X
    Categories: คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 4 กลัวถูกลงโทษ+การลงโทษโบยด้วยแส้

แสงจันทร์หนาวเหน็บ สายลมพัดเงาไม้ให้เคลื่อนที่อย่างแผ่วเบา

หลินหวั่นชิงไม่เคยรู้สึกว่าบริเวณรอบๆ เงียบสงบเช่นนี้มาก่อน ราวกับที่ว่าการเมืองหลวงทั้งหมดจมลงในทะเลสาบอันมืดมิดจนไม่เห็นก้นบึ้ง ข้างหูเป็นเสียงหายใจเร็วและเสียงฝีเท้าที่ว้าวุ่นของตนเอง รู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกลากลงมา…ยิ่งลากก็ยิ่งจมลงเรื่อยๆ

ด้านนอกห้องขังเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งที่ควรคุมอยู่ก็หายตัวไป ประตูห้องขังซึ่งควรจะปิดนั้นเปิดอ้าเล็กน้อยและถูกสายลมยามค่ำคืนพัดไหวจนทำให้เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดแปลกประหลาด

ฝีเท้าของหลินหวั่นชิงราวกับถูกอะไรบางอย่างจับไว้ในฉับพลันและตอกไว้กับพื้นเสียจนแน่น ในอากาศมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายลูกท้อเดือนหกและมีความอบอุ่น ยามสายลมพัดผ่านกลิ่นหอมก็กระจายหายไป ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สว่างสดใสกลับมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมา รวมถึงไอร้อนจากตัวคน

“หวัง…หวังหู่…” ขณะที่หัวใจของหลินหวั่นชิงเต้นแรง ความหนาวเย็นบนสันหลังเมื่อครู่ก็เกิดขึ้นไม่ขาดสาย ทั้งยังมีเสียงดังหึ่งๆ ในสมองที่ราวกับจะระเบิดออกมา เบื้องหน้าพร่ามัวในทันที แม้แต่น้ำเสียงที่ออกจากปากก็เปลี่ยนไป ฟังดูแหบพร่าอย่างชัดเจน

หลินหวั่นชิงลืมไปอย่างหมดสิ้นว่าตนเองเข้าไปในห้องขังที่เคยนองเลือดห้องนั้นได้อย่างไร ศพของเจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรเกลื่อนกลาดเต็มพื้นเหมือนโรงฆ่าสัตว์ พวกเขาทุกคนล้วนตายโดยไม่รู้ตัว ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ดวงตาที่ว่างเปล่าจ้องมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย สีหน้าบนใบหน้าหยุดอยู่ในช่วงเวลาแห่งความประหลาดใจ

หลินหวั่นชิงผลักประตูห้องขังที่เปิดแง้มไว้ เห็นหวังหู่นอนอยู่บนพื้น เขาจับคอที่เกือบขาดเป็นสองท่อนของตนเองไว้อย่างทำอะไรไม่ถูก ร่างกายกระตุกไปทั้งตัว ริมฝีปากสั่น แววตาที่มองหลินหวั่นชิงมีแวววิงวอนและร้อนรน แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

“หวัง…หวังหู่…หวังหู่!” หลินหวั่นชิงพูดอะไรนอกจากนี้ไม่ออก ทำได้เพียงเอ่ยชื่อนี้ซ้ำๆ คำพูดอื่นๆ เหมือนจะมีหนามแหลมติดอยู่ในลำคอและกลายเป็นน้ำเสียงที่แตกสลายในพริบตา

มือที่เปียกโชกด้วยเหงื่อกดบาดแผลที่คอของหวังหู่ เลือดที่เหนียวและอุ่นไหลไปตามร่องนิ้ว เปียกแขนเสื้อและเสื้อด้านหน้า…

“อย่า…อย่าตาย…ไม่…ไม่เป็นไร…” หลินหวั่นชิงปลอบใจวุ่นวาย ทว่าพูดจาไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น

กลิ่นหอมหวานเมื่อครู่กลับมาอีกแล้ว วนเวียนไปมาอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดิม หลินหวั่นชิงตกตะลึง สังเกตเห็นว่ามือคู่ที่กำลังกดอยู่นั้นหลุดออกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ตกลงบนกองหญ้าแห้ง มีเสียงดังครืดเบาๆ ไม่สิ เสียงนี้เหมือนดังมาจากด้านหลังชัดๆ

แกร๊ง…

เบื้องหน้าเป็นแสงสีขาว ที่ข้างหูเป็นเสียงดังกังวานของโลหะกระทบกัน หลินหวั่นชิงรู้สึกว่าด้านข้างของใบหน้าพลันเย็นวาบขึ้นมาทันที ราวกับจู่ๆ ก็มีน้ำแข็งนาบลงมาในฤดูหนาวอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็มีเสียงดังตึง แสงนั้นสะท้อนไปในรอยแตกของผนังที่อยู่เบื้องหน้าเขา กวัดแกว่งประกายสีขาวอยู่ภายใต้แสงไฟที่พลิ้วไหว หลินหวั่นชิงสัมผัสใบหน้าตนเองโดยไม่รู้ตัว จึงพบว่าจอนผมยุ่งเหยิงที่ปลายนิ้วเป็นสีแดงอมดำและกลิ่นคาวเลือดอุ่นๆ

มีเสียงฝีเท้าดังวุ่นวายขึ้นทางด้านหลังพอดี หลินหวั่นชิงหันไปพร้อมหัวใจที่เต้นแรง เห็นตั้งแต่ประตูทางเข้าห้องขังไปจนด้านในสุดมีแสงไฟสว่างขึ้นตามลำดับ ราวกับมังกรไฟคลายร่างต่อหน้าต่อตา ห้องที่เดิมทีมีแสงไฟสลัวๆ ก็สว่างเจิดจ้าขึ้นในทันใด ประตูห้องขังถูกใครคนหนึ่งผลักออกอย่างแรงจนชนกับราวไม้ดังโครมคราม บริเวณโดยรอบสงบลงทันใด เหลือเพียงเสียงคบไฟและตะเกียงน้ำมันเท่านั้น

ด้านหลังแสงไฟมีร่างร่างหนึ่งเดินมาแต่ไกล อีกฝ่ายดูไม่รีบร้อน เสื้อคลุมยาวสีฟ้าก็เรียบร้อยงดงาม เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าเขาและเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน หลินหวั่นชิงก็เห็นว่าคิ้วกระบี่ของอีกฝ่ายขมวดอย่างเห็นได้ชัด

ริมฝีปากบางของซูโม่อี้ขยับเล็กน้อย มองเขาด้วยสีหน้ายุ่งยากแล้วพูดว่า “เจ้าหน้าที่หลิน เหตุใดถึงเป็นเจ้าอีกแล้ว”

หง่าง…หง่าง…หง่าง…

เสียงฆ้องบอกยามลากหางเสียงยาว กระจายไปตามถนนที่เงียบสงบ ลอยตามลมเข้าไปในศาลของที่ว่าการเมืองหลวงที่สว่างเจิดจ้าอย่างช้าๆ

ภายใต้แสงเทียนที่พลิ้วไหว หลินหวั่นชิงคุกเข่าลงบนพื้นด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มือที่เต็มไปด้วยรอยเลือดทั้งคู่ลูบกันไปมา ปลายนิ้วถูกันซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับต้องการถูผิวหนังออกไปชั้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนาวหรือเพราะสะเทือนใจ ขากรรไกรล่างที่เปื้อนเลือดของเขายังคงสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา หลังจากรอยเลือดของหวังหู่แห้งก็กลายเป็นสีน้ำตาลแดง ยิ่งทำให้ใบหน้าที่เดิมทีก็ซีดอยู่แล้วไร้สีเลือดมากยิ่งขึ้นไปอีก

ตอนที่ซูโม่อี้ตามเจ้าเมืองหลี่เข้ามาก็เห็นสภาพเช่นนี้แล้ว ท่าทางของเขาไม่มีพิธีรีตองใด เพียงเลิกเสื้อคลุมขึ้นและนั่งลงที่ตำแหน่งข้างๆ เจ้าเมืองหลี่

หลินหวั่นชิงยังคงไม่มีการตอบสนอง ศีรษะของเขาถูกผ้าห่มบางคลุมไว้ เขาได้แต่นั่งเอนร่างไปมาแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเพื่อมองเจ้าเมืองหลี่ที่นั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์ ภายใต้แสงไฟใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาซ่อนอยู่ใต้เงาของผ้าห่มบาง มองเห็นสีหน้าไม่ชัดเจน

ส่วนเจ้าเมืองหลี่ที่ถูกลากขึ้นมาจากที่นอนกลางดึกตอนนี้สีหน้าดูอ่อนเพลียและโกรธขึ้ง สายตาที่มองไปทางหลินหวั่นชิงย่อมไม่ดีอยู่แล้ว เขาทำเสียงฮึ่มท่าทีเงียบขรึม วางสำนวนความในมือลงบนโต๊ะ แล้วชี้หน้าหลินหวั่นชิงพลางพูด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองก่อเรื่องอะไรไว้!”

ดูเหมือนว่าคนที่อยู่หน้าบัลลังก์จะไม่ได้ยินมาก่อน จึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ สบตากับอีกฝ่าย ดวงตาคู่นั้นที่ตอนเช้ายังดูฉลาดแจ่มใสเวลานี้กลับหม่นหมอง ทว่าก็แฝงความเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขามองเจ้าเมืองหลี่อยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่มือเท้าของเจ้าเมืองหลี่กลับอ่อนแรงลงโดยไม่มีเหตุผล ทั้งยังลอบกลืนน้ำลายลงคอ

เจ้าเมืองหลี่ดึงชุดขุนนางที่ค่อนข้างรัดรูปแล้วพูดว่า “เจ้า…เจ้าทำเกินหน้าที่ ทำการสอบปากคำนักโทษจนทำให้หวังหู่ถูกฆ่าตาย แล้วยังรวมถึงชีวิตของผู้คุมคุกอีกหลายชีวิตโดยไม่มีสาเหตุ เจ้า…”

“เจ้าต้องการจะพูดอะไรก็พูดออกมา!”

ผู้คนหน้าบัลลังก์ต่างก็อ้าปากในทันที น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างพากันตกตะลึง

หลินหวั่นชิงรู้สึกตัว ดวงตาที่เดิมทียังมีความงุนงงอยู่เล็กน้อยพลันสดใสขึ้นมาทันที สะท้อนแสงไฟที่ส่องสว่างแวววาวระยิบระยับเป็นพิเศษ

เจ้าเมืองหลี่ตกใจ เขาชะงักไปและลืมตอบไปชั่วขณะ มือที่สั่นเทาตลอดเวลาชี้ไปที่หลินหวั่นชิงแล้วพูดว่า “เจ้า…เจ้า…ทำเกินหน้าที่ก่อน แล้วจึงบกพร่องในหน้าที่…ไม่เพียงแทรกแซงคดี แต่ยังฆ่าผู้ต้องสงสัยอีกด้วย! เจ้าช่าง…”

“สิ่งสำคัญคือข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าหวังหู่ แต่เขาตายแล้ว ถูกใครฆ่า เหตุใดจึงต้องฆ่าเขา เจ้าไม่สนใจถามเรื่องราวเหล่านี้แต่กลับเก็บรายละเอียดปลีกย่อย คิดจะจับฆาตกรจากที่นี่หรืออย่างไร!”

“บังอาจยิ่งนัก!” เจ้าเมืองหลี่เบิกดวงตาหรี่เล็กเพราะเพิ่งตื่นนอน เอ่ยเสียงดังกังวาน ตัวพิงไปข้างหลังโดยไม่รู้สึกตัว “ฆาตกรติดตามเจ้าจนหาห้องขังนักโทษประหารพบชัดๆ! เจ้าใช้ความสะดวกในอำนาจหน้าที่ทำให้ผู้คุมคุกที่ทำหน้าที่ดูแลเกิดความประมาท จึงทำให้เกิดหายนะ แล้วยังกล้าบิดเบือนความจริงเหยียดหยามข้า…”

“เจ้าดูไม่ออกหรืออย่างไร” หลินหวั่นชิงดึงแขนเสื้อกว้างที่โชกไปด้วยเลือด เลิกผ้าห่มบางบนตัวออกและลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะพูดขึ้น “หวังหู่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย! คนที่ฆ่าเขามีการเตรียมตัวมาอย่างดี ฝีมือฉับไว ลงมือคล่องแคล่ว! นอกจากนักฆ่าและองครักษ์ที่ตายแทนเจ้านายที่เลี้ยงไว้ได้แล้วจะมีใครสามารถลอบเข้าไปในห้องขังภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งถ้วยชาได้ แล้วยังฆ่าผู้คุมคุกที่ถือดาบคมไว้ในมือหลายคนอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วย!”

ขณะที่หลินหวั่นชิงถาม เขาเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงเบื้องหน้าเจ้าเมืองหลี่ คราบเลือดทั่วตัวเขามีทั้งที่แห้งกรังและที่ยังไม่แห้ง เมื่อผสมกับกลิ่นน้ำมันตะเกียงก็เหม็นคาวจนทำให้คนรู้สึกวิงเวียน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลิ่นคาวที่แรงหรือเพราะถูกหลินหวั่นชิงทำให้ตกใจ เจ้าเมืองหลี่ตาลีตาเหลือกชั่วขณะ เอนตัวไปด้านหลังไม่หยุดจนเกือบจะตกเก้าอี้ จึงรีบจับมุมโต๊ะไว้แล้วสั่งเจ้าหน้าที่ให้ขวางหลินหวั่นชิงเอาไว้

จากนั้นเจ้าเมืองหลี่จึงรู้สึกโล่งใจ พยายามรวบรวมสมาธินั่งตัวตรง และยังใช้มือประคองหมวกแพรโปร่งบนศีรษะอย่างทุลักทุเล “สิ่งสำคัญก็คือหวังหู่ตายแล้ว เป็นเพราะเจ้า…”

“สิ่งสำคัญก็คือเจ้าทำผิดแล้ว!” หลินหวั่นชิงจ้องหน้าเจ้าเมืองหลี่โดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ขมับขาวนวลเห็นเส้นเลือดดำได้รางๆ

“หวังหู่ไม่ใช่ฆาตกรในคดีฆ่าข่มขืน แม้แต่จ้าวอี๋เหนียงเขาก็ไม่ได้เป็นคนฆ่า! แล้วเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบนอกจากใช้วิธีทรมานจนคนต้องยอมรับผิดและอยากได้ลาภยศสรรเสริญแล้วยังทำอะไรอีกบ้าง หากเจ้าสอบสวนเรื่องที่หวังหู่ถูกใส่ร้ายให้ชัดเจนตั้งแต่แรกเขาก็คงไม่ต้องถูกขังในห้องขัง และก็คงไม่ต้องตายเช่นนี้!”

“เจ้า…เจ้า…” เจ้าเมืองหลี่เถียงไม่ออก เมื่อถูกหลินหวั่นชิงแผดเสียงใส่เช่นนี้แม้แต่พลังก็ถูกกดจนอ่อนแรงลง จึงทำได้เพียงพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าดูหมิ่นศาล เหยียดหยามข้าราชสำนัก ตามกฎลงโทษโบยด้วยไม้สามสิบครั้ง ใครก็ได้มานี้! มา…”

เสียงออกคำสั่งดังขึ้น แต่ยังไม่ทันที่คำว่า ‘โบย’ ของเจ้าเมืองหลี่จะออกจากปากก็มีคำว่า ‘ช้าก่อน’ อย่างเย็นชาดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

พลันเจ้าเมืองหลี่ก็นึกถึงซูโม่อี้ที่นั่งเงียบดูละครอยู่ข้างๆ มาเป็นเวลานานผู้นี้ขึ้นมาได้ ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายโบกแขนเสื้อกว้างสีฟ้า นิ้วมือยาวที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนโบกไปมา เจ้าหน้าที่ที่เมื่อครู่ยังฟังคำสั่งกำลังเตรียมจะลงมือก็ต้องก้มหน้าถอยกลับไปเหมือนผักกาดขาวเหี่ยวๆ ในทันที

“ใต้เท้าซู…” เจ้าเมืองหลี่ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกซูโม่อี้ยกมือห้ามไว้ ในศาลจึงเงียบไปครู่หนึ่ง

ภายใต้แสงไฟอันเจิดจ้าซูโม่อี้ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เจ้าหน้าที่จดบันทึกที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด

มวยผมของหลินหวั่นชิงหลุดไปข้างหนึ่ง เส้นผมสีดำสลวยที่ยุ่งเหยิงตกลงบนไหล่ แก้มข้างหนึ่งมีรอยมีดคมๆ อย่างชัดเจน หยดเลือดแข็งตัวแล้ว ติดค้างอยู่ตรงหน้าราวกับปะการังสีแดงกระนั้น ชุดขุนนางสีเทาอ่อนมีทั้งโคลนและเลือด…ดูเหนื่อยล้ายิ่งนัก

แต่ว่า…จู่ๆ พื้นที่ส่วนหนึ่งในหัวใจก็เต้นขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ซูโม่อี้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเพราะอะไร เพื่อคนมุทะลุที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นเขา? เพื่อความเฉียบแหลมที่มองความจริงได้อย่างทะลุปรุโปร่งของเขา? หรือเพียงเพราะเพื่อความถือทิฐิที่ชนเข้ากับกำแพงบังตาก็ไม่ยอมหันหลังกลับของเขา?

จู่ๆ ซูโม่อี้ก็ยิ้มโดยที่มุมปากโค้งขึ้นเพียงเล็กน้อย เวลานี้เขารู้สึกว่าเจ้าหน้าที่จดบันทึกผู้นี้น่าสนใจ…น่าสนใจมาก

“ใต้เท้าซู?” คราวนี้เจ้าเมืองหลี่เปลี่ยนน้ำเสียงในการถาม อาจเป็นเพราะเขาสังเกตเห็นความผิดปกติของซูโม่อี้แล้ว จึงไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม

ซูโม่อี้ไม่ได้สนใจเจ้าเมืองหลี่ ยังคงมองหลินหวั่นชิงแล้วเอ่ยถามเรียบๆ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหวังหู่ไม่ได้ฆ่าจ้าวอี๋เหนียง?”

ผู้ที่อยู่หน้าบัลลังก์ต่างตกตะลึงราวกับคาดไม่ถึงว่าซูโม่อี้จะถามคำถามนี้ แต่เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ได้ฆ่า”

เจ้าเมืองหลี่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ย สีหน้ามีแววดูถูกดูแคลน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้ฆ่า”

“เพราะเขาไม่มีเหตุผลที่จะฆ่านาง”

เจ้าเมืองหลี่ต้องการจะพูดต่อ แต่ในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูดก็เห็นสายตาของซูโม่อี้ที่มองมาทางตนอย่างห้ามปราม

จากนั้นซูโม่อี้เอ่ยถามต่อว่า “แล้วเขาแอบเข้าไปในห้องของสตรีตอนกลางดึกด้วยเหตุใด”

หลินหวั่นชิงเงียบขรึม ใช้ฟันกัดเนื้อนุ่มในริมฝีปากเบาๆ พูดอย่างอ่อนแรงว่า “ถ้าข้าบอกว่า…หวังหู่บอกข้าว่าจ้าวอี๋เหนียงซึ่งเป็นสหายเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ของเขาได้ส่งจดหมายให้เขาเพราะต้องการให้หวังหู่พานางหนีตามกันไป ใต้เท้าจะเชื่อหรือไม่”

ความสงสัยที่ติดค้างอยู่ภายในใจเริ่มคลี่คลายแล้ว ซูโม่อี้ไม่ได้พูดอะไร ภายใต้เปลวไฟที่พลิ้วไหวเงาของเขาทาบลงบนพื้นใต้เท้า นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือข้างขวาคลึงกันไปมา เกิดเสียงสากๆ เบาๆ สายตาเหม่อมองไปไกลไม่รู้ไปตกลงที่ใด

“ใต้เท้าซู?” เจ้าเมืองหลี่คาดการณ์ในใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า “ใต้เท้าซูมีอะไรจะชี้แนะหรือไม่”

ซูโม่อี้หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที เขาแย้มยิ้มแบบขอไปทีพลางเอ่ย “ไม่มีแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้น…เจ้าหน้าที่จดบันทึกผู้นี้…” เป็นขุนนางมาหลายปีเจ้าเมืองหลี่ย่อมต้องรู้จักดูท่าทีของผู้อื่น ในเมื่อซูโม่อี้ได้ออกหน้ายับยั้ง เช่นนั้นขั้นต่อไปจะทำอย่างไรย่อมต้องถามความเห็นเขาก่อนแล้ว

ดูเหมือนว่าซูโม่อี้จะเพิ่งได้สติ จึงมองตามสายตาของเจ้าเมืองหลี่ไปที่หลินหวั่นชิงซึ่งอยู่หน้าบัลลังก์ โดยแทบจะไม่มีความลังเลใดๆ เขาปล่อยมือที่ถูกันไปมาแล้ววางลงบนหัวเข่าช้าๆ “เขาเป็นคนของที่ว่าการเมืองหลวง จะลงโทษอย่างไร คงเวียนไม่ถึงศาลต้าหลี่ของข้าในการทำหน้าที่ตัดสินใจ ท่านเจ้าเมืองหลี่ตัดสินใจเองแล้วกัน”

ใบหน้าที่ยิ้มประจบประแจงของเจ้าเมืองหลี่เย็นชาขึ้นทันที ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้สติ ใต้เท้าซูที่อยู่ข้างๆ เป็นคนเงียบสงบและเย็นชาจนเป็นที่รู้กันดี อย่าว่าแต่เจ้าหน้าที่จดบันทึกที่ไม่มีชื่อเสียงผู้นี้เลย แม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์แท้ๆ ของเมืองเซิ่งจิง แต่หากทำผิดกฎหมายอีกฝ่ายก็ให้ความเสมอภาคโดยทั่วกัน ไม่มีวันปกป้องคนผิดอย่างเด็ดขาด ที่เมื่อครู่ถามเช่นนั้นก็เพื่อเป็นการดูท่าทีของเขา ซึ่งนั่นเป็นการขัดต่อกฎหมายเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว

ทำเช่นนั้นเสียเวลาโดยใช่เหตุ เจ้าเมืองหลี่รู้สึกขุ่นเคืองจริงๆ แต่บนใบหน้าที่มันเยิ้มกลับรีบยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาทันที หลังจากเยินยอซูโม่อี้แล้วจึงออกคำสั่งกับคนหน้าบัลลังก์ว่า “มัวแต่ตกตะลึงอะไรกันอยู่ ลากออกไปเดี๋ยวนี้ โบยเสีย!”

หลินหวั่นชิงได้ยินดังนั้นก็ตะลึงงัน ดวงตาที่จ้องไปที่เจ้าเมืองหลี่สั่นไหว และในดวงตาก็แสดงออกให้เห็นถึงความกังวลโดยไม่ตั้งใจ

เพียงอึดใจเดียวสีหน้าเช่นนี้กลับถูกซูโม่อี้จับได้อย่างรวดเร็ว

เขา…ดูเหมือนกำลังหวาดกลัว? หึๆ เจ้าหน้าที่หลินที่สามารถโกรธแค้นฟ้าดินได้ในชั่วอึดใจก็มีช่วงเวลาที่หวาดกลัวด้วยหรือ

ซูโม่อี้พยายามกดมุมปากที่ยกขึ้น ความประหลาดใจภายในใจถูกความเบิกบานใจเล็กน้อยเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว รู้จักหวาดกลัวก็ดี รู้จักหวาดกลัวก็สามารถถูกควบคุมได้ เมื่อสามารถควบคุมได้ก็จะถูกข้าใช้งานได้

ในขณะที่ความคิดกำลังฟุ้งซ่านเจ้าหน้าที่ข้างๆ สองคนก็เข้าไปหิ้วตัวหลินหวั่นชิง ท่าทางกำลังจะลากออกไป

ทว่าน้ำเสียงเย็นชาของซูโม่อี้ก็ดังขัดจังหวะการกระทำของคนทั้งสอง “ข้าลองคิดดูแล้วการลงโทษโบยด้วยไม้สามสิบครั้ง มันหนักเกินไปหรือไม่”

“หา?” เจ้าเมืองหลี่ตกตะลึง มองซูโม่อี้ด้วยความไม่เข้าใจ

บางทีอาจเป็นการปกปิดพฤติกรรมของตนเองที่ดูเหมือนการปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว ใต้เท้าซูผู้ซึ่งปฏิบัติตามกฎหมายมาโดยตลอดใช้หมัดป้องริมฝีปากอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ไอเบา ๆ แล้วพูดว่า “เจ้าหน้าที่หลินดูหมิ่นศาลเป็นเรื่องจริง แต่การไปสำรวจหวังหู่กลางดึกก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของงาน ยิ่งไปกว่านั้นคดีของหวังหู่ก็แปลกประหลาดจริงๆ” สุดท้ายเขาก็เหลือบตามองเจ้าเมืองหลี่แล้วพูดเสริมอีกว่า “และเขาก็มีความตั้งใจมากกว่าใต้เท้าหลี่ และฉลาดหลักแหลมกว่าใต้เท้าหลี่”

การเปิดโปงความคิดดีกว่าฆ่าคน ถึงจะเป็นการกลับดำเป็นขาว แต่ซูโม่อี้ก็เป็นคนมีเหตุมีผลมาโดยตลอด คำพูดเพียงประโยคเดียวนี้ก็ทำให้คำพูดของเจ้าเมืองหลี่จุกอยู่ที่คอ ขาทั้งสองสั่นเทา

“ขอรับๆๆ…” เจ้าเมืองหลี่ปาดเหงื่อพร้อมกับพูดคล้อยตามว่า “ใต้เท้าซูพูดถูก พูดถูกขอรับ ถ้าเช่นนั้น…”

“โบยด้วยไม้เพียงสิบครั้งเพื่อเป็นการลงโทษตักเตือนก็แล้วกัน” เมื่อใต้เท้าซูออกคำสั่งแล้วทุกคนในที่นั้นย่อมไม่กล้าคัดค้าน ต่างพากันพยักหน้าอย่างว่าง่าย แม้แต่แรงดึงคนก็ยังเบาลงมาก

ทว่าหลินหวั่นชิงยังคงมีสีหน้าเป็นกังวลและลังเลใจอยู่เป็นเวลานาน จึงมองซูโม่อี้และพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ไม่…ไม่ตีด้วยไม้ได้หรือไม่”

“อะไรนะ” ซูโม่อี้เกือบถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แววตาที่มองหลินหวั่นชิงมีความดูแคลนเล็กน้อย ยากที่จะเจอคนที่มีสติปัญญาโดดเด่นเช่นนี้ แม้จะขัดเกลายาก แต่จะหาคนเช่นหลินหวั่นชิงนั้นยากยิ่งกว่า เขาไม่ถือสาที่จะลดเกียรติขอความเมตตาแทนหลินหวั่นชิงก่อนเพื่อทำให้อีกฝ่ายไว้ใจ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้กลับได้คืบจะเอาศอก ดูท่าทางจะเป็นเพียงคนขี้ขลาดตาขาวเท่านั้น

คนหน้าบัลลังก์ดูเหมือนจะคาดเดาความคิดที่บิดเบี้ยวของเขาได้ ท่าทีดูเหมือนว่ากำลังทำความเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงรีบโบกมือแล้วพูดว่า “ใต้เท้าอย่าเข้าใจข้าผิด ข้าน้อยไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว เพียงแต่ในวัยเด็กฐานะยากจน ขาทั้งสองข้างเกิดโรคที่บอกผู้ใดไม่ได้จากอากาศที่หนาวเหน็บ เกรงว่าจะรับโทษโบยด้วยไม้ไม่ไหว จึงได้ขอร้องเช่นนี้”

“อ้อ?” ซูโม่อี้ดูแคลน เพราะข้ออ้างเหล่านี้ขณะที่สอบปากคำนักโทษเขาได้ฟังจนเบื่อแล้ว นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกว้างสีฟ้าเริ่มคลึงกันไปมา

“แต่ตาม ‘กฎหมายราชวงศ์ใต้’ ในกฎหมายอาญานอกจากการลงโทษโบยด้วยไม้แล้วก็เหลือเพียงการลงโทษโบยด้วยแส้” หลังจากพูดจบซูโม่อี้ก็จงใจหยุดชั่วขณะ และเงยหน้าขึ้นเพื่อสังเกตสีหน้าของหลินหวั่นชิง

การลงโทษโบยด้วยแส้ของราชวงศ์ใต้ ตามปกติจะใช้ในการลงโทษทาสที่กระทำผิดร้ายแรง เป็นการลงโทษตามชื่อ โดยจะนำคนมาแขวนไว้ ก่อนจะใช้หนังวัวผูกเป็นแส้แล้วโบยที่หลัง แต่แส้นั้นไม่ใช่แส้ธรรมดาเพราะบนนั้นมีหนามกระจายไปทั่ว ทุกครั้งที่โบยลงไป ผิวหนังก็จะปริแตก บาดเจ็บอย่างสาหัส ในฐานะเจ้าหน้าที่จดบันทึกของที่ว่าการเมืองหลวง เป็นไปไม่ได้ที่หลินหวั่นชิงจะไม่รู้ว่าซูโม่อี้กำลังแสดงความน่าเกรงขามให้ตนเองเห็น

ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือหลินหวั่นชิงเพียงยิ้มอย่างสงบ ราวกับว่ากำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ในใจอย่างเงียบๆ จากนั้นแสดงการคารวะเขาแล้วพูดว่า “ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา” พูดจบก็เดินตามเจ้าหน้าที่สองคนออกไปทันที

นี่เป็นการโยนความตกใจให้กับซูโม่อี้อีกครั้ง เขากลัวถูกโบยด้วยไม้ แต่กลับรู้สึกสบายๆ กับการลงโทษโบยด้วยแส้ที่คนได้ยินแล้วต่างรู้สึกหวาดกลัว หลินหวั่นชิงผู้นี้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ

 

ยามเที่ยงคืน อากาศในคืนฤดูใบไม้ผลิมีไอหมอกบางๆ ซึ่งทำให้หน้าตาคนเปียกชื้น

เมื่อซูโม่อี้ออกมาจากที่ว่าการเมืองหลวงก็ผ่านยามโฉ่ว ไปแล้ว เยี่ยชิงเดินตามเขาออกจากประตูหน้าที่เงียบสงัดของที่ว่าการเมืองหลวง และนำเสื้อคลุมตัวหลวมคลุมไหล่ให้เขา

ซูโม่อี้รัดเข็มขัดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จู่ๆ ก็สั่งเยี่ยชิงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “เจ้าไปที่จวนใต้เท้าไป๋หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงเดี๋ยวนี้เลย”

“อะ…อะไรนะขอรับ” เยี่ยชิงแทบจะคิดว่าตนเองฟังผิด จึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างทำอะไรไม่ถูก ยามโฉ่ว สามเค่อ เป็นช่วงเวลาที่ทุกครอบครัวกำลังหลับลึก ไปจวนผู้อื่นในเวลานี้…เพื่ออะไรกัน

ซูโม่อี้กลับไม่ได้สังเกตถึงความสงสัยของเยี่ยชิง เขาก้มตัวมุดเข้าไปในรถม้า แล้วเอนกายอย่างเกียจคร้านบนรถ ก่อนที่คนบังคับรถม้าจะบังคับรถม้าออกไป

เยี่ยชิงงงงันเสียจนพูดไม่ออก “…”

เจ้านายท่านนี้พูดให้จบก่อนค่อยไปได้หรือไม่…

 

หลินหวั่นชิงไม่ได้ฝันมานานแล้ว

ในความฝัน ‘นาง’ ได้ย้อนกลับไปตอนอายุสี่ขวบ และเมืองเซิ่งจิงมีหิมะตกหนัก นางเห็นตนเองยืนอยู่บนถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน พยายามปีนแผ่นหินที่อยู่ข้างๆ ตัว มองไปทางท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยความตกตะลึง

หิมะในความทรงจำครั้งนั้นตกหนักเสียจนน่าตกใจ เด็กๆ อย่างหลินหวั่นชิงเห็นเพียงความขาวโพลนที่อยู่ตรงหน้า อากาศที่สูดเข้าไปทุกลมหายใจเย็นเฉียบเสียจนราวกับมีน้ำแข็งกำลังทิ่มแทงหัวใจ ทั้งยังเหมือนใช้มีดคมๆ กรีดตั้งแต่ลำคอลงมา สุดท้ายก็ตกลงไปในกระเพาะกลายเป็นก้อนที่หนักหน่วง

นั่นเป็นแท่นไม้สูงครึ่งตัวคน บนนั้นไม่ได้มีเพียงท่านพ่อกับท่านแม่ของนางเท่านั้น แต่ยังมีคนในสกุลเซียวอีกยี่สิบเอ็ดคนด้วย

ใช่แล้ว นางไม่ได้แซ่หลิน แต่นางแซ่เซียว

และนางไม่ใช่บุรุษ แต่เป็นสตรี

นี่เป็นความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ของหลินหวั่นชิงเกี่ยวกับวัยเด็ก เกี่ยวกับท่านพ่อและท่านแม่ของนาง นางจำได้ว่าวันนั้นตอนที่ทหารสวมชุดเกราะบุกเข้าไปในจวนสกุลเซียว ท่านแม่ได้พานางไปซ่อนที่ใต้เตาเก่าที่ถูกทิ้งร้างไว้ในห้องครัว และบอกนางว่าทุกสิ่งที่นางจะเห็นต่อไปนี้เป็นเพียงการละเล่นเท่านั้น หากไม่มีผู้ใดพบตัว นางก็จะเป็นผู้ชนะ ต่อมานางสามารถออกไปทางประตูหลังได้ แล้วลุงหลินซึ่งเป็นสหายสนิทของท่านพ่อก็จะให้รางวัลแก่นาง พานางไปยังสถานที่ที่นางไม่เคยไปมาก่อน กินของที่ไม่เคยกินมาก่อน เมื่อเด็กนึกอยากเล่นสนุกก็จะหลอกง่ายมาก ถึงจะเป็นคำอธิบายที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ก็ตาม ทว่าเด็กน้อยผู้นี้ย่อมไม่คิดประหลาดใจแต่อย่างใด

หลินหวั่นชิงพบความผิดปกติระหว่างทางที่เดินทางออกจากเมืองเซิ่งจิง ท่านพ่อและท่านแม่ซึ่งเป็นคนรักษาสัญญาเสมอมากลับไม่ได้ไปสถานที่ที่พวกเขาบอกว่าเป็นที่ที่สนุกสนานด้วยกัน

บางทีอาจเป็นเพราะการรับรู้โดยสัญชาตญาณ บางทีอาจเป็นเพราะความเข้มแข็งไม่กลัวอะไรมาแต่กำเนิดของเด็ก นางหาข้ออ้างแอบหนีกลับไปที่เมืองเซิ่งจิง จึงได้รู้ว่าท่านพ่อของนางถูกสามตุลาการ ร่วมกันพิจารณาคดีและถูกตัดสินให้ประหารชีวิตทั้งครอบครัว นางไม่รู้เลยว่าหมายความว่าอย่างไร แต่จากน้ำเสียงของชาวบ้านก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี จากนั้นนางก็เดินตามฝูงชนไปยังสี่แยกของตลาดตะวันตกด้วยความงุนงง

มองเพียงแวบเดียวนางก็ตกใจจนแทบจะเผลอร้องไห้ออกมา บนแท่นไม้สูงสมาชิกทั้งยี่สิบเอ็ดคนของสกุลเซียวคุกเข่าเป็นแถวยาว ที่ด้านหลังของพวกเขาล้วนเป็นเพชฌฆาตที่ถือดาบอยู่ในมือ ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักจนมองไม่เห็นสิ่งรอบตัวนางเห็นคมดาบที่เย็นเฉียบ เจิดจ้าจนทำให้ดวงตาของนางแสบร้อน

ชายที่สวมชุดพื้นเมืองผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังแสงดาบ หยิบม้วนผ้าสีเหลืองสดออกมาและอ่านอะไรบางอย่างเสียงดัง น่าเสียดายที่นางฟังไม่เข้าใจ นั่นเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกเสียใจ หากรู้แต่แรกก็ควรจะเชื่อฟังท่านแม่ ตั้งใจเรียนกับท่านอาจารย์

ฝูงชนต่างส่งเสียงเอะอะโวยวาย พวกเขาพากันเบียดเสียดไปข้างหน้าจนแทบจะผลักแผ่นหินที่นางปีนอยู่ล้มลงมา หลินหวั่นชิงได้แต่จิกหินที่เย็นยะเยือกก้อนนั้นไว้แน่น เล็บของนางหักโดยไม่รู้ตัวและแทงเข้าไปในเนื้อปลายนิ้วที่อ่อนนุ่มจนมีเลือดไหลออกมา

บนแท่นไม้สูงนั้นชายในชุดพื้นเมืองส่งสัญญาณมือ เพชฌฆาตก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก่อนกดทุกคนลงบนแผ่นหิน เผยให้เห็นลำคอ ดาบถูกชูขึ้นสูง บนคมมีดมีแสงที่น่าหวาดกลัว ในที่สุดนางก็รู้อะไรบางอย่าง แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้เลย น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างที่หนาวจนชา แม้แต่สายตาที่รางเลือนก็ถูกบดบังไปด้วย

‘ท่านพ่อ…ท่านแม่…’ นางสะอึกสะอื้น น้ำเสียงแห้งผากและแหบพร่า

มือข้างหนึ่งยื่นออกมาท่ามกลางฝูงชนอย่างรวดเร็วก่อนจับตัวนางไว้แน่น นางถูกดึงออกจากแผ่นหินด้วยแรงมหาศาล พลันอ้อมกอดที่ชื้นด้วยหิมะก็แนบเข้ามากอดนางไว้แน่น

‘อย่ามอง!’ นางจำได้ว่าลุงหลินพูดกับนางเช่นนี้

หลินหวั่นชิงพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้ หิมะโปรยปรายมาติดขนตาของนางแล้วก็กลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็วจนเปียกชุ่มไปทั่ว

‘หลับตา!’ ราวกับถูกสูบพลังเฮือกสุดท้าย หลินหวั่นชิงทำตาม มองไปทางด้านหลังของลุงหลิน มือใหญ่คู่หนึ่งปิดหูนางไว้ ดูเหมือนนางจะได้ยินเสียงทุ้มดังมาแต่ไกล เลือนราง แล้วทุกอย่างก็เงียบสนิท…

‘ต่อจากนี้ไปเจ้าคือบุตรสาวของข้าหลินเซี่ยงอี่ นามหลินหวั่นชิง’

หลินหวั่นชิง

หลินหวั่นชิง…

เสียงเรียกหลินหวั่นชิงดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วค่อยๆ หายไป จากนั้นก็ค่อยๆ ดังซ้อนกันจนกลายเป็นเสียงเรียกหลินหวั่นชิงอันอบอุ่นดังขึ้นที่ข้างหู…

หลินหวั่นชิงลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ สิ่งที่เห็นคือใบหน้ากึ่งโกรธกึ่งกังวลของเหลียงเว่ยผิง แสงเทียนสลัวๆ สะท้อนมาจากด้านหลังของเขา ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีก็ไม่โดดเด่นของเขาดูเลือนรางขึ้นอีกครั้ง

เวลานี้หลินหวั่นชิงจึงนึกขึ้นมาได้ เมื่อวานหลังจากถูกลงทัณฑ์แล้วนางก็ถูกประคองเข้าไปในห้องเล็กๆ ที่ทิ้งไว้ให้พวกเขาอาศัยอยู่ชั่วคราวในที่ว่าการเมืองหลวง เนื่องจากความเหนื่อยล้าจากการวิ่งวุ่นในตอนกลางวัน ประกอบกับบาดแผลใหม่หลายจุด ทันทีที่นางสัมผัสกับเตียงก็หมดสติไปทันที

เหลียงเว่ยผิงคงจะได้ยินอะไรมา จึงมาหานางด้วยตนเอง

พอนางขยับมือจึงพบว่าตนเองยังคงนอนอยู่บนเตียง เสื้อคลุมสีเทาที่สวมเมื่อวานนี้เต็มไปด้วยรอยเลือดที่แห้งแล้วและติดอยู่ที่หลัง ทันทีที่ขยับก็รู้สึกเจ็บ ผ้าห่มคลุมอยู่บนตัวนาง ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ที่ใดมีบาดแผล ที่นั่นก็มีความเหน็บหนาว

บาดแผลเหล่านี้เมื่อวานนางไม่ทันได้จัดการก็นอนแบบถูไถไปได้หนึ่งคืน ตอนนี้นางรู้สึกเวียนศีรษะ หนาวสั่น และแขนขาอ่อนแรง คิดว่าน่าจะเป็นไข้แล้ว

นางมองไปทางเหลียงเว่ยผิง มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ ลำคอเปล่งเสียงแหบพร่าออกมาประโยคหนึ่ง “พี่เหลียง”

เหลียงเว่ยผิงตกตะลึง ก่อนรีบหยิบน้ำมาแก้วหนึ่ง

สิบสองปีแล้ว ความมุ่งมั่นพานางมาที่นี่และกลับจบลงที่นี่เช่นกัน หลินหวั่นชิงคิดว่าตนเองไม่ใช่หญิงสาวที่ไม่มีคนคอยช่วยเหลือ แต่ตอนนี้จึงได้พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปสู่จุดเดิมอีกแล้ว แม้แต่บาดแผลนี้ก็ยังหาผู้ที่ช่วยตนเองจัดการไม่ได้เลยสักคน นางมองเหลียงเว่ยผิงที่ยิ้มอย่างขมขื่น แล้วยื่นมือออกไปผลักน้ำที่เขาส่งให้เบาๆ

หลินหวั่นชิงเรียกเขาอีกคราพลางบอกด้วยเสียงที่ยังคงแหบพร่า “พี่เหลียง หากข้าบอกความลับอย่างหนึ่งแก่เจ้า เจ้าจะช่วยข้าเก็บเป็นความลับได้หรือไม่”

น้ำในมือของเหลียงเว่ยผิงสั่นไหว หลังจากพยายามสงบใจอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถามอย่างหยั่งเชิง “อะ…อะไร…”

หลินหวั่นชิงรู้ว่าเขาเป็นคนขี้ขลาด และไม่มีเจตนาจะดึงเขาเข้าสู่สถานการณ์อันตรายใดๆ แต่ตอนนี้นอกจากเหลียงเว่ยผิงแล้วนางก็ไม่อาจหาคนอื่นที่สามารถไว้ใจได้อีกแล้ว นางยันตัวครึ่งหนึ่งขึ้นจากเตียง ผมยาวที่ดำขลับราวกับน้ำตกเป็นเงางามตกลงมาจากหัวไหล่ ขับให้ใบหน้าที่เดิมทีก็งดงามอยู่แล้วอ่อนหวานยิ่งขึ้น

ในชั่วเวลาฉับพลันนั้นเองเหลียงเว่ยผิงรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย จู่ๆ ความคิดเหลวไหลก็ผุดขึ้นมาและวนเวียนอยู่ในใจเขาหลายรอบ ราวกับผีเสื้อที่โผบินจนไม่สามารถหยุดยั้งได้

หลินหวั่นชิงดึงลูกกระเดือกปลอมที่ติดเอาไว้บริเวณคอออก รวบผมที่อำพรางสายตาไปด้านหลัง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเหลียงเว่ยผิงพูดว่า “พี่เหลียงเคยสงสัยในสถานะของข้า?”

เหลียงเว่ยผิงประคองแก้วน้ำในมือไว้ไม่ได้อีกต่อไป มืออ่อนแรงจนน้ำหกเต็มพื้น ไหลเปียกไปทั่วบริเวณ

“เจ้า…เจ้าเป็น…เจ้าเป็นสะ…”

หลินหวั่นชิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ข้าเป็นสตรี”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: