X
    Categories: With Loveคล้องหัวใจไว้ด้วย (ปั๊ก) รักทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คล้องหัวใจไว้ด้วย (ปั๊ก) รัก บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 18

บทที่ 1 ผู้ชายสุดยี้

บนโลกใบนี้…ชีวิตแบบไหนถึงจะนับได้ว่าคูลสุดๆ? การที่สามารถจองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวยุโรปในฤดูหนาวอากาศเย็นจัดเพื่ออาบแดดและชมทิวทัศน์อันงดงามเหมือนภาพวาด หรือไปเล่นกระดานโต้คลื่น หรือพอนึกไม่ชอบใจในเวลาที่ต้องทำโอทีแบบโต้รุ่งอยู่ในห้องทำงานก็ส่งข้อความไปบอกเจ้านายว่าจะขอลาออกไปเที่ยวรอบโลกได้ หรืออีกทีคือพอเหนื่อยหน่ายต่อความวุ่นวายสับสนในเมืองก็ทิ้งอุปกรณ์สื่อสารทุกอย่างเพื่อเร้นตัวไปอยู่ในป่าลึกของรัสเซีย…สำหรับสวีเจ้าอิ่งแล้วเรื่องพวกนี้เป็นชีวิตที่คูลมาก

แต่น่าเสียดายที่ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่ชีวิตของเธอ เพราะคนที่ได้ไปเล่นกระดานโต้คลื่นคือเพื่อนสมัยเรียนอยู่ยุโรปของเธอ คนที่ปลีกวิเวกไปอยู่ในป่าลึกก็คืออาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยของเธอ ในขณะที่ตัวเธอเป็นเจ้านายที่ถูกลูกน้องเอาแต่ใจเสิร์ฟผัดปลาหมึก* มาให้คนนั้น

ในเวลานี้หญิงสาวกำลังสะสางงานจากพนักงานคนที่ลาออกแบบปุบปับทิ้งไว้ ในขณะที่เพื่อนสมัยเรียนและอาจารย์กำลังใช้ชีวิตแบบคูลๆ อย่างเริงร่าอยู่บนชายหาดแถบยุโรปท่ามกลางแสงแดดสดใส เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้สวีเจ้าอิ่งเพิ่งเสร็จจากการมีตติ้งกับเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอกันมาห้าปี พอได้เห็นภาพสวยๆ ที่เพื่อนเก่าส่งมาให้ทางอินเตอร์เน็ต ทั้งก้อนเมฆสีขาว ทะเลสีคราม กับความเขียวขจีที่อยู่ตรงหน้าล้วนทำให้เธอรู้สึกเหมือนสามารถสัมผัสธรรมชาติภายในรูปถ่ายนั้นได้

เมื่อห้าหรือหกปีก่อนเธอยังเป็นเด็กสาวร่าเริงสดใส และเป็นคนที่เคยเล่นกระดานโต้คลื่นด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับต้องมาขาติดแหง็กอยู่ในโรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้จนไปไหนไม่ได้

สวีเจ้าอิ่งพิมพ์คอมเมนต์เป็นคำชมไว้ที่ใต้ภาพถ่ายนั้นตามความเคยชิน พอคุยเสร็จเธอก็ปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะดูนาฬิกาจึงพบว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว หิมะนอกหน้าต่างกำลังโปรยปราย รถที่จอดอยู่ในลานจอดปกคลุมไปด้วยหิมะ แสดงว่าหิมะตกมาได้พักหนึ่งแล้ว เธอลูบผมยุ่งๆ ของตัวเองเบาๆ เป็นเพราะยายเด็กคนนั้นเกิดลาออกไปแบบกะทันหันแท้ๆ กว่าผู้ช่วยที่จ้างมาใหม่จะมาทำงานได้ก็ตั้งวันจันทร์ คืนนี้เธอเลยอ่านบทความวิชาการสองบทนั้นไม่จบสักที

ไม่เอาแล้วๆ ขืนอยู่แบบนี้อีกสักชั่วโมงฉันต้องเป็นบ้าแน่ ต่อให้เป็นชีวิตที่คูลแค่ไหนก็สู้การได้หลับยาวๆ สักตื่นไม่ได้หรอก

เสียงฝีเท้าของสวีเจ้าอิ่งดังก้องอยู่ตรงระเบียงทางเดินของโรงพยาบาล ภายใต้แสงไฟนวลๆ เธอได้ยินเสียงลมหวีดหวิวลอดเข้ามาทางขอบหน้าต่าง ทำให้เผลอกระชับเสื้อโค้ตขนแกะบนตัวให้แน่นขึ้น

“ผอ. จะกลับแล้วหรือคะ เดี๋ยวดิฉันช่วยเรียกรถให้นะคะ” ในเวลาแบบนี้ที่เคาน์เตอร์มีเพียงพยาบาลอยู่เวรหนึ่งคนกับยามที่กำลังสัปหงกอยู่ตรงประตู

“ไม่ต้องหรอก ที่พักอยู่ไม่ไกล ยิ่งหิมะตกอากาศก็ยิ่งดี ฉันเลยว่าจะเดินกลับน่ะ ตอนกลางคืนพวกคุณก็ตรวจเช็กประตู หน้าต่าง น้ำไฟอีกครั้งก่อนไปพักด้วยนะ” ถึงจะกำชับพยาบาลเวรไว้แล้ว แต่สวีเจ้าอิ่งก็ยังคงไปตรวจสอบเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองอีกครั้งถึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมา เมื่อกี้ตอนพยาบาลเดินไปส่งเธอที่ประตู หญิงสาวได้ยินเสียงร้องดังงี้ดๆ เบาๆ จึงอดวกกลับไปดูไม่ได้

เสียงร้องงี้ดๆ ของหมาตัวน้อยดังออกมาจากกรงในโซนแอดมิต

“ฉันดูตารางแล้ว วันนี้ไม่น่าจะมีเพื่อนตัวน้อยแอดมิตไม่ใช่เหรอ”

โรงพยาบาลสัตว์ที่สวีเจ้าอิ่งเปิดเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ และมีความเป็นมืออาชีพอย่างที่สุด แน่นอนว่าราคาย่อมแพงชนเพดานด้วย เธอคุ้นชินกับการเรียกเจ้าขนปุยพวกนี้ว่าเพื่อนตัวน้อย เพราะคนที่สามารถส่งสัตว์เลี้ยงมาพักรักษาที่นี่ได้ย่อมต้องรักเจ้าขนปุยพวกนี้เสมือนแก้วตาดวงใจ

“เช้านี้ไม่มีเจ้าตัวเล็กแอดมิตค่ะ แต่เมื่อตอนบ่ายมีเจ้าของมาชำระค่าใช้จ่ายสำหรับสองเดือน”

ได้ยินพยาบาลเวรพูดแบบนี้สวีเจ้าอิ่งก็รู้สึกค่อนข้างหนักใจ เจ้าตัวที่ร้องเสียงงี้ดๆ อยู่ในกรงเป็นสุนัขขนาดเท่าม้านั่งตัวเล็กตัวหนึ่ง หญิงสาวมองดูอย่างละเอียดจึงพบว่าไม่ใช่สุนัขสายพันธุ์แท้ แต่เป็นหมาปั๊กพันธุ์ผสมตัวหนึ่ง บนกรงมีป้ายติดว่า

 

ชื่อ : พีพี เจ้าของ : ฉู่จิงหง

พีพีนอนหลบอยู่ตรงมุมหนึ่งของกรงอย่างเดียวดาย พอเห็นว่ามีคนมาก็รีบลืมตาขึ้นมอง แต่พอเห็นว่าเป็นสวีเจ้าอิ่งมันก็ขดตัวไปร้องงี้ดๆ ในมุมเหมือนเดิม

“มันอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?”

“เกือบสามเดือนแล้วค่ะ”

สวีเจ้าอิ่งหงุดหงิดขึ้นมาทันที หญิงสาวตำหนิ “ที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะ ไม่ใช่สถานรับเลี้ยง ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าต่อให้เจ้าของเสนอเงินสูงลิบเพื่อให้พวกเรารับเลี้ยงก็ให้ปฏิเสธ เพราะการที่เขาทำแบบนี้เท่ากับมาใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ที่พวกเรามีอยู่จำกัดน่ะสิ”

เห็นสวีเจ้าอิ่งโกรธ พยาบาลเวรก็ตอบกลับท่าทางลนลาน “ฉันบอกคุณฉู่ไปแล้วค่ะ แต่เขาบอกว่างานยุ่งมีธุระสำคัญที่ต้องจัดการ ขอเวลาอีกสักพักจะมารับพีพีกลับ และโอนค่าเลี้ยงดูผ่านทางบัญชีของโรงพยาบาลมาเอง…”

สวีเจ้าอิ่งยื่นมือเข้าไปในกรงเพื่อลูบศีรษะพีพีพร้อมออกคำสั่ง “ตรวจสอบระเบียนผู้ป่วยทีซิ”

เป็นจริงตามอย่างที่สวีเจ้าอิ่งคิดไว้ พีพีไม่ได้เป็นโรคหรือป่วยหนักอะไรเลย แต่เจ้าของจงใจทิ้งมันไว้ที่โรงพยาบาล หรือพูดอีกทีคือมีความเป็นไปได้มากว่าพีพีจะถูกทิ้ง

ในชีวิตของสวีเจ้าอิ่ง ผู้ชายที่เธอเกลียดที่สุดมีอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือผู้ชายไร้ความรับผิดชอบ และอีกประเภทคือผู้ชายที่ไม่รักสัตว์ เมื่อรับสัตว์มาเลี้ยงแล้วกลับคิดจะทิ้งมัน แสดงว่าไม่มีความรักและไร้ความรับผิดชอบ ซึ่งคนแซ่ฉู่โดนครบทุกกระทง

“ขอวิธีติดต่อเขาหน่อย”

สวีเจ้าอิ่งรับกระดาษโพสต์อิตที่พยาบาลเขียนข้อมูลมาให้ อา…บังเอิญจริง ที่แท้เขาอยู่คอนโดฯ เดียวกับเธอนี่เอง อารมณ์ของสวีเจ้าอิ่งไม่ค่อยดีนักตอนที่หยิบโทรศัพท์แบบไร้สายของโรงพยาบาลมากดเบอร์ เสียงรอสายดังอยู่นานมากแต่ไม่มีคนรับ หญิงสาวจึงต้องยอมแพ้

ฟ้ามืดสนิท แต่หิมะด้านนอกยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่ายๆ หิมะตกหนักขนาดนี้ทำให้บางครั้งจะได้เห็นคู่รักสุดโรแมนติกออกมาปั้นตุ๊กตาหิมะกันบนถนน

หลายปีที่ผ่านมานี้สวีเจ้าอิ่งค่อยๆ คุ้นชินกับเซี่ยงไฮ้มากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่มีญาติอยู่ที่นี่และมีเพื่อนน้อยมาก แต่ความเป็นคนจริงของเธอสั่งให้พาตัวเองย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตววิทยาซึ่งเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว สวีเจ้าอิ่งได้ไปออกรายการโทรทัศน์ ให้สัมภาษณ์ และเข้าร่วมกิจกรรมการกุศลต่างๆ รวมถึงประกอบธุรกิจจนกลายเป็นที่กล่าวขาน แต่เธอไม่เคยลืมเลยว่าตอนแรกที่ตนมาเซี่ยงไฮ้นั้นเป็นเพราะอยากเข้าร่วมงานวิจัยเรื่องโรคระบาดในสัตว์เท่านั้น

ระยะทางที่ปกติแล้วใช้เวลาเดินแค่ยี่สิบนาที แต่ครั้งนี้สวีเจ้าอิ่งกลับใช้เวลาไปถึงสามสิบนาทีกว่าจะมาถึงหน้าคอนโดฯ เธอหยิบทิชชูออกมาปัดหิมะบนศีรษะออก แต่กลับเผลอทำกระดาษโพสต์อิตร่วงลงพื้น หญิงสาวก้มลงเก็บกระดาษขึ้นมาอ่านข้อมูลที่จดไว้อีกครั้งแล้วเปลวไฟน้อยๆ ในใจก็พลันพวยพุ่งขึ้นมา ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่เธอยังอยากจะขอลองอีกสักครั้ง

เมื่อกี้เธอไม่ได้อ่านข้อมูลบนกระดาษให้ละเอียด ตอนนี้สวีเจ้าอิ่งจึงเพิ่งพบว่าพวกเขาไม่ได้แค่อยู่คอนโดฯ เดียวกันเท่านั้น แต่ยังอยู่ในตึกเดียวกันด้วย เพียงแต่คนแซ่ฉู่อยู่ที่ชั้นสิบห้า ส่วนสวีเจ้าอิ่งนั้นอยู่ชั้นสิบ

พอลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นสิบห้า เสียงติ๊งของลิฟต์ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ชั้นนี้มีห้องอยู่ห้าห้องด้วยกัน ผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนั้นอยู่ห้องฝั่งตะวันตก สวีเจ้าอิ่งกดกริ่งอย่างไม่ลังเล เสียงกริ่งดังติดกันหลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ข้างใน

“คุณเป็นใคร?”

จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง สวีเจ้าอิ่งตกใจ แต่พอตั้งตัวได้และหันไปมองก็พบว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ชายตัวสูงราวๆ หนึ่งร้อยแปดสิบห้าขึ้นไป เปลือยท่อนบนอวดกล้ามท้องแปดมัด รูปร่างสมส่วน กำลังอวดความแข็งแกร่งเหมือนโลหะอยู่เบื้องหน้าของสวีเจ้าอิ่ง ดูจากท่าทางแล้วผู้ชายคนนี้น่าจะเพิ่งออกมาจากห้องฟิตเนสเพราะมีกลิ่นเหงื่อ และที่แก้มก็มีเหงื่อเกาะอยู่ แม้แต่บนหน้าอกเองก็มี เขาใช้เสื้อยืดที่พาดอยู่บนไหล่เช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางพิจารณาสวีเจ้าอิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“คนของนิติฯ คนตรวจมิเตอร์น้ำ หรือพนักงานส่งของ?”

เขายิงคำถามไม่หยุด น้ำเสียงใสกังวานมั่นอกมั่นใจนั้นทำให้สวีเจ้าอิ่งตาพร่า ลืมถ้อยคำที่เตรียมมาทั้งหมด ได้แต่นิ่งงัน

ชายหนุ่มเอาเสื้อยืดพาดบ่าอีกครั้ง เท้าเอวแล้วเดินหน้ามาสองก้าว ซึ่งการก้าวสองก้าวนี้ของเขาทำให้สวีเจ้าอิ่งตกใจจนต้องถอยกรูดไปติดผนัง

“คุณครับ คุณขวางประตูห้องผมอยู่ ตกลงมีธุระอะไร”

“ขะ…ขอโทษค่ะ ฉันเคาะผิดห้อง” ท่าทางเอาเรื่องเมื่อครู่ของสวีเจ้าอิ่งหายวับ เหลือไว้แค่ความแตกตื่นจนต้องเผ่นหนี

 

แม้จะหนีกลับมาถึงห้องของตัวเองและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว แต่หน้าอกของสวีเจ้าอิ่งยังคงสะท้อนขึ้นลงไม่หยุด คนที่ดูน่ากลัว มีกล้ามเป็นมัดแบบนี้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี มิน่าเล่าเขาถึงทิ้งหมาได้ลง ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกเจ้าอารมณ์ด้วย แล้วไหนจะไรหนวดตรงคางกับมุมปากที่ทำให้เขาดูน่ากลัวมากขึ้นอีก แม้ว่าหนวดนั่นจะผ่านการตัดแต่งมาแล้วก็ตาม แต่ในความคิดของสวีเจ้าอิ่งแล้วก็มีแต่พวกนักเลงกู๋หว่าไจ๋ที่ดวลดาบกันในหนังฮ่องกงเท่านั้นแหละที่จะชอบไว้หนวด

เธอประมาทเกินไปจริงๆ แม้จะเคยได้ยินบทเรียนเรื่อง ‘ความปลอดภัยในชีวิตสำหรับสาวโสด’ มาไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยประสบภัยกับตัวเองเลยสักครั้ง ทว่ามาวันนี้ก็เท่ากับว่าเธอได้เจอเรื่องน่ากลัว แต่ก็โชคดีที่ไม่เป็นอะไรเข้าให้แล้ว ถ้านายไว้เครานั่นเกิดคิดไม่ซื่อกลางดึกกลางดื่นขึ้นมาเธอคงจะเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบแน่ๆ

สวีเจ้าอิ่งกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเข้าไปหนึ่งถ้วยถึงค่อยสงบใจลงได้ เธอนึกถึงผู้ชายร่างบึกบึนที่ชั้นสิบห้าแล้วก็ตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวต้องสะบัดผมที่เพิ่งสระเสร็จเพื่อไล่คนคนนั้นออกจากสมองก่อนจะดับไฟและปิดผ้าม่านเพื่อเข้านอน

 

หิมะข้างนอกหยุดตกตอนรุ่งสาง สวีเจ้าอิ่งจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นหิมะตกครั้งที่เท่าไหร่ของปีนี้ เซี่ยงไฮ้ในช่วงหน้าหนาวมักถูกหิมะปกคลุมบางๆ อยู่เสมอ เธอเกิดที่เจียงหนานซึ่งเป็นเมืองแห่งสายน้ำ อากาศที่เซี่ยงไฮ้กับที่บ้านจึงแตกต่างกันไม่มากนัก แต่เธอก็ไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว ได้แต่อาศัยอยู่ที่เซี่ยงไฮ้มาตลอด

ตามความเข้าใจของสวีเจ้าอิ่งแล้ว คนที่ชื่อฉู่จิงหงไม่ใช่เจ้าของสัตว์เลี้ยงประเภทที่จะไล่จากโรงพยาบาลไปได้ง่ายๆ ดังนั้นต่อให้สวีเจ้าอิ่งยื่นคำขาดไป แต่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็คงทำอะไรกับฉู่จิงหงไม่ได้อยู่ดี

“ผอ. คะ เกรงว่าคุณฉู่คงบล็อกเบอร์ของโรงพยาบาลเราไว้ พอโทรไปก็ขึ้นสัญญาณสายไม่ว่างตลอดเลยค่ะ” เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์รายงานเสียงสั่นด้วยกลัวว่าสวีเจ้าอิ่งจะอารมณ์ขึ้นแล้วตัวเองจะโดนด่า

ไปๆ มาๆ ทางโรงพยาบาลกับคนแซ่ฉู่ได้ทำศึกใหญ่กันอยู่หลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งล้วนเป็นทางโรงพยาบาลที่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เจ้าหน้าที่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมผู้อำนวยการต้องดื้อด้านอยากจะเอาชนะขนาดนี้ด้วย

สวีเจ้าอิ่งไม่พูดอะไร เธอทำเพียงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมากดเบอร์ เสียงรอสายดังอยู่สองสามครั้งกว่าจะมีคนรับ แค่ได้ยินเสียง ‘ฮัลโหล’ ที่ดังมาตามสายเธอก็ขนลุกซู่ทั้งตัว แต่ครั้งนี้ถือได้ว่าเธอทำใจให้นิ่งขึ้นได้แล้ว

“คุณฉู่จิงหงใช่ไหมคะ”

“ผมเองครับ”

“โทรจากโรงพยาบาลสัตว์ป๋อจยาค่ะ”

ปลายสายนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงรำคาญ “พวกคุณไม่อยากได้เงินหรือไง วันๆ ถึงได้จะให้ผมไปรับหมากลับ สนุกนักเหรอ”

“มันเป็นครอบครัวของคุณ การปล่อยให้ทางโรงพยาบาลรับเลี้ยงไว้จะทำให้มันเหงามาก ฉันหวังว่าคุณจะรีบมารับเพื่อนตัวน้อยของคุณกลับไป”

ปลายสายหัวเราะ สวีเจ้าอิ่งได้ยินน้ำเสียงพูดจาหยอกเย้าดังมา “หรือคุณรังเกียจที่เงินน้อยเกินไปเลยอยากจะขอเพิ่มราคาอีกเท่าตัว”

น้ำเสียงที่ติดจะแดกดันนั้นทำให้สวีเจ้าอิ่งเริ่มไม่พอใจ “เราเป็นโรงพยาบาล ไม่ใช่สถานรับเลี้ยง การที่คุณปล่อยให้มันอยู่ที่โรงพยาบาลนานๆ แบบนี้เพราะตั้งใจจะทิ้งมันใช่ไหม?”

“คุณเดาถูก ผมไม่ได้อยากจะเลี้ยงมันเลย”

หึๆ หน้าไม่อายแบบไม่มีใครสู้ได้จริงๆ สวีเจ้าอิ่งเคยเจอเจ้าของที่ไม่อยากเลี้ยงสัตว์ต่อบ่อยๆ แต่ไม่มีใครพูดตรงขนาดนี้

“ถ้าไม่อยากเลี้ยง ก็ไม่ควรรับมันมาเลี้ยงแต่แรกสิ”

“ควรไม่ควรอะไร คนเรามีเรื่องให้นึกเสียใจภายหลังตั้งเยอะ การรู้จักแก้ไขต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ”

สวีเจ้าอิ่งขยับริมฝีปากก่อนจะกลืนถ้อยคำรุนแรงกลับลงคอไปอีกครั้ง ฉู่จิงหงเป็นพวกห้าใหญ่สามหนาปากคอร้ายกาจ จิตใจโหดเหี้ยม ตอนแรกเธอคิดจะค่อยๆ ตะล่อมเขา แต่ตอนนี้ดูแล้วคงเป็นการเปลืองน้ำลาย และตัวเธอก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉู่จิงหง

“สรุปคือผมไม่อยากเลี้ยงมัน ต่อให้ผมไปรับมันกลับมาก็ไม่มีเวลาดูแล ยังไงซะมันก็ต้องกลายเป็นหมาจรจัด ค่าเลี้ยงดูที่ผมจ่ายให้ก็ไม่ใช่น้อยๆ ถึงพวกคุณจะบอกว่าเป็นโรงพยาบาล แต่ในเมื่อมีธุรกิจให้ทำ แล้วใครล่ะจะไม่อยากได้เงิน คุณลองเก็บที่ผมพูดไปคิดให้ดีๆ ตรองให้หนักๆ อย่าดื้อด้านเกินไปนัก คนที่มีธุรกิจให้ทำแล้วไม่ทำ แบบนั้นมันโง่ชัดๆ”

ฉู่จิงหงพูดพล่ามอีกสักพักก่อนจะวางสายไปดื้อๆ

สวีเจ้าอิ่งโยนโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ คนที่มีธุรกิจให้ทำแล้วไม่ทำ แบบนั้นมันโง่ชัดๆ หรือ? เงินของคนแบบนั้นเธอไม่อยากได้มันเลยสักนิด จังหวะนี้เองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นบนจอแสดงว่ามีสายเข้า เธอมองดูแล้วพบว่าเป็นเมิ่งเทียนเทียนเพื่อนสนิทของเธอ

“ตอนเย็นกินข้าวด้วยกันไหม”

“ไม่อยากกิน”

“งั้นทำสปา?”

“ขอผ่าน ฉันปวดหัวโคตรๆ”

วันนี้สวีเจ้าอิ่งไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้น พอจัดการงานในมือเสร็จก็ว่าจะออกไปดูเจ้าขนปุยในโรงพยาบาลทุกตัว แล้วเตรียมออกจากสถานที่ที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวแห่งนี้ชั่วคราว สวีเจ้าอิ่งเป็นคนโผงผาง อารมณ์แรงแต่ใจอ่อน โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นพีพีที่มีท่าทางเศร้าซึมแบบนั้น เธอยิ่งทำใจไม่ได้

แต่ต่อให้วันนี้เธอไม่อยากออกไปข้างนอกเอามากๆ ขนาดไหน ทว่าเธอกลับโทรหาเมิ่งเทียนเทียนอีกครั้ง “ตอนนี้ฉันหายปวดหัวแล้ว พวกเราไปกินข้าวกัน ฉันเลี้ยงเอง”

ปกติแล้วเพื่อนของผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จย่อมไม่มีทางเป็นพวกทหารกุ้งขุนพลปู โดยเฉพาะเพื่อนสนิทของสวีเจ้าอิ่ง เมิ่งเทียนเทียนกับสวีเจ้าอิ่งนั้นอายุไล่เลี่ยกัน ทั้งสองคนรู้จักกันตอนไปโต้คลื่น และแค่เมิ่งเทียนเทียนชวนแบบไม่คิดอะไร สวีเจ้าอิ่งก็เดินทางมาเซี่ยงไฮ้แบบคนที่มีปณิธานแรงกล้า นับตั้งแต่นั้นมาทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เมิ่งเทียนเทียนเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะเป็นถึงบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่น ซึ่งนิตยสารที่เธอทำนั้นมียอดขายเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ และไม่เพียงแค่นี้ เมิ่งเทียนเทียนยังเป็นสมาชิกของสมาคมคุ้มครองสัตว์ของเซี่ยงไฮ้ด้วย แต่ถึงจะมีงานเยอะแยะขนาดนั้นหญิงสาวกลับยังใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ และเป็นตัวเอง

ทั้งสองคนเลือกร้านอาหารชั้นดีที่เพิ่งเปิดใหม่แห่งหนึ่ง ตอนที่อาหารยังไม่มาเสิร์ฟ เมิ่งเทียนเทียนเอาแต่เอานิ้วสไลด์โทรศัพท์มือถืออวดรูปนายแบบที่ได้ขึ้นปกนิตยสารเล่มใหม่ให้สวีเจ้าอิ่งดู แต่เธอไม่สนใจ

“ฉันมีเรื่องค่อนข้างซีเรียสอยากคุยด้วย เธอช่วยหาครอบครัวที่พอจะรับเลี้ยงหมาในโรงพยาบาลฉันสักตัวได้ไหม”

เมิ่งเทียนเทียนกะพริบตาปริบๆ ตอบกลับน้ำเสียงตื่นตกใจ “เธอนัดฉันออกมาเพราะเรื่องนี้เองเหรอ”

“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ใช่พวกอ้อมค้อม มีอะไรก็พูดก็บอก”

เมิ่งเทียนเทียนวางโทรศัพท์มือถือลง “คนที่ไปโรงพยาบาลเธอได้จะต้องเป็นพวกมีเงิน การที่คนมีเงินทำเรื่องทำนองนี้ยิ่งน่ารังเกียจเข้าไปใหญ่”

“เจ้าของจ่ายค่าเลี้ยงดูให้เยอะนะ แต่โรงพยาบาลฉันรับเลี้ยงระยะยาวไม่ได้ และเงินก็ซื้อครอบครัวที่อบอุ่นให้กับสัตว์ไม่ได้ด้วย”

เธอคิดไม่ผิดที่ไหว้วานเมิ่งเทียนเทียนในเรื่องนี้ เพราะเพื่อนของเธอรับคำอย่างหน้าชื่นตาบาน ทำให้สวีเจ้าอิ่งสบายใจจนสามารถกินอาหารด้วยความสบายอารมณ์

เมิ่งเทียนเทียนนั้นเป็นพวกดื้อด้านไม่เปลี่ยน พอเห็นหนุ่มหล่อทีไรเป็นต้องตาวาว น้ำลายไหล เย็นวันนี้เธอเอาแต่แย่งเล่าถึงเรื่องที่ตัวเองได้ไปเจอหนุ่มหล่อๆ ให้ฟัง การที่จะเป็นเพื่อนสนิทของสวีเจ้าอิ่งได้นั้นแสดงว่าเมิ่งเทียนเทียนต้องไม่ใช่คนธรรมดา และยังรับนิสัยของสวีเจ้าอิ่งได้อย่างดีด้วย

“มันเป็นเรื่องธรรมดาแหละที่จะหาคนที่เหมาะสมกัน แต่เธอเล่นเกมกับหนุ่มๆ พวกนี้ทุกวันไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือไง” สวีเจ้าอิ่งบ่นเหมือนตัวเองเป็นแม่ของอีกฝ่ายทุกครั้ง

เมิ่งเทียนเทียนเองก็บ่นราวกับเป็นแม่ของสวีเจ้าอิ่งกลับมาไม่ต่างกัน “ไม่! ไม่เหนื่อยเลยสักนิด มีแต่พวกไร้รักเท่านั้นแหละที่ไม่ต่างจากผักกาดขาวเหี่ยวๆ แค่จะคว้าผู้ชายสักคนมาอยู่ด้วยตลอดชีวิตยังทำไม่ได้ มัวแต่คิดจะหาคนที่เหมาะสม แบบนี้จะยิ่งหาไม่เจอหรือเปล่า ดูอย่างฉันสิ…มีความรักแบบใจเต้นมาตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว”

“ไม่ใช่เด็กสาวๆ แล้ว ยังจะเอาความรักแบบใจเต้นไปทำอะไร หรือเธอยังยุ่งไม่พอ?”

มีแต่เวลาถกเถียงกันเรื่องความรักเท่านั้นที่ทั้งคู่จะพูดจาบลัฟฟ์กันเช่นนี้ สวีเจ้าอิ่งรู้สึกไม่ชอบใจนักที่เมิ่งเทียนเทียนเปลี่ยนแฟนทุกวัน แต่ก็ยังคงร่ำร้องหาความรัก ส่วนเมิ่งเทียนเทียนเองก็ไม่ปลื้มเท่าไหร่กับการทำตัวหัวโบราณของเพื่อน เพียงเพราะเคยผิดหวังเรื่องความรักมาครั้งหนึ่งจนสูญสิ้นความไว้วางใจต่อโลก

การพบกันครั้งนี้จึงจบลงด้วยการแยกย้ายกันไปแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ เพราะต่างคนต่างพ่นวาจาร้ายกาจใส่กัน

ตอนแรกเธอก็ว่าจะมาผ่อนคลายสมอง แต่ตอนนี้กลับยิ่งปวดหัวหนักกว่าเดิม สวีเจ้าอิ่งกลับถึงบ้านแต่หัววัน หญิงสาวพลิกดูปฏิทินบนโต๊ะเพื่ออ่านคำทำนายจึงพบว่าวันนี้ต้องระวังปากระวังคำ มิน่าล่ะ วันนี้เธอถึงได้ทะเลาะกับลูกค้า ต่อด้วยทะเลาะกับเพื่อนสนิทอีก แบบนี้สู้กลับมานั่งอ่านบทความวิชาการยังดีเสียกว่า

ในเมื่อเธอไหว้วานให้เมิ่งเทียนเทียนช่วยหาครอบครัวอุปถัมภ์ที่เหมาะสมให้เจ้าพีพีแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยยังไงก็ต้องให้ฉู่จิงหงเซ็นหนังสือสละสิทธิ์การเลี้ยงดู เพราะบนโลกใบนี้มีคนทุกรูปแบบ มีทั้งพวกข้ามแม่น้ำแล้วพังสะพาน ทุ่มหินลงบ่อ ตระบัดสัตย์เพื่อผลประโยชน์ ทั้งพวกที่อยากกินยาแก้ไขความเสียใจที่เกิดขึ้นภายหลัง ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ฉู่จิงหงเล่นลูกไม้อะไรได้อีก เอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก

และเป็นอย่างที่เจ้าหน้าที่ได้บอกไว้ว่าถ้าใช้เบอร์ของโรงพยาบาลโทรไปจะถูกฉู่จิงหงบล็อก อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้คงต้องใช้วิธีคุยกันต่อหน้า เพราะการส่งข้อความไปก็ดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่

คนของโรงพยาบาลเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะลองเปลี่ยนเบอร์เพื่อโทรไปแล้วแต่เขาไม่รับสาย พอโทรไปหลายครั้งเข้าก็โทรไม่ติดอีกเลย สวีเจ้าอิ่งจึงต้องใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองโทรไป เสียงรอสายดังอยู่ห้าครั้งก็มีคนรับ

“ทราบไหมคะว่าฉันเป็นใคร” สวีเจ้าอิ่งไม่คิดจะเกรงใจเขาอีกต่อไป

“ต้องรู้สิ คนของโรงพยาบาลสัตว์ใช่ไหม ตอนแรกผมว่าจะไม่รับ แต่เผลอกดรับจนได้” น้ำเสียงของฉู่จิงหงที่อยู่ปลายสายเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและอารมณ์เสีย

คนคนนี้ไม่พูดจาอ้อมค้อม ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

“ฉันจะบอกคุณว่าถ้าคุณไม่อยากเลี้ยงเพื่อนตัวน้อยแล้ว ทางเราจะช่วยหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้ สิ่งที่คุณต้องทำตอนนี้คือมาเซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูที่โรงพยาบาลของเรา”

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งกว่าสวีเจ้าอิ่งจะได้ยินคำว่า “ขอบคุณ”

คำว่า ‘ขอบคุณ’ คำนี้ไม่มีกระแสเชือดเฉือนเหมือนตอนก่อนหน้า น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูอ่อนลงเยอะจนเธอตกใจ

“ผมผิดต่อเจ้าหมาน้อยตัวนี้…”

“วันพุธนี้ให้คุณมาที่โรงพยาบาลก่อนห้าโมงเย็น และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาของคุณ เราจะพริ้นต์เอกสารไว้ให้ล่วงหน้า พอคุณมาถึงก็สามารถเซ็นได้เลย” สวีเจ้าอิ่งไม่อยากฟังคำแก้ตัวจอมปลอมเสแสร้งของคนแซ่ฉู่อีกจึงตัดบทเขาดื้อๆ

“ได้ ตกลงตามนี้”

ทุกครั้งที่โทรหาคนแซ่ฉู่คนนี้เธอเป็นต้องอารมณ์เสียตลอด และครั้งนี้ก็เช่นกัน ขนาดผ่านไปแล้วหลายวันคนแซ่ฉู่ก็ยังคงทำให้เธออารมณ์ไม่ดีได้

 

ทั้งที่นัดเวลากันแล้วว่าเป็นวันพุธก่อนห้าโมงเย็น แต่ทางโรงพยาบาลกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของฉู่จิงหง สวีเจ้าอิ่งจึงโทรไปหาเขาอีกครั้ง ทว่าฉู่จิงหงกลับเอาแต่บอกว่าเขาต้องไปทำธุระข้างนอกหลายวัน หากเสร็จธุระแล้วจะมาตามนัดแน่ๆ

พอตกเย็นสวีเจ้าอิ่งก็ตรงกลับบ้านจึงบังเอิญเจอกับฉู่จิงหงที่เพิ่งออกกำลังเสร็จ กลับมาในสภาพเหงื่อซ่กในลิฟต์ จริงอยู่ที่เวลาโทรคุยกันสวีเจ้าอิ่งจะทำตัวปากคอเราะราย แต่พอมาเจอตัวจริงของเขาตรงหน้าเธอกลับรู้สึกกลัวเขามาก หญิงสาวหดตัวไปอยู่ตรงมุมลิฟต์ ดวงตามองจ้องฉู่จิงหงที่กำลังผิวปาก เดินเปลือยอกเข้ามาในลิฟต์แล้วแสร้งทำเป็นถามเธอราวกับสุภาพบุรุษว่าคุณคนสวย* จะไปชั้นไหน

สวีเจ้าอิ่งไม่สนใจเขาแล้วกดชั้นของตัวเองเงียบๆ ตอนประตูลิฟต์ปิดหญิงสาวก็กัดริมฝีปากแน่น ความรู้สึกในใจของเธอต่อสู้กันอยู่หลายสิบรอบ เธออยากจะลองถามคนจอมปลอมอย่างเขาเหลือเกินว่าสบายใจอะไรนักหนา แต่เธอก็ไม่กล้าเพราะกลัวฉู่จิงหงอาจจะเหวี่ยงกำปั้นใส่แล้วเธอจะกลายเป็นคนพิการ แค่ดูก็รู้แล้วว่าฉู่จิงหงเป็นพวกไร้สมอง ดีแต่ใช้กำลัง ท่าทางเขาจะลืมไปแล้วว่าเธอคือผู้หญิงคนที่ไปเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูห้องเขาคนนั้น

เมื่อถึงชั้นสิบสวีเจ้าอิ่งก็เผ่นออกจากลิฟต์ทันที นาทีที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงเธอก็เห็นฉู่จิงหงยิ้มและโบกมือมาให้ ท่าทางดูแล้วน่ากลัวเป็นที่สุด

สวีเจ้าอิ่งรีบปิดประตูห้องก่อนจะโทรไปหาพยาบาลที่อยู่เวรว่าให้โทรบอกฉู่จิงหงให้ไปเซ็นเอกสาร

“ผอ. คะ ลูกค้าแซ่ฉู่คนนั้นบอกว่าเขาไปทำงานต่างเมือง ต้องคอยอีกสองสามวันค่ะ”

คนคนนี้จะชั่วร้ายเกินไปแล้ว แบบนี้มันโกหกตาใสชัดๆ เขาไม่ได้ไปไหนเสียหน่อย! เอาตัวไปข้องเกี่ยวกับคนแบบนี้จะใจดีด้วยไม่ได้เด็ดขาด แต่สวีเจ้าอิ่งรู้ว่าจะใจร้อนกับฉู่จิงหงไม่ได้ ไม่ว่าจะดีจะชั่วอย่างไรเราทั้งคู่ก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่ผ่านมาพบกัน ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้ง เอาไว้ให้ฉู่จิงหงเซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูเรียบร้อยเมื่อไหร่ แม้แต่หน้าเขา เธอก็ไม่อยากเห็นอีก

 

เนื่องจากผู้ช่วยคนใหม่มาทำงานแล้ว งานยุ่งๆ ในทีแรกจึงค่อยๆ ลดลงไปไม่น้อย แต่เพราะสภาพอากาศทำให้เจ้าขนปุยที่ล้มป่วยในช่วงนี้มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่า ทุกคนจึงต้องทำโอทีกันหลายวัน

วันนี้สวีเจ้าอิ่งเหนื่อยมากเพราะต้องผ่าตัดสามเคสติดๆ กัน เนื่องจากเธอเซ็นสัญญาความร่วมมือกับวิทยาลัยครูแห่งหนึ่ง ช่วงนี้หญิงสาวจึงต้องคอยดูแลนักศึกษาฝึกงานที่ยังไม่ประสีประสาอีกห้าหกคน ทำให้ต้องคอยห่วงนั่นพะวงนี่ กว่าเธอจะมีอารมณ์เบนสายตาออกจากจอคอมพิวเตอร์ไปมองข้างนอก ก็พบว่าที่นอกหน้าต่างมีหิมะตกอีกแล้ว

หิมะของเมื่อหลายวันก่อนยังไม่ทันละลาย วันนี้ก็มีของใหม่เพิ่มอีก สวีเจ้าอิ่งสวมเสื้อโค้ตเดินออกจากห้องทำงานจึงพบว่าตรงระเบียงทางเดินเปิดไฟเอาไว้สว่างไสว เวลาล่วงเข้าสามทุ่มแล้ว พวกเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลจึงเตรียมตัวเลิกงานกัน ในฐานะเจ้าของโรงพยาบาลสวีเจ้าอิ่งรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

เธอมองต้นคริสต์มาสที่วางอยู่ตรงห้องโถงของโรงพยาบาลกับภาพเกล็ดหิมะที่ติดอยู่บนหน้าต่างกระจกแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันคริสต์มาส

“ทุกคนอย่าเพิ่งรีบไป วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ยังไงฉันขอเลี้ยงอาหารทุกคนสักมื้อนะ”

ตามปกติแล้วสวีเจ้าอิ่งไม่ค่อยมาคลุกคลีกับพวกเจ้าหน้าที่เท่าไหร่นัก แต่พอได้ยินว่าผู้อำนวยการจะยอมจ่ายหนักเลี้ยงอาหาร เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็ตาเป็นประกายกันขึ้นมา

“ข้างโรงพยาบาลเรามีร้านอาหารมองโกเลียเปิดใหม่อยู่ เห็นว่าปิ้งย่างกับหม้อไฟของพวกเขาอร่อยมาก พวกเราให้ ผอ. เลี้ยงเนื้อกันดีกว่า”

ดูท่าว่าพวกเจ้าหน้าที่จะตั้งใจถล่มเธอจริงๆ ร้านอาหารมองโกเลียที่ชื่อ ‘บ้านฟาร์ม’ แห่งนั้นเป็นร้านแบบแฟรนไชส์ในเซี่ยงไฮ้ซึ่งมีบรรยากาศดีมาก เธอได้ยินมาว่าเจ้าของเป็นชาวมองโกเลียใน ทำให้ในร้านไม่เพียงมีอาหารพื้นเมืองของชาวมองโกเลียเท่านั้น แต่รสชาติของปิ้งย่างกับหม้อไฟเองก็มีเอกลักษณ์มาก เนื้อแกะนำเข้าจากมองโกเลียในราคาย่อมไม่ธรรมดา สวีเจ้าอิ่งส่ายหน้ายิ้มๆ เพราะดูท่าวันนี้กระเป๋าเงินคงจะฟีบแน่ๆ

ด้านนอกมีเกล็ดหิมะโปรยปราย แต่ด้านในกลับมีไอร้อนพวยพุ่ง หากพวกเขาไม่มากันตอนดึกหน่อยก็เกรงว่าคงหาที่นั่งว่างไม่ได้ พวกเจ้าหน้าที่สั่งขาแกะย่างขาใหญ่กันอย่างไม่เกรงใจ บอกว่าจะเอาเนื้อแกะยี่สิบจานกับเหมาเมนูแนะนำทั้งหมด จานทั้งหมดถูกวางเรียงรายเอาไว้เต็มโต๊ะ ที่ขาโต๊ะมีเบียร์สามลังวางอยู่ คืนนี้มีแววว่าถ้าไม่เมาคงไม่เลิก

ปกติแล้วสวีเจ้าอิ่งมีลิมิตในการดื่มเบียร์อยู่ที่ไม่เกินสองกระป๋อง และเพราะวันนี้เธอยังไม่ได้กินอะไรเลย ทำให้พอดื่มเข้าไปกระป๋องเดียวก็หน้าแดงเถือกจนรู้สึกเวียนหัวราวกับฟ้าเคลื่อนดินหมุน แล้วยิ่งมาเห็นพวกเจ้าหน้าที่เล่นกันอย่างสนุกสนาน สวีเจ้าอิ่งก็ถึงกับต้องกุมขมับ รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาทันที

หญิงสาวเดินไปที่ห้องน้ำแล้วใช้น้ำเย็นล้างหน้าไปรอบหนึ่งถึงค่อยรู้สึกดีขึ้น ตอนที่เดินออกจากห้องน้ำเธอยังรู้สึกมึนๆ ทำให้แยกตะวันออกตะวันตกไม่ถูก บริเวณระเบียงทางเดินของที่นี่ค่อนข้างคดเคี้ยวและมีห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัวอยู่หลายห้อง เธอจำไม่ได้ว่าห้องที่เธอจองไว้อยู่ที่ไหน “คุณผู้หญิงท่านนี้จะไปไหนหรือครับ ให้ผมพาไปไหม” บริกรสวมชุดพื้นเมืองของชาวมองโกเลียมองสวีเจ้าอิ่งที่ดูมึนๆ งงๆ ก็รีบเข้ามาสอบถาม

“ดูเหมือนห้องนั้นจะชื่อ…อี้ฉิง”

สวีเจ้าอิ่งนึกชื่อห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัวของเธอพลางกวาดตามองหา “อ๊ะ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเจอแล้ว”

สวีเจ้าอิ่งเดินตรงไปข้างหน้า บริกรก็รีบตามเธอไป “คุณผู้หญิงครับ ไม่ใช่ห้องนั้น” ถ้าไม่ใช่เพราะมีบริกรขวางอยู่เกรงว่าสวีเจ้าอิ่งคงพุ่งตัวเข้าไปแล้ว

“ห้องนี้ไม่เปิดให้บริการเพราะมีสถานีโทรทัศน์มาถ่ายทำรายการอาหารอยู่ข้างใน ห้องที่คุณว่าน่าจะเป็นห้องฝั่งตะวันตก ผมจะพาไปเองครับ”

สวีเจ้าอิ่งยื่นหน้าเข้าไปมองพบว่าด้านในกำลังถ่ายทำรายการอยู่จริง มีกล้องตัวหนึ่งกำลังถ่ายพิธีกรซึ่งแต่งกายสะสวยกับแขกรับเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ ทันใดนั้นหญิงสาวพลันตัวสั่นขึ้นมา เพราะคนที่นั่งยิ้มอย่างเขินๆ อยู่ข้างพิธีกรหญิงคนนั้นคือนายหน้าหนวดกล้ามโต

สวีเจ้าอิ่งเอียงหน้าหันไปกระซิบถามบริกร “คนที่หน้าเพิ่งโกนหนวดเขียวๆ ท่าทางยิ้มเหมือนไม่ยิ้มคนนั้นเป็นใครเหรอ”

บริกรมองตามสายตาของสวีเจ้าอิ่งไปแล้วยิ้มออกมาแบบเก้อๆ “คนนั้น…เจ้าของร้านของเราเองครับ”

เหมือนมีฟ้าผ่าในสมองถึงสองเปรี้ยง สวีเจ้าอิ่งขยี้ตา หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ หึ! นายคนที่นั่งอยู่นั่นทำตัวเหมือนหมาขนาดนั้นแล้วยังจะถามหาความเป็นคนจากเขาอีกได้ยังไง

“คุณไปทำงานเถอะ ไม่ต้องสนใจฉันหรอก ฉันไม่เคยเห็นการถ่ายทำรายการทีวีแบบนี้ จะขออยู่ดูสักครู่”

สวีเจ้าอิ่งไล่บริกรด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่นัก เพราะอันที่จริงแล้วเธอเป็นขาประจำของรายการโทรทัศน์ แต่ดันพูดโกหกแบบนี้ออกมาซะได้

“งั้นช่วยรักษาความสงบด้วยนะครับ”

สวีเจ้าอิ่งทำมือเป็นสัญญาณ ‘จุ๊ๆ’ ก่อนกระซิบตอบ “รู้แล้ว”

หญิงสาวเอนตัวทาบกับประตูพร้อมยื่นหน้าเข้าไปมองข้างในห้อง ฉู่จิงหงในวันนี้ดูนิ่งมาก เขาพูดคุยกับพวกแขกรับเชิญที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารอย่างอารมณ์ดี ดูจากท่าทางของชายหนุ่มคาดว่ารายการน่าจะดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว

พิธีกรหญิงยิ้มพร้อมพูดกับกล้องว่า “แม้ว่าคุณฉู่ที่มาจากทุ่งหญ้าจะเป็นชาวฮั่นเชื้อสายมองโกเลีย แต่จากการสัมภาษณ์ในวันนี้แล้วทุกท่านคงจะเห็นได้ว่าคุณฉู่เป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและมีน้ำใจมากคนหนึ่ง เพราะคุณฉู่บริจาคเงินถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้ให้เป็นสาธารณกุศลเลยค่ะ”

สวีเจ้าอิ่งทำเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ในใจ เพราะถ้าคนแบบนี้เรียกว่ามีน้ำใจก็ดูจะเป็นการเสแสร้งเพื่อสร้างกระแสมากกว่า

พิธีกรหญิงหันกลับไปถามฉู่จิงหง “คุณพอจะเล่าเรื่องความตั้งใจที่จะทำเพื่อสังคมให้เราฟังหน่อยได้หรือเปล่าคะ”

ไม่รู้ว่าสวีเจ้าอิ่งตาฝาดไปเองหรือเปล่า เธอถึงเห็นใบหน้าของฉู่จิงหงแดงระเรื่อ เขาตอบด้วยน้ำเสียงถ่อมตัว “ผมไม่กล้าบอกว่าตัวเองทำธุรกิจเพื่อสังคมหรอกครับ แค่อยากจะตอบแทนสังคมเท่าที่ทำได้ก็เท่านั้น ก่อนหน้านี้ ‘บ้านฟาร์ม’ ของเราได้ทำโครงการมื้อเช้าฟรีให้แก่เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาด และนำรายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือบ้านพักคนชรา กับอีกส่วนได้นำไปช่วยเหลือองค์กรคุ้มครองสัตว์ของเซี่ยงไฮ้ครับ”

ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่สวีเจ้าอิ่งดื่มเมื่อกี้พุ่งพรวดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยตอนที่ได้ยินคำพูดนี้ของฉู่จิงหง คนแบบเขาเนี่ยนะบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือองค์กรคุ้มครองสัตว์ คิดแล้วมันน่าหัวเราะ สวีเจ้าอิ่งเคยเจอคนที่สร้างภาพตัวเองต่อหน้าสื่อมามาก มีทั้งพวกที่ใช้ลูกไม้ตื้นๆ หรือทั้งแบบยกยอปอปั้นตัวเองเว่อร์วัง เธอก็เคยเจอมาหมดแล้ว

ทว่าแม้สวีเจ้าอิ่งจะมองออก แต่พิธีกรหญิงนั้นมองไม่ออก เธอแสดงสีหน้าชื่นชมชายหนุ่ม “คุณฉู่เป็นคนรักสัตว์ด้วยหรือคะ”

ฉู่จิงหงลูบเส้นผมเงางามของตัวเอง “ผมสงสารพวกสัตว์ตัวเล็กๆ มากเลยครับ”

ทนจนทนไม่ไหวแล้ว! ถ้าหากวันนี้ฉันไม่ออกหน้า คนแซ่ฉู่คนนี้จะต้องได้ใจ! สวีเจ้าอิ่งเลิกคิดมาก ก้าวฉับๆ เข้าไปด้านในทันที การที่สวีเจ้าอิ่งบุกเข้าไปอย่างกะทันหันแบบนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องทำอะไรไม่ถูก

ภายใต้แสงไฟจัดจ้า สวีเจ้าอิ่งมองฉู่จิงหงที่อยู่ตรงหน้าแล้วเห็นภาพซ้อนขึ้นมา

“คุณฉู่คะ ฉันมาจากโรงพยาบาลสัตว์ป๋อจยา ไม่ทราบว่าคุณจะเซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูสุนัขได้เมื่อไหร่หรือคะ?!”

สถานการณ์นี้ค่อนข้างประดักประเดิด ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างมีสีหน้าแตกตื่น แต่ฉู่จิงหงมีปฏิกิริยาว่องไว พุ่งตัวมาตรงหน้าสวีเจ้าอิ่งเหมือนลูกธนู แล้วคว้าตัวหญิงสาวหมับเหมือนจับลูกโป่งผูกเชือก ทำให้เธอถูกเหวี่ยงออกไปด้านนอกอย่างง่ายดาย

“หายไปไหนกันหมด?!” ฉู่จิงหงตะโกนอยู่ตรงทางเดิน เสียงที่ดังเหมือนตีระฆังของเขาทำให้ผู้จัดการร้านอาหารกับพนักงานสามสี่คนต้องรีบเข้ามาดู ฉู่จิงหงชี้มือไปที่สวีเจ้าอิ่ง “ลูกค้ามาจากไหน”

บริกรคนเมื่อกี้มองปราดเดียวก็จำสวีเจ้าอิ่งได้ “ลูกค้าจากห้องไซซั่งอี้ฉิงครับ”

ฉู่จิงหงกระซิบเสียงดุใส่ผู้จัดการ “ให้คูปองสองร้อยหยวนไปสองใบ มีผลใช้ได้วันนี้ กับเพิ่มน้ำแกงทะเลให้หนึ่งหม้อ”

สวีเจ้าอิ่งจ้องมองฉู่จิงหงโดยไม่เอ่ยคำใด เพราะท่าทางของชายหนุ่มตอนนี้ดูน่ากลัวจริงๆ

ฉู่จิงหงก้มตัวมาหาสวีเจ้าอิ่งที่ตัวเตี้ยกว่าเขาถึงสองช่วงศีรษะ ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เบาลง “หุบปากแล้วกินข้าวของคุณไปเงียบๆ เถอะ”

เห็นสวีเจ้าอิ่งถูกพาตัวเดินห่างออกไปเรียบร้อยฉู่จิงหงก็ปรับสีหน้าที่เคร่งเครียดของตัวเองขณะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง เขายิ้มน้อยๆ พลางกล่าวขออภัยทุกคนที่นั่งประจำที่อยู่ “มีคนเมาแล้วอาละวาด ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ขอโทษนะครับ มีผลอะไรต่อการถ่ายทอดสดหรือเปล่าครับ”

พิธีกรหญิงยังมีสีหน้าสบายๆ “เมื่อกี้มีโฆษณาแทรกเข้ามาค่ะ ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไร”

ฉู่จิงหงได้ยินแล้วหัวใจที่แขวนห้อยอยู่กลางอากาศในทีแรกก็ค่อยๆ ร่วงกลับเข้าไปในท้องอีกครั้ง

 

เรียกได้ว่าสวีเจ้าอิ่งเมาแล้วจริงๆ เพราะเธอจำไม่ได้เลยว่าตัวเองถูกคนพาตัวกลับมาที่ห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัวได้ยังไง ดูเหมือนเธอจะดื่มเบียร์ไปอีกหลายกระป๋องก่อนที่หัวจะปักลงบนโต๊ะเอาดื้อๆ พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าอยู่บนเตียงของตัวเอง ไม่รู้ว่าใครพาเธอกลับมาส่ง

ในฐานะสาวโสด หลังเรียนจบมาสวีเจ้าอิ่งก็ดื่มเหล้าน้อยมาก นี่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เธอคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ มานึกๆ ดูแล้วเมื่อคืนนอกจากถูกจับกรอกเหล้าแบบมึนๆ งงๆ ไปเธอก็ไม่ค่อยได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ ทำให้ตอนนี้เธอรู้สึกร้อนกระเพาะทรมานแบบสุดๆ แถมหัวก็เหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงอีก

หญิงสาวตะเกียกตะกายลุกไปอาบน้ำ ภายในห้องน้ำที่เต็มไปด้วยไอร้อน เธอนึกขึ้นได้รางๆ ว่าเมื่อคืนเหมือนตนจะมีเรื่องกับใครสักคน สวีเจ้าอิ่งพยายามแต่ก็นึกไม่ออกว่าเกิดเรื่องอะไร

หลังอาบน้ำเสร็จเธอก็ออกมาเป่าผมให้พอหมาดๆ สวีเจ้าอิ่งเพิ่งพบว่าวันนี้ตัวเองตื่นเช้ามาก ยังไม่เจ็ดโมงเลยด้วยซ้ำ กระเพาะของเธอว่างเปล่าเพราะในบ้านไม่มีเสบียงเหลืออยู่เลย พอท้องฟ้าด้านนอกเริ่มสว่างเธอจึงรีบออกไปหาของกินข้างนอก หญิงสาวยืนหาวอยู่ในลิฟต์พร้อมลูบปลายผมที่ยังชื้นๆ ของตัวเอง แล้วในวินาทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก สวีเจ้าอิ่งก็ต้องกลืนหาวของตัวเองกลับเข้าไปในท้อง

คนที่อยู่นอกลิฟต์คือผู้ชายหุ่นล่ำที่ซ่อนศีรษะเอาไว้ในเสื้อฮู้ด ความทรงจำเลือนรางเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานก็พลันแจ่มชัดขึ้นมาทันที คนที่เธอมีเรื่องด้วยก็คือฉู่จิงหงนั่นเอง ซ้ำยังจำได้ด้วยว่าตัวเองเป็นฝ่ายเข้าไปหาเรื่องเขาก่อน

วันนี้เป็นวันเสาร์ ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่จึงยังนอนขี้เกียจกันทำให้ตรงระเบียงทางเดินไร้ผู้คน หัวใจของสวีเจ้าอิ่งเต้นตุบๆ เธอแสร้งกดปุ่มปิดประตูด้วยท่าทางนิ่งๆ แต่ฉู่จิงหงกลับก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วใช้แขนยันประตูลิฟต์ไว้

วินาทีต่อมาสวีเจ้าอิ่งก็ถูกจับเหวี่ยงออกมานอกลิฟต์อย่างง่ายดายเหมือนลูกโป่ง หญิงสาวเซถลาไปหลายก้าว พยายามดิ้นให้หลุดจากอุ้งมือมารของฉู่จิงหง แต่ยังไม่ทันยืนได้มั่นก็ได้ยินฉู่จิงหงพูดขึ้นมา “เมื่อคืนพอปิดร้านเสร็จผมก็นึกอยู่ตั้งนานว่าทำไมถึงรู้สึกว่าคุณหน้าตาคุ้นๆ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก จนตอนเดินกลับบ้านถึงนึกได้ว่าคนที่เข้าไปป่วนตอนนั้นเป็นเพื่อนบ้านของผมนี่เอง”

สวีเจ้าอิ่งรับฟังเขาพูดเงียบๆ แสดงสีหน้าท่าทางเหมือนไม่แยแสใดๆ

“ผู้หญิงอย่างพวกคุณนี่ดีลด้วยได้ยากชะมัด ทั้งใจแคบ ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แค่เรื่องเซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูใบเดียว คุณถึงขั้นต้องทำลายเรื่องดีๆ ของผมเชียวเหรอ เมื่อวานนี้เป็นการถ่ายทอดสด หากชื่อเสียงของผมเสียหาย รับรองเลยว่าผม…ฉู่จิงหง ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่”

แม้ฉู่จิงหงจะพูดจามีเหตุผล แต่สวีเจ้าอิ่งได้ยินแล้วรู้สึกขัดหู เธอเชิดหน้าขึ้นแล้วโต้กลับไป “ข้อแรก เอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูเป็นเรื่องเล็กก็จริง แต่คุณกลับเอาแต่ผัดผ่อน เห็นๆ อยู่ว่าคุณสบายดี แต่กลับทำตัวเหยาะแหยะ ไม่ชัดเจน ข้อสอง หากคุณไม่ชอบสัตว์ก็ไม่น่าเอาพวกมันมาเป็นเครื่องมือ ขาหน้าทิ้งหมา แต่ขาหลังกลับแสร้งทำเป็นเมตตาสงสารพวกมัน ฉันล่ะขัดตาคนแบบคุณชะมัด ถ้าอยากจะดังก็อาศัยความสามารถจริงๆ ของตัวเองสิ อย่ามาทำเสแสร้งแบบนี้ มันทุเรศ”

ดวงตาของทั้งคู่สบประสานกัน บรรยากาศตึงเครียด สวีเจ้าอิ่งรู้สึกว่าขาของตัวเองกำลังอ่อนแรงลง แต่ถึงอย่างนั้นแววตาก็ยังคงคมปลาบ ฉู่จิงหงลูบเคราที่คางขณะจ้องหน้าสวีเจ้าอิ่งอยู่นานก่อนเอ่ยขึ้น “คุณนี่ปากร้ายใช่ย่อยเลยนะ”

“แค่เจอคนก็พูดภาษาคน เจอผีก็ต้องพูดภาษาผีสิ”

ฉู่จิงหงหัวเราะ เขาถอยหลังไปหลายก้าวจนอยู่ในระยะที่สวีเจ้าอิ่งรู้สึกว่าปลอดภัยแล้ว ความตื่นกลัวในใจของหญิงสาวถึงค่อยสงบลง

“คุณมีอคติต่อผมนี่ เอาเป็นว่าผมให้อภัยต่อพฤติกรรมของคุณเมื่อวาน ส่วนเรื่องหมา มันเป็นหมาที่แฟนเก่าของผมทิ้งไว้ ผมเลี้ยงเองไม่ได้เลยต้องเอาไปไว้ที่คุณ”

ตอนแรกสวีเจ้าอิ่งนึกว่าเขาจะชักสีหน้าใส่เธอ ใครจะไปรู้ว่าฉู่จิงหงกลับอธิบายเรื่องที่เขาต้องทิ้งหมาให้เธอฟัง

“แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิต คุณจะทิ้งขว้างตามใจไม่ได้”

“ผมรู้ ผมเลยจ่ายค่าเลี้ยงดูไง เพราะผมกลัวพวกสัตว์หน้าขน แม้แต่ลูกเจี๊ยบผมก็ยังกลัว แล้วจะให้ผมเลี้ยงมันยังไง”

กระเพาะของสวีเจ้าอิ่งร้องโครกคราก เธอไม่อยากทะเลาะกับฉู่จิงหงจนพลาดอาหารมื้อเช้าจึงพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ “วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลหรอก หากคุณเป็นลูกผู้ชายจริงก็ไปเซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูที่โรงพยาบาลดีๆ พวกเราจะได้หาเจ้าของที่เหมาะสมให้มันได้”

แต่ฉู่จิงหงกลับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ครั้งนี้ผมต้องเดินทางไกลจริงๆ เพราะมีไฟลต์บินสิบโมงกลับมองโกเลีย ยังไงวันนี้คงไปไม่ทันแล้ว แต่คุณสบายใจได้ ถึงผมจะเลี้ยงมันไม่ได้ แต่ก็หวังว่ามันจะมีบ้านที่ดี คงต้องรบกวนคุณให้ช่วยหาเจ้าของใหม่ให้มันด้วย รับรองว่าผมจะไม่อาละวาดไปขอหมาคืนจนทำให้เราทั้งสองฝ่ายต้องมีเรื่องวุ่นวายเด็ดขาด”

สวีเจ้าอิ่งมองเห็นความจริงใจในดวงตาของชายหนุ่ม เธอจึงระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง “คุณเอาแต่ผัดผ่อนไปเรื่อยแบบนี้แล้วจะให้ฉันเชื่อคุณได้ยังไง”

ฉู่จิงหงชะงัก ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะหึๆ “ดูท่าจะมีการเข้าใจผิดกันเยอะมาก แต่ไม่เป็นไรครับ ต่อให้คุณไม่เชื่อก็ทำอะไรไม่ได้ ผมเองก็ไม่มีเวลาอธิบายเหมือนกัน” เขาดึงฮู้ดออก ยิ้มพลางหยิบบัตรหนึ่งใบจากกระเป๋ามายัดใส่มือของหญิงสาว “คุณยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม นี่เป็นคูปองมื้อเช้า คุณไปกินขนมจีบที่ร้านผมได้ รสชาติแบบมองโกเลียแท้ๆ”

ไม่รอให้สวีเจ้าอิ่งได้ปฏิเสธ ฉู่จิงหงก็วิ่งไปที่บันไดแล้ว หญิงสาวมองคูปองมื้อเช้าในมือเงียบๆ มันเขียนไว้ว่า ‘ขนมจีบสองชั่ง’

แม้จะเดินผ่านร้านบ้านฟาร์ม แต่สวีเจ้าอิ่งก็ไม่ได้เข้าไปในร้าน เธอแค่ซื้อน้ำเต้าหู้หนึ่งแก้วกับปาท่องโก๋หนึ่งตัวจากร้านอาหารเช้าข้างทางเท่านั้น พอน้ำเต้าหู้ร้อนๆ เข้าไปในท้อง กระเพาะของสวีเจ้าอิ่งก็ค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น อาการปวดศีรษะก็บรรเทาลง เธอนั่งอยู่ในร้านอาหารเช้าซึ่งมองเห็นป้าย ‘บ้านฟาร์ม’ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน

ป้ายร้านอาหารดูเชิญชวนพอๆ กับเจ้าของร้าน ในความทรงจำของเธอผู้ชายทางเหนือนั้นมีน้ำใจเปิดเผย แต่สำหรับฉู่จิงหงนอกจากลักษณะภายนอกแบบเฉพาะของคนทางเหนือแล้ว นิสัยใจคอกลับดูน่ากลัว ชวนให้รู้สึกไม่สบายใจ คนห้าใหญ่สามหนาแบบนั้นน่ะเหรอจะกลัวเจ้าขนปุย แล้วแบบนี้เขากลัวลูกขนไก่ด้วยหรือเปล่า หรือเป็นเพราะเขาเปิดร้านอาหารทำให้ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากมายเลยเกิดกลัวขึ้นมา

ไม่ๆๆ นี่จะต้องเป็นข้ออ้างที่เขาขุดขึ้นมาเพื่อปัดความรับผิดชอบต่อพีพีแน่ๆ

 

เนื่องจากหลายวันมานี้อากาศอุ่นขึ้น หิมะยังไม่จับตัวหนานัก ทำให้พอแดดออกได้สองสามวันหิมะก็ละลายหายไปหมด ในบ่ายวันหนึ่งที่แสงแดดสดใสสวีเจ้าอิ่งก็ได้รับสายจากเมิ่งเทียนเทียนว่าเธอหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้พีพีได้แล้ว

“เธอรู้จักคนคนนี้เหรอ”

“สนิทกันน่ะ หนุ่มโสดเนื้อทองเฉิงจยาโหย่ว ตากล้องจำเป็นของนิตยสารเรา เป็นคนไนซ์มากนะ ถึงแม้ว่าเราจะยังต้องมานั่งถกกันว่าเขาเหมาะเป็นผู้อุปถัมภ์หรือเปล่า แต่ฉันขอการันตีว่าเขาเป็นคนพึ่งได้ก็เลยมาบอกก่อน เธอจะได้ไม่ต้องนอนไม่หลับเพราะเรื่องนี้”

สวีเจ้าอิ่งหลุดขำออกจมูก “เรื่องนี้มีเหรอจะทำอะไรฉันได้ แต่คนที่เธอกล้าการันตีแบบนี้ คงไม่ได้มีซัมธิงกับเธอหรอกใช่ไหม”

“ฉันสาบานได้ว่าไม่มีอะไรจริงๆ เฉิงจยาโหย่วบอกว่าอีกสองวันจะไปดูพีพีที่โรงพยาบาลเธอก็เลยให้ฉันมาบอกไว้ล่วงหน้า เห็นแก่ที่เขาเป็นเพื่อนฉัน ฝากช่วยดูแลหน่อยแล้วกัน”

เมิ่งเทียนเทียนงานยุ่งมาก ทั้งสองคนจึงคุยโทรศัพท์กันอีกแค่สองสามนาทีก่อนจะวางสาย สวีเจ้าอิ่งรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย เห็นว่าเธอเป็นหญิงแกร่งนิสัยโผงผางแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นหญิงสาวใจอ่อน ลองว่าเธอได้ใส่ใจกับอะไรสักอย่างแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้สำเร็จ สวีเจ้าอิ่งอ่านบทความวิชาการในนิตยสารที่ได้รับการรับรองจากทางการแพทย์เล่มล่าสุดจนจบก็เตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล

ทว่าพยาบาลที่เคาน์เตอร์กลับบอกเธอว่ามีคนแซ่เฉิงมาคอยอยู่นานแล้ว

สวีเจ้าอิ่งตกใจ เธอเพิ่งได้รับสายจากเพื่อนตอนบ่ายๆ เวลานี้เขาก็มาแล้วงั้นหรือ?!

“คุณเฉิงอยู่ที่ไหน”

“โซนแอดมิตค่ะ”

“เขามานานแค่ไหนแล้ว”

“เกือบๆ สองชั่วโมงค่ะ”

สวีเจ้าอิ่งได้ยินแล้วอดตำหนิพยาบาลไม่ได้ “ทำไมถึงไม่รีบบอกฉันล่ะ”

“คุณเฉิงบอกว่าไม่รีบค่ะ เขาจะไปดูพีพีระหว่างรอคุณทำงานเสร็จ”

สวีเจ้าอิ่งถอนหายใจ เมิ่งเทียนเทียนเพิ่งบอกให้เธอต้อนรับเขาอย่างดี แต่เธอกลับปล่อยปละละเลย แบบนี้ถือเป็นเรื่องไม่สมควรจริงๆ หญิงสาวรีบเดินไปยังโซนแอดมิต เสียงจ้อกแจ้กจอแจในเวลากลางวันเงียบหายไปจนหมด บริเวณระเบียงทางเดินจึงมีแต่เสียงฝีเท้าของเธอ พอมาถึงนอกประตูกระจกของส่วนแอดมิตสวีเจ้าอิ่งก็ผ่อนฝีเท้าลง บนโซฟาตรงประตูมีชายหนุ่มแต่งตัวเนี้ยบดูมีรสนิยมกำลังอ่านนิตยสารการดูแลสัตว์เลี้ยงปักษ์ล่าสุดที่อยู่บนชั้นพลางจิบกาแฟ

สวีเจ้าอิ่งผลักประตูเปิดออกช้าๆ แล้วยื่นตัวเข้าไปพลางเอ่ยถาม “คุณเฉิงจยาโหย่วหรือเปล่าคะ”

เฉิงจยาโหย่วได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นคนตรงหน้าเขาก็รีบวางนิตยสารกับถ้วยกาแฟในมือลง แล้วยิ้มให้ก่อนลุกขึ้นเดินเข้ามาหา “สวีเจ้าอิ่ง คุณสวีใช่ไหมครับ”

ทั้งสองคนส่งยิ้มให้กันโดยไม่มีความรู้สึกประดักประเดิดแบบที่คนแปลกหน้าเจอกันครั้งแรก

“ต้องขออภัยจริงๆ นะคะที่ปล่อยให้คุณคอยนาน เมื่อกี้ฉันตำหนิพยาบาลที่เคาน์เตอร์ไปแล้วโทษฐานไม่รีบบอกฉัน”

“อย่าไปว่าเขาเลยครับ การจะเข้าพบผู้อำนวยการได้ปกติก็ต้องนัดล่วงหน้า แต่บังเอิญว่าวันนี้พอผมเลิกงานแล้วผ่านมาทางนี้พอดีก็เลยนึกอยากเข้ามาแบบปุบปับ”

เฉิงจยาโหย่วดูภูมิฐานมาก เวลาที่เขาพูดจาสีหน้าท่าทางต่างๆ ของชายหนุ่มล้วนดูจริงใจและอ่อนโยนจนสามารถทำให้คนเผลอรู้สึกไว้วางใจในตัวเขาได้

“คุณเห็น…พีพีหรือยังคะ”

เฉิงจยาโหย่วผงกศีรษะแล้วตอบรับ “ครับ ผมเล่นกับมันอยู่พักหนึ่งด้วย มันเป็นเด็กดีนะ ผมชอบมาก”

พีพีที่อยู่ในกรงกำลังกัดของเล่นทำจากยางสำหรับสุนัข แทบไม่ต้องเดาว่าเฉิงจยาโหย่วคงเป็นคนเอาให้มัน

“ชอบก็ดีค่ะ แสดงว่าความประทับใจแรกคงไม่เลว”

“คุณสวียังไม่ได้กินข้าวใช่ไหมครับ” เฉิงจยาโหย่วโพล่งถาม

“ค่ะ” สวีเจ้าอิ่งตอบรับด้วยน้ำเสียงกระดากอาย

“พอดีเลย ผมก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน งั้นเราไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อดีไหมครับ”

สวีเจ้าอิ่งรู้สึกว่ายากที่จะปฏิเสธจึงได้แต่ตอบรับแบบยิ้มๆ “ได้ค่ะ”

ก่อนออกไปเฉิงจยาโหย่วยังหยิบลูกบอลห้าสีขนาดเท่าฝ่ามือลูกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนเข้าไปในกรง พีพีตาวาวงับลูกบอลไว้ในปาก เฉิงจยาโหย่วถือโอกาสยื่นมือเข้าไปเพื่อลูบหัวพีพีก่อนเดินออกมาพร้อมสวีเจ้าอิ่ง

“ผมไม่ค่อยคุ้นกับแถวนี้เท่าไหร่ คุณสวีช่วยแนะนำสถานที่มาเลยดีกว่าครับ” เฉิงจยาโหย่วช่วยคาดเข็มขัดนิรภัยให้สวีเจ้าอิ่งพลางเอ่ยบอก

เธอไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขา สวีเจ้าอิ่งบอกชื่อร้านอาหารที่ตนคุ้นเคยก่อนเฉิงจยาโหย่วจะขับรถออกไป หญิงสาวนั่งอยู่ในรถเงียบๆ อาศัยแสงสลัวๆ พิจารณาตัวรถและผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ รถคันนี้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของปีนี้และเป็นยี่ห้อที่เมิ่งเทียนเทียนร่ำร้องว่าจะเก็บเงินซื้อให้ได้อยู่ทุกวัน ภายในรถสะอาดสะอ้าน ไม่มีเถ้าบุหรี่ และไม่มีของจุกจิกวางทิ้งไว้แบบส่งๆ ตรงที่วางของมีแก้วน้ำเก็บอุณหภูมิแบบใสวางอยู่ใบเดียว เฉิงจยาโหย่วสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวลายตารางสีเทาเข้ม ตรงปลายแขนเสื้อมีนาฬิกาข้อมือโผล่ออกมา สีสันกับแบบของมันเข้ากับสไตล์การแต่งกายของเขาทำให้ดูน่าเชื่อถืออย่างมาก

ภายในสถานที่ปิดทึบเช่นนี้ทำให้เกิดความเงียบขึ้นได้อย่างประหลาด โชคดีที่เฉิงจยาโหย่วเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “ผมเคยได้ยินเมิ่งเทียนเทียนพูดถึงคุณมานาน แต่ก็เพิ่งจะได้เจอกันวันนี้ คุณเป็นอย่างที่เธอเล่าจริงๆ”

การที่เขาพูดแบบนี้ช่างกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเธอเป็นอย่างมาก “เมิ่งเทียนเทียนพูดถึงฉันว่ายังไงเหรอคะ”

“สวยแบบไม่เฟก ทำงานเก่งแต่ไม่คร่ำครึ”

สวีเจ้าอิ่งหลุดขำพรืดออกมา มีหรือที่เมิ่งเทียนเทียนจะพูดถึงเธอแบบนี้ ตั้งแต่เธอมาที่เซี่ยงไฮ้ ในสายตาของเมิ่งเทียนเทียนแล้วสวีเจ้าอิ่งก็เป็นแค่คนบ้างานคนหนึ่ง นี่จึงเป็นแค่ถ้อยคำที่เฉิงจยาโหย่วใช้ชมเธอเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ มันก็ยังคงเป็นคำชมที่มาจากชายหนุ่มซึ่งเพิ่งจะพบกันครั้งแรก สวีเจ้าอิ่งรู้สึกไม่ค่อยดีนักจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ได้ยินว่าคุณเป็นช่างภาพให้กับนิตยสารของเมิ่งเทียนเทียน?”

“ผมแค่เคยช่วยเมิ่งเทียนเทียน จะเรียกว่าเป็นช่างภาพได้ที่ไหนกัน เธอชมเกินไปแล้วครับ อาชีพหลักของผมคือทำงานด้านการเงินอยู่ที่ธนาคารฮุ่ยต๋าที่เป็นไพรเวต แบงกิ้งน่ะ ผมเป็นผู้จัดการด้านการเงินส่วนบุคคลครับ”

“ไพรเวต แบงกิ้งงั้นเหรอคะ”

เห็นสวีเจ้าอิ่งดูจะไม่เข้าใจ เฉิงจยาโหย่วจึงอธิบายเพิ่ม “เราให้บริการเรื่องคำปรึกษาด้านการเงินแก่ลูกค้าวีไอพีโดยเฉพาะครับ”

“เมิ่งเทียนเทียนเป็นลูกค้าของคุณหรือคะ”

“เมิ่งเทียนเทียนเป็นลูกค้าของเพื่อนร่วมงานผมครับ และใช่ครับ…เธอเป็นระดับวีไอพี”

“ยิ่งได้ฟังแบบนี้ก็รู้สึกว่าว้าวมากเลยค่ะ”

“มันก็แค่คำเรียกน่ะครับ คู่ค้าของเราคือคนที่มีทรัพย์สินสิบล้านหยวนขึ้นไป”

แม้สวีเจ้าอิ่งจะนับได้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่อายุของเธอก็ยังน้อย เมื่อเทียบกับคนที่มีทรัพย์สินระดับสิบล้านหยวนขึ้นไปแล้วก็ถือว่าเธอเป็นคนที่ยังต้องทำงานงกๆ

“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณเฉิงจะต้องมีความรู้ความชำนาญมาก”

เฉิงจยาโหย่วหัวเราะหึๆ ออกมา “มากอะไรล่ะครับ มันก็แค่งานงานหนึ่ง พูดกันตรงๆ คือผมเป็นแค่พนักงานระดับสูงคนหนึ่งเท่านั้น”

เฉิงจยาโหย่วเป็นคนน่าสนใจมาก เขาพูดจาฉะฉานไม่ปล่อยให้เกิดเดดแอร์ ทำให้สวีเจ้าอิ่งไม่ต้องห่วงเลยว่าบรรยากาศตอนอยู่กับเขาจะน่าอึดอัด และยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องหาประเด็นมาคุยด้วย เพราะเฉิงจยาโหย่วคุยได้เกือบจะทุกเรื่อง ท่าทางตอนรับฟังของเขาก็เหมือนว่าสนใจสิ่งที่เธอพูดอย่างมาก ต่อให้สวีเจ้าอิ่งหลุดศัพท์ทางการแพทย์ออกมาเขาก็สามารถรับฟังได้อย่างสนุกสนาน

อาหารมื้อนี้จบลงอย่างชื่นมื่น เผลอแป๊บเดียวทั้งสองคนก็คุยกันมาเกือบสองชั่วโมงกว่า จนร้านอาหารจะปิดแล้วทั้งคู่จึงเดินออกมาทั้งที่ยังรู้สึกสนุกกันไม่หาย

เนื่องจากสวีเจ้าอิ่งกินมื้อเย็นเข้าไปเยอะจึงตั้งใจว่าจะเดินกลับบ้าน แต่เฉิงจยาโหย่วไม่ยอม หญิงสาวเลยต้องนั่งรถหรูของเขาอีกครั้ง

ระยะทางที่ปกติใช้เวลาเดินราวๆ สิบกว่านาที พอเปลี่ยนมาขับรถก็ใช้ไปแค่สามสี่นาทีเท่านั้น

เฉิงจยาโหย่วเป็นสุภาพบุรุษมาก เขาลงมาเปิดประตูรถให้เธอ สวีเจ้าอิ่งก้าวลงจากรถพร้อมกล่าวคำขอบคุณ

“คุณสวีเกรงใจเกินไป ผมกับเมิ่งเทียนเทียนสนิทกันมาก เชื่อว่าต่อไปเราคงได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ผมขอไอดีวีแชตคุณได้หรือเปล่าครับ เผื่อว่าหลังรับเลี้ยงพีพีแล้วมีปัญหาอะไรจะได้ขอรบกวนสอบถามกับคุณ”

สวีเจ้าอิ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ อีกทั้งตอนนี้เธอก็รู้สึกสนิทใจกับเขามากขึ้นด้วย “เมื่อตอนเย็นฉันให้คุณคอยนาน แถมคุณยังเลี้ยงข้าวฉันอีก เอาเป็นว่าครั้งหน้าขอฉันเลี้ยงบ้างนะคะ”

เฉิงจยาโหย่วหัวเราะ “ผมจะตั้งตารอนัดครั้งต่อไปเลยครับ ถ้าคุณสวีมีปัญหาเกี่ยวกับด้านการเงินการลงทุนก็เชิญถามผมได้เต็มที่เลยนะครับ”

“ฉันคงไม่ติดอันดับลูกค้าของไพรเวต แบงกิ้งหรอกค่ะ” สวีเจ้าอิ่งอดล้อเลียนตัวเองไม่ได้

“นั่นมันคนอื่น แต่สำหรับคุณสวีแล้ว ต่อให้คุณไม่ติดอันดับ ผมก็ยินดีให้บริการอย่างมากครับ”

ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่ที่หน้าคอนโดฯ อีกพักหนึ่งก่อนที่สวีเจ้าอิ่งกับเฉิงจยาโหย่วจะแยกย้ายกัน แสงจันทร์ในคืนนี้สวยงามเป็นพิเศษ แถมอากาศก็ปลอดโปร่ง สวีเจ้าอิ่งเดินไปตามถนนเส้นเล็กผ่านสวนดอกไม้แล้วเผลอสูดหายใจยาวๆ นานเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่ได้กินข้าวกับเพศตรงข้ามตามลำพัง น่ากลัวว่าจะสักหนึ่งปีขึ้นไป ซ้ำยังเป็นการคุยเรื่องงานแบบระแวดระวังกันเต็มที่ด้วย แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แล้ว การได้คุยกับผู้ชายที่มีความน่าสนใจก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

เนื่องจากหลายวันก่อนสวีเจ้าอิ่งเมา ดังนั้นวันนี้พอกลับถึงบ้านเธอจึงรีบมุดเข้าไปในผ้าห่มทันที ข้างนอกมีลมหนาว แต่อุณหภูมิภายในห้องค่อนข้างร้อน หญิงสาวกอดผ้าห่มพลางสไลด์หน้าจอเล่นโทรศัพท์มือถือ

‘ที่ปรึกษาส่วนบุคคล เฉิงจยาโหย่ว’ คือยูสเซอร์เนมในวีแชตของเฉิงจยาโหย่ว ภาพโพรไฟล์ของชายหนุ่มดูธรรมดามาก มันเป็นภาพโลโก้ธนาคาร ดูแล้วก็สมกับที่เป็นผู้ชายวัยทำงานที่มีความหนักแน่นมั่นคง ในไอดีของเขานอกจากจะแนะนำผลิตภัณฑ์ด้านการเงินของธนาคารฮุ่ยต๋าแล้วก็มีภาพถ่ายแบบที่เขารับหน้าที่เป็นตากล้องอยู่ประปราย สวีเจ้าอิ่งไม่มีความรู้เรื่องภาพถ่ายมากนัก แต่ถ้าภาพพวกนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารแฟชั่นของเมิ่งเทียนเทียนได้ก็แสดงว่าฝีมือของเฉิงจยาโหย่วน่าจะไม่ใช่เล่นๆ

สวีเจ้าอิ่งเลื่อนดูภาพพวกนั้นอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะพบว่าผู้ชายคนนี้เก็บเรื่องชีวิตส่วนตัวของตัวเองเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ในวีแชตมีเรื่องส่วนตัวของเขาน้อยมาก หลังจากสวีเจ้าอิ่งออกมาจากไทม์ไลน์ของเขาแล้วถึงเห็นว่าชายหนุ่มมากดไลค์ที่หน้าเพจวีแชตของเธอ และนั่นทำให้สวีเจ้าอิ่งอดอมยิ้มไม่ได้ วันไหนว่างๆ เธอจะต้องไปหาข้อมูลของผู้ชายคนนี้จากเมิ่งเทียนเทียนดูหน่อย

แล้วก็เป็นจริงตามที่เธอคาดไว้ เฉิงจยาโหย่วผ่านการตรวจสอบของสมาคมคุ้มครองสัตว์อย่างรวดเร็ว กลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์ที่มีความเหมาะสม ในเวลานี้สิ่งเดียวที่กวนใจสวีเจ้าอิ่งก็คือฉู่จิงหง เนื่องจากผ่านไปสองสัปดาห์แล้วแต่เขายังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา สายจากโรงพยาบาลก็ไม่รับ ใช้โทรศัพท์มือถือของเธอโทรไปหา เขาก็ไม่รับอีกเช่นกัน

สวีเจ้าอิ่งรู้สึกยี้กับการพบเจอฉู่จิงหงพอๆ กับการกลืนแมลงวัน หญิงสาววางสายอย่างจนใจ พยายามกล้ำกลืนเพลิงโทสะในท้องเอาไว้ หากผู้ชายบนโลกนี้ไม่มีตัวให้เปรียบเทียบเลย เธอก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่พอได้ลองเปรียบเทียบแล้วจะเห็นเลยว่าใครสูงใครต่ำ โลกนี้มีผู้ชายอ่อนโยนน่าใกล้ชิดอย่างเฉิงจยาโหย่ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนอย่างฉู่จิงหงที่ให้ความรู้สึกเหลืออดเหลือทนอยู่ด้วย

หลังเลิกงานแล้วสวีเจ้าอิ่งก็ตั้งใจว่าจะแวะไปที่ร้านบ้านฟาร์ม กิจการของบ้านฟาร์มนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี ร้านได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนจำนวนมาก ที่บริเวณด้านนอกร้านมีลูกค้ามารอโต๊ะมากมาย แต่ตัวฉู่จิงหงกลับไม่อยู่ในร้าน

“เจ้านายของพวกคุณไปไหน”

“กลับไปทำธุระที่บ้านเกิดครับ อีกสองสามวันถึงจะกลับ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้จัดการร้านเห็นสวีเจ้าอิ่งแล้วก็อดแสดงสีหน้าหวาดๆ ออกมาไม่ได้ ถึงจะเคยพบกันแค่ครั้งเดียว แต่สิ่งที่สวีเจ้าอิ่งฝากไว้ในสมองของพนักงานบ้านฟาร์มทุกคนก็คือการที่เธอเกือบสร้างปัญหาใหญ่ให้ในครั้งก่อน นั่นคือการทำให้เจ้านายของพวกเขาโกรธจัด

“ฉันไม่ได้มีธุระด่วนอะไรค่ะ แต่จะขอยืมใช้โทรศัพท์ของพวกคุณหน่อยได้ไหมคะ”

ผู้จัดการร้านเลื่อนโทรศัพท์ของร้านไปตรงหน้าสวีเจ้าอิ่งทันที สวีเจ้าอิ่งกดหาเบอร์โทรศัพท์ในบันทึกการโทรจนเจอแล้วจึงต่อสายไป

เวลานี้เธอแน่ใจแล้วว่าฉู่จิงหงจงใจไม่รับสาย เพราะพอเป็นเบอร์ของบ้านฟาร์มโทรไป เสียงรอสายดังอยู่แค่สองครั้งเขาก็รับทันที

ฉู่จิงหงที่อยู่ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้เพราะความเมา “มีอะไร”

“ฉันเอง”

“ใคร…ใครเหรอ” ดูท่าฉู่จิงหงจะดื่มไปไม่น้อย เวลานี้เลยพูดไม่คล่อง

“คู่แค้นคุณไง”

ฉู่จิงหงเงียบไปหลายวินาที “คน…ที่รู้จักกับผม ฉู่จิงหงมีแต่…พี่น้อง ส่วน…คู่แค้นถูกเก็บเรียบหมดแล้ว”

สวีเจ้าอิ่งไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขา “คุณจะกลับมาเมื่อไหร่ เราหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้พีพีได้แล้วนะ เหลือแค่คุณมาเซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูเท่านั้น”

ฉู่จิงหงร้องอ๋อออกมาเพราะนึกได้แล้วว่าปลายสายคือคู่แค้นคนไหน “ผมมาทำธุระที่บ้านเกิดนิดหน่อย คงยังกลับไม่ได้…ชั่วคราว แต่คุณสบายใจได้ คนอย่างผม…พูดคำไหนคำนั้น คุณเอา…หมาให้เขาไปได้เลย ไว้ผม…กลับไปแล้ว…จะไปหาคุณทันที”

สวีเจ้าอิ่งแค่นเสียง “มามุกนี้อีกแล้วสินะ”

ฉู่จิงหงทำเสียงจิ๊จ๊ะก่อนจะพูดออกมาเสียงอ้อแอ้ “เด็กดี…ว่าง่ายๆ นะ! อย่าดื้อ”

จากนั้นสายก็ถูกตัดไป สวีเจ้าอิ่งถือหูค้างได้ยินเสียงตู๊ดๆ ดังอยู่ในสายทำเอาของขึ้น เขาพูดจาแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน เธอคิดว่าตัวเองทนโต้คารมกับตาผีขี้เมานี่มามากเกินพอแล้ว

ถึงฉู่จิงหงจะขาดความเหมาะสมในการเลี้ยงดูสัตว์ แต่ว่าเขาก็ไม่เคยพูดปด ในเมื่อตอนนี้ชายหนุ่มไม่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้เธอจึงทำได้แค่ให้เฉิงจยาโหย่วมารับตัวพีพีกลับไปก่อน เพราะมาคิดๆ ดูแล้วพีพีอยู่ที่โรงพยาบาลมาถึงสี่เดือนเต็ม เธอเกรงว่าระยะเวลาสี่เดือนนี้อาจจะกลายเป็นเงาดำในใจของเจ้าตัวเล็กไปตลอดทั้งชีวิต

ช่วงที่เฉิงจยาโหย่วโทรมานัดรับตัวพีพีเป็นช่วงเวลาหลังเลิกงาน พอรู้ว่าชายหนุ่มจะมาสวีเจ้าอิ่งก็รีบสะสางงานของวันนั้นเพื่อไปที่โซนแอดมิตด้วยตัวเอง บริเวณโซนนี้ค่อนข้างเงียบเหงาเพราะมีแต่เจ้าพีพีอยู่ตัวเดียว และที่ผ่านมาพีพีก็ไม่ค่อยร่าเริงเท่าไหร่อยู่แล้ว มันมักจะฟุบตัวอยู่ในมุมหนึ่งของกรง ยิ่งช่วงสองอาทิตย์หลังมานี้แม้แต่เสียงงี้ดง้าดก็ยังมีให้ได้ยินน้อยมาก

“ผอ. คะ เตรียมของของพีพีเสร็จหมดแล้วค่ะ”

“คิดค่าฝากเลี้ยงของพีพีด้วยว่าต้องคืนหรือคิดเงินเพิ่มจากฉู่จิงหงอีกเท่าไหร่ ไว้เขากลับมาแล้วจะได้สะสางให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องติดต่อกันอีก”

อย่าว่าแต่สวีเจ้าอิ่งเลย แม้แต่พยาบาลหน้าเคาน์เตอร์เองก็ยังปวดหัวกับคนแซ่ฉู่ไม่หาย พอตอนนี้ ปัญหาทั้งหมดได้รับการแก้ไขไปเกินครึ่งแล้วจึงทำให้ทุกคนค่อยๆ วางหินก้อนยักษ์ในใจลงได้

เฉิงจยาโหย่วมาสายกว่าเวลานัดเล็กน้อย แต่สวีเจ้าอิ่งก็ไม่ได้เร่งอะไรเขา เธอนั่งคอยชายหนุ่มอยู่ที่แผนกแอดมิต จากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมงให้หลังถึงเห็นเฉิงจยาโหย่ววิ่งฝุ่นตลบเข้ามา แม้ว่าจังหวะการก้าวของเขาจะมั่นคง แต่ก็ยังคงมีอาการหอบให้เห็น

“ขอโทษครับ ขอโทษ พอดีมีลูกค้ามาตอนเลิกงาน ผมเพิ่งเคลียร์เสร็จ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

สวีเจ้าอิ่งยิ้มอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไรค่ะ ทางเรายังไม่เลิกงาน”

“งั้นผมรับพีพีไปตอนนี้เลยได้หรือเปล่าครับ”

สวีเจ้าอิ่งผงกศีรษะ เฉิงจยาโหย่วถูมือด้วยท่าทางเป็นกังวลขณะเจ้าหน้าที่เปิดกรงให้เขา มองเข้าไปก็เห็นได้ชัดว่าพีพีดูมึนงงนิดหน่อย เพราะมันไม่รู้ว่าความอบอุ่นและความสุขได้มาถึงตัวแล้ว

พีพีถูกใส่ปลอกคอก่อนจะจูงออกมา ปลายด้านหนึ่งของสายจูงอยู่ในมือของเฉิงจยาโหย่ว พีพีดมกลิ่นเขาแล้วแต่ไม่กล้าเดินหน้า เฉิงจยาโหย่วจึงย่อตัวลงไปอุ้มพีพีเอาไว้ในวงแขนก่อนลูบศีรษะของมันพลางเอ่ยถาม “ตอนนี้ผมยังต้องทำอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

สวีเจ้าอิ่งมองภาพ ‘การพบกันของครอบครัว’ แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้อุปถัมภ์ ทางโรงพยาบาลของเราเลยได้ทำการตรวจสุขภาพของพีพีให้โดยไม่คิดเงินค่ะ พร้อมทั้งยังมีบริการฉีดวัคซีนกับตรวจสุขภาพให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลาหนึ่งปีต่อจากนี้ และมีบ้านสุนัขทำมือเกรดเอ อาหารสุนัขสิบจิน* กับของเล่นอีกหนึ่งชุดมอบให้ด้วยค่ะ”

เฉิงจยาโหย่วอึ้งไป “แบบนี้ไม่ใช่ว่าผมเป็นฝ่ายได้กำไรหรอกเหรอครับ”

“ต่อไปสิ่งที่คุณต้องจ่ายจะมีมากกว่าสิ่งที่ได้รับไปตอนนี้เยอะค่ะ ฉันหวังว่าพีพีจะทำให้คุณมีความสุข” สวีเจ้าอิ่งมองดวงตาใสแจ๋วของพีพีแล้วเริ่มตาแดงๆ

เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลช่วยเอาของใส่รถของเฉิงจยาโหย่ว พอเขาได้เห็นท้ายรถที่อัดแน่นไปด้วยข้าวของแล้วก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย “คุณสวีช่วยไปจัดของให้ผมหน่อยได้ไหมครับ คือนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเลี้ยงสัตว์ ตอนนี้ก็เลยทำอะไรไม่ค่อยถูกเท่าไหร่”

สวีเจ้าอิ่งไม่ปฏิเสธ เธอก้าวขึ้นรถของเฉิงจยาโหย่วไปอย่างง่ายๆ เจ้าพีพีหมอบอยู่บนต้นขาของชายหนุ่ม ไม่ร้อง ไม่โวยวาย มันนิ่งมาก คอนโดฯ ของเฉิงจยาโหย่วอยู่คนละโซนกับที่พักของเธอซึ่งค่อนข้างไกลจากโรงพยาบาล ต้องใช้เวลาขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า

คอนโดฯ ของเฉิงจยาโหย่วมีพื้นที่ราวสองร้อยกว่าตารางเมตร ห้องหับสะอาดสะอ้าน แต่งด้วยสีโทนคลาสสิกอย่างดำขาวและเทา การตกแต่งไม่ได้หรูหรา แต่ดูมีเอกลักษณ์และรสนิยม

พีพีค่อนข้างตื่นที่ พอเข้าบ้านมามันก็มุดไปอยู่ใต้เตียง ส่วนตัวบ้านของพีพีนั้นถูกตั้งไว้ที่ข้างโซฟาในห้องรับแขกเพราะตรงนี้เป็นจุดที่ได้รับไออุ่นจากแสงแดดดีที่สุด

สวีเจ้าอิ่งถือกาแฟเดินมานั่งบนโซฟา เธอมองเฉิงจยาโหย่วพยายามหลอกล่อให้พีพีออกมาจากใต้เตียง สิบนาทีต่อมาพีพีก็เริ่มคุ้นกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ มันกระดิกหางด้วยท่าทางที่หายตื่นกลัวแล้ว สวีเจ้าอิ่งมองทั้งคู่อย่างสบายใจและถือโอกาสนี้สำรวจห้องของชายหนุ่ม ที่นี่ไม่มีร่องรอยของผู้หญิง ทำให้คอนโดฯ ของเฉิงจยาโหย่วราวกับเป็นของมนุษย์ผู้ละเว้นทางโลกไปแล้วยังไงยังงั้น

พีพีเล่นจนเหนื่อยแล้วก็มุดเข้าบ้านไปนอน เฉิงจยาโหย่วเก็บของเล่นพลางพูดกับสวีเจ้าอิ่ง “หิวไหมครับ เราไปกินข้าวกันดีกว่า ผมเลี้ยง”

สวีเจ้าอิ่งวางกาแฟในมือลง รีบตอบไปว่า “ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง ครั้งนี้น่าจะถึงตาฉันเลี้ยงแล้วนะคะ”

“โอเคครับ งั้นไปกันเถอะ ให้คุณเป็นคนเลี้ยงบ้างก็ดีเหมือนกัน”

ผู้ชายคนนี้ดูอ่อนโยน แต่คำพูดคำจากลับมีอำนาจสามารถทำให้สวีเจ้าอิ่งเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย ครั้งก่อนเป็นการเลือกร้านแบบส่งๆ แต่ครั้งนี้เฉิงจยาโหย่ววางแผนไว้ล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี เขาเลือกร้านอาหารไทยที่มีค่าบริการแพงเป็นอันดับต้นๆ ของเซี่ยงไฮ้

“ได้ยินมาว่าที่นี่แพงมากนี่ คุณจะฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว แบบนี้ฉันกดดันนะ” สวีเจ้าอิ่งกระสับกระส่ายขึ้นมา เพราะการที่เขาเลือกร้านอาหารแพงๆ เช่นนี้มันเหมือนกับว่าเธอเคยติดหนี้น้ำใจเขาครั้งใหญ่จนต้องจ่ายคืนแบบหนักๆ

“จะกดดันอะไรล่ะครับ ผู้หญิงเก่งแบบคุณน่าจะมีผู้ชายเป็นฝูงมาชวนคุณไปกินข้าวตามร้านหรูๆ อยู่แล้ว”

สวีเจ้าอิ่งส่ายหน้า พูดเยาะเย้ยตัวเอง “ใครจะอยากกินข้าวกับคนบ้างานแถมยังเป็นเด็กเรียนล่ะคะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงในสเป็กของผู้ชายเสียหน่อย”

“แค่กินข้าวมื้อเดียวอย่าคิดมากเลยครับ ผมเป็นพวกตะกละอยากจะกินอาหารไทยที่นี่มานานแล้ว แต่ติดที่ว่าตัวคนเดียว กว่าจะมีเพื่อนมากินด้วยได้แบบวันนี้ก็ไม่ง่ายเลย ผมดีใจมากกว่านะ”

สวีเจ้าอิ่งไม่พูดอะไรอีก เธอไม่ใช่สาวน้อยอ่อนต่อโลก ย่อมรู้อยู่แล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี บางทีอาจจะเป็นอย่างที่เมิ่งเทียนเทียนบอก เธอควรเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง ออกเดตกับผู้ชายบ้าง การให้ผู้ชายจ่ายบิลและรับฟังคำเยินยอจากพวกเขาบ้าง นี่คือความงดงามของคนโสด การที่เธอไม่รู้จักเอ็นจอยและเอาแต่จริงจังก็สมน้ำหน้าแล้วที่ต้องอยู่เป็นโสด ไม่มีแฟนกับใครเขาเสียที

บรรยากาศของการรับประทานอาหารมื้อนี้ดีมากๆ สวีเจ้าอิ่งทำตัวเปิดเผยมากกว่าครั้งก่อน เรื่องส่วนใหญ่ที่เธอเล่าเป็นเรื่องในโรงพยาบาล รวมไปถึงเรื่องสนุกๆ ช่วงที่เรียนอยู่ที่ยุโรป เฉิงจยาโหย่วเป็นคู่สนทนาที่ดีและเป็นผู้ฟังที่ดีมาก นี่อาจเป็นคุณลักษณะที่ชายหนุ่มได้รับมาจากอาชีพที่ทำซึ่งทำให้คนเกิดความรู้สึกไว้วางใจและสนิทสนมกับเขาแบบไม่รู้ตัว

ตอนขากลับสวีเจ้าอิ่งมองแสงไฟสว่างไสวด้านนอกแล้วเพิ่งพบว่าทิวทัศน์ยามราตรีของเซี่ยงไฮ้สวยงามขนาดนี้ เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน

“เจ้าอิ่ง ผมต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ นะ” เฉิงจยาโหย่วที่กำลังตั้งใจขับรถหลุดคำพูดประโยคนี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่

“ฉันมีอะไรให้คุณต้องขอบคุณคะ” สวีเจ้าอิ่งก้มหน้าติดกระดุมเสื้อโค้ตขนแกะพลางถามด้วยท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ

“ผมอยู่ตัวคนเดียวมานาน บางครั้งพอมีใครสักคนเข้ามาก็เลยทำอะไรไม่ค่อยถูก”

สวีเจ้าอิ่งปรายตามองเฉิงจยาโหย่วแวบหนึ่ง แต่หัวใจกลับเต้นตุบๆ ถึงเธอจะเคยพบกับเฉิงจยาโหย่วแค่ครั้งเดียว แต่พอจะรู้ว่าเขาเป็นคนรู้จักกาลเทศะ การที่จู่ๆ ชายหนุ่มพูดแบบนี้ขึ้นมาก็ทำให้คนฟังรู้สึกกระสับกระส่ายไม่น้อย

เฉิงจยาโหย่วหันมองสวีเจ้าอิ่งแวบหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ “ขอบคุณที่คุณพาพีพีมาอยู่กับผม ผมคิดว่าต่อไปตัวเองคงไม่ต่อต้านการกลับบ้านอีก”

สวีเจ้าอิ่งระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอก เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะหยอกล้อ “ฉันนึกว่ามีแต่ฉันที่ตัวคนเดียว คนมีเสน่ห์แบบคุณจะเป็นเหมือนฉันได้ยังไง”

“ที่จริงเราก็เป็นคนแบบเดียวกันนั่นแหละครับ คือเป็นพวกระวังตัวสูง ไม่ยอมเปิดใจให้ใครง่ายๆ คุณใช้ความเมินเฉยเย็นชามาเป็นเครื่องปกป้องตัวเอง ส่วนผมถึงจะดูเป็นมิตร แต่จริงๆ แล้วก็มีเรื่องเก็บซ่อนไว้ในใจ”

สวีเจ้าอิ่งหัวเราะเบาๆ “คนเราก็แบบนี้แหละค่ะ พวกเราเองก็ถึงวัยที่จำเป็นต้องวางมาดกันบ้างแล้ว แต่แบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี ฉันกลับรู้สึกว่ามันยิ่งเป็นความจริงมากกว่า ดังนั้นแค่ได้มีเพื่อนที่รู้ใจสักคนสองคนอยู่บนโลกด้วยกันก็เพียงพอแล้ว”

เฉิงจยาโหย่วยืนยันจะไปส่งสวีเจ้าอิ่งให้ถึงใต้คอนโดฯ แต่สวีเจ้าอิ่งคิดว่าพวกเขายังไม่สนิทกันถึงขั้นนั้นจึงบอกปัดไปอย่างนุ่มนวล เธอมองรถเก๋งแล่นจากไปแล้วจึงเข้าไปในคอนโดฯ

วันนี้ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวๆ หญิงสาวใช้มือทั้งสองข้างตบแก้มซึ่งช่วยเรียกสติได้เล็กน้อย วันนี้เธอคุยกับเฉิงจยาโหย่วเยอะมาก แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงคุยกันด้วยเรื่องพวกนี้ ความรู้สึกของเธอบอกว่าการคบหาผู้ชายดีๆ แบบเขานั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย สวีเจ้าอิ่งไม่เพียงไม่รังเกียจ แต่ยังยินดีนิดๆ ด้วยซ้ำ

“คุณครับ! คอยเดี๋ยว!”

สวีเจ้าอิ่งเพิ่งเปิดประตูตึกก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกอยู่ไม่ไกล ในรัศมีสองสามเมตรนี้ไม่มีคน แต่กลับมีเสียงเรียกเธอเอาไว้ หญิงสาวมองตามต้นเสียงไปจึงเห็นผู้ชายสวมหมวกกับดาวน์แจ็กเก็ตตัวหนาวิ่งพรวดพราดเข้ามา

“ขอบคุณครับคุณผู้หญิง!”

สวีเจ้าอิ่งเปิดประตูค้าง ตามองคนที่วิ่งถลันเข้ามาแล้วหอบหนัก พอเขาถอดหมวกออกมา สวีเจ้าอิ่งก็เผลอมองค้อนไปหนึ่งครั้งเพราะคนคนนั้นคือฉู่จิงหง

ใบหน้าของฉู่จิงหงโดนความเย็นจนกลายเป็นสีแดง เขาสวมดาวน์แจ็กเก็ตแบบนี้ยิ่งทำให้ดูตัวพองใหญ่โต คอยจนฉู่จิงหงปรับลมหายใจได้แล้วเขาถึงพบว่าคนตรงหน้าคือคู่แค้นของตัวเอง

ชายหนุ่มร้องลั่น “โอ้! บังเอิญจัง”

สวีเจ้าอิ่งกดเรียกลิฟต์พลางเอ่ยถามขึ้นตามมารยาท “คุณกลับมาแล้วเหรอ”

“กลับมาแล้ว”

สวีเจ้าอิ่งเดินเข้าไปในลิฟต์ก่อนจะกดปุ่มชั้นสิบกับชั้นสิบห้า จากนั้นฉู่จิงหงก็ตามเข้ามา ไฟสองดวงในลิฟต์เสีย ไฟที่เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับทำให้บรรยากาศภายในที่ปิดทึบเช่นนี้ยิ่งทวีความอึดอัด

ฉู่จิงหงยืนอยู่หลังสวีเจ้าอิ่ง หญิงสาวจึงได้ยินเสียงหอบหนักกับเสียงไอเบาๆ ของเขา จากนั้นไม่นานลิฟต์ก็มาถึงจุดหมาย สวีเจ้าอิ่งเดินออกไป

ฉู่จิงหงกดปุ่มปิดประตูลิฟต์ ทว่าวินาทีที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงมันกลับถูกงัดเปิดออกอีกครั้ง สวีเจ้าอิ่งยืนอยู่นอกประตู ดวงตามองตรงไปที่ฉู่จิงหง “ภายในสามวันนี้ไปที่โรงพยาบาลสัตว์ด้วยนะ”

ฉู่จิงหงชะงัก ผงกศีรษะรับโดยอัตโนมัติ จากนั้นประตูลิฟต์จึงปิดลงอีกครั้ง ฉู่จิงหงโคลงศีรษะเพื่อไล่ความรู้สึกชาวาบที่ท้ายทอยให้หายไป ออร่าของผู้หญิงคนนี้แปลกมาก เธอสามารถทำให้เขารู้สึกกดดันได้แบบแปลกๆ และความกดดันนี้ก็โอบล้อมรอบตัวเขาเหมือนถูกไฟช็อต

 

พีพีนำพาความเปลี่ยนแปลงเข้ามาในชีวิตของเฉิงจยาโหย่วจริงๆ มันทำให้เฉิงจยาโหย่วที่ก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตแบบสูตรสำเร็จ จากที่คอยแต่จะประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ทางการเงินมาตลอด ตอนนี้กลับเริ่มมีภาพถ่ายของพีพีหลายรูปปรากฏอยู่ในไทม์ไลน์วีแชตของเขา เป็นภาพความน่ารักของมันตอนนอนผึ่งพุงอยู่กลางแดดบ้าง ตอนไล่จับผีเสื้อกลางทุ่งดอกไม้บ้าง เมิ่งเทียนเทียนกดไลค์ภาพเหล่านั้นแล้ว สวีเจ้าอิ่งก็กดด้วยเช่นกัน

เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้สวีเจ้าอิ่งไม่ได้คอยเก้อเพราะฉู่จิงหงมาจริง แต่การมาของเขาครั้งนี้กลับเอาความปวดหัวและเรื่องวุ่นวายมาให้เธอด้วย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 มี.ค. 64

หน้าที่แล้ว1 of 18

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: