก็รู้ว่าที่เขาควบม้าพานางมาวังซีหวามีความหมายว่าอย่างไร นางความคิดฉลาดเฉียบแหลม เห็นเขาไม่คล้ายโกรธเคืองจริง จึงเป็นฝ่ายช่วยถอดชุดเกราะที่เหลือของเขาออก จากนั้นจึงเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง

เขามองจ้องดวงตาสุกใสแวววาวคู่นั้นของนาง ยืนนิ่งอยู่นานจึงค่อยๆ ยื่นมือลงไปกอดนาง

ปลายนิ้วเพิ่งจะสัมผัสถูกร่างนาง นางก็รุกเร้าพันพัวเขาทันที ก่ายขึ้นมาบนตัวเขา ให้เขาโอบกอดไว้ และโน้มตัวมาจุมพิตแก้มและริมฝีปากของเขา

ตอนค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็มืดแล้ว ในตำหนักม่านเตียงสีเขียวอีกาทิ้งตัวห้อยลงมาดุจม่านน้ำตก ปิดกั้นแสงเทียนดวงดาวที่อยู่นอกตำหนักไว้ทั้งหมด

นางยื่นมือออกไปลูบคลำท่ามกลางแสงราตรีกาลสลัวราง ข้างกายไม่มีคน

ทว่าเมื่อมองผ่านม่านเป็นชั้นๆ ก็พอจะมองเห็นเงาร่างคนที่อยู่หน้าโต๊ะทองในห้องโถงชั้นนอกได้รำไร ท่าโน้มตัวถือพู่กันดูแข็งแรงผึ่งผาย แสงเทียนในวังสลัวๆ ส่องใบหน้าของเขาประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง มองเห็นไม่ค่อยชัดเจน

นางลุกจากเตียงก่อนคว้าเสื้อผ้ามาคลุมร่างกายที่เปล่าเปลือย ลงสู่พื้นด้วยเท้าเปล่า แล้วเดินอย่างเบามือเบาเท้าไปหาเขา

ประตูตำหนักด้านนอกปิดอย่างแน่นหนา ตลอดทางเข้ามาตำหนักด้านในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยของนาง ภายใต้แสงเทียนอันอบอุ่นยามค่ำคืนยิ่งดูเคลือบคลุมมีเลศนัย ทำให้นางเห็นแล้วรู้สึกใบหน้าเห่อร้อน

จากหน้าประตูถึงโต๊ะทรงพระอักษร จากตำหนักด้านนอกถึงตำหนักด้านใน ลำตัวแนบชิดกับผนังที่เย็นและแข็ง คลอเคล้าคลอเคลียกันเข้าไปบนที่นอนนุ่มอุ่น ยืนอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ คุกเข่าอยู่ เอียงตัวอยู่…ภาพที่ชัดเจนและน่าอายเหล่านั้นผุดขึ้นมาในสมองของนาง ทำให้นางเดินไปก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่

เพียงหวนนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ โคนหูของนางก็เริ่มร้อนผะผ่าวขึ้นมารำไร

เขาเป็นฮ่องเต้ของราษฎรนับหมื่นในใต้หล้า และเป็นบุรุษเพียงคนเดียวในชีวิตของนาง การปกครองที่เข้มแข็งและความเฉลียวฉลาดของเขาตอบสนองทุกความคาดหวังของนางที่มีต่อกษัตริย์ผู้ปรีชาญาณพระองค์หนึ่ง ความนุ่มนวลอ่อนโยนของเขาตอบสนองความจริงใจของนางที่ทุ่มเทให้กับความรักมาสิบปี ความอ่อนโยนเอาอกเอาใจที่ดุดันไร้เหตุผลของเขารุกล้ำเพียงนั้นแต่ก็ช่างเอาใจใส่เพียงนั้น เพียงพอที่จะตอบสนองร่างกายที่อ่อนนุ่มเต็มไปด้วยความปรารถนาของนาง

ในใจของนางบุรุษผู้นี้สมบูรณ์ไร้ที่ติเพียงนี้ ทั่วทั้งร่างหาสิ่งที่ทำให้นางรังเกียจไม่พบสักนิด แล้วจะให้นางไม่รักเขาได้อย่างไร

เขาเท้าแขนกำลังอ่านหนังสือกราบทูลข้อราชการในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ หมึกแดงที่ปลายพู่กันเริ่มแห้ง กระทั่งนางเดินเข้ามาใกล้ก็ยังไม่รู้ตัว

นางเดินย่องไปข้างหลังเขา แล้วยื่นมือออกปิดตาทั้งสองของเขาเบาๆ พลางกลั้นหัวเราะ พูดเสียงกระซิบ “ฝ่าบาทไม่ทรงเหนื่อยหรือเพคะ ยังมีแก่ใจมาตรวจดูหนังสือกราบทูลข้อราชการอีกหรือ”

พูดยังไม่ทันขาดคำดีเขาก็หันมาคว้าแขนของนาง ดึงนางมานั่งบนตัก แล้วก้มหน้าลงกัดติ่งหูของนาง กล่าวเสียงแหบพร่า “ข้าว่าเป็นเจ้ามากกว่าที่ไม่รู้สึกเหนื่อย ผู้น้อยล่วงเกินเบื้องสูง เจ้าควรมีความผิดสถานใด”

นางดิ้นรนเล็กน้อยแต่ไม่อาจหลุดจากการกักขังของเขา จึงกะพริบตาพลางยิ้มหวานโน้มตัวเข้าไป เล่นลูกไม้อย่าง ‘หน้าด้านๆ’ ขึ้นมา นับนิ้วแล้วพูดกับเขา “อีกครึ่งเดือนจะมีการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของกรมพิธีการ หม่อมฉันกับใต้เท้าสวีเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบร่วมกัน จะต้องปิดสนามสอบนานกว่าสิบวัน ไม่มีทางได้พบฝ่าบาท และหลังกรมพิธีการติดประกาศผลการสอบยังมีการสอบหน้าพระที่นั่งต่ออีก…รอการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ งานเลี้ยงฉยงหลิน* พิธีขี่ม้ายิงธนูต่างๆ เหล่านี้เสร็จสิ้นลงคงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน หม่อมฉันจะเอาโอกาสจากที่ใดมาอยู่ตามลำพังกับฝ่าบาทในตำหนักเช่นวันนี้ได้”

เขารู้ปกติยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางมักสำรวมตนรักษามารยาท แม้แต่ตอนอยู่ตามลำพังกับเขาก็น้อยครั้งมากที่จะได้เห็นนางมีท่าทางรบเร้าเซ้าซี้คนเช่นนี้ จึงอดนึกขบขันขึ้นมาไม่ได้ แต่ยังคงกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เมิ่งถิงฮุย เวลานี้เจ้ากลับรู้จักหยิ่งผยองเพราะถือดีว่าได้รับความโปรดปรานแล้วหรือ”

นางหลุบตาลงเงียบๆ ดึงฝ่ามือใหญ่ของเขาไป แล้วเขียนตัวอักษรทีละเส้นทีละขีดลงบนกลางฝ่ามือเขา ปากก็บอก “หม่อมฉันหาใช่ถือดีว่าได้รับความโปรดปรานจึง ‘หยิ่งผยอง’ หากแต่หม่อมฉันถือดีว่าได้รับความโปรดปรานจึง ‘ออดอ้อน’…”

เขากลั้นไม่อยู่จึงหัวเราะเสียงต่ำออกมา ก่อนคว้าจับนิ้วมือเล็กนุ่มนิ่มของนางไว้ พยักหน้าบอก “ไม่เสียทีที่เจ้ามาจากกองอาลักษณ์ เวลานี้อยู่ในตำแหน่งขุนนางใหญ่สองฝ่าย นิสัยพินิจถ้อยคำเล่นตัวอักษรยังไม่เปลี่ยน แต่ ‘ออดอ้อน’ นี้ถูกใจข้านัก ต่อไปอนุญาตให้เจ้าถือดีว่าได้รับความโปรดปรานจึง ‘ออดอ้อน’ ”

ดวงหน้าของนางแดงเปล่งปลั่ง ดวงตาสุกใสแวววาว มองจ้องเขาพลางเม้มปากยิ้ม

เขาลูบมือไปตามเรือนผมยาวของนางที่ปล่อยสยายลงมาคลุมไหล่ นิ้วมือขีดผ่านแก้มนางเบาๆ แล้วกระชับอ้อมแขนกอดนางแน่นขึ้น

นางแตกต่างจากเด็กน้อยในอารามผุพังผู้นั้นในตอนนั้นราวฟ้ากับดิน และท่าทางแตกต่างกันมากกับตอนที่เพิ่งเข้าราชสำนักใหม่ๆ เมื่อสองปีก่อน เขาเห็นนางค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จากเด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวในราชสำนักเปลี่ยนมาเป็นขุนนางหญิงที่ขุนนางอาวุโสทั้งสองกลุ่มไม่อาจดูเบาได้ในปัจจุบัน ความยากลำบากความเจ็บปวดในระหว่างนั้นเขารู้อย่างชัดเจน ดีที่หัวใจดวงนี้ของนางตั้งแต่ต้นจนจบเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แข็งแกร่งไม่อาจสั่นคลอน และนางยังได้เห็นเขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นทุกวัน บรรดาสตรีในใต้หล้านี้ นอกจากนางแล้วเขาก็ยากจะให้ใครเห็นส่วนลึกของหัวใจได้จริงๆ

นึกถึงการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของกรมพิธีการในครั้งนี้ นางก็คล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยถามเบาๆ “ถ้าการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ในครั้งนี้มีหญิงสาวรูปโฉมงดงาม สติปัญญาปราดเปรื่อง และมีความสามารถเป็นขุนนางได้ ฝ่าบาทจะทรงโปรดปรานนาง วางพระทัยนางเช่นกันด้วยหรือไม่เพคะ”

ดวงตาของเขาไม่เลื่อนหนี สีหน้าของเขาไม่แปรเปลี่ยน “ใต้หล้านี้มีเมิ่งถิงฮุยเพียงผู้เดียว”

นางนิ่งงันไป

ปลายจมูกพลันแสบร้อน ขอบตาก็แดงเรื่อแล้ว

…ใช่แล้ว ถึงวันหน้าเขาจะแต่งตั้งฮองเฮาแต่งตั้งชายา ครอบครองตำหนักฝ่ายในสามพันคน ใต้หล้านี้ก็มีนางเมิ่งถิงฮุยเพียงผู้เดียว

นางยังมีอะไรไม่รู้จักพออีก ยังคิดจะเรียกร้องอะไรอีกเล่า

เขาย่อมไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด เห็นนางนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอยู่นาน พอหลุบตาลงแล้วเห็นสีหน้าท่าทางของนางก็อดหยักโค้งมุมปากน้อยๆ ไม่ได้ ถอนหายใจบอก “เคยพูดตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าเจ้าคิดให้น้อยลงสักหน่อย ข้าก็จะเบาใจขึ้นมาก หารู้ไม่ในบรรดาบัณฑิตรุ่นใหม่ในราชสำนักมีคนเลื่อมใสศรัทธาเจ้าใต้เท้าเมิ่งมากเพียงใด แม้แต่การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของกรมพิธีการในครั้งนี้ก็มีผู้มีความรู้ความสามารถจำนวนไม่น้อยต้องการจะเห็นท่าทีที่สง่างามของใต้เท้าเมิ่งด้วยตาตนเอง…กระทั่งข้ายังไม่ระแวงว่าเจ้าจะถูกคนหนุ่มที่มีความรู้ความสามารถเหล่านั้นดึงดูดใจ เจ้ากลับหาเรื่องไม่สบายใจใส่ตัวทำอะไร”

นางถูกคำพูดเหล่านี้ของเขาเย้าแหย่จนหัวเราะออกมาเบาๆ ลอบด่าตนเองในใจว่า โลภมากเกินไป ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากเขาก็เพียงพอแล้ว จึงยื่นมือไปโอบรอบคอเขา พูดเสียงกระซิบ “ใต้หล้าอันกว้างใหญ่ ยังจะมีผู้ใดที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาสง่างามเช่นฝ่าบาท เฉลียวฉลาดและเด็ดขาดยุติธรรม แข็งแกร่งดุดันองอาจผึ่งผายเช่นฝ่าบาท ชั่วชีวิตนี้ของหม่อมฉัน ในความคิดจิตใจมีเพียงฝ่าบาทเท่านั้น”

เขามือหนึ่งโอบนาง มือหนึ่งจับพู่กันขึ้นมาจรดอักษร ปากก็กล่าวยิ้มๆ “ฟังคำพูดนี้ของเจ้าแล้ว ที่ผู้อื่นบอกเจ้าเป็นขุนนางจอมประจบสอพลอก็ดูจะไม่เกินไป ข้าจะมีดีเหมือนที่เจ้าพูดได้อย่างไร”

มีสิ

นางพินิจดูใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลาเลิศล้ำของเขา ดูเขาแทงหนังสือตอบทีละฉบับไปเงียบๆ แอบพูดอยู่ในใจ

ผืนฟ้ายามราตรีเปรียบเสมือนหมึกข้นสีดำไหลไปช้าๆ แสงเงาในห้องค่อยๆ จมหาย เหลือเพียงความรักลึกซึ้งของคนสองคนที่ไหลริน เอ่อท้นโต๊ะไปทั่วทุกหนแห่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ

 

* กินผัก อุปมาถึงคนไม่มีสติปัญญาความสามารถ

* งานเลี้ยงฉยงหลิน เป็นงานเลี้ยงที่ราชสำนักจัดให้บัณฑิตจิ้นซื่อ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: