X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 5

ช่วงครึ่งคืนหลัง ผู้หญิงห้องด้านข้างอาจจะจงใจอยากยั่วโมโหคนอื่น เธอกับอาฝูคนนั้นทำเสียงดังเป็นระยะ ตอนหลังซูเสวี่ยจื้อง่วงมากจริงๆ เลยนอนหลับไปโดยไม่สนใจอีก ส่วนเยี่ยเสียนฉีหัวเสียอยู่ทั้งคืน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเขาเปิดประตูห้องอย่างฉุนเฉียว ก็มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากข้างห้องพอดี เห็นคนแต่งตัวเหมือนคนใช้คนหนึ่งเดินออกมา ใต้ตาดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้า เขาอ้าปากหาวหวอดๆ ถือกระโถนเดินผ่านหน้าเยี่ยเสียนฉีไปอย่างเฉื่อยชา

ส่วนผู้หญิงในห้องเดินถือหวีสางผมที่ดัดเป็นลอนออกมา มีเสื้อคลุมห่มไหล่ไว้หมิ่นๆ เผยให้เห็นผ้าคาดอกสีเขียวสด เธอเห็นชายหนุ่มจ้องมองตนเองด้วยหน้าถมึงทึงเลยยืนพิงกรอบประตู ดึงเส้นผมที่พันติดอยู่ตามซอกหวีออกพลางปรายตามองเขาอย่างเยาะหยัน

ท่าทางอย่างนี้ดูเหมือนจะเป็นคุณนายเศรษฐีกับบ่าวรับใช้

หากเจอแบบนี้ ถึงมีเยี่ยเสียนฉีสิบคนรวมกับตัวเธอด้วยก็ยังสู้ไม่ไหว

ซูเสวี่ยจื้อออกมาเพื่อจะดึงตัวญาติผู้พี่ที่กำลังกลอกตาขึ้นด้วยความโกรธกลับเข้าห้อง ตั้งใจจะให้เขาไปบอกซูจงให้คิดหาทางแก้

ผู้หญิงคนนั้นเห็นเธอแล้วตาเป็นประกาย คลี่ยิ้มอย่างเป็นกันเอง “น้องชาย พักอยู่ห้องด้านข้างเหมือนกันเหรอ เธอจะไปที่ไหนทำอะไร”

พอเห็นดวงตาทั้งคู่ของผู้หญิงคนนั้นจ้องเขม็งไปที่ญาติผู้น้องของตนเอง

ตอนนี้ไม่ต้องให้ดึงแล้ว เยี่ยเสียนฉีรุนหลังซูเสวี่ยจื้อเข้าห้องแล้วปิดประตูทันที

“เธอระวังไว้ อยู่ห่างๆ จากผู้หญิงคนนี้ด้วย ข้างนอกมีหญิงแก่เจ้าเล่ห์พรรค์นี้เยอะแยะ คอยล่อลวงพวกเด็กหนุ่มไก่อ่อนแบบเธอโดยเฉพาะ” เขาสอนสั่งตักเตือนอย่างหวังดีจากใจจริงในฐานะญาติผู้พี่

“ตัวซวย…”

ผู้หญิงข้างห้องคงจะได้ยินคำพูดของเขา เสียงด่าอุบอิบจึงลอยออกมานอกประตูตามด้วยเสียงดังปึง ประตูห้องด้านข้างปิดลงแล้ว

เยี่ยเสียนฉีไปหาซูจงที่พักอยู่ห้องเตียงรวมชั้นล่าง หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเขาไปหาใคร ทว่าตอนกลางวันมีคนแต่งเครื่องแบบพนักงานบนเรือมาเรียกผู้หญิงคนนั้นไป จากนั้นกลางดึกไม่มีเสียงอุจาดหูอีก แต่แทนที่ด้วยเสียงเธอเรียกใช้อาฝูไม่หยุด

“อาฝู หิวน้ำ เอาน้ำให้แก้วหนึ่ง…”

“อาฝู เมื่อยขา นวดขาให้หน่อย…”

“อาฝู เจ็บหน้าอก มาคลึงให้หน่อย…”

เยี่ยเสียนฉีไปตบผนังกั้นห้องอีกครั้งอย่างสุดจะทน

เสียงของผู้หญิงคนนั้นลอยมาจากห้องด้านข้าง “รำคาญว่าหนวกหูเหรอ แน่จริงก็ไปอยู่ชั้นบนสิ”

“นั่นสิๆ ไปอยู่ชั้นบนเถอะ” อาฝูพูดเออออไปกับเจ้านาย

เยี่ยเสียนฉีแทบกระอักเลือด

คนข้างห้องทำเสียงดังเอะอะไปจนหลังเที่ยงคืนถึงเงียบไปในที่สุด ต่อจากนั้นเป็นเสียงกรนกับเสียงกัดฟันของอาฝูดังมา

 

ท้องฟ้าเพิ่งสว่างรำไร ซูเสวี่ยจื้อได้ยินเสียงเยี่ยเสียนฉีลุกลงจากเตียงดังสวบๆ

เธอลืมตาอย่างงัวเงียพลางถามเสียงอู้อี้จากอีกฝั่งหนึ่งของม่าน

“ฉันออกไปเดินเล่นประเดี๋ยวหนึ่ง เธอนอนต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน”

หญิงสาวง่วงนอนจริงๆ เธอฉวยจังหวะห้องด้านข้างยังไม่ทำเสียงรบกวนตอนนี้ หลับตานอนชดเชยต่อ

ด้านเยี่ยเสียนฉีเขาพุ่งตรงไปที่ชั้นล่าง

ซูจงอายุมากแล้วจึงนอนน้อยเป็นปกติ ประกอบกับออกมาข้างนอก เขาต้องคอยระแวดระวังตลอดเลยตื่นนอนตั้งนานแล้ว

“นายน้อยเยี่ย เช้าขนาดนี้ไม่นอนหรือขอรับ หรือว่าเมื่อคืนคนข้างห้องทำตัวเป็นนกฮูกอีกแล้ว” ซูจงเป็นห่วงนายน้อยหญิงของตนเอง

เยี่ยเสียนฉีดึงเขาออกไปตรงดาดฟ้าเรือแล้วชี้ไปชั้นบนสุด “ลุงจง รู้ไหมว่าใครเหมาห้องไป เมื่อวานผมลองถามดูแล้ว ด้านบนมีห้องพักทั้งหมดสิบกว่าห้อง นับรวมคนรับใช้ผู้ติดตามก็แค่หกเจ็ดคน นี่เขาคิดจะนอนวนให้ครบทุกห้องหรือไง”

ซูจงตอบ “นายน้อย เมื่อวานตอนคุณบอกผมเรื่องนั้น ผมก็คิดแบบนี้ เลยรีบไปสอบถามต้นเรือทันที ทีแรกคิดว่าจะจ่ายเงินเล็กน้อยขอให้คนชั้นบนแบ่งให้สักสองห้องได้ไหม แต่ต้นเรือบอกว่าจ่ายมากแค่ไหนก็ไม่ได้ ส่วนลูกค้าเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ที่เหมาทั้งชั้นเพราะต้องการความสงบเงียบ เขาสุดปัญญาจริงๆ”

ซูจงพูดพลางย่นหัวคิ้วเข้าหากัน

นายน้อยเยี่ยยังพอทำเนา แต่นายน้อยหญิงของเขาเป็นหญิงสาวยังไม่แต่งงาน จะให้พักอยู่ติดกับคนประพฤติตัวเละเทะ ทั้งยังดื้อด้านพูดกันไม่รู้เรื่อง…

“เอาอย่างนี้เถอะ นายน้อยกลับไปก่อน ผมจะไปถามคนอื่นๆ ดู ลองเสนอเงินเพิ่มให้นิดหน่อย ไม่ว่าอย่างไรคราวนี้ต้องเปลี่ยนห้องให้พวกคุณให้ได้ขอรับ” ว่าแล้วซูจงก็เดินไปอย่างเร่งรีบ

ซูเสวี่ยจื้อนอนถึงเกือบเที่ยงวันก็ถูกเสียงเคาะประตูปลุกให้ตื่น ดูเหมือนเป็นซูจงมาหา เธอรีบใช้แถบผ้ารัดหน้าอกให้เรียบร้อยแล้วสวมเสื้อผ้าเดินไปเปิดประตู

ที่แท้ซูจงหาคนเต็มใจแลกห้องกับพวกเธอได้แล้ว เป็นผู้ชายวัยกลางคนท่าทางยังโสดอยู่ จิตใจดี ไม่เพียงไม่ถือสาที่ห้องด้านข้างทำเสียงดังรบกวน ยังเต็มใจแลกห้องอย่างเอื้อเฟื้อมาก ซูจงไม่ต้องเพิ่มเงินให้เขาด้วยซ้ำ

ซูเสวี่ยจื้อย่อมชอบใจเป็นธรรมดา แต่พอไม่เห็นเยี่ยเสียนฉีอยู่กับเขา เธอจึงเอ่ยปากถามหา

ซูจงตอบว่าเขาพบนายน้อยเยี่ยตอนเช้าครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่เห็นหน้าอีกเลย ไม่รู้ว่าไปที่ไหน เขาเรียกให้คนตามหาตัวอยู่ เจอแล้วจะได้บอกข่าวดีนี้กับเธอ

ซูเสวี่ยจื้อเลยเก็บข้าวของก่อน

 

เวลานี้เยี่ยเสียนฉีที่เดินวนเวียนไปมาอยู่ด้านล่างมองขึ้นไปชั้นบนสุดอยู่ตลอดทั้งเช้า กำลังอยู่ตรงเชิงบันไดชั้นสองขึ้นสู่ชั้นสาม ครั้นย่ำเท้าขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกชายหนุ่มฉกรรจ์ที่โผล่มาจากไหนก็สุดรู้จับแขนเขาไพล่หลังแล้วดันตัวไปชิดกำแพงจนหน้าแนบติดขยับเขยื้อนไม่ได้

เขาร้องอุทาน “โอ๊ย! ปล่อยนะ ผมมีธุระ”

ชายคนนั้นไม่แยแส หันหน้าไปบอกกับอีกคนหนึ่งข้างหลัง “ขึ้นไปเรียกพี่เป้ามา”

ไม่ถึงครู่หนึ่ง ‘พี่เป้า’ ซึ่งอยู่ข้างบนก็ลงมา เขามีรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ศีรษะล้าน ไว้หนวดเหนือริมฝีปาก หน้าตาไม่เป็นมิตร เอ่ยถามว่ามีเรื่องอะไร

“พี่เป้า เจ้าหนุ่มนี่เดินป้วนเปี้ยนไปมาตั้งแต่เช้า มองไปข้างบนตลอด น่าสงสัยมาก”

เยี่ยเสียนฉีเห็นดวงตาทั้งคู่ของ ‘พี่เป้า’ ตวัดมองมายังตนอย่างเย็นชา เขาสะดุ้งเฮือกก่อนพูดเสียงรัวเร็ว “ผมพักอยู่ชั้นสอง แซ่เยี่ย ผมมาที่นี่เพราะมีธุระจริงๆ” พูดจบแล้วยังบอกชื่อเสียงเรียงนามของพ่อตนเองด้วย

ชายคนนั้นมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะโบกมือบอกให้ปล่อยตัว “มีธุระอะไร”

เยี่ยเสียนฉีถอนหายใจโล่งอก “ผมอยากจะถามว่าทางพวกคุณพอจะช่วยแบ่งห้องให้สักสองห้องได้ไหม ผมกับน้องพักอยู่ข้างล่าง ตอนดึกห้องด้านข้างทำเสียงดังจนทนไม่ไหว แทบไม่ได้หลับได้นอนเลย ลูกพี่ลูกน้องของผมสุขภาพไม่ค่อยดี…”

เขายังพูดไม่จบ ‘พี่เป้า’ คนนั้นก็ตอบเสียงห้วน “ไม่ได้ กลับไป” ว่าแล้วก็เดินไปเลย

เยี่ยเสียนฉีไม่ถอดใจ เขาไล่ตามขึ้นไป

“นี่ เท่าไรผมก็ยอมจ่ายนะ ช่วยกันหน่อย…”

“ขืนไม่ไปอีกก็จับโยนลงไปเลย” พี่เป้าพูดโดยไม่หันหน้ามา

คนที่ตรึงตัวเยี่ยเสียนฉีไว้กับกำแพงเมื่อครู่เริ่มหงุดหงิดแล้ว “ไอ้หนุ่ม แกจะไปหรือไม่ไป”

“เอ่อ… ไปก็ได้ ฉันไปแล้ว พอใจไหม”

“ไปเร็วสิ! ถ้ายังไม่ไปอีก จะไม่เกรงใจแล้วนะ” ชายคนนั้นตวาดด้วยสีหน้าท่าทางดุร้ายโหดเหี้ยม

เยี่ยเสียนฉีมองออกแล้วว่าคนข้างบนเป็นพวกตอแยไม่ได้ เขาได้แต่ล้มเลิกความคิด หมุนตัวเตรียมจะออกเดินไปอย่างห่อเหี่ยวใจ จังหวะนี้เองเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นด้านหลัง

“เป้าจื่อ ทำอะไรกันอยู่ หนวกหูขนาดนี้”

เขาหันหน้าไปเห็นคนผู้หนึ่งเดินมาจากเชิงบันได

คนที่เพิ่งมาไม่เหมือนกับหลายคนก่อนหน้านี้ที่กิริยาท่าทางกระด้างหยาบคาย เขาดูเป็นชายหนุ่มผู้ดีมีตระกูลวัยไล่เลี่ยกับตนเอง อีกทั้งยังแต่งตัวแบบชาวตะวันตกเหมือนกัน เยี่ยเสียนฉีจึงหยุดฝีเท้า

คนที่ชื่อ ‘เป้าจื่อ’ อธิบายสั้นๆ จบแล้วพูดว่า “พรรคพวกข้างล่างเรียกผม ผมเลยต้องลงไปสอบถามนิดหน่อย รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณชายหวังแล้ว ผมไม่ดีเองครับ” ว่าแล้วก็เบือนหน้าไปตะคอกสั่ง “ยังไม่ไล่ไปอีก”

เยี่ยเสียนฉีรีบถอยกลับมา ตะโกนพูดเสียงดัง “คุณชายหวังครับ ผมเห็นคุณก็เป็นคนสุภาพมีมารยาท พวกเราออกมาอยู่ต่างบ้านต่างถิ่น เหมือนคำพูดที่ว่าเพื่อนพ้องใต้ฟ้าเดียวกันล้วนเป็นคนในครอบครัว มีอะไรช่วยกันได้ก็ช่วยๆ กันไป จริงไหมครับ ลูกพี่ลูกน้องของผมร่างกายอ่อนแอ ก่อนออกจากบ้านผมรับปากคุณอาไว้ว่าระหว่างทางจะดูแลเขาให้ดีๆ ถ้าสองห้องไม่ได้ ห้องเดียวก็ยังดีครับ ผมจะให้น้องผม…”

คุณชายหวังชำเลืองมองเยี่ยเสียนฉีแล้วยกมือห้ามคนที่จะเข้ามาไล่เขา

“เคยไปเรียนต่อต่างประเทศหรือ”

“ใช่ครับ เรียนแพทย์ที่ตงหยาง”

คุณชายหวังมองสำรวจเขาอึดใจหนึ่ง ก่อนถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “เล่นไพ่บริดจ์ เป็นไหม”

เยี่ยเสียนฉีอึ้งงันไป จากนั้นก็คิดตามทันได้ทันควัน “เป็นครับ”

คุณชายหวังดีดนิ้วทีหนึ่ง เบือนหน้าไปบอกกับเป้าจื่อ “ถึงอย่างไรก็มีห้องว่าง ให้พวกเขาขึ้นมาเถอะ”

เป้าจื่อชะงักไป “คุณชายหวัง แบบนี้ไม่ได้นะครับ ทางท่านสี่…”

“ผมจะบอกให้พี่สี่รู้เอง! ยังต้องเดินทางอีกตั้งหลายวัน จะไม่ให้ผมหาอะไรทำฆ่าเวลาเลยเหรอ ยังขาดขาหนึ่ง แล้วพี่สี่ก็ไม่เล่นเอง” คุณชายหวังพูดแล้วเดินออกไป

เยี่ยเสียนฉีดีใจยกใหญ่ เขาทิ้งเป้าจื่อที่ยังทำหน้าไม่เต็มใจไว้ที่เดิมแล้วสาวเท้าเร็วๆ จนแทบจะกระโดด พอลงบันไดไปก็เจอคนกำลังตามหาเขาไปทุกที่พอดี แต่เขาไม่ฟังอีกฝ่ายพูดจนจบก็วิ่งกลับไปที่ห้องพัก

ผู้หญิงข้างห้องที่ยังนอนหลับอยู่คนนั้นตื่นขึ้นเพราะเสียงวุ่นวายอึกทึกจากห้องติดกัน เธอคว้าเสื้อคลุมเปิดประตูออกมา พอเห็นพวกเขาจะแลกห้องกับชายโสดคนหนึ่งก็แค่นเสียงขึ้นจมูก “ทำเสียงดังโครมครามขนาดนี้ คนไม่รู้อะไรยังนึกว่าจะขึ้นไปชั้นบนแล้ว”

ซูจงมาจากตระกูลพ่อค้า ทั้งยังพานายน้อยสองคนออกมาข้างนอก เป็นธรรมดาที่ไม่อยากมีเรื่องกับใคร เขาตั้งท่าจะพูดตัดบท

ด้านเยี่ยเสียนฉีกลับทำเสียงเยาะเย้ย “จะบอกให้นะ ฉันกำลังย้ายขึ้นไปอยู่บนหัวแกแล้ว” จากนั้นหันหน้าไปพูดกับซูเสวี่ยจื้อ “ไปเถอะ พวกเราย้ายไปพักชั้นบนกัน” พูดจบก็ตะโกนบอกคนให้ยกของ

ซูจงลุกลนดึงเขาไปด้านข้างซักถามให้รู้เรื่อง

เยี่ยเสียนฉีกระแอมให้คอโล่ง “เมื่อครู่นี้ผมดูวิวอยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงคนเรียกผมจากด้านบน ลุงจงว่าบังเอิญไหม คุณชายหวังที่เหมาชั้นบนทั้งชั้นเป็นเพื่อนนักเรียนตอนผมเรียนอยู่ตงหยาง พอรู้ว่าผมกับลูกพี่ลูกน้องอยู่เรือลำเดียวกันก็เชิญพวกเราย้ายขึ้นไปพักด้วย” เห็นผู้หญิงคนนั้นปิดปากเงียบอย่างประหลาดใจ ยังมีอาฝูที่เยี่ยมหน้าออกมาจากหลังประตูครึ่งหนึ่งทำสีหน้าอิจฉาทางหางตา เขาก็สาแก่ใจจนเกือบแหงนหน้าหัวเราะร่า

เมื่อครู่นอกจากซูจงจะรู้สึกเหนือคาดและยังกังวลใจเล็กน้อยว่าคนชั้นบนอาจไม่ใช่คนดี กลัวว่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้น พอได้ยินนายน้อยเยี่ยเล่าอย่างเต็มปากเต็มคำก็เชื่อว่าเป็นความจริงจึงสบายใจ

ไม่ต้องพูดถึงว่าผนังกั้นเสียงในห้องพักชั้นสองเป็นเช่นไร ยังมีคนมากหน้าหลายตาจากทุกสารทิศเข้าๆ ออกๆ สับสนวุ่นวายมาก นายน้อยเยี่ยพบกับเพื่อนนักเรียนอย่างบังเอิญ ทำให้นายน้อยของเขาได้ย้ายตามไปพักในสถานที่เงียบสงบและปลอดภัยมากกว่า ซูจงย่อมยินดี เขาพยักหน้าแล้วจัดการเรื่องย้ายของขึ้นชั้นบนอย่างกุลีกุจอ

ซูเสวี่ยจื้อคลุกคลีกับญาติผู้พี่คนนี้มาครึ่งเดือน เห็นว่าเขาเป็นคนดีอยู่หรอก แต่ติดจะจับจดอยู่สักหน่อย

ไม่ใช่ว่าเธอชอบใช้ประสบการณ์ของตนเองมาตัดสินคน แต่เธอรู้สึกจริงๆ ว่าเยี่ยเสียนฉีไม่ค่อยเหมือนคนมุ่งมั่นตั้งใจเรียนแพทย์และเรียนได้คะแนนดีเยี่ยมอย่างที่เขาว่า

แต่ทั้งนี้เธอไม่ได้หมายความว่าคนที่เรียนแพทย์ได้คะแนนดีเยี่ยมจะต้องคร่ำครึอยู่ในกรอบ เคร่งขรึมและขยันหมั่นเพียรหรอกนะ

เธอใช้เวลาช่วงนี้เปิดหนังสือแพทย์ตะวันตกในมืออ่านดูคร่าวๆ แล้ว

การพัฒนาการศึกษาด้านการแพทย์ทั้งในเชิงลึกเชิงกว้างของยุคนี้ เทียบกับยุคของเธอแล้วจัดว่าทิ้งห่างกันไกลชนิดไม่เห็นฝุ่น แต่โดยรวมการแตกแขนงวิชาสาขานั้นเริ่มเห็นเป็นเค้าโครงแล้ว

แค่เนื้อหาในหนังสือเรียนระดับต้นของเจ้าของร่างเดิมก็ครอบคลุมความรู้ทั้งวิชากายวิภาควิทยา วิชามิญชวิทยา วิชาสรีรวิทยา วิชาแบคทีเรียวิทยา วิชาพยาธิวิทยา วิชาเคมีคลินิกวิทยา วิชาเภสัชวิทยา และอื่นๆ

แม้ว่าสำหรับเธอเนื้อหาพวกนั้นจะเป็นความรู้พื้นฐานที่ค่อนข้างผิวเผิน แต่ก็ยังคงละเอียดซับซ้อนและจำเจน่าเบื่อ ยิ่งถ้าเป็นระดับสูงขึ้นไป หากไม่ทุ่มเทกายใจและเวลาอย่างเต็มที่ ก็ไม่มีทางจะเรียนได้ดี

แต่สำหรับเยี่ยเสียนฉีแล้ว ไม่ว่ามองจากมุมไหนเขาก็ไม่เหมือนคนทุ่มเทให้การเรียนมากๆ

แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นเหมือนกัน นั่นก็คือพวกอัจฉริยะ

บางทีญาติผู้พี่ของเธออาจจะเป็นพวกอัจฉริยะคนหนึ่ง

ถึงจับจดก็จับจดนิดเดียว ไม่มีผลกับความถนัดของเขา

ฉะนั้นเรื่องดีๆ อย่างการได้ย้ายขึ้นไปอยู่ชั้นบน แม้เธอจะรู้สึกว่าญาติผู้พี่น่าสงสัย แต่ก็ไม่เหมือนการโกหก และเธอไม่มีเหตุผลใดจะคัดค้านจึงตามเขาไปด้วยเหตุฉะนี้ กระนั้นก่อนขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุด เธอกลับเห็นคนหัวโล้นหน้าตาชวนให้ไม่กล้าเข้าใกล้คนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับลูกน้องหลายคน พอเห็นมีคนมาก็บอกว่าจะค้นตัวแล้วมองหีบสัมภาระแวบหนึ่ง

อย่าว่าแต่ค้นตัวเลย แค่หีบสัมภาระของเธอก็เปิดให้ดูไม่ได้ ในนั้นมีของใช้ส่วนตัวที่หงเหลียนจัดเตรียมให้เธอมากมายก่ายกอง รวมถึงผ้าซับเลือดระดูซึ่งเป็นสิ่งของที่น่าสงสัยมากที่สุดในการเป็น ‘ผู้ชาย’ ของเธอ

“พี่เป้า น้องผมเป็นคนแปลกๆ สักหน่อย ไม่ชอบให้คนแตะเนื้อต้องตัวตั้งแต่เล็ก ผมตรวจดูให้หมดแล้ว พวกคุณวางใจได้ อีกอย่างดูตัวเขาก็รู้ว่าไม่มีแรงจับลูกเจี๊ยบด้วยซ้ำ แล้วจะเป็นคนร้ายได้อย่างไรกัน” เยี่ยเสียนฉีรีบเอาตัวบังอยู่ข้างหน้าเธอพลางพูดอธิบาย

‘พี่เป้า’ คนนั้นทำหน้าตายเหมือนเดิม “ขออภัยด้วยคุณชายเยี่ย ค้นตัวแล้วถึงขึ้นไปได้”

ซูเสวี่ยจื้อพูดขึ้น “พี่เสียนฉี พี่ไปอยู่ชั้นบนเถอะ ผมไปอยู่ห้องที่ลุงจงแลกให้ห้องนั้นก็ได้”

เยี่ยเสียนฉีตวัดตามองไปข้างบนอย่างละล้าละลังนิดหนึ่งก่อนหันหน้ามา ทว่าญาติผู้น้องก็หิ้วหีบใบหนึ่งขึ้นและเดินลงไปพร้อมกับซูจงที่ช่วยขนของตามมาส่งพวกเขาแล้ว

เขาอยากพักชั้นบนจับใจ แต่พอนึกถึงว่าจะปล่อยให้ญาติผู้น้องพักอยู่ในที่ที่มีคนร้อยพ่อพันแม่อย่างชั้นกลางลำพังคนเดียว ตอนกลางคืนจะให้ซูจงจัดคนไปเฝ้าห้องเธอก็ไม่ได้ คำโบราณว่าไว้ไม่กลัวหนึ่งหมื่น กลัวแต่เศษหนึ่งส่วนหมื่น ในที่สุดเขาก็กระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง “ช่างเถอะ งั้นฉันก็ไม่อยู่เหมือนกัน” ว่าแล้วก็หมุนตัวจะเดินตามไป แต่กลับได้ยินเสียงของคุณชายหวังเมื่อครู่นี้ดังขึ้นอีก

“รอเดี๋ยว”

ซูเสวี่ยจื้อนึกว่าเขาพูดกับเยี่ยเสียนฉีเลยไม่ได้หันหน้าไป

“คนนั้นใครน่ะ บอกให้รอเดี๋ยว ไม่ได้ยินเหรอ”

เธอเหลียวไปมอง

“ใช่! คุณนั่นล่ะ…”

ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินสองมือล้วงกระเป๋าอย่างเอ้อระเหยลงมาจากข้างบน ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา ดูท่าทางจะรุ่นราวคราวเดียวกับเยี่ยเสียนฉี เขาหยุดยืนอยู่กลางบันไดมองสำรวจเธอครู่หนึ่ง จากนั้นหันศีรษะไปพูดกับคนหน้าตาดุร้ายด้านข้างว่า “ท่าทางอย่างกับผู้หญิง เอานิ้วจิ้มทีเดียวก็ล้มลงแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับผมได้ พี่สี่คิดมากเกินไป ระมัดระวังเกินกว่าเหตุแล้ว” เขาพูดเป็นเชิงบ่น

เยี่ยเสียนฉีตาเป็นประกาย พูดผสมโรงว่า “นั่นสิ! น้องผมสุภาพเรียบร้อย แถมยังสุขภาพไม่ดี ตากลมไม่ได้ วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้อง คุณเรียกเขาออกมา เขายังไม่ออกเลย”

ซูเสวี่ยจื้อมองเขาตาเขม็ง

เยี่ยเสียนฉีขยิบตาให้เธออย่างว่องไว

“ก็เอาตามนี้ล่ะ ขึ้นมาสิ!”

คุณชายหวังดูจะพอใจอยู่มาก เขาเอียงคอพยักพเยิดบอกให้ทั้งสองขึ้นมาก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไป ส้นรองเท้าหนังย่ำขั้นบันไดเหล็กส่งเสียงดังกึงๆ ก้องกังวาน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 .. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: