X
    Categories: คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ

ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาของที่ว่าการเมืองหลวงเปียกแฉะไปทั่ว

ที่บันไดหินหน้าห้องโถงใหญ่เหลียงเว่ยผิงเสมียนแห่งที่ว่าการเมืองหลวงก้าวเท้าถี่ๆ กลับไปกลับมาด้วยความร้อนใจ เหยียบย่ำสายฝนในวสันตฤดูที่ตกพรำลงมาอย่างเงียบๆ ด้วยความกระวนกระวายใจเล็กน้อย

เสียงเด็กรับใช้ของที่ว่าการเมืองหลวงดังมาจากด้านหลัง “เสมียนเหลียง รถม้าของใต้เท้าซูจอดอยู่ที่ประตูที่ว่าการแล้วขอรับ…”

“รู้แล้วๆ” หัวใจของเหลียงเว่ยผิงเต้นเร็ว เขาดึงแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กบนหน้าผาก

วันนี้เป็นวันที่ศาลต้าหลี่ได้รับพระราชโองการให้มารับช่วงต่อคดีฆ่าข่มขืนต่อเนื่องตั้งแต่ปีก่อนจากที่ว่าการเมืองหลวง เหลียงเว่ยผิงคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าคดีนี้ร้ายแรง แต่ก็ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะมีพระราชโองการให้ซูโม่อี้เสนาบดีศาลต้าหลี่ซึ่งเป็นหลานชายของตนเองมารับช่วงต่อที่ที่ว่าการเมืองหลวงด้วยตนเอง

เวลานี้ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้เดินทางมาถึงหน้าประตูแล้ว ทว่าหลินหวั่นชิงเจ้าหน้าที่จดบันทึกที่รับผิดชอบบันทึกคดีนี้มาโดยตลอดจนป่านนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัว ในแวดวงขุนนางคนที่ตำแหน่งต่ำกว่าเพียงครึ่งหรือหนึ่งขั้นมักยอมอดทนต่อการรังแกของขุนนางที่ตำแหน่งสูงกว่า ต่อให้เป็นคดีทั่วไปก็ไม่มีทางให้ผู้ตัดสินเป็นฝ่ายรอเจ้าหน้าที่จดบันทึกโดยเด็ดขาด นับประสาอะไรกับผู้ที่นั่งอยู่ในห้องนี้วันนี้คือซูโม่อี้ขุนนางผู้โหดเหี้ยมอันดับหนึ่งของราชวงศ์ใต้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองเซิ่งจิง และไม่กลัวแม้แต่เหล่าทวยเทพและภูตผีปีศาจ…

ฝ่ามือที่ชุ่มเหงื่อของเหลียงเว่ยผิงถูไปมาบนแขนเสื้อกว้าง เขายืดคอยาวมองลงไปตามบันไดหินอีกครั้ง

“เสมียนเหลียง! เสมียนเหลียง!”

ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายที่เลือนรางมีร่างผอมบางร่างหนึ่งวิ่งมาแต่ไกล ชุดขุนนางที่เดิมทีมีสีเทาอ่อนของเขากลายเป็นสีเข้มสลับกับสีอ่อนเป็นจุดๆ เนื่องจากโดนน้ำฝน บริเวณหัวเข่ามีรอยเปื้อนน้ำโคลนสองวง ดูท่าทางอ่อนล้าและตื่นตระหนกยิ่ง

“เสมียนเหลียง!”

“ไปที่ใดมา”

หลินหวั่นชิงยังไม่ทันจะอ้าปากอธิบาย ไฟแห่งโทสะที่ระงับไว้ของเหลียงเว่ยผิงก็พ่นใส่หน้าเขาไม่ยั้ง

ดูเหมือนเขาจะคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้จึงเอียงกายไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลับตาแน่นและค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วมองไปที่เหลียงเว่ยผิงอย่างเงียบๆ ทำท่าทางรู้สึกผิดเล็กน้อย

“ระหว่างทาง…ระหว่างทางเจอปัญหานิดหน่อย จึงล่าช้าไปเล็กน้อย”

เวลานี้เหลียงเว่ยผิงจึงสนใจที่จะมองดูหลินหวั่นชิง ใบหน้าเล็กๆ ที่เดิมทีก็ขาวซีดอยู่แล้วเปียกฝน ขนอ่อนตามผิวหนังถูกปกคลุมด้วยหยดน้ำเล็กๆ ทำให้ใบหน้าดูซีดเผือดกว่าเดิมเล็กน้อย ขนตาที่ทั้งยาวและงอนหนามีเม็ดฝนที่แวววาวสองหยดติดอยู่จะตกมิตกแหล่ ดวงตากลมโตสีดำเป็นประกายสดใสงดงามภายใต้ขนตาที่สั่นไหวเล็กๆ แสดงความรู้สึกเสียใจและรอยยิ้มขี้เล่น ทำให้คนเห็นแล้วก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้งในทันใด อยู่มาจนอายุเกือบสามสิบปีนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นบุรุษที่มีรูปร่างหน้าตางดงามเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกกระเดือกที่คอของหลินหวั่นชิง เหลียงเว่ยผิงก็อยากจะทดสอบด้วยตนเองจริงๆ ว่า…ความคิดของเขาพลันถูกขัดจังหวะและความโกรธที่เขาต้องการระบายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“เช็ดหน้าเสีย!” เหลียงเว่ยผิงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากเอวอย่างอารมณ์ไม่ดี ก่อนตบๆ ไปที่ใบหน้าของหลินหวั่นชิง

หลินหวั่นชิงรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองผิด จึงไม่โกรธอีกฝ่าย เพียงรับผ้าเช็ดหน้ามาพร้อมกับยิ้มแต้ หยิบสมุดเล่มเล็กที่เปียกตรงมุมออกมาจากอกเสื้อแล้วเช็ดก่อน

สายตาของเหลียงเว่ยผิงหยุดอยู่ที่สมุดเล่มเล็กครู่หนึ่ง นั่นเป็นบันทึกการตัดสินคดีที่หลินหวั่นชิงรวบรวมและเรียบเรียงเอง ด้านในล้วนเป็นคดีที่ซูโม่อี้เสนาบดีศาลต้าหลี่เป็นคนจัดการทั้งหมด

หลังจากเช็ดสมุดเสร็จแล้วหลินหวั่นชิงจึงเช็ดใบหน้าตนเองลวกๆ สองครั้ง ก่อนจะก้มลงไปเช็ดน้ำโคลนที่หัวเข่า

“ถูกม้าหรือถูกรถม้าชนมาเล่า” เหลียงเว่ยผิงถอนสายตาออกจากตัวอีกฝ่ายพลางเอ่ยถามอย่างอารมณ์ไม่ดี

หลินหวั่นชิงก้มหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “ไม่ใช่ ข้าเห็นสุนัขสีขาวตัวเล็กตัวหนึ่งตกลงไปในท่อระบายน้ำแล้วปีนขึ้นมาไม่ได้ จึงช่วยดึงมันขึ้นมา”

“เจ้า! แค่กๆๆ…” เหลียงเว่ยผิงตกใจกับคำตอบนี้ เขาโกรธจนหายใจไม่ออก ราวกับความโกรธอุดอยู่ที่คอหอยจนไอออกมาไม่หยุด

เสียงเร่งเร้าของเด็กรับใช้ดังขึ้นทางด้านหลังของคนทั้งสองอีกครั้ง “เสมียนเหลียง ใต้เท้าซูใกล้จะถึงห้องหารือแล้วขอรับ”

เวลานี้เหลียงเว่ยผิงจึงสงบอารมณ์ลงได้ ตบหน้าอกสองสามครั้งแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าที่หลินหวั่นชิงเช็ดจนเต็มไปด้วยดินโคลนคืนมา ก่อนจะส่งเสียงฮึ่มที่ไม่ดังไม่เบาและเอามือไพล่หลังเดินจากไป

หลินหวั่นชิงซึ่งรู้ตัวว่าตนเองผิดได้แต่กลั้นหัวเราะแล้วเดินตามไปอย่างว่าง่าย

“มีของกินหรือไม่” เขาเอียงกายไปถามที่ข้างหูของเหลียงเว่ยผิง

เหลียงเว่ยผิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วเอียงกายย้อนถามอีกฝ่าย “ขนมที่ให้เจ้านำกลับไปเมื่อวานเล่า”

หลินหวั่นชิงหดคอ พูดเสียงอู้อี้ “ให้สุนัขจรจัดตัวนั้นไปแล้ว”

“เจ้า! แค่กๆๆ…”

เมื่อเห็นว่าอาการของเหลียงเว่ยผิงกำลังจะกำเริบอีกครั้ง ครั้งนี้หลินหวั่นชิงเคลื่อนไหวอย่างว่องไว รีบก้าวเข้าไปพยุงเขาก่อนแล้วตบหลังเพื่อให้ลมปราณเดินสะดวก

“คนมีคุณธรรมช่วยใครต้องช่วยให้ถึงที่สุด ห้ามทอดทิ้งกลางคัน สุนัขตัวนี้ข้าช่วยชีวิตไว้แล้ว ย่อมทนดูมันหิวไม่ได้ ดังนั้นข้าก็เลย…”

“เจ้าแค่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น ไม่เพียงทำให้ชุดขุนนางสกปรก แต่ยังเกือบทำให้เสียงานอีกด้วย!”

เหลียงเว่ยผิงโกรธจนตัวสั่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะกดเสียงต่ำแล้วพูดต่อ “เจ้าก็รู้ว่าคนที่มาวันนี้คือใต้เท้าซู เสนาบดีศาลต้าหลี่ หากเขาลงโทษเจ้าที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ก่อกวนตุลาการ ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ดูหมิ่นผู้มีบารมี…”

“พอแล้วๆๆ” หลินหวั่นชิงล้อเล่นอย่างคุ้นเคย ก่อนตบหลังของเหลียงเว่ยผิงพร้อมกับยิ้มเอาใจแล้วพูดว่า “พี่เหลียงใจเย็นๆ น้องชายผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ ต่อไปจะไม่ทำอีก แต่ว่า…”

หลินหวั่นชิงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องมาถามต่อว่า “แต่ว่ามีของกินหรือไม่”

“…” เหลียงเว่ยผิงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาตักเตือนที่เฉียบขาด แล้วหยิบลูกอมบ๊ะจ่าง สองเม็ดออกมาจากอกเสื้อ “นี่เป็นลูกอมที่เจ้าให้ข้าไว้เมื่อวานนี้ รองท้องไปก่อนก็แล้วกัน”

“โอ้” หลินหวั่นชิงแย้มยิ้ม รีบรับมันมาและแกะเปลือกออกเม็ดหนึ่งก่อนจะโยนเข้าปากทันที

ที่มุมชายคาสีเทาอมเขียวมีเม็ดฝนหยดลงมา ดูราวกับม่านไข่มุกแวววาว

ทั้งสองเดินไปตามทางเดิน มาถึงห้องหารือด้านข้าง ขุนนางและเด็กรับใช้ต่างเข้าประจำที่แล้ว ท่าทางเข้มงวดเคร่งขรึมยิ่ง

เหลียงเว่ยผิงอดเข่าอ่อนไม่ได้ เขากลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ยื่นมือไปดึงตัวหลินหวั่นชิงไว้แล้วพูดว่า “เจ้ารับหน้าที่จดบันทึกแล้วกัน หากใต้เท้าไม่ถามก็ห้ามพูดมากอย่างเด็ดขาด นี่ไม่เหมือนการหารือเรื่องรายละเอียดของคดีตามปกติของพวกเรา อย่าได้อวดความฉลาดของตนเองรู้หรือไม่”

หลินหวั่นชิงพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เห็นเช่นนี้เหลียงเว่ยผิงจึงหายใจสงบลง เขาตบหน้าอก หายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวข้ามธรณีประตู เดินชิดผนังห้องหารือไปนั่งลงที่โต๊ะเล็กด้านหลังที่นั่งของผู้มีอำนาจสูงสุด

การรับช่วงต่อและหารือเกี่ยวกับรายละเอียดของคดีไม่เหมือนการสอบสวนในศาล จึงไม่มีเครื่องลงทัณฑ์ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเบิกตัวผู้ต้องสงสัยและพยาน

หลินหวั่นชิงปูกระดาษเซวียนจื่อ ลงบนโต๊ะด้วยความชำนาญ และหยิบพู่กันมาจุ่มลงในหมึก

เสียงฝีเท้าช้าๆ แต่หนักแน่นที่ดังมาจากด้านหลังห้องหารือใกล้เข้ามาทุกที ตามมาด้วยเสียงเสียดสีกันเบาๆ ของผ้าไหม และมีเสียงหยกกระทบกันเป็นครั้งคราว

ด้านหลังฉากกั้นงานปักซู ที่ปักลายต้นสนมีร่างสองร่างปรากฏขึ้น ร่างหนึ่งสวมชุดสีแดงร่างหนึ่งสวมชุดสีม่วงกำลังเดินเข้ามา

หลินหวั่นชิงมองร่างที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นด้วยหัวใจที่เต้นแรง ชื่อของซูโม่อี้เสนาบดีศาลต้าหลี่นั้นเขารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง

ตั้งแต่โบราณมาผู้ที่มีความรู้ความสามารถล้วนเป็นคนหนุ่ม ใต้เท้าซูผู้นี้มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม และเขียนบทความได้ดีเยี่ยม เดิมทีฮ่องเต้ซึ่งเป็นน้าของเขาต้องการมอบตำแหน่งที่สบายๆ ให้กับเขา แต่ไม่คาดคิดว่าเขากลับหลงใหลในการพิพากษา ตั้งแต่สอบได้จ้วงหยวน เมื่ออายุสิบหกปีเป็นต้นมาก็เดินเส้นทางขุนนางในศาลต้าหลี่ เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งขุนนางผู้ช่วยศาลต้าหลี่ จนกระทั่งเป็นเสนาบดีศาลต้าหลี่ เนื่องจากมีภูมิหลังที่มั่นคง มีฮ่องเต้หนุนหลัง ในการทำงานและสอบสวนคดีจึงไม่ต้องมองหน้าใคร ทำให้สร้างผลงานได้มากมาย เลื่อนขั้นมาถึงตำแหน่งนี้ได้ไม่ใช่เพราะพึ่งร่มเงาของราชวงศ์ทั้งหมดหรอกหรือ แต่อาจเป็นเพราะเหตุนี้ความเด็ดขาดในการทำงานและวิธีการที่โหดเหี้ยมอำมหิตของซูโม่อี้ จึงทำให้เขามีชื่อเสียงว่า ‘ไม่กลัวแม้แต่เหล่าทวยเทพและภูตผีปีศาจ ขุนนางผู้โหดเหี้ยมอันดับหนึ่ง’ ในแวดวงขุนนางของราชวงศ์ใต้ทั้งหมดว่ากันว่านักโทษประหารในมือเขา ขณะที่ถูกลงโทษประหารมักถูกลงโทษอย่างทารุณมาก่อนแล้ว ถึงกระทั่งมีคนยอมรับโทษแต่ขอโทษตายอย่างเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานตอนมีชีวิตอยู่

หลินหวั่นชิงกำลังคิดใคร่ครวญอยู่ผู้เดียว ร่างทั้งสองนั้นก็เดินอ้อมฉากกั้นมา ผู้ที่เดินนำหน้าจะต้องเป็นซูโม่อี้เสนาบดีศาลต้าหลี่ลำดับรองขั้นสามอย่างแน่นอน มือที่จับพู่กันของหลินหวั่นชิงแกว่งไปมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจของหลินหวั่นชิงเต้นเร็วราวกับกำลังถูกผีหลอกพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

สิ่งที่เห็นคือใบหน้าที่สดใสและสง่างาม บางทีชุดขุนนางสีม่วงชุดนั้นอาจมีส่วนช่วยเสริมบารมีให้เขาเล็กน้อย ส่วนเข็มขัดทองคำและหยกสิบสามชิ้นที่คาดอยู่ที่เอวก็ช่วยขับให้เขาดูไหล่กว้างเอวเล็ก รูปร่างสูงชะลูด

หลินหวั่นชิงมองจนลืมหายใจไปจังหวะหนึ่ง

มองสูงขึ้นไปเป็นโครงหน้าราวแกะสลัก เบ้าตาลึก จมูกโด่ง ริมฝีปากที่บางซีดนั้นมีความเยือกเย็นเล็กน้อย ดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง หากเผลอไผลเพียงเล็กน้อยก็จะตกลงไป และร่างก็จะต้องแหลกสลายอย่างแน่นอน รูปโฉมเช่นนี้…ดูเหมือนจะไม่เข้ากันกับชื่อเสียงอันโหดร้ายที่ภายนอกเล่าลือกันแม้แต่น้อย

หยดหมึกจากปลายพู่กันหยดลงบนกระดาษเซวียนจื่อที่กางออก ทิ้งจุดน้ำหมึกที่ซึมแผ่ไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

หลินหวั่นชิงก้มหน้า หลบสายตาจากด้านบนได้พอดี จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าคิ้วที่ชี้ขึ้นคู่นั้นขมวดเล็กน้อยอย่างยากที่จะสังเกตเห็น

“ใต้เท้าซู” เจ้าเมืองหลี่ที่นั่งในตำแหน่งต่ำกว่าซูโม่อี้เปิดปากพูด “การบรรยายรายละเอียดของคดีนี้…”

“เริ่มได้เลย” ชายที่อยู่ด้านบนถอนสายตา ในน้ำเสียงนั้นไม่สามารถตัดสินความรู้สึกได้เลย

เจ้าเมืองหลี่ยิ้มประจบสอพลอ รับสำนวนความที่เหลียงเว่ยผิงยื่นให้ แล้วเริ่มบรรยายรายละเอียดของคดีเสียงดัง

นั่นเป็นคดีฆ่าข่มขืนหลายคดีที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน เหยื่อเป็นภรรยาลับที่ขุนนางหรือพ่อค้าเลี้ยงไว้นอกจวน ล้วนเป็นหญิงสาวเยาว์วัยอายุประมาณยี่สิบปี เนื่องจากเป็นภรรยาลับ ดังนั้นพวกขุนนางหรือพ่อค้าที่เลี้ยงดูพวกนางจึงไม่ได้มาหาบ่อยๆ แม้ธรรมเนียมในราชวงศ์ใต้จะเปิดกว้าง แต่ถึงอย่างไรฐานะของภรรยาลับก็ต่ำต้อยเหมือนบ่าวรับใช้ผู้หนึ่ง ดังนั้นคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายจึงมีไม่มาก มักมีเพียงสาวใช้หรือหญิงรับใช้สูงอายุคนสนิทหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น นี่จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ก่อคดี ศพของเหยื่อทั้งหมดถูกพบในห้องนอนของพวกนางโดยอยู่ในท่านอนหงาย เปลือยกาย มีผ้าปิดตา มือและเท้าถูกมัด จากการตรวจสอบบาดแผลแสดงให้เห็นว่าบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตคือบาดแผลจากของมีคมบริเวณหน้าอก ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกขนพองก็คือศพของสตรีเหล่านี้ไม่เพียงมีร่องรอยการถูกทรมานที่หน้าอกเท่านั้น แต่ที่ร่างกายท่อนล่างยังมีบาดแผลถูกแทงด้วยมีดที่แหลมคมหลายครั้ง

ด้วยฐานะของเหยื่อมีความคล้ายคลึงกัน และวิธีการก่อคดีก็เหมือนกัน ดังนั้นคนส่วนใหญ่ในที่ว่าการเมืองหลวงจึงคาดการณ์ว่าคดีเหล่านี้เป็นฝีมือของผู้ต้องหาคนเดียวกันนั่นเอง

หลินหวั่นชิงรับผิดชอบบันทึกคดีนี้มาโดยตลอด เจ้าเมืองหลี่คงจะกลัวว่าการเผชิญกับคำถามของซูโม่อี้จะเกิดความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น จึงได้ระบุให้เขามาทำงานใกล้ๆ ตัวโดยเฉพาะ เมื่อฟังเจ้าเมืองหลี่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับคดีอย่างชัดเจนมีขั้นมีตอน หลินหวั่นชิงจึงจดบันทึกได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ เขาเงยหน้าขึ้น กลับเห็นใบหน้าที่มันเยิ้มของเจ้าเมืองหลี่ปรากฏรอยย่นจากการยิ้มที่สามารถหนีบแมลงวันตายได้หลายเส้น

เจ้าเมืองหลี่กระแอมในลำคอ จงใจลดเสียงลง เงยหน้าขึ้นแสดงความเคารพซูโม่อี้แล้วพูดว่า “ฆาตกรคดีฆ่าข่มขืนต่อเนื่องนี้ข้าน้อยจับตัวได้แล้วเมื่อวานนี้”

เมื่อได้ยินเจ้าเมืองหลี่พูดเช่นนี้ ทุกคนในที่นั้นต่างตะลึงงัน

ปลายพู่กันที่หลินหวั่นชิงยกขึ้นเมื่อครู่หยุดชะงักทันที ตัวอักษรเสี่ยวข่ายขนาดเท่าหัวแมลงวันอันงดงามบนหน้ากระดาษนับว่าใช้การไม่ได้แล้ว

ดูเหมือนเจ้าเมืองหลี่จะพึงพอใจกับท่าทีตอบสนองของทุกคน จึงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวต่อ “เมื่อวานคนร้ายผู้นั้นก่อคดีอีกแล้ว จึงถูกข้าน้อยพาคนไปจับกุมตัวมา”

“จริง…” คำถามยังไม่ทันออกจากปากหลินหวั่นชิงก็รู้สึกแขนเสื้อตึง เมื่อหันไปก็เห็นใบหน้าบูดเบี้ยวของเหลียงเว่ยผิง เขาส่ายหน้าราวกับกล้ามเนื้อกระตุก ดังนั้นเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากจึงถูกกลืนลงไปอีกครั้ง เขาทำได้เพียงเหลือบตาขึ้นไปมองใต้เท้าซูที่กำลังนั่งตัวตรงอยู่ที่ที่นั่งของผู้มีอำนาจสูงสุดด้วยความอัดอั้นตันใจ ภายใต้แสงสลัวใต้เท้าซูมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเองกระนั้น

เจ้าเมืองหลี่เองก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยกับท่าทางเช่นนี้ของซูโม่อี้ จึงส่งเสียงกระแอมเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ แล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า “คนผู้นี้ถูกข้าน้อยจับได้ขณะที่กำลังกระทำการฆาตกรรมอยู่ในจวนนอกเมืองของราชเลขาธิการ ใต้เท้าซ่ง”

หากจะพูดว่าสิ่งที่พูดมาก่อนหน้านี้เป็นการแสร้งทำให้ดูลึกลับซับซ้อน ถ้าเช่นนั้นคำพูดประโยคนี้ก็เป็นการสร้างความตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย อย่าว่าแต่หลินหวั่นชิงเลย แม้กระทั่งใต้เท้าซูที่นั่งอยู่ด้านบนนั้นก็ยังโน้มตัวมาข้างหน้าด้วยความลืมตัว “ใต้เท้าหลี่หมายถึงราชเลขาซ่ง ซ่งเจิ้งสิง?”

“ใช่แล้ว” เจ้าเมืองหลี่พยักหน้าถี่แล้วพูดต่อไปว่า “เมื่อคืนข้าน้อยได้รับข่าวจากเด็กรับใช้ในจวนอีกหลังหนึ่งของใต้เท้าซ่ง บอกว่าอนุภรรยาผู้หนึ่งในจวนที่มารักษาตัวที่นี่ประสบเคราะห์กรรมอย่างไม่คาดคิด โชคดีที่พบทันเวลา แม้อนุภรรยาจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ปล่อยให้คนเลวหนีไป ดังนั้นข้าน้อยจึงจับกุมตัวผู้ต้องหามาได้และทำการสอบสวนในคืนนั้นเลย นักโทษได้ยอมรับสารภาพแล้วเมื่อยามเฉิน ของวันนี้ และยอมรับโทษประหารชีวิตแต่โดยดี”

รูม่านตาของซูโม่อี้สั่นไหวเล็กน้อย แต่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “อนุภรรยาผู้นั้นเป็นถึงญาติผู้พี่ของจวนโหวที่ใต้เท้าซ่งรับไว้เมื่อสองปีก่อนเชียวนะ”

เจ้าเมืองหลี่ได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย ยิ้มประจบประแจงพลางเอ่ย “ใต้เท้าฉลาดปราดเปรื่อง สายตาแหลมคม ผู้ตายก็คือญาติผู้พี่ผู้นั้น”

ร่างที่โน้มไปข้างหน้าของซูโม่อี้เอนพิงพนัก แล้วถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นักโทษคือผู้ใด”

“เป็นองครักษ์นายหนึ่งของกองกำลังองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ นามหวังหู่”

ในเวลานั้นทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง

คิ้วที่เดิมทีก็ขมวดแน่นเล็กน้อยอยู่แล้วของซูโม่อี้ยิ่งขมวดแน่นขึ้นไปอีก “แล้วใต้เท้าหลี่มั่นใจได้อย่างไรว่าเขาเป็นฆาตกร”

ใบหน้ามันเยิ้มของเจ้าเมืองหลี่ฉายแววภาคภูมิใจแบบถ่อมตน พลิกบันทึกที่อยู่ในมือหลายหน้าพลางกล่าว “สภาพการตายของอนุภรรยาผู้นั้นเหมือนกับคดีฆาตกรรมก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นหากหวังหู่ไม่ใช่ฆาตกรจะอธิบายอย่างไรว่าเหตุใดเขาจึงได้ปรากฏตัวในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้เขายังสารภาพสิ่งที่เขาได้กระทำทุกประการ และในที่เกิดเหตุยังพบอาวุธสังหารที่เขาโยนทิ้งไม่ทันอีกด้วย”

พอพูดจบเจ้าเมืองหลี่ก็แสดงอาวุธที่ขุนนางส่งมาให้เมื่อครู่ เป็นมีดตัดฟืนที่เห็นบ่อยๆ คมมีดบาง ยาวประมาณสามชุ่น กว้างประมาณหนึ่งชุ่น

หลินหวั่นชิงตกตะลึง หากจำไม่ผิดบนร่างกายของเหยื่อหลายคดีก่อนหน้านี้มีบาดแผลจากการถูกฟันด้วยมีดคมจริงๆ เพียงแต่…บาดแผลบนร่างกายของเหยื่อไม่เหมือนเกิดจากมีดชนิดนี้ โดยเฉพาะบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตบริเวณทรวงอก ปรากฏบาดแผลที่มีขนาดกว้างเท่ากันสองจุดและมีบาดแผลหนึ่งถึงสองแห่ง ยังพอเห็นได้ว่ามีความสมมาตรกัน

เป็นเวลานานแล้วที่ไม่สามารถคลี่คลายคดีนี้ได้ ซึ่งก็เป็นเพราะไม่สามารถอธิบายข้อสงสัยข้อนี้ได้ หากเครื่องมือก่อคดีของฆาตกรเป็นมีดชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บเช่นนี้ได้อย่างไร

หลินหวั่นชิงเริ่มท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนน้ำที่ใกล้เดือดอีกแล้ว ครานี้เดือดปุดๆ จนทำให้มือที่จับพู่กันของเขาก็เริ่มสั่นเช่นกัน ทว่าแขนเสื้อของเขากลับถูกเหลียงเว่ยผิงดึงไว้อีกครั้ง

ครั้งนี้เหลียงเว่ยผิงแทบจะมองหลินหวั่นชิงด้วยสายตาวิงวอน บนใบหน้าเขียนคำว่า ‘อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น’ ห้าคำ

“…” หลินหวั่นชิงก้มหน้า สูดลมหายใจลึก ลดความร้อนของน้ำในท้องลงไปหลายองศา

เสียงพูดฉอดๆ ของเจ้าเมืองหลี่ดังขึ้นที่ข้างหู เสียงของเขาเหมือนระฆังใบใหญ่ที่ถูกคนตีเคาะไม่หยุดหย่อน ฟังแล้วชวนให้รำคาญยิ่ง เขาพูดต่อไปอย่างโกรธเคืองว่า “คนเลวที่น่ารังเกียจ เห็นสาวงามแล้วก็ละเลยความผิดชอบชั่วดี แม้แต่สตรีที่กำลังป่วยก็ไม่เว้น ถือโอกาสยามค่ำคืนปกปิดใบหน้าก่อเหตุฆาตกรรมโดยไม่คำนึงถึงว่าเขาเป็นองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ กินเบี้ยรายเดือนของราชสำนัก”

หลังจากพูดจบก็ตบโต๊ะสองครั้ง ตบเสียจนโต๊ะที่อยู่ข้างกายเสียงดังปัง

ซูโม่อี้ไม่พูดอะไร เขาเอนกายไปข้างหลังอย่างเงียบๆ มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา เหมือนกับสายฝนที่ตกชุกนอกระเบียงซึ่งมากับความเย็นสบาย

“ใต้เท้าหลี่หมายความว่าคดีนี้สามารถมอบให้กรมอาญาเป็นผู้เห็นชอบก็ถือว่าสิ้นสุดแล้ว?”

“เอ่อ…” เจ้าเมืองหลี่อึกอักอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดประจบสอพลอว่า “นักโทษคดีนี้ได้ประทับลายนิ้วมือยอมรับแล้ว ย่อมไม่กล้ารบกวนใต้เท้าซูสอบสวนอีก ข้าน้อยวางแผนว่าวันนี้จะนำสำนวนความส่งไปที่กรมอาญา ให้พวกคนแก่ที่กินเบี้ยรายเดือนของฮ่องเต้ช่วยแบ่งเบาความทุกข์ให้พระองค์”

บรรยากาศนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมากความก่อนที่ซูโม่อี้จะพูด

รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าเมืองหลี่พลันแข็งทื่อ ราวกับเวลาต่อมาก็จะปริออกกระนั้น จนกระทั่งเสียงเคาะดังกังวานขึ้นสองสามครั้งทำลายภาวะชะงักงันนั้น

ซูโม่อี้ถอนสายตาที่คมกริบ ข้อนิ้วมือเคาะที่เท้าแขนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างตัว ส่งเสียงกลัดกลุ้มออกมาจนทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย

ในใจของหลินหวั่นชิงมีความคาดหวังบางอย่างแบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ทุกคนที่เคยอ่านสำนวนความหลายคดีก่อนหน้านี้ไม่มีใครไม่สังเกตเห็นข้อสงสัยนี้ วิธีการโง่งมของเจ้าเมืองหลี่เป็นการทำให้ซูโม่อี้กลายเป็นคนที่บรรดาลูกผู้ดีมีเงินที่มีแต่ชื่อเสียงแต่ไร้ความสามารถในราชสำนักเหล่านั้นไล่ออกอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าซูโม่อี้มีความสามารถอย่างแท้จริงก็จะไม่มีทางถูกเขาหลอกลวงอย่างเด็ดขาด

ทว่าเวลาต่อมาน้ำเสียงไม่แยแสของซูโม่อี้กลับทำให้ความคิดของหลินหวั่นชิงแตกกระเจิง สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่คลึงนิ้วโป้งและนิ้วชี้ด้วยความเบื่อหน่าย

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รบกวนใต้เท้าหลี่แจ้งกรมอาญาด้วย”

หลินหวั่นชิงแทบจะสำลัก เขาเงยหน้าขึ้นมองซูโม่อี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่กลับเห็นอีกฝ่ายมองเจ้าเมืองหลี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ที่ปากมีรอยยิ้มหยอกเย้ารำไร ก่อนจะลุกขึ้นยืนตรง สะบัดแขนเสื้อกว้าง และหันตัวเดินไปทางด้านหลังฉากกั้น

หลินหวั่นชิงงุนงงเป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกแน่นหน้าอก เหมือนอวัยวะภายในมากองรวมกัน ความรู้สึกปั่นป่วนกลับมาอีกแล้ว อีกทั้งยังพุ่งไปที่ลำคอของเขาไม่หยุด เขาพยายามอดกลั้นจนเกือบจะหายใจไม่ออก พู่กันในมือก็ไม่รู้ตกไปอยู่ที่ใด เขารู้สึกเพียงว่ามือและเท้าต่างไม่เชื่อฟังคำสั่งตนเอง

ขณะที่กำลังอยู่ในอาการวิงเวียนนี้หลินหวั่นชิงพลันได้ยินเสียงอันสั่นระรัวราวกับถูกบีบออกมาจากลำคอของตนเองดังขึ้นว่า “หวังหู่ไม่ใช่ฆาตกร”

คำพูดประโยคเดียวส่งผลสะท้อนอย่างรุนแรง หลินหวั่นชิงสะอึกด้วยความตกใจแล้วรีบปิดปากตนเอง

คำพูดที่พูดออกไปก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกไปแล้วยากที่จะเก็บคืนมา ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างได้ยินกันหมดแล้ว หลินหวั่นชิงหันไปมองเหลียงเว่ยผิงโดยไม่รู้ตัว แล้วก็เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางเจ็บใจอย่างที่สุด

ด้านสีหน้าของเจ้าเมืองหลี่ที่อยู่ข้างๆ นั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ ทั้งไม่อยากจะเชื่อและมีความกระสับกระส่ายเล็กน้อยอย่างยากที่จะสังเกตเห็น

“เจ้าพูดอะไร” หางตาของเจ้าเมืองหลี่กระตุก สีหน้าจากไม่เป็นธรรมชาติเปลี่ยนเป็นไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก

หลินหวั่นชิงไม่กล้าตอบในทันที เขาใช้สายตามองข้ามตัวอีกฝ่ายชำเลืองไปที่ซูโม่อี้

คนผู้นั้นเพียงหยุดชะงักเท้าเล็กน้อย สีหน้ายังคงเรียบเฉย มองความประหลาดใจที่พอเหมาะพอดีในแววตาเขาโดยไม่ได้พูดอะไร

บรรยากาศนิ่งเงียบอย่างผิดปกติ

หลินหวั่นชิงซึ่งขี่หลังเสือแล้วลงยากพูดด้วยความนอบน้อมว่า “หวังหู่ไม่ใช่ฆาตกร…”

“พูดจาเหลวไหล!” เขายังพูดไม่ทันจบน้ำเสียงตกใจและเคียดแค้นของเจ้าเมืองหลี่ก็ดังขึ้น

เขาสะบัดแขนเสื้อกว้าง เนื้อบนใบหน้าเต้น ถลึงตาแล้วพูดด้วยความโกรธเคือง “คดีนี้ผู้ต้องหาและของที่ใช้ในการก่อเหตุต่างถูกจับได้แล้ว แรงจูงใจในการก่อคดีของฆาตกรชัดเจน วิธีการในการก่อคดีชัดเจน อีกทั้งได้ยอมรับโทษเองแล้ว ใครอนุญาตให้เจ้าหน้าที่จดบันทึกตัวเล็กๆ เช่นเจ้าปากมากพูดจาเหลวไหล!”

“ใต้เท้าไม่รู้สึกว่ามีปัญหาบ้างหรือ”

“มีปัญหาอันใด!”

หลินหวั่นชิงย้อนถาม “ใต้เท้าบอกว่าตอนที่หวังหู่ถูกจับเขาอยู่ในที่เกิดเหตุ”

“ถูกต้อง”

“แล้วเหตุใดเขาจึงต้องปิดบังใบหน้า ใต้เท้าลืมคดีฆ่าข่มขืนหลายคดีก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือ ดวงตาทั้งคู่ของคนตายทุกคนล้วนถูกปิดด้วยผ้าสีดำ ในเมื่อฆาตกรได้ปิดตาทั้งคู่ของผู้ตายแล้ว แล้วเหตุใดจึงต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าอีก นี่ไม่ใช่การทำเกินความจำเป็นหรือ”

“เอ่อ…” เจ้าเมืองหลี่อึกอัก ตอบไม่ได้ไปชั่วขณะ

หลินหวั่นชิงพูดต่อ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอาวุธสังหารตรงกับบาดแผลบนร่างกายของเหยื่อก่อนหน้านี้หรือไม่ พูดถึงเพียงหวังหู่ผู้นี้ในเมื่อเป็นหนึ่งในองครักษ์ของกองกำลังองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์แล้วยังก่อคดีในขณะที่กำลังลาดตระเวนในเวลากลางคืน เหตุใดเขาจึงไม่เลือกกระบี่ที่พกติดตัวเป็นเครื่องมือ แต่กลับพกมีดอีกเล่มที่ขนาดกำลังพอดีเช่นนี้”

“อ้า…คือ…” ใบหน้าของเจ้าเมืองหลี่เต็มไปด้วยความลำบากใจและเริ่มเช็ดเหงื่ออย่างเงียบๆ

“ยังมีอีก คดีต่อเนื่องหลายคดีก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นถึงความเหมือนกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่ฐานะของเหยื่อไปจนถึงบาดแผล และลักษณะท่าทางในขณะที่ถูกค้นพบ นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าวิธีการของฆาตกรนั้นตายตัว ถ้าเช่นนั้นคนที่ก่อเหตุฆาตกรรมในเวลากลางวันอย่างตายตัว เหตุใดจู่ๆ จึงเปลี่ยนรูปแบบมาก่อคดีในเวลากลางคืน”

“หุบปาก!” เจ้าเมืองหลี่ถูกคำถามยาวเป็นชุดบีบบังคับจนไม่มีทางถอยหลัง เขาโยนสำนวนความบนโต๊ะใส่หน้าหลินหวั่นชิง แล้วพูดด้วยความเดือดดาลว่า “นักโทษก็ได้ยอมรับโทษแล้ว หากเขาไม่ได้ทำ เขาจะยอมใส่ร้ายตนเองอย่างนั้นหรือ!”

“แล้วถ้าเกิด…”

“เจ้าจงหุบปากเดี๋ยวนี้! แค่เจ้าหน้าที่จดบันทึกตัวเล็กๆ เช่นเจ้ายังคิดที่จะแย่งงานของผู้พิพากษาอีกหรืออย่างไร ผู้น้อยล่วงเกินเบื้องบน ช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก!”

การโต้แย้งของหลินหวั่นชิงถูกตัดบท เจ้าเมืองหลี่แสดงท่าทีเจ้ายศเจ้าอย่าง เขาจำต้องหุบปาก เพราะหากเถียงต่อไปก็รังแต่จะเป็นการรนหาที่ตาย ไม่มีประโยชน์อันใด เว้นเสียแต่ว่า…

เมื่อความคิดไม่ยอมแพ้เกิดขึ้น หลินหวั่นชิงจึงเอียงตัว หันไปมองซูโม่อี้ เขายังคงยืนเอามือไพล่หลังอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าเหมือนรูปปั้นแกะสลักนั้นมิอาจคาดเดาความรู้สึกได้ ชุดขุนนางสีม่วงพร้อมความสูงศักดิ์และหยิ่งทะนงตามธรรมชาติ ความรุนแรงในความคิดส่วนลึกที่แม้แต่เสียงหยาดฝนดังเปาะแปะก็ไม่สามารถดับลงได้ พูดถึงตรงนี้แล้วถึงแม้คนผู้นี้จะไม่ใช่เสนาบดีศาลต้าหลี่ผู้กำกับดูแลการพิพากษา ขอเพียงไม่ใช่คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่ไร้ความสามารถย่อมจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเช่นนี้ หลินหวั่นชิงเห็นซูโม่อี้เป็นเพียงความหวังเดียวของเขาในเวลานี้

เสียงหัวเราะเบาๆ กังวานและแจ่มใสดังขึ้น ชายตรงหน้าแสดงอารมณ์ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าเป็นครั้งแรกของวันนี้ สายตาของเขาหยุดอยู่ที่หลินหวั่นชิงเพียงไม่ถึงอึดใจก็หันไปทางเจ้าเมืองหลี่ที่เหงื่อออกเต็มศีรษะอยู่อีกด้านหนึ่งทันที

“แม้ใต้เท้าหลี่จะสามารถคลี่คลายคดีได้อย่างรวดเร็วราวกับปาฏิหาริย์ แต่ฝีมือของผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอ” พูดจบเขาก็ตบไหล่เจ้าเมืองหลี่ด้วยความห่วงใย เมื่อเขาหันหลังเดินจากไปก็ไม่ได้มองไปที่หลินหวั่นชิงอีก

“เป็นเพราะ…เป็นเพราะผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าน้อย ทำให้…ทำให้ใต้เท้าซูเห็นเรื่องชวนขบขันแล้ว” เจ้าเมืองหลี่ผู้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังรู้สึกโล่งอก เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดประกายแวววาวบนหน้าผาก ไม่รู้ว่าเป็นเหงื่อหรือน้ำมันกันแน่

เมื่อเห็นซูโม่อี้เดินจากไปไกลแล้ว เขาจึงตวัดสายตามองหลินหวั่นชิงแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากเป็นเจ้าหน้าที่จดบันทึกแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องทำอีก พรุ่งนี้เจ้าออกไปจากที่ว่าการเมืองหลวงเสีย ไปหางานใหม่ทำ!”

เจ้าเมืองหลี่สะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะวิ่งตามซูโม่อี้ไป

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: