X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 4

ฟ้าสว่างแล้ว

รถม้าหลายคันจอดอยู่หน้าบ้านสกุลซู คนรับใช้เดินยกหีบสัมภาระเดินสวนกันไปมา

หงเหลียนจับมือซูเสวี่ยจื้อพูดกำชับไม่หยุดอย่างอาลัยอาวรณ์ ทำท่าเหมือนน้ำตาจะไหลนองหน้าแล้วทว่าจู่ๆ ก็ยิ้มทั้งน้ำตา “โอ๊ย น้าทำอะไรของน้ากันนี่ คุณหนูจากบ้านไปหนนี้เป็นเรื่องดี คราวหน้ากลับมาอย่าลืมเอาของกินมาฝากน้าด้วยนะ น้าหงชอบของอร่อยๆ”

อีกด้านหนึ่ง สองพ่อลูกสกุลเยี่ยก็กำลังคุยกันอยู่ในห้องเหมือนกัน

คนพ่อวางท่าปั้นหน้าขรึมบอกให้ลูกชายตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีๆ ต่อไป “พ่อตั้งชื่อให้แกว่าเสียนฉี…”

“รู้แล้วครับๆ หมายถึงเห็นคนดีมีความสามารถพึงเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ผมท่องอยู่ในใจทุกวันเลย”

เยี่ยหรู่ชวนถูกแย่งพูดก็ชะงักไปนิดหนึ่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะจะให้แกได้เรียนจนจบ เสวี่ยจื้อคงไม่ถึงขั้นต้องยอมตกลงออกเดินทางไกล คุณอาของแกกับเสวี่ยจื้ออยากจะส่งเสริมแกนะ เป็นคนต้องมีมโนธรรม แกจะทำให้พวกเขาผิดหวังไม่ได้”

เยี่ยเสียนฉีพยักหน้าถี่ๆ แล้วแบมือออก

เยี่ยหรู่ชวนถลึงตา “จะเอาเงินอีกแล้ว? ครั้งก่อนตอนส่งโทรเลขมาก็ขอไปก้อนหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ”

เยี่ยเสียนฉียิ้มประจบ “ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าตอนอยู่ตงหยาง ผมก็ถังแตกแล้ว ที่นั่นมีเรื่องให้ใช้เงินยุบยับ ผมประหยัดมากแล้วนะครับ ผมตามไปส่งน้องถึงทางเหนือเที่ยวนี้อย่างน้อยก็ต้องมีเดือนสองเดือน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าผ่านด่าน ผมเป็นพี่ชาย จะให้น้องสาวควักกระเป๋าคงไม่ได้มั้งครับ”

เยี่ยหรู่ชวนคิดๆ แล้วก็เห็นด้วยกับลูกชาย

แม้ว่าเขากับสกุลซูจะไม่ใช่คนอื่นคนไกล ซูจงที่ร่วมเดินทางไปด้วยก็คงไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้ ทว่าฝ่ายเขาจะบกพร่องไม่ได้

ตอนขามาเยี่ยหรู่ชวนนำตั๋วแลกเงินติดตัวไว้หลายใบพอดี เขาจึงหยิบออกมายื่นส่งให้

เยี่ยเสียนฉีรับไว้พร้อมกับพูดขอบคุณซ้ำๆ

ตอนเด็กลูกชายซุกซนเหมือนลิง เยี่ยหรู่ชวนกลัวเขาจะปากไม่มีหูรูด ย่อมไม่บอกเรื่องที่ซูเสวี่ยจื้อเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าหลานสาวกับลูกชายจะสนิทกัน พอถึงอายุสิบกว่าขวบเธอก็บอกให้เขารู้เอง ตอนนั้นเขาร้องโวยวายตกใจ หลังจากเยี่ยหรู่ชวนรู้เข้าก็พูดเตือนว่าเรื่องนี้สำคัญมาก จะเอาไปบอกคนนอกส่งเดชไม่ได้เด็ดขาด ดีที่ลูกชายเข้าใจถึงผลดีผลเสียของเรื่องนี้เลยไม่เคยพลั้งปากมาโดยตลอด

คราวนี้หลานสาวต้องออกเดินทางไกล จะอย่างไรก็ไม่ค่อยเหมือนกับที่แล้วๆ มา ในเมื่อลูกชายของตนเดินทางไปด้วย เยี่ยหรู่ชวนจึงไม่ลืมเรื่องนี้เป็นธรรมดา เขาสั่งกำชับเยี่ยเสียนฉีให้จำขึ้นใจว่าไม่ว่าเป็นใครก็แพร่งพรายเรื่องนี้ให้รู้ไม่ได้ และระมัดระวังปากเอาไว้ เพราะหากพูดมากก็ต้องพลาดเข้าสักวัน

ลูกชายรับคำอย่างดิบดี “พ่อวางใจได้ ผมเข้าใจดี หลายปีมานี้พ่อเคยเห็นผมบอกใครบ้างไหมล่ะ”

เยี่ยหรู่ชวนคิดๆ แล้วก็ใช่อีก

ขณะสองพ่อลูกคุยกัน เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็พาซูเสวี่ยจื้อมากล่าวอำลาคุณลุงที่เดินเหินไม่สะดวก

เยี่ยหรู่ชวนย่อมต้องพูดกำชับหลานสาวอีกยกหนึ่งอยู่แล้ว

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยในที่สุด เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็ออกไปส่งลูกสาว

“แม่คะ ส่งถึงตรงนี้ก็พอค่ะ”

หลังจากผ่านมาหลายวัน ซูเสวี่ยจื้อเรียกคำว่า ‘แม่’ ได้คล่องปากขึ้นแล้ว

เยี่ยอวิ๋นจิ่นหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองซูจง

เขาค้อมกายทันที “วางใจได้ มอบให้เป็นหน้าที่ผมเองครับ”

เธอพยักหน้าเล็กๆ

ซูเสวี่ยจื้อก้าวขึ้นรถม้าที่จอดอยู่หน้าบ้าน พอรถม้าเคลื่อนตัวออกก็เห็นแม่เธอพาพวกหงเหลียนกับป้าอู๋ออกมายืนส่งที่บันไดนอกประตู หงเหลียนก้มหน้าเช็ดน้ำตา มือยังโบกผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาทางเธอไม่หยุด ส่วนเยี่ยอวิ๋นจิ่นดูเหมือนคิดจะยกแขนข้างหนึ่ง แต่พอขยับแขนขึ้นก็ปล่อยกลับลงตามเดิมช้าๆ

เธออักอ่วนอยู่สักหน่อยเลยแกล้งทำเป็นไม่เห็น พอดีกับที่เยี่ยเสียนฉีซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันชะโงกตัวออกไปในจังหวะนี้แล้วตะโกนพูดกับเยี่ยอวิ๋นจิ่น “คุณอาวางใจได้ มีผมอยู่ทั้งคน” ว่าแล้วก็ปิดประตูรถม้าดังปึง กั้นขวางทุกสิ่งไว้ข้างนอก

ซูเสวี่ยจื้อลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกทันใด

การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งตอนบ่ายวันถัดมา คนทั้งกลุ่มก็มาถึงตัวเมืองของเมืองซวี่

ในเมืองผู้คนพลุกพล่านหนาแน่น ตรงท่าเรือใหญ่ริมแม่น้ำมีเรือแล่นสวนกันขวักไขว่ เรือบรรทุกสินค้าฝรั่งหลายลำเพิ่งเคลื่อนเข้าเทียบท่าตามลำดับ บนฝั่งพวกกรรมกรแบกหามเปลือยกายท่อนบนเหงื่อไหลไคลย้อย ขนสินค้านานาชนิดเข้าๆ ออกๆ อย่างรวดเร็วทะมัดทะแมง

ผู้ดูแลของห้างเดินเรือฝูเฉวียนมารอที่ท่าเรือด้วยตนเองแต่แรก เห็นพวกเขามาถึงก็รีบพาไต้ก๋ง* เข้าไปต้อนรับ

สกุลซูกับสกุลเยี่ยเป็นลูกค้ารายใหญ่ของห้างเดินเรือฝูเฉวียน มักจ้างพวกเขาขนส่งสินค้าเสมอ หนนี้จะส่งนายน้อยไปอีกที่หนึ่ง แม้จะเป็นเวลาไม่กี่วัน ผู้ดูแลก็ไม่กล้าคิดเถลไถลไม่ตรงไปตรงมา จัดเรือลำที่ดีที่สุดพร้อมด้วยหัวหน้าลูกเรือมือฉมังที่สุด

ผู้ดูแลไต่ถามทุกข์สุขกับซูจงเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปทางซูเสวี่ยจื้อกับเยี่ยเสียนฉีทันที เขาโค้งคำนับเรียกทั้งคู่ว่านายน้อยและกล่าวทักทายทีละคนอย่างอ่อนน้อม

เยี่ยเสียนฉีชี้ไปข้างหน้ากะทันหันพลางพูด “เอ๊ะ นั่นท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้งไม่ใช่เหรอ เขาช่วยพ่อฉันไว้ ฉันต้องไปขอบคุณเขาสักหน่อย”

ซูเสวี่ยจื้อมองไปทางที่ญาติผู้พี่ชี้บอก

ตรงสะพานเทียบเรืออีกจุดทางด้านหน้าห่างไปหลายสิบก้าว มีคนเดินมาหลายคน เสียงพวกคนงานกับเจ้าของเรือที่อยู่รอบๆ พากันเข้าไปทักทายคนที่อยู่ตรงกลางว่า ‘ท่านหัวหน้าใหญ่ๆ’ ดังมาไม่ขาดหู สีหน้าสีตาพินอบพิเทาอย่างยิ่ง

ผู้ชายคนนั้นมีรูปร่างกระชับแข็งแรง แก้มซ้ายมีแผลเป็นรอยหนึ่ง แต่เพราะผิวพรรณดำคล้ำ ทำให้ดูไม่สะดุดตาเท่าไร เขามีอายุเกินครึ่งร้อยแล้ว แต่แผ่นหลังยังเหยียดตรงแหน็ว

ราชวงศ์ชิงในอดีตล่มสลายไปหลายปีแล้ว แต่คนในวัยนี้ส่วนใหญ่ยังไว้ผมเปียตรงท้ายทอยไม่ยอมตัดทิ้งจนบัดนี้ คงคิดว่าดีไม่ดีวันใดวันหนึ่งราชวงศ์ชิงจะกลับมาอีกครั้งก็เป็นได้

แต่เขาคนนี้กลับตัดผมสั้นกุด เส้นผมแข็งๆ ตั้งขึ้น จอนสองข้างเป็นสีขาวอมเทา แต่งกายด้วยชุดแบบเดียวกับคนงาน มองปราดแรกแทบไม่ผิดแผกจากพวกกุลีแบกหามและลูกเรือที่รุมกันเข้าไปคำนับทักทายรอบตัวเขาใต้แสงอาทิตย์

ทว่าแววตาของคนผู้นี้ทำให้ซูเสวี่ยจื้อสัมผัสได้ถึงความแตกต่างในทันที

ทั้งที่อยู่ในระยะไม่นับว่าใกล้ เธอกลับคล้ายสัมผัสถึงบางอย่างที่แผ่มาจากดวงตาของอีกฝ่ายได้…แต่ไม่ใช่ความรู้สึกแรงกล้าที่ก้าวร้าวคุกคาม

มันเหมือนกับนัยน์ตาของพรานเฒ่าจากป่าลึกที่จะเก็บงำประกายคมปลาบไว้มิดชิด หากแต่ยังแฝงไว้ด้วยอำนาจบารมีอยู่ลึกๆ

ซูเสวี่ยจื้อรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร

เขาคือ ‘ท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้ง’ ที่ช่วยคุณลุงของเธอไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อนคนนั้น

แน่นอนว่าไม่มีทางที่เธอจะรู้สึกไม่พอใจเขา

และอย่างที่ญาติผู้พี่พูดไว้ ต้องไปขอบคุณเขาสักหน่อย

ทว่าชั่วพริบตาที่เห็นเขา ในใจเธอกลับเกิดความรู้สึกคล้ายๆ การต่อต้านพลุ่งขึ้นมาฉับพลัน

แม้ว่าความรู้สึกนี้จะผุดขึ้นมาวูบเดียว แต่ซูเสวี่ยจื้อก็เข้าใจได้รางๆ ในชั่วอึดใจ

ความรู้สึกนี้น่าจะมาจากจิตใต้สำนึกของเธอ…ซูเสวี่ยจื้อคนเดิมไม่ชอบ ‘ท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้ง’ คนนี้

อีกฝ่ายเบนสายตามาทางนี้และมองเห็นเธอแล้วเหมือนกัน

หญิงสาวสังเกตเห็นว่าเขาเหมือนชะงักไป ฝีเท้าผ่อนช้าลงอย่างลังเล ไม่ได้เดินมาใกล้ขึ้นอีก

ซูจงแหงนคอมองฟ้าแวบหนึ่ง “แดดแรง นายน้อยเข้าไปในเรือก่อนเถอะ อย่าตากแดดเลยขอรับ”

ซูเสวี่ยจื้อรู้ว่าเขาอยากให้เธอปลีกตัวไป

เธอไม่ต้องการทำให้ซูจงลำบากใจจึงยอมลงเรือ หลังจากเข้าไปในเรือ เธอก็ยืนพิงหน้าต่างมองซูจงพาเยี่ยเสียนฉีเดินลิ่วๆ ไปหาคนที่อยู่ข้างหน้านั่น

แม้เยี่ยเสียนฉีจะนิยมความเป็นตะวันตก แต่ตอนเด็กๆ คงได้รับการอบรมเรื่องมารยาทอันพึงมีจากคุณลุงมาไม่น้อย เขาประสานมือแสดงความขอบคุณอย่างถูกต้องเป็นพิธีรีตอง

ซูจงพูดขึ้นเช่นกัน “ท่านหัวหน้าใหญ่ขอรับ วันนี้ได้พบท่านสักที ครั้งก่อนผมไปเยี่ยมคารวะขอบคุณ แต่ท่านไม่อยู่เลยไม่มีบุญได้พบหน้าท่าน หากคราวที่แล้วไม่ใช่ท่านช่วยไว้ เกรงว่านายท่านของเราคงไม่ได้กลับมาง่ายๆ บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ไม่มีวันตอบแทนได้หมด พวกผมทั้งสองตระกูลล้วนซาบซึ้งใจต่อท่านหัวหน้าใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดขอรับ” ว่าแล้วก็โค้งคำนับอย่างนอบน้อม

คนแซ่เจิ้งเอาสองมือรองข้อศอกของซูจงไว้ เขารับรู้ได้ทันทีว่ามีพลังที่มองไม่เห็นดันท่อนแขนสองข้างไว้ ถึงอยากจะโค้งตัวต่ำลงอีก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็กดตัวลงไม่ได้

พอเห็นเขาไม่ยอมรับการคำนับ ซูจงจึงได้แต่หยุดเท่านี้

ใบหน้าของท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้งเผยรอยยิ้มบางๆ เขาปล่อยมือจากแขนของซูจงแล้วพยักหน้าให้คนทั้งสอง “นายน้อยเยี่ยกับพ่อบ้านซูเกรงใจมากไปแล้ว วันนั้นฉันผ่านไปเจอเข้าโดยบังเอิญ ทั้งยังตวาดไล่ไปแค่คำเดียว ไม่กล้านับเป็นบุญคุณ นายท่านเยี่ยปลอดภัยก็ดีแล้ว”

“เพราะได้พึ่งใบบุญของท่าน อาการบาดเจ็บของนายท่านของพวกเราเลยหายเร็วพอสมควรขอรับ นี่นายน้อยของเราจะไปทางเหนือเพื่อเรียนหนังสือ ผมเลยจะพาไปส่งที่นั่นขอรับ” เขาพูดพลางหมุนตัวชี้เรือลำที่เช่าไว้

ท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้งมองปราดเดียวแล้วดึงสายตากลับ “ขอให้นายน้อยเดินทางปลอดภัย สำเร็จการศึกษาในเร็ววันนะ”

“ขอบคุณมากขอรับๆ ท่านมีงานรัดตัวมากมาย ไม่รบกวนท่านแล้ว ผมขอตัวก่อนนะขอรับ สบช่องวันนี้ลมฟ้าอากาศเป็นใจรีบออกเดินทางเร็วๆ จะได้ไปทันลงเรือกลไฟต้นทาง”

ท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้งประสานมือยืนอยู่ที่เดิม มองส่งซูจงกับนายน้อยสกุลเยี่ยเดินกลับไปยังเรือ

เยี่ยเสียนฉีเดินแยกมาระยะหนึ่งแล้วเหลียวไปมองเห็นท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้งหันหน้าไปพูดคุยกับคนที่อยู่ด้านข้าง เขาพูดบ่นเสียงเบาๆ “ลุงจง อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที โอกาสดีๆ ขนาดนี้ ทำไมเมื่อครู่นี้ลุงจงไม่เอ่ยปากขอให้เขาคอยช่วยเหลือดูแลพวกเราล่ะ”

แม่น้ำสายนี้คดเคี้ยวยาวเหยียด สองฟากฝั่งเป็นภูเขาสูงชัน นอกจากกระแสน้ำเชี่ยวแล้ว ภัยร้ายอีกอย่างหนึ่งของเหล่าคนเดินเรือก็คือโจรสลัดที่ชอบผลุบๆ โผล่ๆ หากินอยู่แถวนี้

คนแซ่เจิ้งผู้นี้เป็นหัวหน้าใหญ่ของสมาคมชาวน้ำของเมืองซวี่

เดิมทีเขาไม่ใช่คนท้องถิ่น ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขา แต่เพราะเขาว่ายน้ำเก่ง ประกอบกับผู้คนยอมรับนับถือ จึงตั้งฉายาให้เขาว่า ‘จ้าวมังกรเจิ้ง’

ไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของเขาอีกเช่นกัน แค่พูดกันว่าเขามายังแถบนี้ตอนกำลังหนุ่มแน่นเมื่อประมาณสามสิบปีก่อน แรกเริ่มว่ากันว่าเขาเป็นเพียงลูกเรือบนเรือแดง ภายหลังเขาไต่เต้าขึ้นมาทีละก้าวจนกลายเป็นหัวหน้าใหญ่ของสมาคมชาวน้ำในที่สุด

ในช่วงเกือบสิบปีสุดท้ายตอนราชวงศ์ชิงใกล้ล่มสลาย ทางการหมดปัญญาจะกำราบพวกโจรสลัด กองเรือแดงแต่เดิมก็หย่อนยานไร้ประสิทธิภาพ นอกจากส่งเรือไปคุ้มครองข้าราชการที่เดินทางไปมา พอเป็นเรือชาวบ้านล่มกลางน้ำ กองเรือก็ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือแต่อย่างใด บางรายแค่สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด บางรายรุนแรงถึงขั้นเรืออับปางและเสียชีวิต คนแซ่เจิ้งถึงได้ออกโรงรวบรวมคนที่อยู่ริมน้ำสร้างกองเรือแดงขึ้นใหม่และออกลาดตระเวนตามพื้นที่อันตราย ออกกฎให้เก็บค่าผ่านทางตามที่กำหนดไว้จากเรือที่ผ่านไปมา ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นก็เป็นการซื้อความสบายใจ แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็จะส่งเรือไปช่วยเหลือได้

ทุกวันมีเรือแล่นไปแล่นมาในแม่น้ำนับไม่ถ้วน เหตุการณ์เรือล่มเกิดขึ้นแทบจะวันเว้นวัน ต่อให้เป็นหัวหน้าลูกเรือมือฉมังที่สุดก็ไม่กล้ารับประกันว่าครั้งต่อไปจะไม่เกิดเรื่องขึ้นกับตนเอง แต่จ่ายเงินนิดๆ หน่อยๆ ก็เท่ากับได้รับการคุ้มครอง พอพวกโจรสลัดมีงานทำ ตนเองเดินเรือก็ปลอดภัยขึ้น พวกเจ้าของเรือย่อมเต็มใจเป็นธรรมดา โจรสลัดส่วนใหญ่ก็อยากทำงานนี้เพราะเมื่อเทียบกันแล้วมีรายได้แน่นอนและปลอดภัยมากกว่า ประกอบกับคนแซ่เจิ้งใช้วิธีในการจัดการควบคุม กวาดล้างพวกที่ไม่ยอมฟังคำสั่งยังคงปล้นเรือในแม่น้ำต่อไปจนไม่เหลือหลอ อีกทั้งยังเอาศีรษะที่ถูกตัดออกมีเลือดไหลหยดแขวนตากลมไว้ตรงปากแม่น้ำ สร้างความหวาดกลัวไปทั่วจนพวกนั้นพากันเชื่อฟังคำสั่งของเขา และเป็นอย่างนี้เรื่อยมาตลอดหลายปีนี้

พูดได้เลยว่าพวกที่ทำมาหากินอยู่ริมน้ำสองฝั่งทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ไม่ใช่แค่จากเขตเมืองซวี่ลงไปเท่านั้น ต่อให้เป็นตอนบนของแม่น้ำทั้งแถบ พอได้ยินชื่อของจ้าวมังกรเจิ้งก็ไม่มีใครไม่เห็นแก่หน้าเขา

กระนั้นการสัญจรทางน้ำในปัจจุบันก็สะดวกสบายขึ้นกว่าแต่ก่อน ดังนั้นอาจจะมีคนมาจากถิ่นอื่นใหม่ๆ แล้วไม่รู้กฎก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้เยี่ยเสียนฉีถึงต่อว่าซูจงที่ไม่เอ่ยปาก

ซูจงพูดขึ้น “นายน้อยขอรับ เมื่อครู่ผมเข้าไปทักทายแล้ว ไม่พูดก็คือพูด พูดแล้วก็คือไม่ได้พูด”

เยี่ยเสียนฉีงุนงง “พูดไม่พูดอะไรกัน ก็ลุงไม่ได้พูดสักหน่อย”

ซูจงส่งเสียงเออออไปตามเรื่องสองคำ “ถึงแล้วๆ นายน้อยลงเรือก่อนเถอะ ผมจะไปนับสัมภาระ เผื่อตกหล่นอยู่บนฝั่ง”

เยี่ยเสียนฉีได้แต่เลิกราเท่านี้ เขากระโดดลงเรือแล้วเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องเรือ เห็นญาติผู้น้องนั่งมองผืนน้ำข้างนอกอยู่ริมหน้าต่างราวกับมีความในใจ

เขาย่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ก่อนยิ้มพรายขยับเข้าไปกระซิบข้างหูเธอ “เสวี่ยจื้อ ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่มีทางไม่ตอบตกลงหรอก เธอชอบคุณฟู่คนนั้นไม่ใช่เหรอ กว่าฉันจะช่วยเธอสืบข่าวได้ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะ เธอว่าบังเอิญหรือเปล่า ครึ่งปีหลังนี้เขาก็จะไม่อยู่ที่วิทยาลัยเดิมของเธอแล้วเหมือนกัน เพราะวิทยาลัยแพทย์ทหารบกที่เธอจะไปเข้าเรียนจ้างเขาเป็นอาจารย์แล้ว ถ้าเธอไม่ไปที่นั่น วันหลังจะมีโอกาสเจอหน้ากันอีกได้อย่างไร นี่เขาเรียกว่าบุพเพสันนิวาสจริงๆ คู่แล้วไม่แคล้วกัน”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างอัศจรรย์ใจ

ซูเสวี่ยจื้อยังมีความทรงจำเก่าอยู่เลยรู้แต่แรกว่าเหตุใดวันที่เกิดเรื่องขึ้นกับคุณลุง ญาติผู้พี่ของตนคนนี้ถึงโผล่มาอย่างประจวบเหมาะ

เพราะว่าตอนนั้นเขาไม่ได้กลับจากตงหยางพอดี แต่เขากลับมาตั้งนานแล้วต่างหาก

เรื่องของเรื่องคือเมื่อตอนสัปดาห์ที่ซูเสวี่ยจื้อปิดภาคเรียน หลังเลิกเรียนเธอก็ออกจากวิทยาลัยกลับไปยังบ้านของคุณลุงที่เธอพักอยู่ ครั้นผ่านโรงรับจำนำแห่งหนึ่งกลับบังเอิญเห็นญาติผู้พี่ซึ่งควรจะอยู่ที่ตงหยางเดินออกมา ท่าทางเขาเหมือนเพิ่งเอาบางอย่างไปจำนำ

ขณะนั้นเธอประหลาดใจอย่างยิ่งยวด

เยี่ยเสียนฉีอธิบายว่าภาคเรียนนี้ของเขาปิดเรียนล่วงหน้า เขากลับจากตงหยางเมื่อหลายวันก่อน แต่คุณลุงจะจับเขาแต่งงาน เขาคัดค้านหัวชนฝาไม่อยากกลับบ้านเลยขออาศัยอยู่บ้านเพื่อนตอนนี้ ทีนี้เงินตึงมือนิดหน่อยเลยต้องจำนำนาฬิกาพกไปเมื่อครู่ และขอให้ซูเสวี่ยจื้อช่วยเก็บเป็นความลับ อย่าบอกพ่อเขาเป็นอันขาด

ซูเสวี่ยจื้อรับปากทันที เธอพาเขาไปเลี้ยงอาหารและยังยอมให้เขายืมเงินแก้ขัดไปก่อนด้วย ตอนกินข้าว เธอพูดปรับทุกข์กับเขา เล่าว่าตนเองชื่นชอบชายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อว่าฟู่หมิงเฉิง เขาไปเรียนต่อที่ตงหยางเมื่อปีก่อนแล้วกลับมาสอนหนังสือในวิทยาลัยของเธอ

ดูเหมือนคุณฟู่จะเป็นคนเหนือ เขาเรียนต่อที่ตงหยางด้านการแพทย์ หลังจากกลับมา เขาสามารถอยู่ในเมืองใหญ่ที่เจริญกว่าในทุกๆ ด้าน แต่เขามีปณิธานแทนคุณแผ่นดิน อยากพัฒนาการแพทย์ตะวันตกให้ก้าวหน้าภายในประเทศ พอรู้ว่าการเรียนการสอนด้านการแพทย์ตะวันตกตามเมืองเล็กๆ ห่างไกลยังล้าหลังและขาดแคลนครูผู้สอน เขาจึงตอบรับคำเชิญไปเป็นอาจารย์โดยไม่ลังเล และเริ่มสอนหนังสือในวิทยาลัยแพทย์ตะวันตกที่ซูเสวี่ยจื้อเรียนอยู่ก่อนหน้านี้

คุณฟู่หนุ่มแน่นสง่าผ่าเผย กิริยามารยาทงดงามในทุกอิริยาบถตามแบบฉบับของลูกผู้ดีมีตระกูล

ว่ากันว่าเขามาจากตระกูลใหญ่ทางเหนือ มีฐานะร่ำรวยสูงศักดิ์ แต่ตัวเขากลับไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว

เขามีความรู้ความสามารถรอบตัว นอกจากสอนวิชาแพทย์แล้ว ยังสอนวิชาพลศึกษาควบด้วย ปกติเขาจะชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักเรียนมาก พวกนักเรียนชอบเขากันทั้งนั้น เขาเห็นคะแนนสอบของซูเสวี่ยจื้อรั้งท้ายก็เป็นห่วงว่าเธอจะมีปัญหาเรียนไม่จบ ทั้งยังเสนอตัวช่วยกวดวิชาให้ และพูดให้กำลังใจเธอให้ตั้งใจเรียน วันหน้าจะได้เป็นหมอช่วยเหลือบ้านเมือง

คุณฟู่นั้นแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจเธอที่เป็นนักเรียนตามประสาคนเป็นอาจารย์ ทว่าซูเสวี่ยจื้อเป็นสาวแรกรุ่นอยู่ในวัยเพ้อฝันพอดี พอคลุกคลีกันบ่อยๆ เข้าจึงเกิดความรักขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ครั้นคิดถึงสถานะที่ผิดจากทั่วไปของตนเอง และแม่ที่เผด็จการไร้ความเห็นอกเห็นใจแบบหัวหน้าครอบครัวยุคศักดินาที่สมควรโดนล้มล้างไปได้แล้ว แต่ตัวเธอกลับได้แต่ยอมจำนน สุดท้ายซูเสวี่ยจื้อพูดบ่นว่าเธอทนไม่ไหวแล้ว ตัดสินใจแน่วแน่ว่าหยุดเรียนกลับบ้านไปครั้งนี้จะคุยเปิดอกกับแม่ ขอกลับมาอยู่ในสถานะผู้หญิง

เธอคาดเดาได้ว่าแม่ไม่มีทางเห็นด้วยง่ายๆ เลยบอกให้เขากลับไปเป็นเพื่อนช่วยกันพูดให้แม่เธอเข้าใจเหตุผล

เยี่ยเสียนฉีอยากยืมเงินจึงหลับหูหลับตารับปากทันที แต่พอตามเธอกลับไปยังไม่ถึงประตูเมืองก็เริ่มใจฝ่อ หาข้ออ้างพูดหว่านล้อมญาติผู้น้องให้ล้มเลิกความคิด

ทว่าผู้หญิงที่ตกอยู่ในห้วงรักมักกล้าหาญเป็นพิเศษ

ซูเสวี่ยจื้อซึ่งตั้งใจไว้แน่วแน่แล้วขุ่นเคืองที่เขาถอดใจกลางคันจึงกลับไปเองคนเดียวโดยไม่รีรอ ทำให้เกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงทั้งหมดตามมา

เขาคิดไม่ถึงว่าญาติผู้น้องกับคุณอาจะทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้ ตอนได้ยินว่านายน้อยสกุลซูกระโดดน้ำตาย เขาก็ใจคอไม่ดี วนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่นอกบ้านสกุลซูหนึ่งวัน จนวันที่สองได้ยินว่าเธอไม่เป็นอะไรถึงโล่งใจในที่สุด แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็ได้ข่าวว่าเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว คราวนี้เป็นพ่อของเขาเจอโจรป่าระหว่างทางมาที่นี่ เขาหลบหน้าต่อไปไม่ได้แล้ว ถึงได้ออกมาปรากฏตัวในวันนั้น

เวลานี้ทั้งสองออกเดินทางมาด้วยกัน เขาก็กลัวว่าญาติผู้น้องยังโกรธตนเองอยู่ หลายวันก่อนเขาลอบสืบข่าวให้เธอแล้วเลยบอกข่าวให้ฟังเป็นเชิงอวดอยู่สักหน่อย นึกว่าญาติผู้น้องจะต้องดีใจมาก แต่เธอกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ แค่ส่งเสียงตอบในลำคออย่างเฉยเมย ส่งผลให้เขายิ่งแน่ใจว่าเธอยังเคืองตนเองอยู่ เขาพูดจึงอย่างประจบเอาใจ “เสวี่ยจื้อ เธอเก่งมากเลย ถึงกับคิดวิธีขู่คุณอาแบบนั้นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเปลี่ยนใจเอง ฉันว่าคุณอาต้องพยักหน้าแล้ว…”

จู่ๆ เขาก็ทำท่าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว “ฉันรู้แล้ว! คงไม่ใช่ว่าเธอได้ข่าวคุณฟู่จะไปสอนหนังสือที่เมืองเทียนเหมือนกันถึงได้เปลี่ยนความคิดหรอกนะ”

ซูเสวี่ยจื้อชักรำคาญที่เขาพล่ามไม่หยุด พูดซ้ำๆ ซากๆ เหมือนยายแก่ อีกทั้งเป็นเรื่องที่เธอไม่สนใจอยากฟังเลย เธอเลยทำเสียงเออออตอบอย่างขอไปที จากนั้นนั่งพิงหลังบนเตียงด้านข้าง หยิบหนังสือเรียนวิชาการแพทย์สมัยใหม่ที่นำติดตัวมาเริ่มเปิดอ่าน

เยี่ยเสียนฉีมั่นใจในการคาดเดาของตนเองมากขึ้น ไม่เช่นนั้นญาติผู้น้องจะเปลี่ยนความคิดกะทันหันได้อย่างไร

ครั้นนึกถึงว่าช่วงก่อนหน้านี้ตนเองต้องวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อสืบข่าว เขาก็รู้สึกเซ็งๆ อย่างช่วยไม่ได้เหมือนคนตาบอดจุดเทียนอย่างเสียเปล่า พอเห็นญาติผู้น้องเริ่มอ่านหนังสือโดยไม่สนใจตนเอง เขาจึงเอนตัวลงนอนหงายอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามแล้วบิดขี้เกียจอย่างเบื่อหน่าย

“เฮ้อ…เรือลำนี้แคบเท่าแมวดิ้นตายเลย อยากเปลี่ยนไปนั่งเรือกลไฟเร็วๆ เสียจริง”

การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทาง สองสามวันต่อมา เรือแล่นไปถึงเมืองอวี๋ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของแถบแม่น้ำตอนล่าง ซึ่งพวกเธอจะเปลี่ยนไปลงเรือกลไฟที่นี่

ยุคนี้มีเรือกลไฟลำเล็กลำใหญ่ที่มีปล่องไฟปล่อยควันสีดำโขมงทุกแบบแล่นกันคึกคักอยู่กลางแม่น้ำตามเมืองไม่ขาดสาย กระนั้นแถบแม่น้ำตอนบนตั้งแต่เมืองซวี่ลงไปเป็นระยะทางยาวเกือบสองพันหลี่ช่วงนี้ กลับมีกระแสน้ำปรวนแปรคาดเดาไม่ได้และภูมิประเทศอันตราย จึงกลายเป็นปราการใหญ่ขวางกั้นคนภายนอกที่จะเข้ามายัง ‘อาณาจักรโบราณ’ แห่งนี้

เนื่องจากเวลาที่เรือกลไฟทั่วไปแล่นทวนกระแสน้ำ ในบริเวณน้ำเชี่ยวจะไม่สามารถอาศัยคนลากเรือช่วยได้เหมือนเรือที่ใช้แรงงานคน ด้วยเหตุนี้หากเครื่องยนต์มีกำลังม้าไม่มากพอจะต้านกระแสน้ำ หรือเป็นช่วงน้ำแล้ง ก็จะไม่อาจแล่นผ่านได้ ฉะนั้นจวบจนบัดนี้ เรือกลไฟที่เปิดเส้นทางนี้จึงมีเที่ยวเรือน้อยยิ่ง

อย่างเดือนนี้ก็มีเรือฝูไหลแค่ลำเดียวที่จะออกจากเมืองอวี๋ไปที่เขตฮู่ ในวันที่ยี่สิบ

สกุลซูส่งโทรเลขไปถึงสาขาที่เมืองอวี๋บอกให้ผู้จัดการร้านซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าแล้ว ตอนแรกตั้งใจจะจองห้องเตียงเดี่ยวชั้นหนึ่งสองห้องให้นายน้อยทั้งสอง คิดไม่ถึงว่าห้องเตียงเดี่ยวชั้นหนึ่งบนชั้นดาดฟ้าเรือกลับถูกใครมาจากไหนก็ไม่รู้จับจองไว้หมดทั้งชั้น อีกทั้งคืนที่พวกเขาจองไว้ ห้องเตียงเดี่ยวธรรมดาชั้นกลางของเรือก็ไม่มีแล้ว เหลือแต่ห้องเตียงรวมชั้นล่าง โชคดีที่ผู้จัดการร้านรู้จักมักคุ้นกับคนในบริษัทเดินเรือ อาศัยเส้นสายจนได้ห้องเตียงเดี่ยวธรรมดาที่ชั้นกลางมาห้องหนึ่ง

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ก็คงต้องให้นายน้อยทั้งสองท่านพักอยู่ด้วยกัน

ซูเสวี่ยจื้อไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรตอนดึกเข้านอนก็ดึงม่านกั้นตรงกลาง สำหรับญาติผู้พี่คนนี้ คงเพราะสนิทกับเจ้าของร่างเดิมมาก เธอจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเขาราวกับเป็นตนเองเลยทีเดียว

สำหรับเยี่ยเสียนฉียิ่งไม่เห็นเธอเป็นผู้หญิงแม้สักกระผีกเดียว ทั้งคู่จึงพักอยู่ห้องเดียวกัน แต่นึกไม่ถึงว่าแค่คืนแรกที่ลงเรือก็เกิดเรื่องคาดไม่ถึงขึ้นแล้ว

กลางดึกมีเสียงคนเล่นผีผ้าห่มลอยมาจากห้องติดกัน

ผนังกั้นห้องเตียงเดี่ยวธรรมดาที่ชั้นกลางจะกันเสียงอะไรได้ คนข้างนอกเดินผ่านหรือหายใจดังสักนิดก็ได้ยินแล้ว

ดวงตาของซูเสวี่ยจื้อจับจ้องรอยสนิมปื้นหนึ่งบนฝ้าเพดานห้อง ในหัวคิดทบทวนโครงสร้างอวัยวะภายในร่างกายกับภาพกายวิภาคของมนุษย์ สีหน้าของเธอไร้ความรู้สึกใดๆ

ทว่าคนเป็นญาติผู้พี่กลับเพิ่งตระหนักได้ว่าญาติผู้น้องเป็นผู้หญิง แบบนี้อาจจะทำให้เธอเสียเด็ก เขาโมโหโทโสยกใหญ่ วิ่งไปตบผนังห้องดังปังๆ สุดแรง

พอเสียงเงียบลง ผู้ชายห้องด้านข้างไม่ได้ปริปากสักแอะ แต่ฝ่ายหญิงกลับร้ายเอาเรื่อง เธอโต้กลับด้วยวิธีเดียวกัน ทุบผนังห้องไปด่าไปอย่างไม่ลดราวาศอก

“นี่! มีคนตายหรือ ค่ำมืดดึกดื่น อยู่ดีๆ อยากกินอึล่ะสินะ” สุ้มเสียงแหลมเล็กของหญิงวัยกลางคนพูดด้วยสำเนียงชาวเซี่ยงไฮ้อย่างชัดเจน

เยี่ยเสียนฉีอึ้งงันไป “แกสิกินอึ กินอึกันทั้งโคตรเหง้าวงศ์ตระกูล ออกลูกมาเป็นพ่อแกแม่แก!”

ผู้หญิงคนนั้นได้ยินเสียงเป็นชายหนุ่มกลับไม่โกรธ ทั้งยังส่งเสียงหัวเราะออกมา “อุ๊ย ที่แท้เป็นเด็กจอมซนนี่เอง เจ้าหนูเชิญแอบฟังตามสบายไปเลย อาฝู แกตายแล้วเหรอ มานี่เดี๋ยวนี้!”

เมื่อเจอกับความร้ายกาจดุดันของหญิงวัยกลางคน เยี่ยเสียนฉีพ่ายแพ้ราบคาบ เขาเต้นผางๆ อย่างเดือดดาล พอได้ยินเสียงคนข้างห้องทำต่อจริงๆ ส่วนห้องอื่นๆ ยังเงียบฉี่ คงจะแอบฟังกันหมด เขาก็กัดฟันกรอดๆ ถีบผนังห้องทีหนึ่งอย่างแค้นใจ จากนั้นบอกให้ซูเสวี่ยจื้อออกไปก่อน อีกประเดี๋ยวเขาไปเรียกเธอค่อยกลับมา

เธอออกจากห้องไปตามที่เขาสั่ง

ดึกสงัดแล้ว เรือหยุดจอดตรงริมชายฝั่งบริเวณกระแสน้ำอุ่นเพื่อจะได้ไม่ชนกับหินโสโครก

นอกจากทางหัวเรือที่จุดตะเกียงไว้ดวงหนึ่งแล้ว จุดอื่นๆ ล้วนมืดสนิทจนมองไม่เห็นเงาคน

คืนนี้อากาศดีมาก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว ผิวน้ำกระเพื่อมไหวเบาๆ เห็นยอดเขาสูงๆ ต่ำๆ เป็นเพียงโครงร่างเลือนรางอยู่ใต้ท้องนภาสีดำอมน้ำเงิน

ผืนราตรีเวิ้งว้างไพศาลจรดกับพื้นน้ำไหลระริน

ชั่วขณะนี้หากคนที่ยืนอยู่ตรงดาดฟ้าเรือเป็นคนมีอารมณ์สุนทรีย์สักนิด คงจะรำพันพรรณนาความรู้สึกนึกคิดออกมาแล้ว

หรืออย่างน้อยๆ ก็ควรจะดื่มด่ำเพลิดเพลินไปกับการชมวิวทิวทัศน์

แต่ซูเสวี่ยจื้อไม่อยู่ในอารมณ์นั้น

ตอนกลางวันต้องเร่งเดินทางเพื่อเปลี่ยนเรือ ทำให้เธอเหนื่อยนิดหน่อย ตอนนี้แค่อยากเอนตัวลงนอนพัก แต่กลับต้องมายืนรออยู่ตรงท้ายเรือชั้นสองที่คับแคบมืดสลัวอย่างเบื่อหน่ายเหลือแสน เธอพนันกับตนเองอยู่ในใจว่าขณะที่รอบด้านมีคนเงี่ยหูฟังอยู่ เจ้าคนที่ชื่อ ‘อาฝู’ นั่นจะมีแรงอึดถึงเธอนับแกะได้กี่ตัว

เธอชอบนับแกะเป็นการคำนวณเวลา แกะหนึ่งตัวก็คือหนึ่งวินาที เธอกะประมาณได้แม่นยำเทียบเท่ากับนาฬิกาจับเวลาเลยทีเดียว

เธอได้ความสามารถนี้มาจากการฝึก เวลานอนไม่หลับในความมืดตอนเป็นเด็ก

แกะหนึ่งตัว

แกะสองตัว

แกะสามตัว

พอนับถึงตัวที่สามสิบ จมูกของเธอก็พลันได้กลิ่นยาสูบระลอกหนึ่ง

ดูเหมือนจะลอยมาจากเหนือศีรษะ

เธอเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ทันคิดและเห็นเงาคนอยู่ตรงมุมหนึ่งของดาดฟ้าเรือชั้นบน

แสงไฟสลัวรางมองไม่ชัดถนัดตา แต่ดูจากโครงร่างแล้วเป็นผู้ชาย ตัวสูง รูปร่างผอมบางไปสักหน่อย เขาหันหน้าไปทางสายน้ำขุนเขาและกำลังสูบบุหรี่อยู่

เธอรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้น่าจะยืนตรงเหนือศีรษะของตนเองมาครู่หนึ่งแล้ว

เอาเป็นว่าเขาต้องมาก่อนเธอแน่

ทั้งสี่ด้านเงียบสงบเช่นนี้ กระทั่งกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากตอนกลางวันก็ยังหลับใหลในยามนี้

ถึงขั้นที่ราวกับว่าหูของเธอได้ยินเสียงฟู่ๆ เบาหวิวเวลาประกายไฟลุกไหม้ใบยาสูบในบุหรี่ที่เขาคาบอยู่ในปากมวนนั้น

บางทีเขาอาจจะกำลังใช้สมาธิตรึกตรองบางอย่างอยู่ที่นี่ตามลำพัง หรือบางทีอาจจะแค่ต้องการสูบบุหรี่สักมวนเท่านั้น

ขณะมองดูเงาคนในความเงียบที่เสมือนกลมกลืนไปกับสายน้ำขุนเขากลางรัตติกาล จู่ๆ เธอเกิดความรู้สึกว่าตนเองเสียมารยาทคล้ายล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของคนอื่นอย่างไม่ถูกกาลเทศะ

เธอกลั้นหายใจทันที แล้วหมุนตัวอย่างช้าๆ คิดจะเดินย่องออกไป

ตอนนี้เองเสียงฝีเท้าตึงตังๆ ระลอกหนึ่งก็ดังมากระทบหู ญาติผู้พี่วิ่งออกมาจากในห้องแล้วพูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึงสุดจะกล่าว “โอ๊ย! ให้ตายสิ เสวี่ยจื้อ เธอรู้ไหม อาฝูคนนั้นยังไม่ถึงสองนาทีก็เสร็จเรื่องแล้ว สองนาที! โธ่เอ๋ย! ผู้หญิงคนนั้นกำลังด่าเขาว่าไม่มีน้ำยาอยู่…”

ซูเสวี่ยจื้อเงยหน้าขึ้นมองซ้ำอีกครั้ง

คนผู้นั้นก็เบือนหน้ามองมาทางเธอแวบหนึ่งพอดี ดูเหมือนเขาจะขุ่นใจเล็กน้อยที่โดนรบกวน ก่อนจะยกมือดีดก้นบุหรี่ลอยละลิ่วลงในแม่น้ำแล้วหันหลังเดินไป แต่ทันใดนั้นเขาก็ก้มหน้าลง มือที่เพิ่งดีดบุหรี่ยกขึ้นกำและใช้หลังมือปิดปากเบาๆ พร้อมกับเอียงหน้าเล็กน้อยไอเสียงโขลกๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สาวเท้าจากไปทันที ร่างของเขาหายลับไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 .. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: